นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
เสียงลมแรงที่พัดกิ่งสนจนไหวลู่ ยิ่งทำให้เสียงตะโกนนั้นก้องกังวานไกลออกไปอีก ใบสนหล่นเกลื่อนลงมาเต็มพื้นดินและบนใบหน้าของพระทากูอันที่แหงนขึ้นไปมองทาเกโซซึ่งถูกแขวนห้อยเหมือนตุ๊กตาฟางลงมาจากกิ่งสนสูงลิ่ว
“ฮะ ฮะ ฮะ ทาเกโซ ยังฤทธิ์มากอยู่นะเจ้า”
พระทากูอันก้าวใกล้เข้าไปใต้ร่มไม้ใหญ่ที่เป็นต้นเสียงตะโกนด่าทอก้องกังวาน
“ฟังดูมีฤทธิ์เดชก็จริง แต่อาตมาเกรงว่ามันจะเป็นความบ้าคลั่งของคนกลัวความตาย ที่กำลังคืบใกล้เข้ามามากกว่าละมัง
ว่าพลางเดินเข้าไปหยุดตรงที่เหมาะแล้วแหงนมองขึ้นไป
“หยุดเดี๋ยวนี้”
ทาเกโซเกรี้ยวกราดลงมาด้วยเสียงกร้าวทรงพลัง
“ถ้าข้ากลัวตาย ทำไมข้าจะยอมให้เจ้าจับมัดแต่โดยดี ฮะ”
“ไม่เห็นต้องถาม ที่ยอมก็เพราะอาตมาแข็งแรง และเจ้าอ่อนแอยังไงเล่า”
“ไอ้หลวงพี่ อย่ามาทำเป็นพูดดี”
“อ้อ อาตมาพูดไม่ดีไม่ถูกใจรึ ถ้าอย่างนั้นพูดใหม่ก็ได้...เพราะอาตมาฉลาดและเจ้าโง่ เป็นยังไงพอใจไหม”
“เออ...เป็นทีของท่านแล้วนี่ อยากพูดอะไรก็พูดไปเลย”
“นี่แน่ะ เจ้าลิงแสมบนต้นไม้ เจ้าจะดิ้นไปทุรนทุรายไปก็หาประโยชน์อันใดไม่ ต้นไม้ใหญ่แข็งแรงก็ไม่สะดุ้งสะเทือน มีแต่เข้านั่นแหละที่จะต้องอ่อนแรง เป็นที่น่าเวทนา”
“ฟังข้า ทากูอัน”
“ว่ามา”
“ขอให้รู้ไว้ว่าตอนนั้น ถ้าทาเกโซคนนี้คิดสู้ละก็ คนที่เหมือนแตงกวาแห้งตายคาเถาอย่างเจ้า ข้าเหยียบเบา ๆ ก็แหลกจมดินไป ไม่ต้องเสียงแรงมากมาย”
“มาพูดอะไรเอาป่านนี้ สายเสียแล้วละเจ้า”
“ใช่...ใช่แล้วไอ้หลวงพี่เจ้าเล่ห์ พูดจาโน้มน้าวใจข้าด้วยการเจรจาพาที วางท่าราวกับเจ้าอาวาสวัดใหญ่โต หลอกข้าเสียจนเชื่อสนิท ว่าถึงจะเอาเชือกมามัดแต่ก็คงจะไม่ทำให้ข้าต้องมีชีวิตอยู่อย่างอับอายเช่นนี้ ข้าหลงเชื่อไอ้หลวงพี่แสนกล นึกว่าจะดีกว่าคนอื่น ๆ คิดแล้วแค้นใจนัก”
“แล้วยังไง”
พระทากูอันทำไม่รู้ไม่ชี้
“ข้าเชื่อเจ้า...ทากูอัน แต่ทำไมถึงได้ทำกับข้าอย่างนี้ ทำไมถึงไม่ตัดหัวข้าให้ตาย ๆ ไปเสีย...ข้าตัดใจแล้วว่าไหน ๆ ก็เลือกที่จะตายอยู่ตรงนี้ ก็ขอตายด้วยน้ำมือของหลวงพี่ที่เป็นทั้งพระ ทั้งยังรู้ซึ้งถึงจิตวิญญาณแห่งซามูไร ดีกว่าจะตายด้วยน้ำมือของพวกชาวบ้านกระหายเลือด หรือพวกศัตรู ข้าคิดผิดที่ยอมมอบตัวให้แก่พระเจ้าเล่ห์”
“ทาเกโซ ที่เจ้าว่าคิดผิดน่ะเรื่องนี้เรื่องเดียวรึ เคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าเจ้าทำผิดมาตลอดชีวิต อยู่บนนั้นดีแล้ว ขอให้เข้าทบทวนอดีตที่ผ่านมาสักนิดหนึ่งว่า ได้ทำอะไรผิดพลาดมาบ้าง”
“หยุดพล่ามได้แล้ว ข้าหนวกหู ข้าไม่ได้ทำอะไรที่ต้องอับอายฟ้าดิน ข้าไม่รู้ว่าแม่ของมาตาฮาจิมาเคียดแค้นตั้งตัวเป็นคู่อาฆาตกับข้าและสาปแช่งข้าต่าง ๆ นา ๆ ทำไม ทั้ง ๆ ที่ข้าอุตส่าห์เดินทางทุรกันดารบุกฝ่าด่านของแว่นแคว้นเขากลับมาหมู่บ้าน ด้วยสำนึกถึงความรับผิดชอบที่จะต้องมาแจ้งข่าวมาตาฮาจิเพื่อนรัก ให้แม่ของมันรู้แล้วจะได้ดีใจว่าลูกชายแสนรักยังมีชีวิตอยู่---ข้าทำผิดวิถีแห่งซามูไรอย่างนั้นรึ”
“นั่นไม่ใช่ปัญหา วิธีคิด รากฐานความคิดที่ฝังอยู่ในสันดานของเจ้าต่างหากที่ผิด ที่ผ่านมาเจ้าทำอะไรด้วยความหลงผิดคิดเอาเองว่าสิ่งที่ตนทำนั้นเป็นความกล้าหาญเป็นคุณธรรม สักสองอย่างสามอย่าง แล้วก็อวดตัวภาคภูมิว่านั่นคือวิถีแห่งซามูไร อาตมาขอบอกเจ้าไว้ ณ ที่นี้เลยว่า ยิ่งแสดงฤทธิ์เดชโดยปล่อยตัวให้เป็นไปตามสันดานเช่นนั้นเพียงใด ตัวตนของเจ้าก็มีแต่จะเสื่อมลงไปเพียงนั้น แล้วยังทำความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่นอย่างไม่หยุดหย่อนด้วย ในที่สุดก็ต้องตกอยู่สภาพไม่ผิดอะไรกับมัดตัวเองด้วยเชือกของตัวเองอย่างนี้ ทาเกโซ...เจ้าพอจะคิดได้บ้างหรือยัง”
“จำที่เจ้าทำกับข้าไว้ให้ดีเถิด ไอ้หลวงพี่เจ้าเล่ห์”
“เจ้าแขวนอยู่บนนั้นจนแห้งเหมือนปลาแห้งน่ะดีแล้ว จะได้มีเวลามองลงมาดูโลกมนุษย์จากที่สูง มองไปทั้งสิบทิศจะได้รู้ว่าโลกเรานี้กว้างขวางแค่ไหน ดูแล้วทบทวนความคิดของตัวเองเสียใหม่นะเจ้า เวลาตายไปและได้พบกับบรรพบุรุษในอีกโลกหนึ่ง ก็ลองบอกท่านซิว่าชายที่ชื่อทากูอันบอกเจ้าเช่นนี้ อาตมาเชื่อว่าทุกท่านจะต้องดีใจว่าเจ้าได้รับคำสั่งสอนมาดีแน่นอน”
ทันใดนั้น โอซือที่ยืนนิ่งเหมือนหลักหินอยู่ข้างหลังก็วิ่งเข้ามาที่พระทากูอัน แล้วร้องอุทธรณ์เสียงแหลม
“พอทีเถิด พอทีหลวงพี่ทากูอัน ฉันทนยืนฟังมาตั้งแต่ต้นจนทนไม่ไหวแล้ว ถึงทาเกโซจะร้ายกาจแค่ไหน แต่การทำคนไม่มีทางสู้อย่างนี้มันทารุณเกินไป หลวงพี่เป็นพระแท้ ๆ ทำไมจึงทำได้เช่นนี้ ทาเกโซบอกไม่ใช่หรือว่าเขาเชื่อหลวงพี่ ถึงได้ยอมให้จับมัดโดยไม่ขัดขืน แล้วยังมาทำอย่างนี้กับเขาอีก...พอได้แล้วหลวงพี่”
“อ้าวอาตมาคิดว่า เราเป็นพวกเดียวกันเสียอีก”
“คนอะไรไร้ความปราณี ถ้าหลวงพี่ยังยืนกรานว่าจะทำอย่างนี้กับทาเกโซอีก ฉันก็เห็นจะรับไม่ได้ ฉันต้องเกลียดหลวงพี่ไปจนวันตาย ถ้าจะจำเป็นต้องฆ่าก็ฆ่าเขาเสียเลย ทาเกโซก็ปลงตกแล้ว ไม่ใช่มาทำกับเขาอย่างนี้”
โอซือ ทำหน้ายักษ์เข้าใส่ ราวกับคนละคนกับโอซือที่พระทากูอันรู้จัก
7
สาวน้อยอารมณ์เดือดรุนแรง หน้าซีดขาว โกรธขึ้งและนองน้ำตา พุ่งตัวเข้าใส่เพื่อขัดขืนแต่ในที่สุดก็ซบกับอกของทากูอัน
“เงียบ”
พระทากูอันดุ แล้วทำหน้าดุดูน่ากลัวอย่างที่โอซือไม่เคยเห็นมาก่อน
“ไม่ใช่เรื่องของผู้หญิง เงียบเลย ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น”
“ไม่เอา...ไม่เอา”
โอซือสั่นหัวแรง ๆ ดูเหมือนไม่ใช่โอซือคนเดิม
“เรื่องนี้ ฉันมีสิทธิพูด เพราะฉันก็ไปพักแรมคอยทาเกโซอยู่บนภูเขาหับหลวงพี่ถึงสามวันสามคืนเหมือนกัน”
“โอซืออย่ายุ่ง ไม่ว่าใครจะพูดยังไง คนที่จะจัดการกับทาเกโซได้คืออาตมา...ทากูอันคนเดียวเท่านั้น”
“ก็ฉันบอกแล้วยังไงละว่า ถ้าสมควรฆ่าก็ฆ่าเสีย ทำไมต้องมาทรมานให้เป็นตายเท่ากัน ทำไมถึงต้องประจานกันให้เป็นที่น่าเวทนาต่อสายตาผู้คน หรือว่าหลวงพี่จะสนุกกับการทำได้อะไรที่ไร้มนุษยธรรมอย่างนี้”
“จะเรียกว่านั่นเป็นโรคประจำตัวอย่างหนึ่งของอาตมาก็คงได้”
“โหดร้ายมาก”
“กลับไปได้แล้วโอซือ”
“ฉันไม่กลับ”
“ดื้ออีกแล้ว สาวน้อยคนนี้”
โอซือสะบัดด้วยกำลังแรงออกจากการเกาะกุมแล้วเซไปทรุดตัวอยู่ที่โคนต้นสน แล้วแนบหน้ากอดลำต้นร้องไห้เสียงดังอย่างสุดกลั้น
โอซือไม่คิดเลยว่าหลวงพี่ทากูอันของนางจะพลอยเป็นคนใจโหดร้ายไปด้วยอย่างนี้ คิดว่าถึงพวกชาวบ้านจะมากลุ้มรุมจับทาเทโซมัดทรมานไว้กับต้นใน และสุดท้ายหลวงพี่ก็คงจะปราณีช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา แต่เปล่าเลย...ที่แท้หลวงพี่กลับเป็นคนจิตวิปราศที่มีความสุขกับการได้เห็นคนถูกทรมานไปอย่างไม่น่าเชื่อ คิดแล้วโอซืออดขนลุกด้วยความขยะแขยงไม่ได้
เมื่อคนที่เธอเชื่อถืออย่างหมดใจอย่างหลวงพี่ทากูอันกลายเป็นคนน่ารังเกียจไปอีกคนเช่นนี้ ในโลกนี้ก็ไม่มีอะไรดีอีกแล้ว ทุกอย่างเป็นที่น่ารังเกียจไปหมด เป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือไปหมดสำหรับโอซือ...นางคำนึงพลางร้องได้ด้วยความสิ้นหวังในชีวิต
ทันใดนั้นเอง ใบหน้านองน้ำตาที่แนบอยู่กับลำต้นของต้นไม้ใหญ่ก็รู้สึกร้อนระอุขึ้นมาอย่างน่าพิศวง รู้สึกเหมือนกระแสเลือดอันร้อนแรงของทาเกโซ...ทาเกโซที่ถูกมัดห้อยอยู่สูงขึ้นไปบนต้นสนพันปี...ทาเกโซผู้กู่ตะโกนด้วยเสียงทรงพลังขึ้นไปบนฟ้า ไหวเวียนเป็นวงจรไปทั่วลำต้นใหญ่แข็งแรงขนาดคนสิบโอบของสนต้นนี้
สมกับเป็นเชื้อสายของตระกูลนักรบ จิตใจใสสะอาดผุดผ่อง ช่างเป็นคนที่ยึดถือในคำมั่นสัญญาและหน้าที่รับผิดชอบอย่างมั่นคงอะไรเช่นนั้น สังเกตจากท่าทีตอนที่ถูกหลวงพี่ทากูอันจับมัดและคำพูดเปิดใจเมื่อครู่นี้แล้ว ทำให้รู้ได้ว่าในอีกโฉมหน้าหนึ่งนั้นชายคนนี้มีจิตใจที่อ่อนไหว มีจิตเมตตาและมีความเป็นคนใจอ่อนเจ้าน้ำตาแฝงอยู่ด้วย
โอซือสำนึกได้แล้วว่า เท่าที่ผ่านมา คำเล่าลือเชิงร้ายจากปากชาวบ้าน ทำให้นางมองชายที่ชื่อทาเกโซผิดไปมาก---ชายคนนี้มีตรงไหนหรือที่ควรแก่การเกลียดชังราวกับปีศาจร้าย มีตรงไหนหรือที่น่ากลัวราวกับสัตว์ร้ายที่คอยจ้องตะครุบนางกินเป็นเหยื่อ มีตรงไหนหรือที่บ่งชี้ว่าชายคนนี้มีนิสัยร้ายกาจเช่นนั้น
“... ... ...”
โอซือกอดต้นสนร้องไห้สะอึกสะอื้นจนสะเทือนไปทั้งตัว แนบแก้มใช้เปลือกไม้เป็นที่ซับน้ำตาอยู่อย่างนั้น
เสียงฟ้าร้องครืนคลานมาแต่ไกล
ฝนเม็ดใหญ่ตกลงมาที่คอเสื้อของโอซือ และบนหัวของพระทากูอัน หลวงพี่ยกมือขึ้นลูบหัวพลางบอกว่า
“ฝนลงเม็ดแล้ว...โอซือ””
“... ... ...”
“โอซือเด็กขี้อ้อน เจ้าเอาแต่ร้องไห้อย่างนี้ เห็นไหมล่ะฟ้าทนก็เลยไม่ได้ก็พลอยหลั่งน้ำตาตามไปด้วย ลมก็พัดแรงอย่างนี้เดี๋ยวคงต้องตกหนักแน่ หลบฝนกันก่อนเปียกดีกว่า อย่าไปสนใจกับคนที่กำลังจะตายเลย รีบไปกันเถอะ”
พระทากูอันบอกพลางดึงจีวรขึ้นคลุมหัว แล้ววิ่งหนีฝนหายเข้าไปในโบสถ์
ฝนลงเม็ดหนักขึ้น จนละอองฝนกระจายขาวอยู่ในความมืด
โอซือยังนิ่งอยู่ในท่าเดิม ไม่ใยว่าหยาดฝนจะตกต้องร่าง
ทาเกโซที่แขวนอยู่กับกิ่งไม้สูงขึ้นไปก็เช่นกัน
8
โอซือไม่มีใจจะละออกไปจากตรงนั้น
หยาดฝนตกลอดคอเสื้อลงไปเปียกถึงชั้นใน แต่นั่นเป็นเรื่องเล็กน้อยมากสำหรับโอซือเมื่อคิดถึงความทุกข์ของทาเกโซ และ ณ เวลานี้โอซืออยากร่วมทุกข์ทรมานกับทาเกโซอย่างเดียว ไม่มาพะวงคิดว่ามีเหตุผลอื่นบ้างไหมที่นอกเหนือไปจากความประทับใจกับภาพลักษณ์ความเป็นลูกผู้ชายเต็มตัวของทาเกโซในสายตาของนาง โอซือไม่อยากให้ผู้ชายคนนี้ถูกฆ่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
“น่าสงสารเหลือเกิน”
โอซือเดินไปรอบ ๆ ต้นสนด้วยฝีเท้าที่ไม่มั่นคงนัก มองขึ้นไปก็เห็นเพียงเงาลาง ๆ ของคนบนนั้นเพราะแรงลมและละอองฝนที่กระจายตัวบดบังให้พร่ามัว
“---ทาเกโซ !
โอซือเผลอตัวตะโกนเรียกเสียงก้องแต่ไม่มีเสียงตอบ นางท้อใจเมื่อคิดว่าทาเกโซคงมองตนเป็นคนหนึ่งในตระกูลฮนอิเด็น เป็นคนหนึ่งในหมู่บ้านที่โหดร้ายอย่างเลือดเย็นกับเขา
“ถ้าโดนฝนหนักอย่างนี้คงต้องตายไม่ทันข้ามคืน อนิจจา...โลกเราก็มีคนอยู่มากมาย จะมีใครบ้างไหมที่มีเมตตาช่วย ทาเกโซคนนี้ให้รอดชีวิตอยู่ได้
โอซือนึกอะไรขึ้นมาได้อึดใจนั้น นางออกวิ่งฝ่าฝนไปอย่างทางตัวโบสถ์อย่างไม่คิดชีวิต ลมพัดฉิวตามหลังนางไป
โรงครัวด้านหลังวัดและห้องเจ้าอาวาสปิดไฟเงียบหมดแล้ว น้ำฝนท่วมรางน้ำเทซู่ซ่าลงดินเหมือนน้ำตก
“หลวงพี่ หลวงพี่ทากูอัน”
โอซือตรงไปทุบประตูห้องซึ่งทางวัดจัดไว้ให้พระทากูอันจำวัดเป็นส่วนตัว
“ใครรึ”
“ฉันเอง โอซือ”
“อ้าว ยังไม่กลับเข้าห้องอีกรึ”
พระทากูอันเปิดประตูออกมาดูทันที และพอเห็นฝนตกหนักมากก็รีบเรียกโอซือให้หลบเข้าไปในห้อง”
“เข้ามาเร็ว เดี๋ยวฝนจะสาดเข้ามาในห้อง
“ไม่เจ้าค่ะ ฉันมาขอร้องหลวงพี่ หลวงพี่เจ้าขาช่วยคน ๆ นั้นลงมาจากต้นไม้ทีเถิด”
“ใคร”
“ทาเกโซ”
“ไม่เข้าเรื่อง”
“ฉันจะไม่ลืมบุญคุณ”
โอซือคุกเข่าลงกับพื้นดินกลางสายฝน พนมมือแหงนหน้าขึ้นไปที่พระทากุอัน
“หลวงพี่เจ้าขา ฉันขอร้องถึงเพียงนี้แล้ว จะให้ฉันทำยังไงก็ยอม ขออย่างเดียว ช่วยเขาให้ลงมาทีเถิด”
เสียงฝนกลบเสียงร้องไห้คร่ำครวญของโอซือ น้ำฝนที่ท่วมล้นรางน้ำเทลงมาบนร่างของโอซือที่นั่งพนมมืออยู่ ดูเหมือน นักปฏิบัติธรรมที่น้ำตก
“กรุณาเถิดหลวงพี่ทากุอัน ฉันขอความกรุณา จะให้ฉันทำอะไรถ้าทำได้ฉันจะทำให้ทุกอย่าง ขออย่างเดียว ช่วยเขาทีเถิด”
โอซือร้องไห้พลางอ้อนวอนขอความกรุณาไม่ขาดปากจนน้ำฝนเข้าปากแทบจะสำลัก
พระทากุอันยืนนิ่งเหมือนพระอิฐพระปูน หลับตาถอนใจใหญ่ก่อนลืมตาขึ้นบอกโอซือว่า
“กลับไปนอนเร็ว เจ้าร่างกายไม่ค่อยจะแข็งแรง ไม่รู้หรือว่าน้ำฝนเป็นพิษต่อร่างกาย”
“ถ้าว่า...”
โอซือเข้าไปจับบานประตูเอาไว้
“อาตมาจะจำวัดละ เจ้าก็กลับไปนอนได้แล้ว”
ว่าแล้วก็ปิดประตูห้องเสียสนิท
แต่โอซือก็ยังไม่ยอมแพ้ นางมุดใต้ถุนเข้าไปถึงตรงที่กะว่าน่าจะเป็นที่นอนของพระทากูอัน ก็ส่งเสียงอ้อนวอนขึ้นอีกว่า
“ได้โปรดเถิดหลวงพี่ ชาตินี้ฉันจะไม่ขออะไรอีก...หลวงพี่ได้ยินไหมเจ้าคะ หลวงพี่ทากูอันทำไมใจร้าย ไร้มนุษยธรรมอย่างนี้ เลือดในตัวของหลวงพี่เป็นเลือดปีศาจหรือยังไง ถึงได้โหดเหี้ยมเกินมนุษย์”
พระทากูอันอดทนนิ่งอยู่นาน เมื่อโอซือไม่ยอมหยุดและตนก็นอนไม่หลับ จนในที่สุดพระทากูอันก็สิ้นความอดทน ผลุดลุกขึ้นจากที่นอน กู่ตะโกนเอะอะเสียงดังลั่นได้ยินไปทั่วทั้งวัด
“เฮ้ย ใครอยู่แถวนั้นบ้าง ช่วยด้วย หัวขโมยมุดเข้ามาใต้ถุนห้องอาตมา มาช่วยกันจับหน่อย ช่วยด้วย”
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
เสียงลมแรงที่พัดกิ่งสนจนไหวลู่ ยิ่งทำให้เสียงตะโกนนั้นก้องกังวานไกลออกไปอีก ใบสนหล่นเกลื่อนลงมาเต็มพื้นดินและบนใบหน้าของพระทากูอันที่แหงนขึ้นไปมองทาเกโซซึ่งถูกแขวนห้อยเหมือนตุ๊กตาฟางลงมาจากกิ่งสนสูงลิ่ว
“ฮะ ฮะ ฮะ ทาเกโซ ยังฤทธิ์มากอยู่นะเจ้า”
พระทากูอันก้าวใกล้เข้าไปใต้ร่มไม้ใหญ่ที่เป็นต้นเสียงตะโกนด่าทอก้องกังวาน
“ฟังดูมีฤทธิ์เดชก็จริง แต่อาตมาเกรงว่ามันจะเป็นความบ้าคลั่งของคนกลัวความตาย ที่กำลังคืบใกล้เข้ามามากกว่าละมัง
ว่าพลางเดินเข้าไปหยุดตรงที่เหมาะแล้วแหงนมองขึ้นไป
“หยุดเดี๋ยวนี้”
ทาเกโซเกรี้ยวกราดลงมาด้วยเสียงกร้าวทรงพลัง
“ถ้าข้ากลัวตาย ทำไมข้าจะยอมให้เจ้าจับมัดแต่โดยดี ฮะ”
“ไม่เห็นต้องถาม ที่ยอมก็เพราะอาตมาแข็งแรง และเจ้าอ่อนแอยังไงเล่า”
“ไอ้หลวงพี่ อย่ามาทำเป็นพูดดี”
“อ้อ อาตมาพูดไม่ดีไม่ถูกใจรึ ถ้าอย่างนั้นพูดใหม่ก็ได้...เพราะอาตมาฉลาดและเจ้าโง่ เป็นยังไงพอใจไหม”
“เออ...เป็นทีของท่านแล้วนี่ อยากพูดอะไรก็พูดไปเลย”
“นี่แน่ะ เจ้าลิงแสมบนต้นไม้ เจ้าจะดิ้นไปทุรนทุรายไปก็หาประโยชน์อันใดไม่ ต้นไม้ใหญ่แข็งแรงก็ไม่สะดุ้งสะเทือน มีแต่เข้านั่นแหละที่จะต้องอ่อนแรง เป็นที่น่าเวทนา”
“ฟังข้า ทากูอัน”
“ว่ามา”
“ขอให้รู้ไว้ว่าตอนนั้น ถ้าทาเกโซคนนี้คิดสู้ละก็ คนที่เหมือนแตงกวาแห้งตายคาเถาอย่างเจ้า ข้าเหยียบเบา ๆ ก็แหลกจมดินไป ไม่ต้องเสียงแรงมากมาย”
“มาพูดอะไรเอาป่านนี้ สายเสียแล้วละเจ้า”
“ใช่...ใช่แล้วไอ้หลวงพี่เจ้าเล่ห์ พูดจาโน้มน้าวใจข้าด้วยการเจรจาพาที วางท่าราวกับเจ้าอาวาสวัดใหญ่โต หลอกข้าเสียจนเชื่อสนิท ว่าถึงจะเอาเชือกมามัดแต่ก็คงจะไม่ทำให้ข้าต้องมีชีวิตอยู่อย่างอับอายเช่นนี้ ข้าหลงเชื่อไอ้หลวงพี่แสนกล นึกว่าจะดีกว่าคนอื่น ๆ คิดแล้วแค้นใจนัก”
“แล้วยังไง”
พระทากูอันทำไม่รู้ไม่ชี้
“ข้าเชื่อเจ้า...ทากูอัน แต่ทำไมถึงได้ทำกับข้าอย่างนี้ ทำไมถึงไม่ตัดหัวข้าให้ตาย ๆ ไปเสีย...ข้าตัดใจแล้วว่าไหน ๆ ก็เลือกที่จะตายอยู่ตรงนี้ ก็ขอตายด้วยน้ำมือของหลวงพี่ที่เป็นทั้งพระ ทั้งยังรู้ซึ้งถึงจิตวิญญาณแห่งซามูไร ดีกว่าจะตายด้วยน้ำมือของพวกชาวบ้านกระหายเลือด หรือพวกศัตรู ข้าคิดผิดที่ยอมมอบตัวให้แก่พระเจ้าเล่ห์”
“ทาเกโซ ที่เจ้าว่าคิดผิดน่ะเรื่องนี้เรื่องเดียวรึ เคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าเจ้าทำผิดมาตลอดชีวิต อยู่บนนั้นดีแล้ว ขอให้เข้าทบทวนอดีตที่ผ่านมาสักนิดหนึ่งว่า ได้ทำอะไรผิดพลาดมาบ้าง”
“หยุดพล่ามได้แล้ว ข้าหนวกหู ข้าไม่ได้ทำอะไรที่ต้องอับอายฟ้าดิน ข้าไม่รู้ว่าแม่ของมาตาฮาจิมาเคียดแค้นตั้งตัวเป็นคู่อาฆาตกับข้าและสาปแช่งข้าต่าง ๆ นา ๆ ทำไม ทั้ง ๆ ที่ข้าอุตส่าห์เดินทางทุรกันดารบุกฝ่าด่านของแว่นแคว้นเขากลับมาหมู่บ้าน ด้วยสำนึกถึงความรับผิดชอบที่จะต้องมาแจ้งข่าวมาตาฮาจิเพื่อนรัก ให้แม่ของมันรู้แล้วจะได้ดีใจว่าลูกชายแสนรักยังมีชีวิตอยู่---ข้าทำผิดวิถีแห่งซามูไรอย่างนั้นรึ”
“นั่นไม่ใช่ปัญหา วิธีคิด รากฐานความคิดที่ฝังอยู่ในสันดานของเจ้าต่างหากที่ผิด ที่ผ่านมาเจ้าทำอะไรด้วยความหลงผิดคิดเอาเองว่าสิ่งที่ตนทำนั้นเป็นความกล้าหาญเป็นคุณธรรม สักสองอย่างสามอย่าง แล้วก็อวดตัวภาคภูมิว่านั่นคือวิถีแห่งซามูไร อาตมาขอบอกเจ้าไว้ ณ ที่นี้เลยว่า ยิ่งแสดงฤทธิ์เดชโดยปล่อยตัวให้เป็นไปตามสันดานเช่นนั้นเพียงใด ตัวตนของเจ้าก็มีแต่จะเสื่อมลงไปเพียงนั้น แล้วยังทำความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่นอย่างไม่หยุดหย่อนด้วย ในที่สุดก็ต้องตกอยู่สภาพไม่ผิดอะไรกับมัดตัวเองด้วยเชือกของตัวเองอย่างนี้ ทาเกโซ...เจ้าพอจะคิดได้บ้างหรือยัง”
“จำที่เจ้าทำกับข้าไว้ให้ดีเถิด ไอ้หลวงพี่เจ้าเล่ห์”
“เจ้าแขวนอยู่บนนั้นจนแห้งเหมือนปลาแห้งน่ะดีแล้ว จะได้มีเวลามองลงมาดูโลกมนุษย์จากที่สูง มองไปทั้งสิบทิศจะได้รู้ว่าโลกเรานี้กว้างขวางแค่ไหน ดูแล้วทบทวนความคิดของตัวเองเสียใหม่นะเจ้า เวลาตายไปและได้พบกับบรรพบุรุษในอีกโลกหนึ่ง ก็ลองบอกท่านซิว่าชายที่ชื่อทากูอันบอกเจ้าเช่นนี้ อาตมาเชื่อว่าทุกท่านจะต้องดีใจว่าเจ้าได้รับคำสั่งสอนมาดีแน่นอน”
ทันใดนั้น โอซือที่ยืนนิ่งเหมือนหลักหินอยู่ข้างหลังก็วิ่งเข้ามาที่พระทากูอัน แล้วร้องอุทธรณ์เสียงแหลม
“พอทีเถิด พอทีหลวงพี่ทากูอัน ฉันทนยืนฟังมาตั้งแต่ต้นจนทนไม่ไหวแล้ว ถึงทาเกโซจะร้ายกาจแค่ไหน แต่การทำคนไม่มีทางสู้อย่างนี้มันทารุณเกินไป หลวงพี่เป็นพระแท้ ๆ ทำไมจึงทำได้เช่นนี้ ทาเกโซบอกไม่ใช่หรือว่าเขาเชื่อหลวงพี่ ถึงได้ยอมให้จับมัดโดยไม่ขัดขืน แล้วยังมาทำอย่างนี้กับเขาอีก...พอได้แล้วหลวงพี่”
“อ้าวอาตมาคิดว่า เราเป็นพวกเดียวกันเสียอีก”
“คนอะไรไร้ความปราณี ถ้าหลวงพี่ยังยืนกรานว่าจะทำอย่างนี้กับทาเกโซอีก ฉันก็เห็นจะรับไม่ได้ ฉันต้องเกลียดหลวงพี่ไปจนวันตาย ถ้าจะจำเป็นต้องฆ่าก็ฆ่าเขาเสียเลย ทาเกโซก็ปลงตกแล้ว ไม่ใช่มาทำกับเขาอย่างนี้”
โอซือ ทำหน้ายักษ์เข้าใส่ ราวกับคนละคนกับโอซือที่พระทากูอันรู้จัก
7
สาวน้อยอารมณ์เดือดรุนแรง หน้าซีดขาว โกรธขึ้งและนองน้ำตา พุ่งตัวเข้าใส่เพื่อขัดขืนแต่ในที่สุดก็ซบกับอกของทากูอัน
“เงียบ”
พระทากูอันดุ แล้วทำหน้าดุดูน่ากลัวอย่างที่โอซือไม่เคยเห็นมาก่อน
“ไม่ใช่เรื่องของผู้หญิง เงียบเลย ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น”
“ไม่เอา...ไม่เอา”
โอซือสั่นหัวแรง ๆ ดูเหมือนไม่ใช่โอซือคนเดิม
“เรื่องนี้ ฉันมีสิทธิพูด เพราะฉันก็ไปพักแรมคอยทาเกโซอยู่บนภูเขาหับหลวงพี่ถึงสามวันสามคืนเหมือนกัน”
“โอซืออย่ายุ่ง ไม่ว่าใครจะพูดยังไง คนที่จะจัดการกับทาเกโซได้คืออาตมา...ทากูอันคนเดียวเท่านั้น”
“ก็ฉันบอกแล้วยังไงละว่า ถ้าสมควรฆ่าก็ฆ่าเสีย ทำไมต้องมาทรมานให้เป็นตายเท่ากัน ทำไมถึงต้องประจานกันให้เป็นที่น่าเวทนาต่อสายตาผู้คน หรือว่าหลวงพี่จะสนุกกับการทำได้อะไรที่ไร้มนุษยธรรมอย่างนี้”
“จะเรียกว่านั่นเป็นโรคประจำตัวอย่างหนึ่งของอาตมาก็คงได้”
“โหดร้ายมาก”
“กลับไปได้แล้วโอซือ”
“ฉันไม่กลับ”
“ดื้ออีกแล้ว สาวน้อยคนนี้”
โอซือสะบัดด้วยกำลังแรงออกจากการเกาะกุมแล้วเซไปทรุดตัวอยู่ที่โคนต้นสน แล้วแนบหน้ากอดลำต้นร้องไห้เสียงดังอย่างสุดกลั้น
โอซือไม่คิดเลยว่าหลวงพี่ทากูอันของนางจะพลอยเป็นคนใจโหดร้ายไปด้วยอย่างนี้ คิดว่าถึงพวกชาวบ้านจะมากลุ้มรุมจับทาเทโซมัดทรมานไว้กับต้นใน และสุดท้ายหลวงพี่ก็คงจะปราณีช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา แต่เปล่าเลย...ที่แท้หลวงพี่กลับเป็นคนจิตวิปราศที่มีความสุขกับการได้เห็นคนถูกทรมานไปอย่างไม่น่าเชื่อ คิดแล้วโอซืออดขนลุกด้วยความขยะแขยงไม่ได้
เมื่อคนที่เธอเชื่อถืออย่างหมดใจอย่างหลวงพี่ทากูอันกลายเป็นคนน่ารังเกียจไปอีกคนเช่นนี้ ในโลกนี้ก็ไม่มีอะไรดีอีกแล้ว ทุกอย่างเป็นที่น่ารังเกียจไปหมด เป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือไปหมดสำหรับโอซือ...นางคำนึงพลางร้องได้ด้วยความสิ้นหวังในชีวิต
ทันใดนั้นเอง ใบหน้านองน้ำตาที่แนบอยู่กับลำต้นของต้นไม้ใหญ่ก็รู้สึกร้อนระอุขึ้นมาอย่างน่าพิศวง รู้สึกเหมือนกระแสเลือดอันร้อนแรงของทาเกโซ...ทาเกโซที่ถูกมัดห้อยอยู่สูงขึ้นไปบนต้นสนพันปี...ทาเกโซผู้กู่ตะโกนด้วยเสียงทรงพลังขึ้นไปบนฟ้า ไหวเวียนเป็นวงจรไปทั่วลำต้นใหญ่แข็งแรงขนาดคนสิบโอบของสนต้นนี้
สมกับเป็นเชื้อสายของตระกูลนักรบ จิตใจใสสะอาดผุดผ่อง ช่างเป็นคนที่ยึดถือในคำมั่นสัญญาและหน้าที่รับผิดชอบอย่างมั่นคงอะไรเช่นนั้น สังเกตจากท่าทีตอนที่ถูกหลวงพี่ทากูอันจับมัดและคำพูดเปิดใจเมื่อครู่นี้แล้ว ทำให้รู้ได้ว่าในอีกโฉมหน้าหนึ่งนั้นชายคนนี้มีจิตใจที่อ่อนไหว มีจิตเมตตาและมีความเป็นคนใจอ่อนเจ้าน้ำตาแฝงอยู่ด้วย
โอซือสำนึกได้แล้วว่า เท่าที่ผ่านมา คำเล่าลือเชิงร้ายจากปากชาวบ้าน ทำให้นางมองชายที่ชื่อทาเกโซผิดไปมาก---ชายคนนี้มีตรงไหนหรือที่ควรแก่การเกลียดชังราวกับปีศาจร้าย มีตรงไหนหรือที่น่ากลัวราวกับสัตว์ร้ายที่คอยจ้องตะครุบนางกินเป็นเหยื่อ มีตรงไหนหรือที่บ่งชี้ว่าชายคนนี้มีนิสัยร้ายกาจเช่นนั้น
“... ... ...”
โอซือกอดต้นสนร้องไห้สะอึกสะอื้นจนสะเทือนไปทั้งตัว แนบแก้มใช้เปลือกไม้เป็นที่ซับน้ำตาอยู่อย่างนั้น
เสียงฟ้าร้องครืนคลานมาแต่ไกล
ฝนเม็ดใหญ่ตกลงมาที่คอเสื้อของโอซือ และบนหัวของพระทากูอัน หลวงพี่ยกมือขึ้นลูบหัวพลางบอกว่า
“ฝนลงเม็ดแล้ว...โอซือ””
“... ... ...”
“โอซือเด็กขี้อ้อน เจ้าเอาแต่ร้องไห้อย่างนี้ เห็นไหมล่ะฟ้าทนก็เลยไม่ได้ก็พลอยหลั่งน้ำตาตามไปด้วย ลมก็พัดแรงอย่างนี้เดี๋ยวคงต้องตกหนักแน่ หลบฝนกันก่อนเปียกดีกว่า อย่าไปสนใจกับคนที่กำลังจะตายเลย รีบไปกันเถอะ”
พระทากูอันบอกพลางดึงจีวรขึ้นคลุมหัว แล้ววิ่งหนีฝนหายเข้าไปในโบสถ์
ฝนลงเม็ดหนักขึ้น จนละอองฝนกระจายขาวอยู่ในความมืด
โอซือยังนิ่งอยู่ในท่าเดิม ไม่ใยว่าหยาดฝนจะตกต้องร่าง
ทาเกโซที่แขวนอยู่กับกิ่งไม้สูงขึ้นไปก็เช่นกัน
8
โอซือไม่มีใจจะละออกไปจากตรงนั้น
หยาดฝนตกลอดคอเสื้อลงไปเปียกถึงชั้นใน แต่นั่นเป็นเรื่องเล็กน้อยมากสำหรับโอซือเมื่อคิดถึงความทุกข์ของทาเกโซ และ ณ เวลานี้โอซืออยากร่วมทุกข์ทรมานกับทาเกโซอย่างเดียว ไม่มาพะวงคิดว่ามีเหตุผลอื่นบ้างไหมที่นอกเหนือไปจากความประทับใจกับภาพลักษณ์ความเป็นลูกผู้ชายเต็มตัวของทาเกโซในสายตาของนาง โอซือไม่อยากให้ผู้ชายคนนี้ถูกฆ่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
“น่าสงสารเหลือเกิน”
โอซือเดินไปรอบ ๆ ต้นสนด้วยฝีเท้าที่ไม่มั่นคงนัก มองขึ้นไปก็เห็นเพียงเงาลาง ๆ ของคนบนนั้นเพราะแรงลมและละอองฝนที่กระจายตัวบดบังให้พร่ามัว
“---ทาเกโซ !
โอซือเผลอตัวตะโกนเรียกเสียงก้องแต่ไม่มีเสียงตอบ นางท้อใจเมื่อคิดว่าทาเกโซคงมองตนเป็นคนหนึ่งในตระกูลฮนอิเด็น เป็นคนหนึ่งในหมู่บ้านที่โหดร้ายอย่างเลือดเย็นกับเขา
“ถ้าโดนฝนหนักอย่างนี้คงต้องตายไม่ทันข้ามคืน อนิจจา...โลกเราก็มีคนอยู่มากมาย จะมีใครบ้างไหมที่มีเมตตาช่วย ทาเกโซคนนี้ให้รอดชีวิตอยู่ได้
โอซือนึกอะไรขึ้นมาได้อึดใจนั้น นางออกวิ่งฝ่าฝนไปอย่างทางตัวโบสถ์อย่างไม่คิดชีวิต ลมพัดฉิวตามหลังนางไป
โรงครัวด้านหลังวัดและห้องเจ้าอาวาสปิดไฟเงียบหมดแล้ว น้ำฝนท่วมรางน้ำเทซู่ซ่าลงดินเหมือนน้ำตก
“หลวงพี่ หลวงพี่ทากูอัน”
โอซือตรงไปทุบประตูห้องซึ่งทางวัดจัดไว้ให้พระทากูอันจำวัดเป็นส่วนตัว
“ใครรึ”
“ฉันเอง โอซือ”
“อ้าว ยังไม่กลับเข้าห้องอีกรึ”
พระทากูอันเปิดประตูออกมาดูทันที และพอเห็นฝนตกหนักมากก็รีบเรียกโอซือให้หลบเข้าไปในห้อง”
“เข้ามาเร็ว เดี๋ยวฝนจะสาดเข้ามาในห้อง
“ไม่เจ้าค่ะ ฉันมาขอร้องหลวงพี่ หลวงพี่เจ้าขาช่วยคน ๆ นั้นลงมาจากต้นไม้ทีเถิด”
“ใคร”
“ทาเกโซ”
“ไม่เข้าเรื่อง”
“ฉันจะไม่ลืมบุญคุณ”
โอซือคุกเข่าลงกับพื้นดินกลางสายฝน พนมมือแหงนหน้าขึ้นไปที่พระทากุอัน
“หลวงพี่เจ้าขา ฉันขอร้องถึงเพียงนี้แล้ว จะให้ฉันทำยังไงก็ยอม ขออย่างเดียว ช่วยเขาให้ลงมาทีเถิด”
เสียงฝนกลบเสียงร้องไห้คร่ำครวญของโอซือ น้ำฝนที่ท่วมล้นรางน้ำเทลงมาบนร่างของโอซือที่นั่งพนมมืออยู่ ดูเหมือน นักปฏิบัติธรรมที่น้ำตก
“กรุณาเถิดหลวงพี่ทากุอัน ฉันขอความกรุณา จะให้ฉันทำอะไรถ้าทำได้ฉันจะทำให้ทุกอย่าง ขออย่างเดียว ช่วยเขาทีเถิด”
โอซือร้องไห้พลางอ้อนวอนขอความกรุณาไม่ขาดปากจนน้ำฝนเข้าปากแทบจะสำลัก
พระทากุอันยืนนิ่งเหมือนพระอิฐพระปูน หลับตาถอนใจใหญ่ก่อนลืมตาขึ้นบอกโอซือว่า
“กลับไปนอนเร็ว เจ้าร่างกายไม่ค่อยจะแข็งแรง ไม่รู้หรือว่าน้ำฝนเป็นพิษต่อร่างกาย”
“ถ้าว่า...”
โอซือเข้าไปจับบานประตูเอาไว้
“อาตมาจะจำวัดละ เจ้าก็กลับไปนอนได้แล้ว”
ว่าแล้วก็ปิดประตูห้องเสียสนิท
แต่โอซือก็ยังไม่ยอมแพ้ นางมุดใต้ถุนเข้าไปถึงตรงที่กะว่าน่าจะเป็นที่นอนของพระทากูอัน ก็ส่งเสียงอ้อนวอนขึ้นอีกว่า
“ได้โปรดเถิดหลวงพี่ ชาตินี้ฉันจะไม่ขออะไรอีก...หลวงพี่ได้ยินไหมเจ้าคะ หลวงพี่ทากูอันทำไมใจร้าย ไร้มนุษยธรรมอย่างนี้ เลือดในตัวของหลวงพี่เป็นเลือดปีศาจหรือยังไง ถึงได้โหดเหี้ยมเกินมนุษย์”
พระทากูอันอดทนนิ่งอยู่นาน เมื่อโอซือไม่ยอมหยุดและตนก็นอนไม่หลับ จนในที่สุดพระทากูอันก็สิ้นความอดทน ผลุดลุกขึ้นจากที่นอน กู่ตะโกนเอะอะเสียงดังลั่นได้ยินไปทั่วทั้งวัด
“เฮ้ย ใครอยู่แถวนั้นบ้าง ช่วยด้วย หัวขโมยมุดเข้ามาใต้ถุนห้องอาตมา มาช่วยกันจับหน่อย ช่วยด้วย”