xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ ภาค 1 ดิน ตอน หินกับต้นไม้สนทนาธรรม

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา

ลมและฝนเมื่อคืนก่อนชำระล้างฤดูใบไม้ผลิจนหมดสิ้นไม้เหลือทิ้งแม้แต่ร่องรอย เช้าวันนี้ดวงอาทิตย์สาดแสงแรงกล้าจนแสบผิวมาตั้งแต่โผล่พ้นขอบฟ้า

“หลวงพี่ทากูอัน เจ้าหนุ่มทาเกโซจอมเกเรยังมีชีวิตอยู่รึ”

พอรุ่งเช้า แม่เฒ่าโอซุงิก็ขึ้นมาที่วัดทันทีราวกับต้องทนรอชมละครเรื่องเอกอย่างใจจดใจจ่ออยู่ตลอดคืน

“อ้อ โยมเองรึ”

พระทากูอันออกมาทักทายที่ชายระเบียง

“เมื่อคืนฝนตกหนักเหลือเกิน”

“สมน้ำหน้า โดนฟ้าดินลงโทษด้วยทั้งฝนทั้งพายุ”

“แต่ไม่ว่าจะโดนฝนกระหน่ำสักแค่ไหนคนเราก็ไม่ตายในคืนสองคืนหรอกโยม”

“ออกอย่างนั้นแล้วหลวงพี่ยังจะบอกว่าไม่ตายอีกหรือเจ้าคะ”

แม่เฒ่าหยีตาที่ฝังอยู่ในรอยยับย่นบนใบหน้ามองขึ้นไปที่คาคบต้นสนพันปี

“ยังกับผ้าขี้ริ้วแขวนอยู่ ไม่กระดุกกระดิกเลยนะท่าน”

“ดูจากที่อีกาไม่เข้ามาจิกหน้าจิกตาก็รู้ว่าทาเกโซยังมีชีวิตอยู่แน่นอน”

“อ้อ”

แม่เฒ่าโอซุงิพยักหน้าแล้วชะโงกมองเข้าไปข้างในตัวโบสถ์

“ลูกสะใภ้ของข้าหายไปไหน หลวงพี่ช่วยเรียกให้ทีเถิด”

“ลูกสะใภ้ของโยม ใครรึ”

“ก็โอซือยังไงล่ะท่าน”

“โอซือยังไม่ได้ออกเรือนไปเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลฮนอิเด็นสักหน่อย”

“ข้าจะรับเข้าบ้านในอีกไม่กี่วันนี้แหละ”

“อาตมาไม่เคยได้ยิน บ้านไหนตระกูลไหนแต่งลูกสะใภ้เข้าบ้านโดยไม่มีเจ้าบ่าว”

“พระพเนจรอย่างท่านอย่ามาอวดรู้หน่อยเลย และก็ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของชาวบ้าน โอซือไปไหนทำไมไม่ออกมาต้อนรับ”

“ยังนอนอยู่ละมัง”

“เออ...จริงด้วย”

แม่เฒ่าพูดเองเออเองแล้วบอกว่า

“เมื่อคืนข้าเองเป็นคนสั่งให้นางเฝ้าทาเกโซเอาไว้ให้ดี จะไปด่าว่าขี้เกียจนอนสายตะวันโด่งก็ไม่ได้ นี่แนะหลวงที่ทากูอัน ข้าจะมาทำหน้าที่เฝ้าทาเกโซตอนกลางวันเอง”

แม่เฒ่าโอซุงิเดินไปที่ใต้ต้นสนพันปี มองขึ้นไปอยู่ครู่หนึ่งก่อนเดินถือไม้เท้ายักแย่ยักยันกลับลงไปที่หมู่บ้าน

พระทากูอันกลับมาเก็บตัวอยู่ในห้องของตน เปิดประตูบานเลื่อนออกมาตวาดเด็กชาวบ้านจอมซนที่ขึ้นมาปาก้อนหินขึ้นไปที่ต้นสนพันปีแค่ครั้งเดียว แล้วก็ไม่เยี่ยมหน้าออกไปให้ใครเห็นอีกจนค่ำ

ห้องของโอซือที่อยู่ห่างออกไปในด้านเดียวกันหลายห้องก็ปิดตายตลอดวันเช่นกัน เว้นแต่เวลาที่พระลูกวัดเอาหม้อดินใส่ข้าวต้มผสมยาเข้าไปให้

เมื่อคืนคนในวัดพบโอซือตากฝนที่ตกหนักมากอยู่จึงช่วยกันลากตัวเข้ามาข้างใน และพอเจ้าอาวาสรู้เข้าก็ถูกเทศนาหลายกัณฑ์ จากนั้นก็นอนจับไข้โงหัวไม่ขึ้นทั้งวัน

คืนนี้ต่างกับเมื่อคืนก่อนราวขาวกับดำ ท้องฟ้ากระจ่างด้วยแสงจันทร์นวลผ่อง ทากูอันปิดหนังสือที่อ่านอยู่ ใส่รองเท้าแตะฟางเดินออกไปที่ต้นสนพันปี

“ทาเกโซ---”

กิ่งไม้สูงขึ้นไปสั่นเล็กน้อย สะบัดน้ำค้างกระจายเป็นประกายวิบวับ

“---เจ้าเด็กเหลือขอที่น่าสงสาร หมดแรงขานตอบแล้วรึยังไง ทาเกโซ...ทาเกโซ”

พระทากูอันเกือบคิดปราณีอยู่แล้ว หากเจ้าจอมป่วนบนนั้นไม่ส่งเสียงเกรี้ยวกราดสวนลงมาเสียก่อน

“อะไร ไอ้พระเจ้าเล่ห์”

เสียงของทาเกโซไม่แสดงว่าหมดฤทธิ์ลงแม้แต่น้อย

“วู้...” พระทากูวางท่ารับมือใหม่แล้วกู่เรียก

“ยังปากดีอย่างนี้คงจะอยู่ได้อีกห้าหกวันละมัง ท้องไส้เป็นยังไงมั่งฮึ”

“ไม่ต้องพูดมาก รีบบั่นคอข้าให้ตาย ๆ ไปเสียที ได้พระแสนกล”

“เด็กเหลือขออย่างเจ้าคงจะตัดคอไม่ได้ง่าย ๆ หรอกนะทาเกโซ ถึงจะเหลือแต่หัวก็นอนใจไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าจะพุ่งเข้ามาทำร้ายเอาเมื่อไร ฟ้าสว่างนวลออกอย่างนี้เรามาชมจันทร์กันดีกว่าไหม”

ว่าแล้วพระทากูอันก็ทรุดตัวลงนั่งบนก้อนหินใต้ต้นสนพันปีนั้นเอง

2

“อยากลองดีก็ได้ ไอ้พระชั่ว นี่...นี่”

ทาเกโซเขย่ากิ่งสนเก่าแก่ที่แขวนร่างคนอยู่สุดแรง ทำเอาเปลือกไม้และใบสนร่วงหล่นกระจายเกลื่อนลงมาบนหัวคนที่นั่งอยู่ใต้ต้น พระทากูอันปัดออกพลางมองขึ้นไปที่ทาเกโซ

“ต้องอย่างนั้นซิ...ทาเกโซ เมื่อคนเราโกรธพลังชีวิตที่แท้จริง ธาตุแท้ของความเป็นมนุษย์จะปรากฏออกมา คนสมัยนี้มักคิดว่าปัญญาชนจะต้องเก็บกลั้นความโกรธเอาไว้เพื่อแสดงให้ใคร ๆ ให้เห็นว่าคนเป็นผู้มีสติปัญญาลึกล้ำ แต่อาตมาเห็นว่าเป็นความคิดที่โง่เขลาสิ้นดี อาตมาไม่อยากให้คนวัยหนุ่มรุ่นใหม่ ถูกกักกั้นอยู่ในกรอบของการเป็นคนดีสมบูรณ์แบบดังเช่นผู้เฒ่าเหล่านั้น คนหนุ่มต้องโกรธ ถูกแล้วทาเกโซ...โกรธซี โกรธอีก โกรธให้สุด ๆ ไปเลย”

“เออ...ข้าจะดิ้นให้เชือกขาดเดี๋ยวนี้ และลงเหยียบพื้นดินได้เมื่อไหร่ ข้าจะกระทืบได้พระเจ้าเล่ห์ให้แหลกจมดินทันที คอยอยู่ตรงนั้นแหละ”

“น่ากลัวจริง ลงมาได้เมื่อไรก็เมื่อนั้นอาตมาจะรออยู่ตรงนี้ แต่เจ้าแน่ใจรึว่าจะไม่ตายก่อนเชือกขาด”

“ไม่ต้องมาพูดดี”

“โอโฮ เจ้าช่างมีแรงมากเสียจริงทำเอาจนต้นไม้สั่นไหว แต่ทาเกโซแผ่นดินไม่ได้สะเทือนเลย ข้าจะบอกให้ว่าความโกรธของเจ้าเป็นความโกรธในส่วนของปัจเจกบุคคลจึงไม่มีพลังมากพอที่จะเขย่าแผ่นดินให้สะเทือน ความโกรธของลูกผู้ชายจะต้องเป็นความโกรธที่มีต่อความเลวร้ายของสังคม ไม่ใช่เอาเรื่องเล็กน้อยมาเป็นอารมณ์อย่างผู้หญิงส่วนใหญ่”

“ไม่ต้องมาพูดดี เดี๋ยวเถอะจะได้เห็นกัน”

“ไม่สำเร็จหรอก---พอได้แล้วทาเกโซ ดิ้นไปก็เหนื่อยเปล่า อย่าว่าแต่จะทำให้แผ่นดินสะเทือนเลย แค่ทำให้กิ่งของต้นไม้ใหญ่ต้นนี้หักสักกิ่งก็ไม่มีทาง”

“เออ...ให้มันรู้ไป”

“รักษาพลังอันมีค่าของเจ้าไว้เถิดทาเกโซ อาตมาไม่หวังถึงกับให้รักษาไว้เพื่อชาติบ้านเมือง แต่อย่างน้อยก็ลองใช้พลังของเจ้าทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น และนั่นจะเป็นโอกาสให้เจ้าได้ทำประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก และพลังของเจ้าอาจกลายเป็นพลังขับเคลื่อนสังคมได้ในวันข้างหน้า เริ่มจากการทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นก่อนนะเจ้า”

จากตรงนี้กระแสเสียงของพระทากูอันเริ่มฟังดูเป็นคำเทศนาขึ้นตามลำดับ

“น่าเวทนา น่าเวทนา เจ้าจะต้องมาจบชีวิตเสียตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม ยังเหมือนสัตว์ป่าอย่างหมูป่าหรือหมาป่าทั้ง ๆ ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ และจิตใจยังไม่ได้รับการขัดเกลาให้ก้าวเข้าใกล้ความเป็นมนุษย์เลยแม้แต่ก้าวเดียว”

“พอได้แล้ว หนวกหู”

ทาเกโซถ่มน้ำลายลงมา แต่ยังไม่ทันถึงดินก็กระจายหายเข้าไปในม่านหมอก

“ฟังข้าทาเกโซ เจ้าอาจหยิ่งผยองในความเป็นคนมีพลัง มั่นอกมั่นใจนักหนาว่าตนเป็นคนแข็งแรงที่สุดในโลก แล้วยังไงล่ะ ดูทีรึว่าตอนนี้มีสภาพเป็นยังไง”

“ไม่ต้องมาพูด ข้าไม่อายเพราะไม่ได้แพ้เจ้าด้วยการต่อสู้”

“จะแพ้ด้วยกำลังหรือแพ้ด้วยลมปาก แพ้ก็คือแพ้ ถึงเจ้าจะยังปากแข็งไม่ยอมรับว่าเป็นผู้แพ้ แต่ข้อพิสูจน์ก็เห็นอยู่ตรงหน้าแล้วว่าใครคือผู้แพ้ใครเป็นผู้ชนะ อาตมานั่งอยู่อย่างสบายใจบนก้อนหิน ส่วนเจ้าถูกมัดห้อยอยู่กับกิ่งไม้เป็นที่น่าเวทนา เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าความแตกต่างอยู่ที่ไหน”

“... ... ...”

“ถ้าประลองกำลังกัน แน่นอนเจ้าเป็นคนร่างกายแข็งแรงกว่าอาตมาหลายเท่า เหมือนเอาเสือกับมนุษย์มาปล้ำกัน แต่เจ้าต้องไม่ลืมว่ามนุษย์มีสติปัญญาเหนือกว่าเสือ”

“... ... ...”

“ความกล้าหาญของเจ้าก็เหมือนกัน เท่าที่เจ้าแสดงฤทธิ์เดชให้ใคร ๆ เห็นจนถึงวันนี้ เป็นความป่าเถื่อนของสัตว์ป่าที่ไร้สติปัญญาไม่รู้คุณค่าของชีวิต ไม่ใช่ความกล้าหาญของมนุษย์ ไม่ใช่ความเหี้ยมหาญเยี่ยงนักรบซามูไร ความกล้าหาญของมนุษย์อยู่ที่การรู้จักกลัวสิ่งที่ควรกลัว มนุษย์ที่แท้จริงจะรักและตระหนักถึงคุณค่าแห่งชีวิต และตายอย่างสมเกียรติภูมิของความเป็นมนุษย์ อาตมาเสียได้ที่เจ้าเกิดมามีร่างกายแข็งแรงทรงพลังและกล้าหาญแต่ไม่มีวิชาความรู้ ไม่ได้รับการฝึกฝนสติปัญญาให้เฉียบแหลม จดจำแต่วิถีแห่งนักรบที่ผิด วิชาความรู้กับศาสตร์แห่งนักรบแยกกันไม่ได้ ทั้งสองอยู่บนวิถีเดียวที่เราจะก้าวเดินไป---เข้าใจนะ ทาเกโซ”


3

หินเงียบไป ต้นไม้ก็เงียบ ความเงียบนิ่งอยู่ในความมืดเนิ่นนาน จนในที่สุดพระทากูอันก็ลุกขึ้นจากก้อนหิน

“ทาเกโซ เจ้าจงคิดให้ดีอีกคืน และเมื่อคิดได้แล้วอาตมาจะตัดคอให้”

ว่าแล้วก็หันหลังให้แล้วออกเดินมุ่งหน้าไปทางตัวโบสถ์ แต่พอเดินไปได้สิบ...ไม่ใช่ซิ ยี่สิบก้าวก็ได้ยินเสียงเรียก

“โอ๊ย รอเดี๋ยว”

ทาเกโซส่งเสียงเรียกลงมา

“อะไรรึ”

พระทากูอันหันกลับไปถาม

“กลับมาที่ใต้ต้นไม้อีกทีเถิด”

“อือ...ตรงนี้รึ”

แล้วอยู่ ๆ ทาเกโซก็ตะโกนลงมาด้วยเสียงอันดัง

“พระทากูอัน---ช่วยข้าด้วย”

เป็นเสียงคล้ายร้องไห้ กิ่งไม้สั่นสะเทือน

“ข้า...ข้าอยากเกิดใหม่ ข้าเข้าใจแล้วว่าการเกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ และ...และทันทีที่ข้าตระหนักรู้ถึงคุณค่าของชีวิต เมื่อตาสว่างขึ้นมาก็พบว่าชีวิตของข้าถูกแขวนอยู่กับต้นไม้ต้นนี้ อนิจจา...ข้าดำเนินชีวิตผิดพลาดอย่างไม่มีทางแก้เสียแล้ว”

“ดีแล้วที่คิดได้อย่างนั้น เท่ากับว่าเจ้าได้มีชีวิตเป็นผู้เป็นคนกับเขาเป็นครั้งแรก”

“---ข้าไม่อยากตาย อยากแก้ตัวใหม่อีกสักครั้ง อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง...พระทากูอัน ข้าขอร้อง ช่วยข้าด้วยเถิด”

“ไม่ได้”

พระทากูอันปฏิเสธเสียงเฉียบขาดพร้อมสั่นหัว

“ชีวิตคนเราเมื่อดำเนินไปแล้วจะย้อนกลับไปแก้ตัวใหม่ไม่ได้ ชีวิตคือเกมการต่อสู้ที่จริงจังเหมือนฟันกันด้วยดาบจริง การอยากแก้ตัวใหม่ก็เหมือนกับอยากเอาหัวที่ถูกศัตรูฟันขาดแล้วกับมาติดที่คออีกครั้งแล้วลุกขึ้นเดิน แล้วมันจะเป็นไปได้รึ อาตมาสงสารเจ้าแต่ก็ไม่อาจแก้มัดให้ได้ แต่อย่างน้อยอาตมาก็จะสวดภาวนาขอให้เจ้าตายด้วยใบหน้าที่สงบไม่ทุกข์ทรมาน ขอให้เจ้าทำใจให้สบายเพื่อเตรียมรับความตายอย่างสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เถิด”

---เสียงรองเท้าแตะฟางดังเป็นจังหวะหายไปทางด้านโน้น ทาเกโซเงียบไปและสงบจิตสงบใจตามคำแนะนำของพระ ทากูอัน เจ้าหนุ่มหลับตาที่เพิ่งจะมองเห็นธรรมะ ละทิ้งทั้งความเป็นและความตาย ปล่อยเรือนกายให้สายลมยามราตรีโชยผ่านภายใต้ดวงดาวบนท้องฟ้า จนเย็นเยียบเข้าไปถึงกระดูก...เอ๊ะ นั่นใคร

ทาเกโซมองลงไปเห็นเงาของใครคนหนึ่งยืนตะคุ่มอยู่ที่โคนต้นไม้ และอึดใจต่อมาใครคนนั้นก็โอบกอดต้นสนพันปีแล้วตั้งอดตั้งใจปีนขึ้นมาให้ถึงกิ่งเตี้ยที่สุด ท่าทางไม่น่าเป็นคนที่เคยปีนต้นไม้ก่อน เพราะพอปีนขึ้นมาได้สักนิดหนึ่งมือก็พลาดลื่นลงไปพร้อมกับเปลือกไม้

แต่ร่างนั้นก็ไม่สิ้นความพยายาม ดูท่าแล้วหนังมือทั้งสองน่าจะลอกหลุดไปมากกว่าเปลือกไม้เสียอีก และด้วยความพยายามอย่างไม่ท้อถอยในที่สุดก็คว้ากิ่งสนได้สำเร็จ จากนั้นก็เอื้อมมือไปเหนี่ยวกิ่งสูงขึ้นไป สูงขึ้นไปได้ไม่ยาก จนขึ้นมาสูงมาแล้วจึงหยุดหายใจหอบ พลางร้องเรียก

“ทาเกโซ...ทาเกโซ”

ทาเกโซหันหน้าที่ซูบผอมเหมือนหัวกะโหลกมีแต่ตาเท่านั้นที่ยังมีชีวิตชีวาอยู่ไปทางเสียงเรียก

“ใคร ?”

“ฉันเอง”

“...โอซือ...”

“หนีกันเถอะ...เมื่อกี้เจ้าบอกว่าเสียดายชีวิตไม่ใช่รึ”

“หนีรึ”

“ใช่ ฉันเองก็อยู่ที่หมู่บ้านนี้ไม่ได้แล้ว ถ้าอยู่...ไม่...ฉันทนอยู่ไม่ได้แล้ว ทาเกโซฉันจะช่วยเจ้า เจ้าจะยอมให้ฉันช่วยไหม”

“ยอมซิ ช่วยตัดเชือกให้ฉันที”

“รอเดี๋ยว”

โอซือทำผมเผ้าและแต่งกายเตรียมเดินทางเต็มที่ มีห่อผ้าเล็ก ๆ ติดตัวมาด้วย นางหยิบมีดสั้นออกมาตัดเชือกที่มัดทาเกโซอยู่ขาดออกทันที แขนขาของทาเกโซชาดิ่งหมดความรู้สึกโอซือจึงต้องช่วยจับและรับน้ำหนักคนร่างใหญ่เอาไว้ทั้งตัว และพอพลาดแค่จังหวะเดียว ร่างทั้งสองก็ลอยละลิ่วตกลงมาจากคาคบพร้อมกัน


กำลังโหลดความคิดเห็น