ไหนว่าไม่รู้จักกัน? จับโป๊ะ “ท๊อป” เอี่ยว KUB CHAIN สิงคโปร์ “สำเร็จ-ณัฐพงศ์” ซี้ปึกไม่พอยังร่วมออกเหรียญ NATEE

โป๊ะ! “ท๊อป จิรายุส” ปฏิเสธ “บิทคับ” ไม่เกี่ยวข้องกับ “KUB CHAIN PRIVATE LIMITED” สิงคโปร์ แต่อาจเป็น “นอมินี” ให้คนอื่นถือหุ้นแทนหรือไม่? เพื่อชิ่งหนี ก.ล.ต. หลังดื้อแพ่งไม่ยอมแก้คุณสมบัติเหรียญ “KUB” หลังพบ “สำเร็จ” และ “ณัฐพงศ์” ผู้ถือหุ้น เป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยศิลปากร สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ แถมเคยร่วมกันออกเหรียญ “NATEE” แต่เจ๊ง ก่อนมาเป็น CTO ออกเหรียญ KUB อีกทั้งมี “พงศกร” ทีมที่ปรึกษา “NATEE” ยังดำรงตำแหน่งผู้บริหาร “บิทคับออนไลน์”

ในช่วงที่ผ่านมา มีกระแสข่าวสะพัดเป็นระยะๆ เกี่ยวกับกลุ่มบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด บริษัทแม่ของบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด และบริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จํากัด หรือกลุ่มบิทคับ เตรียมขยายฐานธุรกิจไปยังต่างประเทศ เพื่อหาช่องทางการดำเนินธุรกิจใหม่ในต่างประเทศ

ขณะที่อีกฟากกลับมองว่า นี่อาจจะเป็นการดิ้นหาทางรอดเพื่อย้ายฐานธุรกิจของ “บิทคับ” หรือไม่ สืบเนื่องจากกรณีที่ “บิทคับ” ได้กระทำผิดและฝ่าฝืนข้อกำหนดของหน่วยงานควบคุมอย่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มาโดยตลอด และมีบางเรื่องที่ตรวจสอบพบแล้ว ก.ล.ต. สั่งให้ดำเนินการแก้ไข “บิทคับ” กลับเพิกเฉย ทำให้ต้องหาทางหนีทีไล่ไว้รองรับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น

อย่างที่เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน มีการตั้งข้อสังเกตกลุ่มบิทคับได้จดทะเบียนตั้งบริษัทแห่งใหม่ในสิงคโปร์ ในชื่อ “KUB CHAIN PRIVATE LIMITED” แม้ว่า นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา หรือท๊อป ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด จะออกมาปฏิเสธ ว่าบิทคับไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

นี่กลับเป็นสิ่งที่สร้างข้อสงสัยมากขึ้น เพราะถ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันจริงอย่างที่ “ท๊อป จิรายุส” ออกมาให้สัมภาษณ์ จะสามารถใช้ชื่อเหมือนกันได้หรือไม่ หรือว่าอาจจะเป็นนอมินีให้บุคคลอื่นถือหุ้นแทนได้หรือไม่?

“ณัฐพงศ์-สำเร็จ” เพื่อนเรียนศิลปากร

Ibit ได้ทำการตรวจสอบข้อมูลการจดทะเบียนของ KUB CHAIN PRIVATE LIMITED ในสิงคโปร์ พบว่า จดทะเบียนก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 65 ด้วยทุนจดทะเบียน 2,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ มีนายณัฐพงศ์ วงศ์อารีย์ (NUTTAPONG WONG AREE) สัญชาติสิงคโปร์ ถือหุ้น 100% และเป็นกรรมการร่วมกับ LUA SOO THENG ชาวสิงคโปร์อีกหนึ่งคน สำนักงานตั้งอยู่ที่ 10 ANSON ROAD #35-11 INTERNATIONAL PLAZA SINGAPORE (079903)

จากการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า นายณัฐพงศ์ วงศ์อารีย์ และนายสำเร็จ วจนะเสถียร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยี (Chief Technology Officer : CTO ) บริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด (BBT) มีความสนิทสนมและสัมพันธ์ใกล้ชิดกันเป็นอย่างดีตั้งแต่สมัยศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี

โดยนายณัฐพงศ์ และนายสำเร็จ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี วิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ จากมหาวิทยาลัยศิลปากร ขณะที่นายสำเร็จ เองยังได้รับการคัดเลือกให้เป็นศิษย์เก่าดีเด่นในปี 2553 อีกด้วย

ร่วมกันพัฒนาเหรียญ “NATEE” ที่สิงคโปร์

นอกจากนี้ยังพบหลักฐานที่ระบุถึงความสัมพันธ์ของทั้งสอง คือ นายณัฐพงศ์ และนายสำเร็จ เคยร่วมกันพัฒนาเหรียญ “NATEE” ที่สิงคโปร์ ภายใต้บริษัท เศรษฐี ไพร์เวท ลิมิเต็ด (SEITEE PRIVATE LIMITED) เมื่อช่วงปลายปี 61 ถึงต้นปี 62 แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ล้มเหลวไม่เป็นท่า ก่อนที่ “สำเร็จ” จะมาร่วมกับ “บิทคับ” ออกเหรียญ KUB Coin ในเวลาต่อมา

ทั้งนี้ บริษัท เศรษฐี ไพร์เวท ลิมิเต็ด (SEITEE PRIVATE LIMITED) สำนักงานตั้งอยู่ที่เดียวกับ KUB CHAIN PRIVATE LIMITED ในปัจจุบัน คือที่ 10 ANSON ROAD #35-11 INTERNATIONAL PLAZA SINGAPORE (079903)

โดย WHITE PAPER VERSION 1.03 จะมีการออกเหรียญ NATEE รวม 120 ล้านเหรียญ ในราคา 0.5 ดอลลาร์สิงคโปร์ ทีมบริหารประกอบด้วยนายณัฐพงศ์ วงศ์อารีย์ Co-Founder นายสำเร็จ วจนะเสถียร ทำหน้าที่ CTO ร่วมกับ Ekkarach Pusuwan, นายชานนท์ ยาคล้าย, Nguyen Tan Dat และนายไชยพงศ์ ลาภเลี้ยงตระกูล

ขณะที่ทีมที่ปรึกษา ปรากฎรายชื่อบุคคลที่นามสกุลเดียวกับนายสำเร็จ คือนายสงกรานต์ วจนะเสถียร รวมถึงนายพงศกร สุตันตยาวลี ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง Chief Product Officer ของบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัดด้วย

นี่จึงมีคำถามตามมาว่า จากความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่าง ณัฐพงศ์ ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้ถือหุ้นใหญ่ KUB CHAIN PRIVATE LIMITED และ สำเร็จ ซึ่งเป็นผู้บริหารคนสำคัญของ “บิทคับ” แต่การนำชื่อ KUB ไปจดทะเบียนในสิงคโปร์ “ท๊อป จิรายุส” และผู้บริหาร “บิทคับ” จะไม่รับทราบเป็นไปได้หรือไม่?

หรือว่า นี่จะเป็นการเตรียมความพร้อมย้ายธุรกิจหนีไปยังต่างประเทศหรือไม่ หลังจากที่ บิทคับ ไม่ยอมปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของสำนักงานก.ล.ต. ทำให้บริษัท และผู้บริหาร ถูกปรับมาแล้วมากกว่า 10 ครั้ง ทั้งเรื่องของระบบปฏิบัติงานขาดประสิทธิภาพ การสร้างปริมาณเทียมเหรียญ KUB และผู้บริหารใช้ข้อมูลภายในซื้อขายเหรียญ รวมเป็นเงินค่าปรับกว่า 50 ล้านบาท

โดยครั้งหนักสุดคือ สั่งปรับ "บิทคับ" นายอนุรักษ์ เชื้อชัย (มาร์เก็ตเมกเกอร์) และนายสกลกรย์ สระกวี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบิทคับ ร่วมกันในการส่งคำสั่งซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัล อันเป็นการทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับปริมาณการซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัลในศูนย์ซื้อขาย Bitkub รวมเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 24 ล้านบาท พร้อมทั้งสั่งห้ามซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลหรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นเวลา 6 เดือน และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารเป็นเวลา 12 เดือน

รวมถึงกรณีของนายสำเร็จ วจนะเสถียร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด ที่ใช้ข้อมูลภายในจากกรณีที่กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ จะเข้าซื้อหุ้น 51% ของบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด จากบริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด มูลค่ากว่า 1.78 หมื่นล้านบาท จึงได้เข้าซื้อเหรียญ KUB ก่อนที่จะแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จึงให้มาตรการทางแพ่งปรับจำนวน 8.53 ล้านบาท รวมทั้งห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารของผู้เสนอขายโทเคนดิจิทัลหรือผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นเวลา 12 เดือน

ล่าสุด เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 65 ที่ผ่านมา สำนักงาน ก.ล.ต. สั่งปรับ "บิทคับ" อีกครั้ง เป็นจำนวนเงิน 425,000 บาท กระทำผิดพ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัล กรณีโฆษณาชุดของขวัญแห่งอนาคต (A Gift for The Future) ที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด โดยไม่จัดให้มีคำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลในโฆษณาที่เผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์และป้ายโฆษณาบริเวณสถานีรถไฟฟ้า และเผยแพร่คลิปโฆษณาบนรถไฟฟ้าโดยคำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ไม่เหมาะสมกับรูปแบบการนำเสนอและสถานที่

ลุ้น ก.ล.ต.ชี้ขาดคุณสมบัติเหรียญ KUB

นี่ยังไม่รวมถึง กรณีที่ “บิทคับ” ไม่ยอมดำเนินการตามคำสั่ง ก.ล.ต. หลังจาก ก.ล.ต. ได้ตรวจสอบแล้วพบ การคัดเลือกเหรียญ KUB นั้น บิทคับให้คะแนนการคัดเลือกเหรียญไม่เป็นไปตาม Listing Rule ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. โดยบิทคับให้คะแนนในเรื่องมาตรฐานเทคโนโลยีของโปรเจกต์ในระดับที่สูงกว่ามาตรฐาน แต่ไม่ปรากฏหลักฐานและเอกสารที่แสดงให้เห็นว่า เหรียญ KUB มีเทคโนโลยีดังกล่าวอยู่จริง

เรื่องมาตรฐานของเหรียญ KUB ยังไม่ได้รับการแก้ไข ก.ล.ต. ยังได้ตรวจสอบพบและสั่งให้ Bitkub แก้ไขเทคโนโลยีเหรียญ KUB ในกรณีฟังก์ชัน adminTransfer เพราะมองว่าอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ผู้ไม่หวังดีจะสามารถโอนสินทรัพย์ดิจิทัลจากกระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัลใดๆ ได้ หากเข้าถึงสิทธิในระบบดังกล่าว อีกทั้งไม่ปรากฏการควบคุมเชิงเทคนิค (technical control)

โดยเรื่องการแก้ไขคุณสมบัติเหรียญ KUB ดังกล่าว ก.ล.ต. ได้มีการขยายเวลาให้แล้วหลายครั้ง และได้ครบกำหนดระยะเวลาเมื่อต้น ธ.ค. 65 ที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่า ก.ล.ต. จะมีมาตรการลงโทษออกมาเร็วๆ นี้ หาก “บิทคับ” ไม่สามารถดำเนินการแก้ไขคุณสมบัติเหรียญได้ ก็มีความเสี่ยงอาจถูกพักการซื้อขายหรือให้เพิกถอนออกจากการซื้อขายได้

เปลี่ยนเบนเข็มไปจดทะเบียนฮ่องกง

อย่างไรก็ตาม หาก “บิทคับ” ต้องการย้ายฐานไปยังสิงคโปร์จริง ก็คงต้องกลับมาทบทวนแผนใหม่อีกครั้ง เนื่องจากขณะนี้หน่วยงานกำกับของไทยอย่าง ก.ล.ต. และหน่วยงานกำกับดูแลตลาดเงินและตลาดทุนสิงคโปร์ (The Monetary Authority of Singapore: MAS) ได้มีการประสานงานด้านข้อมูลกันอย่างใกล้ชิด หากบิทคับต้องการไปดำเนินธุรกิจที่สิงคโปร์จริง อาจจะไม่ได้ง่ายอย่างที่คาดหวังไว้

ขณะที่ “ท๊อป จิรายุส” ได้ให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติระหว่างการประชุมสุดยอดกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC 2022) ระบุว่า บิทคับกำลังเล็งการขยายธุรกิจ ไปยังเขตพื้นที่ปกครองพิเศษฮ่องกง โดยเป็นจุดหมายปลายทางในการจดทะเบียนธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งคาดว่าเป็นไปได้ว่าเร็วที่สุดภายในปี 2567

"เนื่องจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์มีส่วนสำคัญในการพิจารณาเลือกฮ่องกงมากกว่านิวยอร์ก เช่นเดียวกับศูนย์กลางทางการเงินในเอเชียที่มีหลักนิติธรรมและสภาพคล่องสูงในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งผมคิดว่าจุดแข็งของเราอยู่ที่ภูมิภาคอาเซียนตะวันออกเฉียงใต้ดังนั้นจึงเป็นการดีที่จะเชื่อมต่อกับตลาดใกล้บ้าน”

ส่วนประเด็นที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่า บิทคับ ถูก ก.ล.ต.ของไทยกล่าวโทษทั้งเรื่องการสร้างปริมาณการซื้อขายเทียม การสั่งปรับ CTO ใช้ข้อมูลอินไซด์ จะส่งผลกระทบต่อการนำบริษัทเข้าจะทะเบียนในฮ่องกงหรือไม่นั้น “ท๊อป จิรายุส” กล่าวเพียงว่า “ผมคิดว่าเมื่อเราเปิดเผยต่อสาธารณะ เราจะต้องดำเนินการตรวจสอบสถานะที่เหมาะสมให้เสร็จสิ้น เรามีความโปร่งใสอย่างเต็มที่ ผมไม่คิดว่าจะมีปัญหา”

อย่างไรก็ดี การที่ผู้ประกอบการ เรียกร้องให้ฮ่องกงเร่งปฏิรูปกฎระเบียบสำหรับแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัล หากตั้งใจที่จะแสวงหาบริษัทด้านการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล และบริษัทอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เพื่อผลักดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แม้ว่าจะไม่ได้ยกตัวอย่างเฉพาะเจาะจงก็ตาม

“ฮ่องกงเป็นผู้นำด้านการเงินเสมอมา แต่เพื่อให้โมเมนตัมดำเนินต่อไปและยังคงเป็นผู้นำ พวกคุณควรมีกฎระเบียบที่เสรีและเปิดกว้างมากขึ้น และเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ มากขึ้น” ท๊อป จิรายุส กล่าวถึงกฎระเบียบที่ฮ่องกงควรมีเพื่อรองรับอุตสาหกรรมคริปโต

พร้อมกันนี้ ท๊อป จิรายุส ยังได้เรียกร้องให้ฮ่องกงเร่งดำเนินการกฎระเบียบ โดยเปรียบเทียบระหว่างฮ่องกงกับประเทศไทยว่า “น่าประหลาดใจที่ประเทศไทยมีความก้าวหน้ามากกว่า” โดยชี้ให้เห็นถึงความคืบหน้าในการนำไปใช้ที่ช้ากว่าของฮ่องกง ในการรับรู้สินทรัพย์ดิจิทัลว่าเป็นเงินที่แข็งค่า (Hard Money) โดยเขาทิ้งท้ายว่า“กฎระเบียบไม่ควรก้าวล้ำกว่าเทคโนโลยี แต่อย่างน้อยควรสามารถตามทันการพัฒนาล่าสุดได้”

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเป็นเพียงการตั้งข้อสังเกตถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างผู้บริหารบิทคับ กับผู้เจ้าของและถือหุ้น KUB CHAIN PRIVATE LIMITED จะเป็นนอมินีหรือไม่ รวมถึงการเล็งเข้าไปจดทะเบียนในฮ่องกงจะเป็นการเตรียมความพร้อมในการย้ายธุรกิจหรือไม่ หาก “บิทคับ” ยังดื้อแพ่งไม่ยอมปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของหน่วยงานกำกับอย่าง ก.ล.ต. เมื่อมีคำสั่งลงโทษออกมา ก็ต้องมีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของ “บิทคับ” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้