รศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
สาขาวิชาพลเมืองวิทยาการข้อมูล
สาขาวิชาสถิติศาสตร์
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
3P ของระบบสุขภาพหรือหลักประกันสุขภาพแห่งชาติตามหลักการต้องประกอบด้วย Purchaser คือ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ People คือตัวแทนประชาชน และ Provider คือตัวแทนผู้ให้การบริบาลทางการแพทย์ แต่โครงสร้างบอร์ดหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ทั้งบอร์ดใหญ่ และบอร์ดย่อยต่าง ๆ รวมไปถึงบอร์ดย่อยสำคัญคือ คณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข (บอร์ดควบคุม) ล้วนแล้วแต่ประกอบด้วย 2P คือ Purchaser และ People แทบไม่มี Provider เลย ทำให้เกิดปัญหาการหักคอชักดาบไม่จ่ายเงินให้โรงพยาบาลจนโรงพยาบาลขาดทุนกันระนาว เพราะสปสช ชักดาบไม่จ่ายหนี้ ด้วยการใช้ประกาศย้อน หลังกดราคา และยังตรวจสอบแล้วเรียกเงินคืนมหาศาลที่เรียกว่าติด C
ปรากฏการณ์ที่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะต้องออกมาต่อสู้กับสปสช. เพื่อเรียกเงินคืน แล้วสปสช. จับคนไข้บัตรทองเป็นตัวประกันนั้นน่าสนใจมาก เพราะเริ่มมีโรงพยาบาลอื่นๆ แม้จะเป็นโรงพยาบาลของรัฐในกระทรวงสาธารณสุขเองก็ทนไม่ไหว เพราะประสบปัญหาแบบเดียวกันจนลำบากยากเข็น
ล่าสุดทีดีอาร์ไอ จับมือ สวรส. จัดสัมมนา “โจทย์ใหม่ ‘หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ’ บริหารจัดการให้ปัง ส่งถึงฝั่ง เพิ่มคุณภาพบริการ” ชำแหละจุดอ่อน สปสช.ที่ต้องเร่งปรับ พบบอร์ดบางคนยึดเก้าอี้ยาวนาน ไร้การถ่วงดุล ขาดมุมมองที่รอบด้าน โดยมี ดร.ณัฐนันท์ วิจิตรอักษร นักวิจัยที่ปรึกษารับเชิญทีดีอาร์ไอในฐานะหัวหน้าโครงการ ได้นำเสนอผลการศึกษาการประเมินหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ https://tdri.or.th/2025/07/research-findings-national-health-security-scheme/
ได้แถลงผลการศึกษาว่า
โครงสร้างคณะกรรมการของสปสช.มีประเด็นด้านความโปร่งใสที่น่ากังวลหลายด้าน ทั้งในเรื่ององค์ประกอบของคณะกรรมการ วาระการดำรงตำแหน่ง และการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ กรรมการบางส่วนดำรงตำแหน่งต่อเนื่องยาวนาน หรือสลับสับเปลี่ยนระหว่างคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ดหลัก) และคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข (บอร์ดควบคุม) โดยไม่เว้นระยะ และส่วนใหญ่ดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน 3 วาระ แม้ว่าจะไม่ผิดหลักเกณฑ์ แต่ไม่ถูกหลักการเนื่องจากบุคคลคนเดียวมีบทบาททั้งระดับนโยบายและปฏิบัติ ส่งผลให้เกิด “ภาวะบทบาททับซ้อน” ที่ทำให้แยกหน้าที่การกำกับกับการปฏิบัติออกจากกันไม่ชัดเจน และขาดความโปร่งใสในการถ่วงดุลอำนาจและการตรวจสอบภายในองค์กร นอกจากนี้ คณะกรรมการบางรายไม่ได้เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวหรือผลประโยชน์ทับซ้อนที่อาจกระทบการปฏิบัติหน้าที่ต่อสาธารณะแต่อย่างใด ซึ่งสะท้อนถึงช่องโหว่ด้านกฎหมาย (ปัจจุบัน กฎหมายระบุเพียงให้เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) และความโปร่งใสในการทำงาน
องค์ประกอบของบอร์ดมีการผูกขาดตำแหน่ง และมีความท้าทายในการจัดการความสัมพันธ์ของบุคคล หรือกลุ่มเครือข่ายที่มีบทบาทสูงในภาคประชาสังคมบางส่วน ซึ่งแม้จะเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง แต่การขาดเสียงสะท้อนจากผู้ปฏิบัติงานหน้างาน และผู้รับบริการ ทำให้การกำหนดนโยบายอาจไม่ครอบคลุมมุมมองของผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด จึงควรทบทวนองค์ประกอบและบทบาทของกรรมการให้เปิดกว้าง ครอบคลุมตัวแทนจากภาคส่วนต่าง ๆ อย่างทั่วถึง และส่งเสริมความเป็นสถาบัน (institutional) แทนการยึดโยงกับตัวบุคคล
TDRI ยังได้แถลงผลการศึกษาว่ามีปัญหาความย้อนแย้งระหว่างผู้มอบอำนาจกับผู้รับมอบอำนาจ (Principal-agent) เป็นคนเดียวกันในสปสช. ถ้าพูดแบบชาวบ้านคือชงเอง-กินเอง สั่งเอง-ลงมือทำเอง อันปราศจากธรรมาภิบาล ไม่โปร่งใส ขัดกับหลักการทางวิชาการและจริยธรรม ดังในรูปด้านล่างนี้ กรรมการ ชื่อย่อ สว. เป็นบอร์ด สปสช ที่กำหนดนโยบายมากมาย แต่กลับมาเป็นผู้รับมอบอำนาจในอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพระดับเขต (อปสช) เขตสุขภาพที่ 13 คือกรุงเทพมหานครเสียเอง
กรรมการบางคนวนเป็นบอร์ดต่อเนื่องกันมากถึงหกวาระดังรูปด้านล่างนี้


ทำให้เกิดปัญหา ข้อมูลของ TDRI ในภาพรวมมีสถิติพบว่า 87% ของบอร์ดสปสช. เป็นไปตามเกณฑ์ (บอร์ดกรรมการซองกฐินผู้แทนต่างๆ ที่ไม่รู้เรื่อง มีจำนวนสูงมาก) แต่สลับเปลี่ยนบอร์ดโดยไม่มีช่องเว้นสูงถึงร้อยละ 13 และผู้ดำเนินนโยบายไม่ควรมาเป็นผู้ตรวจสอบเสียเอง มีการกีดกันและจำกัดการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียรายใหม่ (คือโรงพยาบาล ผู้ให้การบริบาลสุขภาพ) ไม่มีโอกาสเข้ามากำหนดนโยบายเลย

เรื่องที่ NGO วนเวียนมีผลประโยชน์ทับซ้อนในบอร์ดต่าง ๆ ของสปสช และหน่วยงานตระกูล ส นั้นมีมานานประมาณ 20 ปี และผู้เขียนได้ศึกษาเรื่องนี้ไว้อย่างต่อเนื่องมายาวนานกว่าสิบปี ขอให้อ่านได้จากบทความเหล่านี้
- ตระกูล ส คือใคร? https://mgronline.com/daily/detail/9590000072352
- องค์การอิสระและองค์การเอกชนในเครือข่ายตระกูล ส : การไขว้ตำแหน่งและการขัดกันแห่งผลประโยชน์ https://mgronline.com/daily/detail/9580000118009
- นายหน้าค้าความจนและความตาย : ผลักดันกฎหมาย ร่างกฎหมาย ใช้อำนาจรัฐ มีผลประโยชน์ทับซ้อน เพื่อประชาชน? https://mgronline.com/daily/detail/9600000006118
- ทวงลาภมิควรได้จาก สปสช. และNGO ตระกูล ส เพื่อมารักษาชีวิตประชาชนผู้ใช้สิทธิบัตรทอง
https://mgronline.com/daily/detail/9610000041363
- ทำไม NGO สายตระกูล ส ถึงต่อต้านการแก้ไขกฎหมายบัตรทอง? https://mgronline.com/daily/detail/9600000078146
- ฤาสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขาตระกูล ส จะล่มสลายเหมือน Al Capone เพราะการหนีภาษี
https://mgronline.com/daily/detail/9590000007274
ทั้งตัวละครและวิธีการยังคงใช้วิธีการเดิมๆ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร แม้จะมีการใช้มาตรา 44 ในสมัยคสช ปลดเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นายแพทย์วินัย สวัสดิวร ออกจากตำแหน่งไปแล้ว แต่ยังไม่ได้มีการแก้ไขพรบ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ใช้มาเนิ่นนานและยังคงมีปัญหาในเชิงระบบและโครงสร้างอยู่
ดังนั้นบทความนี้จึงเป็นการอัพเดตสิ่งที่ผู้เขียนได้ศึกษาไว้มายาวนานต่อเนื่องนับสิบปี และขยายความให้รายละเอียดที่สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยมิได้เปิดเผย เพราะปัญหาการวนเวียนในตำแหน่ง มีผลประโยชน์ทับซ้อน ทำให้การบริหารงานของ สปสช. ล้มเหลว หลอกลวง ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของการรักษาพยาบาลประชาชนผู้ใช้บัตรทอง สร้างภาระทางการคลังของประเทศ และสปสช. สร้างความเสียหายแก่รัฐ (โรงพยาบาลของรัฐ) เบี้ยวหนี้ชักดาบ โรงพยาบาลเอกชน โดยจับประชาชนเป็นตัวประกัน เป็นประเด็นเพื่อประโยชน์สาธารณะที่จำเป็นต้องเปิดเผย ให้ตรวจสอบ เพื่อให้เกิดการแก้ไขพัฒนา เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติและชีวิตของประชาชน
ลองมาพิจารณาการวนเวียนเวียนเทียนอยู่ในตำแหน่งบอร์ด สปสช. สองบอร์ดสำคัญ คือบอร์ด คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ได้รับเบี้ยประชุมครั้งละ 18,000 บาทต่อคนต่อครั้ง และบอร์ดควบคุมมาตรฐานการรักษา อันเป็นสองบอร์ดที่สำคัญสุด ดังตารางด้านล่างนี้ จะเห็นได้ว่ากรรมการบอร์ด สปสช. สาย NGO ตระกูล ส หน้าเดิม ๆ วนเวียนอยู่ในบอร์ดสปสช. ไม่ไปผุดที่อื่น ผุดวนเวียนในอ่าง สปสช. เดิมมานับยี่สิบปี

ที่น่าสนใจคือมีความเชี่ยวชาญเก่งทุกทาง เป็นได้ทุกอย่าง ยกตัวอย่างเช่น นางยุพดี ศิริสินสุข ในวาระหนึ่งและสอง เป็นบอร์ดหลักประกันในฐานะผู้แทนองค์กรเอกชนด้านเกษตรกร พอวาระสาม นางยุพดี เป็นบอร์ดควบคุมคุณภาพในฐานะผู้แทนองค์กรเอกชนด้านผู้ติดเชื้อ เอชไอวี พอวาระสี่ นางยุพดี ขยับมาเป็นบอร์ดหลักประกันในฐานะผู้แทนองค์กรเอกชนด้านผู้ติดเชื้อ และในปัจจุบันนางยุพดี ไม่ได้เป็นบอร์ดสปสช. แล้วมาเป็นผู้บริหารสปสช. แทนในตำแหน่ง รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งได้รับเงินเดือนสูงมาก (เลขาธิการสปสช ได้รับเงินเดือนสามแสนบาทต่อเดือน)

การเป็นกรรมการหรือบอร์ดต่างๆ ในสปสช. นั้น กรรมการสาย NGO ได้รับเงินเข้ามูลนิธิ หรือรับเงินจากสปสช. ไปทำงานเอง ทั้งๆ ที่เป็นผู้มีอำนาจในการอนุมัติเงิน แต่รับมอบอำนาจและเงินมาทำงาน ทำให้เกิดปัญหา principal-agent problem ทางวิชาการ ดังตัวอย่างนี้







อันเป็นสิ่งที่ไม่สง่างาม ขัดกับ พรบ. ปปช. มาตรา 100 และ 103
ห้ามการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและส่วนรวม: มาตรานี้มีเจตนาเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริต โดยมีหลักการสำคัญคือ
ห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐ: ที่เป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาของหน่วยงานรัฐ
ห้ามรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด: จากบุคคลภายนอก นอกเหนือจากทรัพย์สินหรือประโยชน์ที่ควรได้ตามกฎหมาย
ข้อยกเว้น: การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยา ตามหลักเกณฑ์และจำนวนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนดไว้เท่านั้น
เรามาลองพิจารณาสาเหตุ พบว่า การวนเวียนเวียนเทียนตำแหน่ง และการขัดกันแห่งผลประโยชน์ในบอร์ด สปสช นั้นเกิดจากอะไร คำตอบคือ กติกาในการได้มา ที่ต้องลงทะเบียนผู้แทนองค์กรเอกชนด้านต่างๆ ที่วนเวียนเกาหลังกันเอง ใช้ที่อยู่ซ้ำ และวนเลือกกันเอง อันน่าจะเป็นต้นแบบของการเลือกตั้งแบบฮั้ว ในการเลือกตั้ง สว. ที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ ตัวอย่างดังตารางด้านล่างนี้ ในอดีตเคยมีการ block vote แบบน่าเกลียดมาก แต่ก็ไม่มีการดำเนินคดีเอาผิดแต่อย่างใด โปรดอ่านได้จาก ขอเรียกร้องให้ รมว.สาธารณสุขตรวจสอบด่วน! เกี่ยวกับกระบวนการสรรหากรรมการบอร์ด สปสช. และกรรมการควบคุม https://mgronline.com/daily/detail/9580000126405 เขียนโดย พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ กรรมาธิการสาธารณสุข สภานิติบัญญัติแห่งชาติ กรรมการแพทยสภา





หากจะแก้ไขปัญหา สปสช. ที่บริหารการเงินสุขภาพมากกว่าสองแสนล้านบาทต่อปี อันชักดาบเบี้ยวหนี้โรงพยาบาล สร้างความเสียหายกับประเทศชาติและประชาชนแล้วไซร้ ต้องแก้ไขปัญหาการวนเวียนในตำแหน่งบอร์ดสปสช. และผลประโยชน์ทับซ้อนเหล่านี้ให้ได้เสียก่อน
NGO ขี้ฟ้องเหล่านี้ เก่งตรวจสอบคนอื่น แต่ไม่เคยตรวจสอบตนเองบ้างเลยหรือ? เก่งจริงต้องตรวจสอบตัวเอง และฟ้องตัวเองด้วย บ้านเมืองจึงจะพัฒนาเจริญก้าวหน้าได้
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
สาขาวิชาพลเมืองวิทยาการข้อมูล
สาขาวิชาสถิติศาสตร์
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
3P ของระบบสุขภาพหรือหลักประกันสุขภาพแห่งชาติตามหลักการต้องประกอบด้วย Purchaser คือ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ People คือตัวแทนประชาชน และ Provider คือตัวแทนผู้ให้การบริบาลทางการแพทย์ แต่โครงสร้างบอร์ดหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ทั้งบอร์ดใหญ่ และบอร์ดย่อยต่าง ๆ รวมไปถึงบอร์ดย่อยสำคัญคือ คณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข (บอร์ดควบคุม) ล้วนแล้วแต่ประกอบด้วย 2P คือ Purchaser และ People แทบไม่มี Provider เลย ทำให้เกิดปัญหาการหักคอชักดาบไม่จ่ายเงินให้โรงพยาบาลจนโรงพยาบาลขาดทุนกันระนาว เพราะสปสช ชักดาบไม่จ่ายหนี้ ด้วยการใช้ประกาศย้อน หลังกดราคา และยังตรวจสอบแล้วเรียกเงินคืนมหาศาลที่เรียกว่าติด C
ปรากฏการณ์ที่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะต้องออกมาต่อสู้กับสปสช. เพื่อเรียกเงินคืน แล้วสปสช. จับคนไข้บัตรทองเป็นตัวประกันนั้นน่าสนใจมาก เพราะเริ่มมีโรงพยาบาลอื่นๆ แม้จะเป็นโรงพยาบาลของรัฐในกระทรวงสาธารณสุขเองก็ทนไม่ไหว เพราะประสบปัญหาแบบเดียวกันจนลำบากยากเข็น
ล่าสุดทีดีอาร์ไอ จับมือ สวรส. จัดสัมมนา “โจทย์ใหม่ ‘หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ’ บริหารจัดการให้ปัง ส่งถึงฝั่ง เพิ่มคุณภาพบริการ” ชำแหละจุดอ่อน สปสช.ที่ต้องเร่งปรับ พบบอร์ดบางคนยึดเก้าอี้ยาวนาน ไร้การถ่วงดุล ขาดมุมมองที่รอบด้าน โดยมี ดร.ณัฐนันท์ วิจิตรอักษร นักวิจัยที่ปรึกษารับเชิญทีดีอาร์ไอในฐานะหัวหน้าโครงการ ได้นำเสนอผลการศึกษาการประเมินหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ https://tdri.or.th/2025/07/research-findings-national-health-security-scheme/
ได้แถลงผลการศึกษาว่า
โครงสร้างคณะกรรมการของสปสช.มีประเด็นด้านความโปร่งใสที่น่ากังวลหลายด้าน ทั้งในเรื่ององค์ประกอบของคณะกรรมการ วาระการดำรงตำแหน่ง และการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ กรรมการบางส่วนดำรงตำแหน่งต่อเนื่องยาวนาน หรือสลับสับเปลี่ยนระหว่างคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ดหลัก) และคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข (บอร์ดควบคุม) โดยไม่เว้นระยะ และส่วนใหญ่ดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน 3 วาระ แม้ว่าจะไม่ผิดหลักเกณฑ์ แต่ไม่ถูกหลักการเนื่องจากบุคคลคนเดียวมีบทบาททั้งระดับนโยบายและปฏิบัติ ส่งผลให้เกิด “ภาวะบทบาททับซ้อน” ที่ทำให้แยกหน้าที่การกำกับกับการปฏิบัติออกจากกันไม่ชัดเจน และขาดความโปร่งใสในการถ่วงดุลอำนาจและการตรวจสอบภายในองค์กร นอกจากนี้ คณะกรรมการบางรายไม่ได้เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวหรือผลประโยชน์ทับซ้อนที่อาจกระทบการปฏิบัติหน้าที่ต่อสาธารณะแต่อย่างใด ซึ่งสะท้อนถึงช่องโหว่ด้านกฎหมาย (ปัจจุบัน กฎหมายระบุเพียงให้เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) และความโปร่งใสในการทำงาน
องค์ประกอบของบอร์ดมีการผูกขาดตำแหน่ง และมีความท้าทายในการจัดการความสัมพันธ์ของบุคคล หรือกลุ่มเครือข่ายที่มีบทบาทสูงในภาคประชาสังคมบางส่วน ซึ่งแม้จะเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง แต่การขาดเสียงสะท้อนจากผู้ปฏิบัติงานหน้างาน และผู้รับบริการ ทำให้การกำหนดนโยบายอาจไม่ครอบคลุมมุมมองของผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด จึงควรทบทวนองค์ประกอบและบทบาทของกรรมการให้เปิดกว้าง ครอบคลุมตัวแทนจากภาคส่วนต่าง ๆ อย่างทั่วถึง และส่งเสริมความเป็นสถาบัน (institutional) แทนการยึดโยงกับตัวบุคคล
TDRI ยังได้แถลงผลการศึกษาว่ามีปัญหาความย้อนแย้งระหว่างผู้มอบอำนาจกับผู้รับมอบอำนาจ (Principal-agent) เป็นคนเดียวกันในสปสช. ถ้าพูดแบบชาวบ้านคือชงเอง-กินเอง สั่งเอง-ลงมือทำเอง อันปราศจากธรรมาภิบาล ไม่โปร่งใส ขัดกับหลักการทางวิชาการและจริยธรรม ดังในรูปด้านล่างนี้ กรรมการ ชื่อย่อ สว. เป็นบอร์ด สปสช ที่กำหนดนโยบายมากมาย แต่กลับมาเป็นผู้รับมอบอำนาจในอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพระดับเขต (อปสช) เขตสุขภาพที่ 13 คือกรุงเทพมหานครเสียเอง
กรรมการบางคนวนเป็นบอร์ดต่อเนื่องกันมากถึงหกวาระดังรูปด้านล่างนี้
ทำให้เกิดปัญหา ข้อมูลของ TDRI ในภาพรวมมีสถิติพบว่า 87% ของบอร์ดสปสช. เป็นไปตามเกณฑ์ (บอร์ดกรรมการซองกฐินผู้แทนต่างๆ ที่ไม่รู้เรื่อง มีจำนวนสูงมาก) แต่สลับเปลี่ยนบอร์ดโดยไม่มีช่องเว้นสูงถึงร้อยละ 13 และผู้ดำเนินนโยบายไม่ควรมาเป็นผู้ตรวจสอบเสียเอง มีการกีดกันและจำกัดการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียรายใหม่ (คือโรงพยาบาล ผู้ให้การบริบาลสุขภาพ) ไม่มีโอกาสเข้ามากำหนดนโยบายเลย
เรื่องที่ NGO วนเวียนมีผลประโยชน์ทับซ้อนในบอร์ดต่าง ๆ ของสปสช และหน่วยงานตระกูล ส นั้นมีมานานประมาณ 20 ปี และผู้เขียนได้ศึกษาเรื่องนี้ไว้อย่างต่อเนื่องมายาวนานกว่าสิบปี ขอให้อ่านได้จากบทความเหล่านี้
- ตระกูล ส คือใคร? https://mgronline.com/daily/detail/9590000072352
- องค์การอิสระและองค์การเอกชนในเครือข่ายตระกูล ส : การไขว้ตำแหน่งและการขัดกันแห่งผลประโยชน์ https://mgronline.com/daily/detail/9580000118009
- นายหน้าค้าความจนและความตาย : ผลักดันกฎหมาย ร่างกฎหมาย ใช้อำนาจรัฐ มีผลประโยชน์ทับซ้อน เพื่อประชาชน? https://mgronline.com/daily/detail/9600000006118
- ทวงลาภมิควรได้จาก สปสช. และNGO ตระกูล ส เพื่อมารักษาชีวิตประชาชนผู้ใช้สิทธิบัตรทอง
https://mgronline.com/daily/detail/9610000041363
- ทำไม NGO สายตระกูล ส ถึงต่อต้านการแก้ไขกฎหมายบัตรทอง? https://mgronline.com/daily/detail/9600000078146
- ฤาสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขาตระกูล ส จะล่มสลายเหมือน Al Capone เพราะการหนีภาษี
https://mgronline.com/daily/detail/9590000007274
ทั้งตัวละครและวิธีการยังคงใช้วิธีการเดิมๆ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร แม้จะมีการใช้มาตรา 44 ในสมัยคสช ปลดเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นายแพทย์วินัย สวัสดิวร ออกจากตำแหน่งไปแล้ว แต่ยังไม่ได้มีการแก้ไขพรบ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ใช้มาเนิ่นนานและยังคงมีปัญหาในเชิงระบบและโครงสร้างอยู่
ดังนั้นบทความนี้จึงเป็นการอัพเดตสิ่งที่ผู้เขียนได้ศึกษาไว้มายาวนานต่อเนื่องนับสิบปี และขยายความให้รายละเอียดที่สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยมิได้เปิดเผย เพราะปัญหาการวนเวียนในตำแหน่ง มีผลประโยชน์ทับซ้อน ทำให้การบริหารงานของ สปสช. ล้มเหลว หลอกลวง ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของการรักษาพยาบาลประชาชนผู้ใช้บัตรทอง สร้างภาระทางการคลังของประเทศ และสปสช. สร้างความเสียหายแก่รัฐ (โรงพยาบาลของรัฐ) เบี้ยวหนี้ชักดาบ โรงพยาบาลเอกชน โดยจับประชาชนเป็นตัวประกัน เป็นประเด็นเพื่อประโยชน์สาธารณะที่จำเป็นต้องเปิดเผย ให้ตรวจสอบ เพื่อให้เกิดการแก้ไขพัฒนา เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติและชีวิตของประชาชน
ลองมาพิจารณาการวนเวียนเวียนเทียนอยู่ในตำแหน่งบอร์ด สปสช. สองบอร์ดสำคัญ คือบอร์ด คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ได้รับเบี้ยประชุมครั้งละ 18,000 บาทต่อคนต่อครั้ง และบอร์ดควบคุมมาตรฐานการรักษา อันเป็นสองบอร์ดที่สำคัญสุด ดังตารางด้านล่างนี้ จะเห็นได้ว่ากรรมการบอร์ด สปสช. สาย NGO ตระกูล ส หน้าเดิม ๆ วนเวียนอยู่ในบอร์ดสปสช. ไม่ไปผุดที่อื่น ผุดวนเวียนในอ่าง สปสช. เดิมมานับยี่สิบปี
ที่น่าสนใจคือมีความเชี่ยวชาญเก่งทุกทาง เป็นได้ทุกอย่าง ยกตัวอย่างเช่น นางยุพดี ศิริสินสุข ในวาระหนึ่งและสอง เป็นบอร์ดหลักประกันในฐานะผู้แทนองค์กรเอกชนด้านเกษตรกร พอวาระสาม นางยุพดี เป็นบอร์ดควบคุมคุณภาพในฐานะผู้แทนองค์กรเอกชนด้านผู้ติดเชื้อ เอชไอวี พอวาระสี่ นางยุพดี ขยับมาเป็นบอร์ดหลักประกันในฐานะผู้แทนองค์กรเอกชนด้านผู้ติดเชื้อ และในปัจจุบันนางยุพดี ไม่ได้เป็นบอร์ดสปสช. แล้วมาเป็นผู้บริหารสปสช. แทนในตำแหน่ง รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งได้รับเงินเดือนสูงมาก (เลขาธิการสปสช ได้รับเงินเดือนสามแสนบาทต่อเดือน)
การเป็นกรรมการหรือบอร์ดต่างๆ ในสปสช. นั้น กรรมการสาย NGO ได้รับเงินเข้ามูลนิธิ หรือรับเงินจากสปสช. ไปทำงานเอง ทั้งๆ ที่เป็นผู้มีอำนาจในการอนุมัติเงิน แต่รับมอบอำนาจและเงินมาทำงาน ทำให้เกิดปัญหา principal-agent problem ทางวิชาการ ดังตัวอย่างนี้
อันเป็นสิ่งที่ไม่สง่างาม ขัดกับ พรบ. ปปช. มาตรา 100 และ 103
ห้ามการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและส่วนรวม: มาตรานี้มีเจตนาเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริต โดยมีหลักการสำคัญคือ
ห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐ: ที่เป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาของหน่วยงานรัฐ
ห้ามรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด: จากบุคคลภายนอก นอกเหนือจากทรัพย์สินหรือประโยชน์ที่ควรได้ตามกฎหมาย
ข้อยกเว้น: การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยา ตามหลักเกณฑ์และจำนวนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนดไว้เท่านั้น
เรามาลองพิจารณาสาเหตุ พบว่า การวนเวียนเวียนเทียนตำแหน่ง และการขัดกันแห่งผลประโยชน์ในบอร์ด สปสช นั้นเกิดจากอะไร คำตอบคือ กติกาในการได้มา ที่ต้องลงทะเบียนผู้แทนองค์กรเอกชนด้านต่างๆ ที่วนเวียนเกาหลังกันเอง ใช้ที่อยู่ซ้ำ และวนเลือกกันเอง อันน่าจะเป็นต้นแบบของการเลือกตั้งแบบฮั้ว ในการเลือกตั้ง สว. ที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ ตัวอย่างดังตารางด้านล่างนี้ ในอดีตเคยมีการ block vote แบบน่าเกลียดมาก แต่ก็ไม่มีการดำเนินคดีเอาผิดแต่อย่างใด โปรดอ่านได้จาก ขอเรียกร้องให้ รมว.สาธารณสุขตรวจสอบด่วน! เกี่ยวกับกระบวนการสรรหากรรมการบอร์ด สปสช. และกรรมการควบคุม https://mgronline.com/daily/detail/9580000126405 เขียนโดย พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ กรรมาธิการสาธารณสุข สภานิติบัญญัติแห่งชาติ กรรมการแพทยสภา
หากจะแก้ไขปัญหา สปสช. ที่บริหารการเงินสุขภาพมากกว่าสองแสนล้านบาทต่อปี อันชักดาบเบี้ยวหนี้โรงพยาบาล สร้างความเสียหายกับประเทศชาติและประชาชนแล้วไซร้ ต้องแก้ไขปัญหาการวนเวียนในตำแหน่งบอร์ดสปสช. และผลประโยชน์ทับซ้อนเหล่านี้ให้ได้เสียก่อน
NGO ขี้ฟ้องเหล่านี้ เก่งตรวจสอบคนอื่น แต่ไม่เคยตรวจสอบตนเองบ้างเลยหรือ? เก่งจริงต้องตรวจสอบตัวเอง และฟ้องตัวเองด้วย บ้านเมืองจึงจะพัฒนาเจริญก้าวหน้าได้


