"ท๊อป จิรายุส" ผู้ก่อตั้งกระดานเทรด Bitkub ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและกระดานซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตชื่อดังของไทย เผยผ่าน The South China Morning Post ว่าเตรียมย้ายบ้านธุรกิจซื้อขายเหรียญคริปโต จากประเทศไทย ไปจดทะเบียนในเขตปกครองพิเศษฮ่องกงเมื่อสถานการณ์ทุกอย่างของเศรษฐกิจและภาวะตลาดหมีคริปโตคลี่คลายลงและทุกอย่าง 'กลับสู่ภาวะปกติ' โดยเผยว่าจากการล่มสลายของ FTX ทำให้เกิดสั่นคลอนต่อความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมคริปโต
จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งกระดานเทรด Bitkub ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและกระดานซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตชื่อดังของไทยเปิดเผยในระหว่างการให้สัมภาษณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่การประชุมสุดยอดกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือ APEC2022 ว่า กระดานเทรด Bitkub ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจแลกเปลี่ยน cryptocurrency มากที่สุดของประเทศไทย กำลังเล็งการขยายธุรกิจ ไปยังเขตพื้นที่ปกครองพิเศษฮ่องกง โดยเป็นจุดหมายปลายทางในการจดทะเบียนธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งคาดว่าเป็นไปได้ว่าเร็วที่สุดภายในปี 2567
"เนื่องจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์มีส่วนสำคัญในการพิจารณาเลือกฮ่องกงมากกว่านิวยอร์ก เช่นเดียวกับศูนย์กลางทางการเงินในเอเชียที่มีหลักนิติธรรมและสภาพคล่องสูงในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งผมคิดว่าจุดแข็งของเราอยู่ที่ภูมิภาคอาเซียนตะวันออกเฉียงใต้ดังนั้นจึงเป็นการดีที่จะเชื่อมต่อกับตลาดใกล้บ้าน”
นอกจากนี้ ท๊อป ยังได้สะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นจากการล้มละลายของ FTX อีกด้วยว่า ความผิดพลาดของ FTX ซึ่งเป็นหนึ่งในการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งได้ยื่นฟ้องล้มละลายในสหรัฐอเมริกา สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อความเชื่อมันในอุตสาหกรรมคริปโตอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม ท๊อป จิรายุส ยังคงไม่หวั่นไหวเกี่ยวกับอนาคตของสินทรัพย์ดิจิทัล
“บริษัทส่วนกลางไม่กี่แห่งจัดการเงินของลูกค้าผิดพลาดหรือมีธรรมาภิบาลที่แย่มากไม่ได้หมายความว่าสกุลเงินดิจิทัลนั้นไม่ดี จริงไหม ซึ่งจริง ๆ แล้ว Cryptocurrency เป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่ามาก และลูกค้าจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาเสมอ” ท๊อป จิรายุส กล่าว
อย่างไรก็ดี การที่ผู้ประกอบการ เรียกร้องให้ฮ่องกงเร่งปฏิรูปกฎระเบียบสำหรับแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัล หากตั้งใจที่จะแสวงหาบริษัทด้านการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล และบริษัทอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เพื่อผลักดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แม้ว่าจะไม่ได้ยกตัวอย่างเฉพาะเจาะจงก็ตาม
“ฮ่องกงเป็นผู้นำด้านการเงินเสมอมา แต่เพื่อให้โมเมนตัมดำเนินต่อไปและยังคงเป็นผู้นำ พวกคุณควรมีกฎระเบียบที่เสรีและเปิดกว้างมากขึ้น และเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ มากขึ้น” ท๊อป จิรายุส กล่าวถึงกฎระเบียบที่ฮ่องกงควรมีเพื่อรองรับอุตสาหกรรมครืปโต
ขณะที่ Bitkub ซึ่งเป็นบริษัทแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลในประเทศไทย โดยมีศูนย์กลางธุรกิจในกรุงเทพฯ ซึ่งมีสัดส่วนปริมาณธุรกรรมเงินเสมือนจริงมากถึง 90% ในประเทศ โดยมีปริมาณการซื้อขายสูงถึง 23,000 ล้านบาทไทย (642 ล้านเหรียญสหรัฐ) ต่อวัน
อย่างไรก็ตาม Bitkub เกือบจะกลายเป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นรายแรกของไทย แม้ว่าบริษัทที่มีมูลค่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ แต่ธนาคารไทยพาณิชย์ได้ประกาศในเดือนสิงหาคมว่าได้ล้มเลิกแผนการที่จะซื้อหุ้น 51% ในบริษัทย่อยแห่งหนึ่งของบริษัท ท่ามกลางปัญหาด้านกฎระเบียบกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
นอกจากนี้ ท๊อป ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า จากภาวะเงินเฟ้อและปัญหาเศรษฐกิจที่สร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมคริปโตอย่างชัดเจน ทำให้การขยายธุรกิจสู่สาธารณะนั้นไม่ใช่เรื่องที่ Bitkub ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกในตอนนี้ โดยเรียกปีที่จะมาถึงนี้ว่าเป็น “ฤดูหนาว” สำหรับทุกภาคส่วน แต่บริษัทจะมุ่งเน้นไปที่การรวมผลผลิตให้มากขึ้น ในขณะที่ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง
“ปี 2567 เป็นปีที่เราหวังว่าจะสามารถเปิดเผยแผนงานระยะต่อไปสู่สาธารณชนได้ เมื่อสถานการณ์ต่างๆ กลับสู่ภาวะปกติ ซึ่งขณะนี้ เรายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการสำรวจ” ท๊อป จิรายุส กล่าว
เมื่อเปรียบเทียบกับสิงคโปร์ ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นคู่แข่งตัวฉกาจในด้านการลงทุน ท๊อป จิรายุส ให้ความเห็นว่า ฮ่องกงมีสภาพคล่องสูงกว่า หมายความว่าการแปลงสินทรัพย์เป็นเงินสดทำได้ง่ายกว่า โดยปัจจุบัน ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง มีบริษัทจดทะเบียนจากประเทศไทยเกือบ 40 แห่ง
นอกจากนี้ ท๊อป จิรายุส ยังได้ ฉายภาพเศรษฐกิจในอนาคตว่า 2 ชาติมหาอำนาจที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือจีนและสหรัฐฯ แบ่งประเด็นระดับโลกตั้งแต่การค้าไปจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งรุนแรงขึ้นจากสงครามรัสเซียกับยูเครน ซึ่งจะส่งผลต่อการตัดสินใจของบริษัทต่างๆ ที่เข้าจดทะเบียนด้วย โดยเฉพาะบริษัทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะชอบฮ่องกง ในขณะที่บริษัทตะวันตกมีแนวโน้มที่จะมุ่งหน้าไปยังนิวยอร์ก
เมื่อถูกถามว่าการที่ Bitkub ดำเนินธุรกิจขัดกับเกณฑ์ ก.ล.ต. ของไทย ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อโอกาสที่บริษัทจะเข้าจดทะเบียนในฮ่องกงหรือไม่ โดยในเดือนกันยายน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ดำเนินการทางกฎหมายกับ Bitkub และบุคคลอีกสองคนในข้อหา “wash trading” ซึ่งเป็นวิธีการสร้างอุปสงค์ปลอม ขณะที่ในเดือนสิงหาคม หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีของบริษัทถูกปรับ 8.53 ล้านบาท ภายหลังการสอบสวนการซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลภายใน ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้การอุทธรณ์ ซึ่งก่อนหน้านี้ในเดือนพฤษภาคม บริษัทถูก ก.ล.ต. สั่งปรับ เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามกฎเมื่อเปิดตัวโทเค็น KUB ซึ่งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ท๊อป จิรายุส ออกมาปกป้องธุรกิจของตนเองว่า “ผมคิดว่าเมื่อเราเปิดเผยต่อสาธารณะ เราจะต้องดำเนินการตรวจสอบสถานะที่เหมาะสมให้เสร็จสิ้น เรามีความโปร่งใสอย่างเต็มที่ ผมไม่คิดว่าจะมีปัญหา” เขากล่าว
ในขณะที่ฮ่องกงแนะนำกรอบของกฎระเบียบใหม่สำหรับแพลตฟอร์มสินทรัพย์เสมือนจริงในปี 2019 แต่อนุญาตให้ซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลในเมืองโดยนักลงทุนมืออาชีพเท่านั้น โดยเมื่อเร็วๆ นี้ Paul Chan Mo-po เลขานุการฝ่ายการเงินให้คำมั่นว่าจะ “เดินหน้าพัฒนาอุตสาหกรรมสินทรัพย์เสมือนจริงในฮ่องกงอย่างมั่นคงและรอบคอบ”
คำแถลงนโยบายของรัฐบาลที่เผยแพร่เมื่อเร็ว ๆ นี้กล่าวว่ากำลังเร่งงานเตรียมการสำหรับการออกใบอนุญาตใหม่ ในขณะที่ความพยายามในการมีส่วนร่วมกับการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์เสมือนทั่วโลกเพื่อเชิญชวนให้กลุ่มธุรกิจและนักลงทุนเข้ามาลงทุนในฮ่องกงมากขึ้น
ทั้งนี้ ท๊อป จิรายุส ยังได้ เรียกร้องให้ฮ่องกงเร่งดำเนินการกฎระเบียบ โดยเปรียบเทียบระหว่างฮ่องกงกับประเทศไทยว่า “น่าประหลาดใจที่ประเทศไทยมีความก้าวหน้ามากกว่า” โดยชี้ให้เห็นถึงความคืบหน้าในการนำไปใช้ที่ช้าของฮ่องกง ในการรับรู้สินทรัพย์ดิจิทัลว่าเป็นเงินที่แข็งค่า (Hard Money) โดยเขาทิ้งท้ายว่า “กฎระเบียบไม่ควรก้าวล้ำกว่าเทคโนโลยี แต่อย่างน้อยควรสามารถตามทันการพัฒนาล่าสุดได้”