นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ความเดิม
“โอซือให้อาตมายืมจริงหรือ”
“เชิญตามสบายเจ้าค่ะ”
“ไหน ๆ ก็หยิบขลุ่ยออกมาแล้ว โอซือเป็นคนเป่าดีไหม อาตมาเป็นคนฟังก็ได้...จะนั่งฟังอยู่ตรงนี้แหละ”
พระทากูอันไม่แตะต้องขลุ่ย หันข้างให้โอซือแล้วชันเข่าขึ้นมากอดไว้
7
โอซือรู้จักนิสัยของพระทากูอันดี ตามปกติถ้าบอกว่าจะเป่าขลุ่ยให้ฟัง หลวงพี่ของนางก็จะต้องลุกขึ้นกุลีกุจอจัดโน่นจัดนี่ตั้งแต่ยังไม่ได้เป่าจนน่าขัน แต่พอเห็นพระทากูอันลงนั่งกอดเข่าหลับตาเงี่ยหูฟังเฉยอยู่ สาวน้อยก็กลับเขินขึ้นมา
“หลวงพี่เป่าขลุ่ยเก่งไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
“คิดว่าพอใช้ได้”
“ถ้างั้นหลวงพี่เป่าก่อนดีกว่าไหม”
“โอซืออย่าถ่อมตัวไปหน่อยเลย ได้ยินมาว่าฝึกเป่ามานานพอดูไม่ใช่รึ”
“เจ้าค่ะ พอดีมีครูจากสำนักคิโยฮาระพเนจรมาอาศัยอยู่ที่วัดเรานานถึงสี่ปี”
“อย่างนี้ฝีมือต้องไม่ใช่เล่น ต้องเป่าเพลงยาก ๆ อย่างเพลงสิงโต หรือเพลงคิคคังที่เขาเป่าในพิธีปล้ำซูโม่ ได้แน่”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกเจ้าค่ะ”
“เอาเถอะ เพลงอะไรก็ได้ที่เจ้าชอบ ตั้งใจเป่าให้เพลงนั้นระบายความทุกข์โศกที่อัดอั้นอยู่ในอก กระจายออกมาทางรูปทั้ง 7 ของขลุ่ยเลานี้นะโอซือ”
“เจ้าค่ะหลวงพี่ ฉันก็ตั้งใจไว้เช่นนั้น คิดว่าถ้าเป่าความเศร้า ความแค้น และความอัดอั้นตันใจในอกออกมากับเสียงขลุ่ยให้หมดสิ้น ฉันจะต้องสดชื่นสบายใจขึ้นมาก”
“ถูกต้องแล้วโอซือ การระบายอารมณ์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนเรา คนโบราณกล่าวไว้ว่าขลุ่ยยาวราวยี่สิบเอ็ดนิ้วคือคนคนหนึ่ง คือจักรวาลของสรรพสิ่ง รูขลุ่ยทั้งเจ็ดแต่ละรูระบายความรู้สึกของอารมณ์หลากหลาย ลมหายใจของหญิงหรือชายที่เป่า ครูให้เจ้าอ่านตำราดนตรีโบราณหรือเปล่า”
“หลวงพี่พูดอย่างกับครู”
“อาตมาเป็นตัวอย่างของพระเจ้าสำราญที่รอบรู้เรื่องทางโลกมากกว่าทางธรรม ไหน ๆ เจ้าก็ยอมเป่าขลุ่ยให้ฟังแล้ว ขออาตมาดูขลุ่ยของเจ้าใกล้ ๆ หน่อยได้ไหม”
“เชิญ เจ้าค่ะ”
แค่ได้จับขลุ่ยพระทากูอันเท่านั้นก็เอ่ยขึ้นทันทีว่า
“ของดี...แค่เห็นก็พอจะมองออกว่าเทือกเถาเหล่ากอของพ่อแม่ที่ให้ขลุ่ยเลานี้ติดตัวเจ้ามานั้นเป็นยังไง”
“ครูขลุ่ยของฉันก็ชมเช่นกัน ขลุ่ยเลานี้เป็นของดีขนาดนั้นเลยหรือเจ้าคะ”
“ขลุ่ยก็มีร่างและหัวใจเหมือนกันนะเจ้า เพราะฉะนั้นเมื่อสัมผัสจึงรู้สึกถึงคุณค่าได้ทันที ในสมัยโบราณมีขลุ่ยนามอุโฆษอยู่มากมาย ที่เด่นดังมากก็อย่างขลุ่ยที่ชื่อ เซมิโอริของโทบะอิน โคยามารุของโคมัตสึเด็น และจานิของคิโยฮาระ ซุเกทาเนะ แต่ในสมัยที่บ้านเมืองมีแต่การรบราฆ่าฟัน นี่เป็นครั้งแรกที่อาตมาเพิ่งได้เห็นและสัมผัสกับขลุ่ยล้ำค่าเช่นนี้ อาตมาปลื้มปิติและตื่นเต้นจนตัวสั่นไปหมด ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เป่าหรือได้ยินเสียงเป่าเลย”
“ได้ยินหลวงพี่พูดอย่างนี้ คนเป่าไม่เก่งอย่างฉันยิ่งไม่กล้าแสดงฝีมือใหญ่”
“โอ๊ะ ขลุ่ยเลานี้มีชื่อด้วยนะ แสงดาวไม่สว่างพอให้อ่านได้เสียด้วย”
“เขียนไว้ด้วยอักษรตัวเล็กนิดเดียวว่า กินริว เจ้าค่ะ”
“กินริว เสียงเพลงแห่งมังกร...เข้าใจละ”
พระทากูอันส่งขลุ่ยพร้อมซองผ้าคืนให้โอซือ
“เอาละ...จะเป่าขลุ่ยให้อาตมาฟังได้หรือยัง”
พระทากูอันเร่งด้วยเสียงจริงจังเสียจนโอซือเกรงไม่กล้าขัดใจ
“เจ้าค่ะ คิดว่าหลวงพี่คงจะต้องทนฟังสักหน่อย”
โอซือลงนั่งบนพื้นหญ้า ปรับท่าให้เข้ากับวิถีแห่งศาสตร์การเป่าขลุ่ย แล้วทำความเคารพขลุ่ย
ความเงียบสงัดยามดึกปกคลุมไปทั่วพงไพร พระทากูอันนั่งนิ่งเงียบ ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่า ณ ที่นั้นไม่มีตัวตนของมนุษย์ชื่อทากูอัน มีแต่หินผาดำ ๆ ก้อนหนึ่งตะคุ่มอยู่ในความมืดเท่านั้นเอง
โอซือจรดริมฝีปากลงที่ขลุ่ย
8
โอซือเอียงหน้าขาวผ่องเล็กน้อย จับขลุ่ยให้เข้าที่แล้วทำปากเป่าให้ชื้น ท่วงท่าของโอซือขณะเตรียมเพลงขลุ่ยอยู่ในใจดูผิดจากสาวน้อยคนเดิม พลังและจิตวิญญาณของศิลปะคงจะบันดาลให้เป็นไปละมัง
“ฟังนะเจ้าคะ”
โอซือร้องบอก
“จะดีไม่ดีก็คงต้องแล้วแต่บุญกรรม”
“... ... ...”
พระทากูอันพยักหน้า
เสียงขลุ่ยหวีดหวิวเจื้อยแจ้วไปในความเงียบสงัด
นิ้วเรียวงามขาวผ่องของโอซือที่ไล่ไปบนรูขลุ่ยทั้งเจ็ด ดูราวกับคนแคระตัวขาว ๆ กำลังเต้นอยู่อย่างมีชีวิตชีวา
เสียงแผ่วต่ำเหมือนเสียงน้ำไหล พาให้พระทากูอันเคลิ้มไปว่าตนคือน้ำในลำธารไหลผ่านหุบเขาและซอกผา สาดกระเซ็นเล่นล้อกับโขดหิน และเสียงเพลงที่หวีดสูงพาเขาเหินฟ้าขึ้นไปสัมผัสกับปุยเมฆ เสียงจากพื้นดินสะท้อนขึ้นไปผสมผสานกลมกลืนกับเสียงบนฟากฟ้า แล้วพลิ้วกลับมาเป็นลมพัดผ่านป่าสน หวีดหวิวกลายเป็นเสียงแห่งความระทม
พระทากูอันหลับตาพริ้มปล่อยอารมณ์ให้เคลิบเคลิ้มไปกับเสียงขลุ่ย ที่จูงใจให้เขานึกถึงไปตำนานของขลุ่ยนามอุโฆษเมื่อครั้งหนึ่งนานมาแล้วในคืนที่พระจันทร์ส่องสว่าง ขณะที่เจ้าชายฮิโรมาซะเดินเป่าขลุ่ยไปตามทางสู่ซุ้มประตูซุจากุมงนั้นเอง พระองค์ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งเป่าขลุ่ยประสานเสียงขึ้นมาอย่างคล้องจองจากชั้นบนของซุ้มประตูนั้น จึงร้องทักและขอแลกขลุ่ยกันเป่าและทั้งสองก็เป่าขลุ่ยกันตลอดคืน ต่อมาภายหลังเจ้าชายจึงได้รู้ว่าจริงคนที่พระองค์เป่าขลุ่ยด้วยคืนนั้น ที่แท้ก็คือปีศาจที่แปลงร่างมา
แม้แต่ปีศาจยังหลงใหลมนต์เสน่ห์ของดนตรี แล้วทำไมมนุษย์คนหนึ่งที่ยังเวียนว่ายอยู่กับความรู้สึกอันเกิดจากรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส จะไม่เคลิบเคลิ้มไปกับเสียงขลุ่ยของสาวงามเช่นโอซือ
พระทากูอันยอมรับและอยากร้องไห้
น้ำตาไม่ถึงกับร่วง แต่พระทากูอันซุกหน้าลงไปที่หัวเข่าที่เขาชันขึ้นมากอดเอาไว้ จมลึกลงไปเรื่อย ๆ
กองไฟใกล้จะมอดลงเต็มที แต่แก้มของโอซือกลับแดงเรื่อ สาวน้อยดื่มด่ำกับเสียงขลุ่ยของตัวเองจนแทบจะกลายเป็นเนื้อเดียวกัน
เสียงขลุ่ยของนางคล้ายเสียงเพรียกหาผู้ให้กำเนิดขึ้นไปในเบื้องจักรวาล...แม่จ๋า พ่อจ๋า อยู่ที่ไหน... คล้ายเสียงตัดพ้อต่อว่าชายไม่มีหัวใจที่ทิ้งนางไปอยู่แว่นแคว้นอื่นกับหญิงคนใหม่...คล้ายเสียงโอดครวญของสาวน้อยที่ถูกหักหลังจนใจเจ็บระบม
ฟังแล้วยิ่งซาบซึ้งตรึงใจ
สาวน้อยวัยสิบเจ็ดผู้ช้ำรักใช้เสียงขลุ่ยถามออกไปในความเวิ้งว่างว่างเปล่าว่า ลูกกำพร้าไร้ที่พึ่งคนนี้จะอยู่ต่อไปอย่างไร ทำอย่างไรถึงจะฝันและตามความฝัน เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่อย่างมีความหมายเหมือนคนอื่นเขาบ้าง
จังหวะหายใจโอซือทำให้ดูเหมือนเหนื่อย ไม่รู้ว่าเพราะมึนเมาไปกับเสน่ห์ของดนตรี หรือว่าอารมณ์ปั่นป่วนไปกับความรู้สึกหลายหลากที่ระบายออกมากับเสียงขลุ่ย เหงื่อซึมออกมาตามโคนผมรอบกรอบหน้า ตามมาด้วยหยาดน้ำตาพรูลงมาเป็นสายอาบแก้มขาวนวล
เสียงเพลงจากขลุ่ยยังหวีดหวิว เดี๋ยวตัดพ้อ เดี๋ยวเพรียกหา และโอดครวญ ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด
ทันใดนั้นเอง
มีเสียงเหมือนสัตว์อะไรสักอย่างคลานอยู่ในพงหญ้าห่างจากกองไฟที่กำลังจะมอดไม่มากนัก พระทากูอันผงกหัวขึ้นทันที จ้องมองไปที่เงาดำ ๆ ที่ตะคุ่มอยู่ตรงนั้นแล้วค่อย ๆ ยกมือขึ้นช้า
“---นี่แน่ะ เจ้าที่อยู่ในพงหญ้า ฟังอยู่ตรงนั้นคงจะหนาวน้ำค้าง เข้ามานั่งผิงไฟฟังด้วยกันสิ ไม่ต้องเกรงใจ”
พระทากูอันส่งเสียงเรียกไปในความมืด
โอซือสงสัยจึงหยุดเป่าขลุ่ย แล้วถามขึ้นว่า
“หลวงพี่พูดอะไรคนเดียว ละเมอรึเปล่า”
“โอซือ เจ้าไม่รู้จริง ๆ หรือว่าแกล้ง ทาเกโซมาซุ่มฟังเสียงขลุ่ยอยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่เจ้าเริ่มเป่า”
พระทากูอันว่าพลางชี้เข้าไปในพงหญ้า
โอซือได้สติหันไปมอง แล้วก็ต้องกรีดร้องเสียงแหลม
“กรี๊ด”
แล้วขว้างขลุ่ยในมือไปที่เงาตะคุ่มในพงหญ้า
9
คนที่ขดตัวอยู่ในพงหญ้าตกใจมากไปกว่าโอซือที่ร้องกรีดร้องขึ้นมาเสียอีก หมอนั่นผลุดลุกขึ้นทันทีราวกับกวางระวังภัยแล้วตั้งท่าจะออกวิ่ง
พระทากูอันตกใจเพราะไม่นึกว่าโอซือจะกรีดร้องขึ้นมา ทำให้ปลาที่กำลังจะว่ายเข้ามาติดกับดักที่วางไว้เป็นอย่างดีเตลิดหนีไป จึงรีบตะโกนเรียกออกไปสุดเสียง
“ทาเกโซ รอก่อน อย่าเพิ่งไป”
ความดังหรือจะพูดให้ถูกคือพลังที่แฝงอยู่ในเสียงของพระทากูอันตรึงทาเกโซให้หยุดนิ่งอยู่กับที่
“ฮึ ?”
ดวงตากลมโตและคมวาวที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงและโชตช่วงไปด้วยความประสงค์ร้าย จ้องเขม็งมาที่เงาของพระทากูอันและโอซือ
“... ... ...”
พระทากูอันไม่พูดอะไรอีก ยกมือขึ้นกอดอกช้า ๆ แล้วจ้องตาตอบทาเกโซ พร้อมทั้งจัดลมหายใจเข้าออกให้เป็นจังหวะเดียวกับฝ่ายตรงข้าม
ระหว่างนั้น รอบ ๆ ดวงตาของพระทากูอันก็ค่อย ๆ ย่นเข้ามาเป็นรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร คลายแขนที่กอดอกอยู่ออกกวักมือเรียก
“มานี่ซิ ทาเกโซ”
ทาเกโซกระพริบตา มองมาด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“มานี่ซิ มาสนุกด้วยกัน”
“... ?”
“มีสาเกด้วยนะ ของกินก็มี อาตมาไม่ได้คิดว่าเจ้าเป็นศัตรูหรือว่าคู่แค้น มานั่งล้อมกองไฟคุยกันดีกว่า”
“... ... ...”
“ทาเกโซ เจ้ากำลังเข้าใจอะไรผิดอย่างร้ายแรงอยู่รึเปล่า ในโลกนี้มีไฟอันอบอุ่น มีสาเก มีของกิน และยังมีความเมตตากรุณาที่อบอุ่นต่อใจ เจ้าเลิกสร้างนรกขึ้นในใจตัวเองและวิ่งลงไปเสียที เลิกทำตัวเป็นคนขวางโลก อย่าดื้อดึงทำตัวอยู่อย่างนั้นอีกเลย เอาเถอะอาตมาไม่อยากโต้เถียงอะไรกับเจ้า เพราะรู้ว่าคงไม่อยากฟังข้าสาธยายเหตุผล มาเถอะ...เข้ามาที่ข้างกองไฟนี่ดีกว่า
โอซือ เจ้าช่วยเอาข้าวที่เหลือใส่ลงไปในมันต้ม ทำข้าวต้มกินกันเถิด อาตมาเองก็ชักจะหิวเหมือนกัน”
โอซือหักกิ่งไม้เติมลงไปในกองไฟยกหม้อขึ้นตั้ง ส่วนพระทาเกโซกุลีกุจออุ่นเหล้าสาเก เมื่อเห็นสองคนเคลื่อนไหวอย่างเป็นมิตร ทาเกโซก็เริ่มคลายใจและเขยิบเข้ามาใกล้ทีละก้าว แต่พอรู้ตัวขึ้นมาก็ชะงักและหยุดยืนทำหน้าเขิน
พระทากูอันกลิ้งก้อนหินมาให้ที่ข้างกองไฟ ตบไหล่แล้วบอกให้นั่งลง
ทาเกโซนั่งลงอย่างว่าง่าย แต่โอซือไม่อาจเงยหน้าขึ้นสบตาด้วยความหวาดกลัวเหมือนถูกจับให้มาอยู่ตรงหน้าสัตว์ร้ายที่ไม่ได้ล่ามโซ่เอาไว้
พระทากูอันเปิดฝาหม้อ เอาตะเกียบจิ้มหัวมันใส่ปากชิม
“มันนิ่มกำลังดีเลยเจ้า เอ้า...มากินข้าวด้วยกัน”
“... ... ...”
ทาเกโซพยักหน้า ยิ้มเห็นฟันขาวเป็นครั้งแรก
10
ทาเกโซรับถ้วยข้าวต้มที่โอซือส่งให้ เป่าพลางพุ้ยใส่ปาก มือที่จับตะเกียบสั่นระริก ขอบถ้วยกระทบฟันดังกึก ๆ ดูแล้วน่าเวทนานัก เห็นได้ว่าต้องอดอยากและตกทุกข์ได้ยากกับการถูกไล่ล่ามาอย่างสาหัสสากรรจ์
“อร่อยใช่ไหม”
พระทากูอันวางตะเกียบแล้วชวนทาเกโซดื่มเหล้าสาเก
“ข้าไม่ดื่มสาเก”
ทาเกโซปฏิเสธ
“ไม่ชอบรึ”
ทาเกโซสั่นหัว เพราะรู้ดีว่าการดื่มสาเกหลังจากที่ไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมาเป็นสิบ ๆ วันจะทำให้ท้องไส้ปั่นป่วน
“ข้าวต้มของท่านทำให้ข้าอุ่นขึ้นมาก”
“เอาอีกไหม”
“ขอบใจ ข้าพอแล้ว”
ทาเกโซส่งถ้วยข้ามต้มคืนโอซือ
“โอซือ”
เจ้าหนุ่มเรียก โอซือก้มหน้าลงตอบเสียงเบาแทบไม่ได้ยิน
“เจ้าขึ้นมาทำอะไรที่นี่ เมื่อคืนข้าก็เห็นแสงไฟตรงนี้”
โอซือสะดุ้งเมื่อได้ยินคำถามของทาเกโซ กำลังไม่รู้ว่าจะตอบยังไง พระทากูอันจึงแทรกขึ้น
“คือว่าเราสองคนรับอาสาขึ้นมาจับตัวเจ้า”
ทาเกโซไม่ได้ตกใจอะไรมากนัก เจ้าหนุ่มเม้มปากทำคอตก แต่ลอบมองหน้าสองคนเทียบกันไปมาอย่างหวาดระแวง
พระทากูอันเห็นว่าได้จังหวะดีแล้วจึงจ้องหน้าทาเกโซและพูดขึ้นอย่างเป็นการเป็นงาน
“ทาเกโซ...อาตมาขอให้เจ้าคิดดูให้ดี ถึงอย่างไรวันหนึ่งเจ้าก็จะต้องถูกจับ และไหน ๆ ก็จะต้องถูกจับแล้วเจ้ายอมให้อาตมาจับด้วยเชือกแห่งพระธรรมดีกว่าไหม บ้านเมืองมีกฎหมายและพุทธศาสนาก็มีพระธรรมที่เปรียบเสมือนกฎหมายทางศาสนา ถึงจะเป็นกฏหมายเหมือนกัน แต่การใช้เชือกแห่งพระธรรมของอาตมาคำนึงถึงความสำคัญของมนุษย์มากกว่าเชือกที่ทางการใช้พันธนาการผู้ร้ายมากนัก”
“ไม่ ข้าไม่ยอมเด็ดขาด”
ทาเกโซเลือดขึ้นหน้าสั่นหัวอย่างเด็ดเดี่ยว พระทากูอันปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน
“ฟังอาตมาดี ๆ อย่าเพิ่งโกรธ อาตมารู้ว่าเจ้าตั้งใจจะสู้จนถึงที่สุดแม้ตายก็ยอม อาตมาเข้าใจความรู้สึกของเจ้า แต่เจ้าคิดว่าจะเอาชนะได้รึ”
“เอาชนะได้รึ ? หมายความว่ายังไง”
“เอาชนะคนที่เจ้าเกลียด---เอาชนะกฎหมายของผู้ครองแคว้น และเอาชนะตัว เจ้าคิดว่าจะเอาชนะได้ไหม”
“แพ้ ข้า...”
ทาเกโซครางออกมาอย่างเจ็บปวด นิ่วหน้าเหมือนจะร้องไห้
“ข้ารู้ตัวดีว่าสุดท้ายข้าก็จะต้องถูกฆ่าตาย แต่ก่อนตายข้าต้องฆ่านางฮนอิเด็นยายแก่ใจร้าย ไอ้พวกซามูไรฮิเมจิ และก็ได้พวกชั่ว ๆ ให้หมด ข้าจะฆ่า ฆ่า ฆ่า ให้ไม่เหลือสักคน”
“แล้วพี่สาวเจ้าจะทำยังไง”
“อะไรนะ”
“เจ้ารู้ไม่ใช่รึว่าโอกินพี่สาวของเจ้าถูกจับไปขังคุกที่ฮินางุระ เจ้าคิดจะทำยังไง”
“... ... ...”
“เจ้ามีหน้าที่ต้องดูแลโอกินพี่สาวแสนดีที่รักและห่วงใยน้องชายคนเดียวของนาง...แล้วยังต้องสืบตระกูลชินเม็นต่อจากมุนิไซในฐานะลูกชายคนเดียว เจ้าคงมาลืมว่าชินเม็นเป็นตระกูลเก่าแก่ที่สืบเชื้อสายมาจากแม่ทัพตระกูลฮิราตะแห่งแคว้นฮาริมะ เจ้าคิดจะทำยังไง”
ทาเกโซยกมือคร้ามแดดเล็บยาวทำให้ดูคล้ายอุ้งมือสัตว์ร้ายขึ้นปิดหน้า
“ไม่...ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
ทาเกโซตะโกนสุดเสียงแล้วร้องไห้ออกมาดัง ๆ ร่างผ่ายผอมสั่นเทิ้มด้วยแรงสะอื้น
พระทากูอันกำหมัดแน่นแล้วตบหน้าทาเกโซสุดแรงเสียงดังฉาดใหญ่
“บ้าที่สุด”
ทาเกโซตกใจที่ถูกตบไม่รู้ตัว และยังไม่ทันตั้งตัวพระทากูอันก็รี่เข้าไปตบซ้ำอีกด้วยกำปั้น
“คนอกตัญญู โฉดเขลาสิ้นดี ...นี่แน่ะ พระทากูอันคนนี้ลงโทษเจ้าแทนพ่อแม่ปู่ย่าตายายที่อุตส่าห์เลี้ยงดูเจ้ามา เจ็บไหม บอกมาเสียดี ๆ “
“เจ็บ”
“เจ็บใช่ไหม ยังดีที่เจ็บแสดงว่าเจ้ายังมีเลือดเนื้อของมนุษย์อยู่ในตัว โอซือไปเอาเชือกมา...มัวลังเลอะไรอยู่ ทาเกโซยอมให้อาตมาจับตัวแล้ว และเข้าใจดีแล้วด้วยว่าเชือกที่อาตมาจะใช้มัดไม่ใช่เชือกแห่งอำนาจ แต่เป็นเชือกแห่งความกรุณา โอซือไปเอาเชือกมาได้แล้ว ไม่ต้องกลัวหรือเวทนาสงสารอะไรทั้งนั้น”
ทาเกโซถูกกดลงไปนอนคว่ำหลับตานิ่งอยู่บนพื้นหญ้า ถ้าจะคิดสู้แค่พลิกตัวสะบัดทีเดียวคนร่างขนาดพระทากูอันก็กระเด็น แต่หนุ่มเจ้าพลังตอนนี้สิ้นฤทธิ์ไม่มีแก่ใจจะทำอะไร ได้แต่นอนนิ่งมืออ่อนตีนอ่อน น้ำตาไหลรินเป็นสายจากปลายตา
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ความเดิม
“โอซือให้อาตมายืมจริงหรือ”
“เชิญตามสบายเจ้าค่ะ”
“ไหน ๆ ก็หยิบขลุ่ยออกมาแล้ว โอซือเป็นคนเป่าดีไหม อาตมาเป็นคนฟังก็ได้...จะนั่งฟังอยู่ตรงนี้แหละ”
พระทากูอันไม่แตะต้องขลุ่ย หันข้างให้โอซือแล้วชันเข่าขึ้นมากอดไว้
7
โอซือรู้จักนิสัยของพระทากูอันดี ตามปกติถ้าบอกว่าจะเป่าขลุ่ยให้ฟัง หลวงพี่ของนางก็จะต้องลุกขึ้นกุลีกุจอจัดโน่นจัดนี่ตั้งแต่ยังไม่ได้เป่าจนน่าขัน แต่พอเห็นพระทากูอันลงนั่งกอดเข่าหลับตาเงี่ยหูฟังเฉยอยู่ สาวน้อยก็กลับเขินขึ้นมา
“หลวงพี่เป่าขลุ่ยเก่งไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
“คิดว่าพอใช้ได้”
“ถ้างั้นหลวงพี่เป่าก่อนดีกว่าไหม”
“โอซืออย่าถ่อมตัวไปหน่อยเลย ได้ยินมาว่าฝึกเป่ามานานพอดูไม่ใช่รึ”
“เจ้าค่ะ พอดีมีครูจากสำนักคิโยฮาระพเนจรมาอาศัยอยู่ที่วัดเรานานถึงสี่ปี”
“อย่างนี้ฝีมือต้องไม่ใช่เล่น ต้องเป่าเพลงยาก ๆ อย่างเพลงสิงโต หรือเพลงคิคคังที่เขาเป่าในพิธีปล้ำซูโม่ ได้แน่”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกเจ้าค่ะ”
“เอาเถอะ เพลงอะไรก็ได้ที่เจ้าชอบ ตั้งใจเป่าให้เพลงนั้นระบายความทุกข์โศกที่อัดอั้นอยู่ในอก กระจายออกมาทางรูปทั้ง 7 ของขลุ่ยเลานี้นะโอซือ”
“เจ้าค่ะหลวงพี่ ฉันก็ตั้งใจไว้เช่นนั้น คิดว่าถ้าเป่าความเศร้า ความแค้น และความอัดอั้นตันใจในอกออกมากับเสียงขลุ่ยให้หมดสิ้น ฉันจะต้องสดชื่นสบายใจขึ้นมาก”
“ถูกต้องแล้วโอซือ การระบายอารมณ์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนเรา คนโบราณกล่าวไว้ว่าขลุ่ยยาวราวยี่สิบเอ็ดนิ้วคือคนคนหนึ่ง คือจักรวาลของสรรพสิ่ง รูขลุ่ยทั้งเจ็ดแต่ละรูระบายความรู้สึกของอารมณ์หลากหลาย ลมหายใจของหญิงหรือชายที่เป่า ครูให้เจ้าอ่านตำราดนตรีโบราณหรือเปล่า”
“หลวงพี่พูดอย่างกับครู”
“อาตมาเป็นตัวอย่างของพระเจ้าสำราญที่รอบรู้เรื่องทางโลกมากกว่าทางธรรม ไหน ๆ เจ้าก็ยอมเป่าขลุ่ยให้ฟังแล้ว ขออาตมาดูขลุ่ยของเจ้าใกล้ ๆ หน่อยได้ไหม”
“เชิญ เจ้าค่ะ”
แค่ได้จับขลุ่ยพระทากูอันเท่านั้นก็เอ่ยขึ้นทันทีว่า
“ของดี...แค่เห็นก็พอจะมองออกว่าเทือกเถาเหล่ากอของพ่อแม่ที่ให้ขลุ่ยเลานี้ติดตัวเจ้ามานั้นเป็นยังไง”
“ครูขลุ่ยของฉันก็ชมเช่นกัน ขลุ่ยเลานี้เป็นของดีขนาดนั้นเลยหรือเจ้าคะ”
“ขลุ่ยก็มีร่างและหัวใจเหมือนกันนะเจ้า เพราะฉะนั้นเมื่อสัมผัสจึงรู้สึกถึงคุณค่าได้ทันที ในสมัยโบราณมีขลุ่ยนามอุโฆษอยู่มากมาย ที่เด่นดังมากก็อย่างขลุ่ยที่ชื่อ เซมิโอริของโทบะอิน โคยามารุของโคมัตสึเด็น และจานิของคิโยฮาระ ซุเกทาเนะ แต่ในสมัยที่บ้านเมืองมีแต่การรบราฆ่าฟัน นี่เป็นครั้งแรกที่อาตมาเพิ่งได้เห็นและสัมผัสกับขลุ่ยล้ำค่าเช่นนี้ อาตมาปลื้มปิติและตื่นเต้นจนตัวสั่นไปหมด ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เป่าหรือได้ยินเสียงเป่าเลย”
“ได้ยินหลวงพี่พูดอย่างนี้ คนเป่าไม่เก่งอย่างฉันยิ่งไม่กล้าแสดงฝีมือใหญ่”
“โอ๊ะ ขลุ่ยเลานี้มีชื่อด้วยนะ แสงดาวไม่สว่างพอให้อ่านได้เสียด้วย”
“เขียนไว้ด้วยอักษรตัวเล็กนิดเดียวว่า กินริว เจ้าค่ะ”
“กินริว เสียงเพลงแห่งมังกร...เข้าใจละ”
พระทากูอันส่งขลุ่ยพร้อมซองผ้าคืนให้โอซือ
“เอาละ...จะเป่าขลุ่ยให้อาตมาฟังได้หรือยัง”
พระทากูอันเร่งด้วยเสียงจริงจังเสียจนโอซือเกรงไม่กล้าขัดใจ
“เจ้าค่ะ คิดว่าหลวงพี่คงจะต้องทนฟังสักหน่อย”
โอซือลงนั่งบนพื้นหญ้า ปรับท่าให้เข้ากับวิถีแห่งศาสตร์การเป่าขลุ่ย แล้วทำความเคารพขลุ่ย
ความเงียบสงัดยามดึกปกคลุมไปทั่วพงไพร พระทากูอันนั่งนิ่งเงียบ ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่า ณ ที่นั้นไม่มีตัวตนของมนุษย์ชื่อทากูอัน มีแต่หินผาดำ ๆ ก้อนหนึ่งตะคุ่มอยู่ในความมืดเท่านั้นเอง
โอซือจรดริมฝีปากลงที่ขลุ่ย
8
โอซือเอียงหน้าขาวผ่องเล็กน้อย จับขลุ่ยให้เข้าที่แล้วทำปากเป่าให้ชื้น ท่วงท่าของโอซือขณะเตรียมเพลงขลุ่ยอยู่ในใจดูผิดจากสาวน้อยคนเดิม พลังและจิตวิญญาณของศิลปะคงจะบันดาลให้เป็นไปละมัง
“ฟังนะเจ้าคะ”
โอซือร้องบอก
“จะดีไม่ดีก็คงต้องแล้วแต่บุญกรรม”
“... ... ...”
พระทากูอันพยักหน้า
เสียงขลุ่ยหวีดหวิวเจื้อยแจ้วไปในความเงียบสงัด
นิ้วเรียวงามขาวผ่องของโอซือที่ไล่ไปบนรูขลุ่ยทั้งเจ็ด ดูราวกับคนแคระตัวขาว ๆ กำลังเต้นอยู่อย่างมีชีวิตชีวา
เสียงแผ่วต่ำเหมือนเสียงน้ำไหล พาให้พระทากูอันเคลิ้มไปว่าตนคือน้ำในลำธารไหลผ่านหุบเขาและซอกผา สาดกระเซ็นเล่นล้อกับโขดหิน และเสียงเพลงที่หวีดสูงพาเขาเหินฟ้าขึ้นไปสัมผัสกับปุยเมฆ เสียงจากพื้นดินสะท้อนขึ้นไปผสมผสานกลมกลืนกับเสียงบนฟากฟ้า แล้วพลิ้วกลับมาเป็นลมพัดผ่านป่าสน หวีดหวิวกลายเป็นเสียงแห่งความระทม
พระทากูอันหลับตาพริ้มปล่อยอารมณ์ให้เคลิบเคลิ้มไปกับเสียงขลุ่ย ที่จูงใจให้เขานึกถึงไปตำนานของขลุ่ยนามอุโฆษเมื่อครั้งหนึ่งนานมาแล้วในคืนที่พระจันทร์ส่องสว่าง ขณะที่เจ้าชายฮิโรมาซะเดินเป่าขลุ่ยไปตามทางสู่ซุ้มประตูซุจากุมงนั้นเอง พระองค์ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งเป่าขลุ่ยประสานเสียงขึ้นมาอย่างคล้องจองจากชั้นบนของซุ้มประตูนั้น จึงร้องทักและขอแลกขลุ่ยกันเป่าและทั้งสองก็เป่าขลุ่ยกันตลอดคืน ต่อมาภายหลังเจ้าชายจึงได้รู้ว่าจริงคนที่พระองค์เป่าขลุ่ยด้วยคืนนั้น ที่แท้ก็คือปีศาจที่แปลงร่างมา
แม้แต่ปีศาจยังหลงใหลมนต์เสน่ห์ของดนตรี แล้วทำไมมนุษย์คนหนึ่งที่ยังเวียนว่ายอยู่กับความรู้สึกอันเกิดจากรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส จะไม่เคลิบเคลิ้มไปกับเสียงขลุ่ยของสาวงามเช่นโอซือ
พระทากูอันยอมรับและอยากร้องไห้
น้ำตาไม่ถึงกับร่วง แต่พระทากูอันซุกหน้าลงไปที่หัวเข่าที่เขาชันขึ้นมากอดเอาไว้ จมลึกลงไปเรื่อย ๆ
กองไฟใกล้จะมอดลงเต็มที แต่แก้มของโอซือกลับแดงเรื่อ สาวน้อยดื่มด่ำกับเสียงขลุ่ยของตัวเองจนแทบจะกลายเป็นเนื้อเดียวกัน
เสียงขลุ่ยของนางคล้ายเสียงเพรียกหาผู้ให้กำเนิดขึ้นไปในเบื้องจักรวาล...แม่จ๋า พ่อจ๋า อยู่ที่ไหน... คล้ายเสียงตัดพ้อต่อว่าชายไม่มีหัวใจที่ทิ้งนางไปอยู่แว่นแคว้นอื่นกับหญิงคนใหม่...คล้ายเสียงโอดครวญของสาวน้อยที่ถูกหักหลังจนใจเจ็บระบม
ฟังแล้วยิ่งซาบซึ้งตรึงใจ
สาวน้อยวัยสิบเจ็ดผู้ช้ำรักใช้เสียงขลุ่ยถามออกไปในความเวิ้งว่างว่างเปล่าว่า ลูกกำพร้าไร้ที่พึ่งคนนี้จะอยู่ต่อไปอย่างไร ทำอย่างไรถึงจะฝันและตามความฝัน เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่อย่างมีความหมายเหมือนคนอื่นเขาบ้าง
จังหวะหายใจโอซือทำให้ดูเหมือนเหนื่อย ไม่รู้ว่าเพราะมึนเมาไปกับเสน่ห์ของดนตรี หรือว่าอารมณ์ปั่นป่วนไปกับความรู้สึกหลายหลากที่ระบายออกมากับเสียงขลุ่ย เหงื่อซึมออกมาตามโคนผมรอบกรอบหน้า ตามมาด้วยหยาดน้ำตาพรูลงมาเป็นสายอาบแก้มขาวนวล
เสียงเพลงจากขลุ่ยยังหวีดหวิว เดี๋ยวตัดพ้อ เดี๋ยวเพรียกหา และโอดครวญ ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด
ทันใดนั้นเอง
มีเสียงเหมือนสัตว์อะไรสักอย่างคลานอยู่ในพงหญ้าห่างจากกองไฟที่กำลังจะมอดไม่มากนัก พระทากูอันผงกหัวขึ้นทันที จ้องมองไปที่เงาดำ ๆ ที่ตะคุ่มอยู่ตรงนั้นแล้วค่อย ๆ ยกมือขึ้นช้า
“---นี่แน่ะ เจ้าที่อยู่ในพงหญ้า ฟังอยู่ตรงนั้นคงจะหนาวน้ำค้าง เข้ามานั่งผิงไฟฟังด้วยกันสิ ไม่ต้องเกรงใจ”
พระทากูอันส่งเสียงเรียกไปในความมืด
โอซือสงสัยจึงหยุดเป่าขลุ่ย แล้วถามขึ้นว่า
“หลวงพี่พูดอะไรคนเดียว ละเมอรึเปล่า”
“โอซือ เจ้าไม่รู้จริง ๆ หรือว่าแกล้ง ทาเกโซมาซุ่มฟังเสียงขลุ่ยอยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่เจ้าเริ่มเป่า”
พระทากูอันว่าพลางชี้เข้าไปในพงหญ้า
โอซือได้สติหันไปมอง แล้วก็ต้องกรีดร้องเสียงแหลม
“กรี๊ด”
แล้วขว้างขลุ่ยในมือไปที่เงาตะคุ่มในพงหญ้า
9
คนที่ขดตัวอยู่ในพงหญ้าตกใจมากไปกว่าโอซือที่ร้องกรีดร้องขึ้นมาเสียอีก หมอนั่นผลุดลุกขึ้นทันทีราวกับกวางระวังภัยแล้วตั้งท่าจะออกวิ่ง
พระทากูอันตกใจเพราะไม่นึกว่าโอซือจะกรีดร้องขึ้นมา ทำให้ปลาที่กำลังจะว่ายเข้ามาติดกับดักที่วางไว้เป็นอย่างดีเตลิดหนีไป จึงรีบตะโกนเรียกออกไปสุดเสียง
“ทาเกโซ รอก่อน อย่าเพิ่งไป”
ความดังหรือจะพูดให้ถูกคือพลังที่แฝงอยู่ในเสียงของพระทากูอันตรึงทาเกโซให้หยุดนิ่งอยู่กับที่
“ฮึ ?”
ดวงตากลมโตและคมวาวที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงและโชตช่วงไปด้วยความประสงค์ร้าย จ้องเขม็งมาที่เงาของพระทากูอันและโอซือ
“... ... ...”
พระทากูอันไม่พูดอะไรอีก ยกมือขึ้นกอดอกช้า ๆ แล้วจ้องตาตอบทาเกโซ พร้อมทั้งจัดลมหายใจเข้าออกให้เป็นจังหวะเดียวกับฝ่ายตรงข้าม
ระหว่างนั้น รอบ ๆ ดวงตาของพระทากูอันก็ค่อย ๆ ย่นเข้ามาเป็นรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร คลายแขนที่กอดอกอยู่ออกกวักมือเรียก
“มานี่ซิ ทาเกโซ”
ทาเกโซกระพริบตา มองมาด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“มานี่ซิ มาสนุกด้วยกัน”
“... ?”
“มีสาเกด้วยนะ ของกินก็มี อาตมาไม่ได้คิดว่าเจ้าเป็นศัตรูหรือว่าคู่แค้น มานั่งล้อมกองไฟคุยกันดีกว่า”
“... ... ...”
“ทาเกโซ เจ้ากำลังเข้าใจอะไรผิดอย่างร้ายแรงอยู่รึเปล่า ในโลกนี้มีไฟอันอบอุ่น มีสาเก มีของกิน และยังมีความเมตตากรุณาที่อบอุ่นต่อใจ เจ้าเลิกสร้างนรกขึ้นในใจตัวเองและวิ่งลงไปเสียที เลิกทำตัวเป็นคนขวางโลก อย่าดื้อดึงทำตัวอยู่อย่างนั้นอีกเลย เอาเถอะอาตมาไม่อยากโต้เถียงอะไรกับเจ้า เพราะรู้ว่าคงไม่อยากฟังข้าสาธยายเหตุผล มาเถอะ...เข้ามาที่ข้างกองไฟนี่ดีกว่า
โอซือ เจ้าช่วยเอาข้าวที่เหลือใส่ลงไปในมันต้ม ทำข้าวต้มกินกันเถิด อาตมาเองก็ชักจะหิวเหมือนกัน”
โอซือหักกิ่งไม้เติมลงไปในกองไฟยกหม้อขึ้นตั้ง ส่วนพระทาเกโซกุลีกุจออุ่นเหล้าสาเก เมื่อเห็นสองคนเคลื่อนไหวอย่างเป็นมิตร ทาเกโซก็เริ่มคลายใจและเขยิบเข้ามาใกล้ทีละก้าว แต่พอรู้ตัวขึ้นมาก็ชะงักและหยุดยืนทำหน้าเขิน
พระทากูอันกลิ้งก้อนหินมาให้ที่ข้างกองไฟ ตบไหล่แล้วบอกให้นั่งลง
ทาเกโซนั่งลงอย่างว่าง่าย แต่โอซือไม่อาจเงยหน้าขึ้นสบตาด้วยความหวาดกลัวเหมือนถูกจับให้มาอยู่ตรงหน้าสัตว์ร้ายที่ไม่ได้ล่ามโซ่เอาไว้
พระทากูอันเปิดฝาหม้อ เอาตะเกียบจิ้มหัวมันใส่ปากชิม
“มันนิ่มกำลังดีเลยเจ้า เอ้า...มากินข้าวด้วยกัน”
“... ... ...”
ทาเกโซพยักหน้า ยิ้มเห็นฟันขาวเป็นครั้งแรก
10
ทาเกโซรับถ้วยข้าวต้มที่โอซือส่งให้ เป่าพลางพุ้ยใส่ปาก มือที่จับตะเกียบสั่นระริก ขอบถ้วยกระทบฟันดังกึก ๆ ดูแล้วน่าเวทนานัก เห็นได้ว่าต้องอดอยากและตกทุกข์ได้ยากกับการถูกไล่ล่ามาอย่างสาหัสสากรรจ์
“อร่อยใช่ไหม”
พระทากูอันวางตะเกียบแล้วชวนทาเกโซดื่มเหล้าสาเก
“ข้าไม่ดื่มสาเก”
ทาเกโซปฏิเสธ
“ไม่ชอบรึ”
ทาเกโซสั่นหัว เพราะรู้ดีว่าการดื่มสาเกหลังจากที่ไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมาเป็นสิบ ๆ วันจะทำให้ท้องไส้ปั่นป่วน
“ข้าวต้มของท่านทำให้ข้าอุ่นขึ้นมาก”
“เอาอีกไหม”
“ขอบใจ ข้าพอแล้ว”
ทาเกโซส่งถ้วยข้ามต้มคืนโอซือ
“โอซือ”
เจ้าหนุ่มเรียก โอซือก้มหน้าลงตอบเสียงเบาแทบไม่ได้ยิน
“เจ้าขึ้นมาทำอะไรที่นี่ เมื่อคืนข้าก็เห็นแสงไฟตรงนี้”
โอซือสะดุ้งเมื่อได้ยินคำถามของทาเกโซ กำลังไม่รู้ว่าจะตอบยังไง พระทากูอันจึงแทรกขึ้น
“คือว่าเราสองคนรับอาสาขึ้นมาจับตัวเจ้า”
ทาเกโซไม่ได้ตกใจอะไรมากนัก เจ้าหนุ่มเม้มปากทำคอตก แต่ลอบมองหน้าสองคนเทียบกันไปมาอย่างหวาดระแวง
พระทากูอันเห็นว่าได้จังหวะดีแล้วจึงจ้องหน้าทาเกโซและพูดขึ้นอย่างเป็นการเป็นงาน
“ทาเกโซ...อาตมาขอให้เจ้าคิดดูให้ดี ถึงอย่างไรวันหนึ่งเจ้าก็จะต้องถูกจับ และไหน ๆ ก็จะต้องถูกจับแล้วเจ้ายอมให้อาตมาจับด้วยเชือกแห่งพระธรรมดีกว่าไหม บ้านเมืองมีกฎหมายและพุทธศาสนาก็มีพระธรรมที่เปรียบเสมือนกฎหมายทางศาสนา ถึงจะเป็นกฏหมายเหมือนกัน แต่การใช้เชือกแห่งพระธรรมของอาตมาคำนึงถึงความสำคัญของมนุษย์มากกว่าเชือกที่ทางการใช้พันธนาการผู้ร้ายมากนัก”
“ไม่ ข้าไม่ยอมเด็ดขาด”
ทาเกโซเลือดขึ้นหน้าสั่นหัวอย่างเด็ดเดี่ยว พระทากูอันปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน
“ฟังอาตมาดี ๆ อย่าเพิ่งโกรธ อาตมารู้ว่าเจ้าตั้งใจจะสู้จนถึงที่สุดแม้ตายก็ยอม อาตมาเข้าใจความรู้สึกของเจ้า แต่เจ้าคิดว่าจะเอาชนะได้รึ”
“เอาชนะได้รึ ? หมายความว่ายังไง”
“เอาชนะคนที่เจ้าเกลียด---เอาชนะกฎหมายของผู้ครองแคว้น และเอาชนะตัว เจ้าคิดว่าจะเอาชนะได้ไหม”
“แพ้ ข้า...”
ทาเกโซครางออกมาอย่างเจ็บปวด นิ่วหน้าเหมือนจะร้องไห้
“ข้ารู้ตัวดีว่าสุดท้ายข้าก็จะต้องถูกฆ่าตาย แต่ก่อนตายข้าต้องฆ่านางฮนอิเด็นยายแก่ใจร้าย ไอ้พวกซามูไรฮิเมจิ และก็ได้พวกชั่ว ๆ ให้หมด ข้าจะฆ่า ฆ่า ฆ่า ให้ไม่เหลือสักคน”
“แล้วพี่สาวเจ้าจะทำยังไง”
“อะไรนะ”
“เจ้ารู้ไม่ใช่รึว่าโอกินพี่สาวของเจ้าถูกจับไปขังคุกที่ฮินางุระ เจ้าคิดจะทำยังไง”
“... ... ...”
“เจ้ามีหน้าที่ต้องดูแลโอกินพี่สาวแสนดีที่รักและห่วงใยน้องชายคนเดียวของนาง...แล้วยังต้องสืบตระกูลชินเม็นต่อจากมุนิไซในฐานะลูกชายคนเดียว เจ้าคงมาลืมว่าชินเม็นเป็นตระกูลเก่าแก่ที่สืบเชื้อสายมาจากแม่ทัพตระกูลฮิราตะแห่งแคว้นฮาริมะ เจ้าคิดจะทำยังไง”
ทาเกโซยกมือคร้ามแดดเล็บยาวทำให้ดูคล้ายอุ้งมือสัตว์ร้ายขึ้นปิดหน้า
“ไม่...ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
ทาเกโซตะโกนสุดเสียงแล้วร้องไห้ออกมาดัง ๆ ร่างผ่ายผอมสั่นเทิ้มด้วยแรงสะอื้น
พระทากูอันกำหมัดแน่นแล้วตบหน้าทาเกโซสุดแรงเสียงดังฉาดใหญ่
“บ้าที่สุด”
ทาเกโซตกใจที่ถูกตบไม่รู้ตัว และยังไม่ทันตั้งตัวพระทากูอันก็รี่เข้าไปตบซ้ำอีกด้วยกำปั้น
“คนอกตัญญู โฉดเขลาสิ้นดี ...นี่แน่ะ พระทากูอันคนนี้ลงโทษเจ้าแทนพ่อแม่ปู่ย่าตายายที่อุตส่าห์เลี้ยงดูเจ้ามา เจ็บไหม บอกมาเสียดี ๆ “
“เจ็บ”
“เจ็บใช่ไหม ยังดีที่เจ็บแสดงว่าเจ้ายังมีเลือดเนื้อของมนุษย์อยู่ในตัว โอซือไปเอาเชือกมา...มัวลังเลอะไรอยู่ ทาเกโซยอมให้อาตมาจับตัวแล้ว และเข้าใจดีแล้วด้วยว่าเชือกที่อาตมาจะใช้มัดไม่ใช่เชือกแห่งอำนาจ แต่เป็นเชือกแห่งความกรุณา โอซือไปเอาเชือกมาได้แล้ว ไม่ต้องกลัวหรือเวทนาสงสารอะไรทั้งนั้น”
ทาเกโซถูกกดลงไปนอนคว่ำหลับตานิ่งอยู่บนพื้นหญ้า ถ้าจะคิดสู้แค่พลิกตัวสะบัดทีเดียวคนร่างขนาดพระทากูอันก็กระเด็น แต่หนุ่มเจ้าพลังตอนนี้สิ้นฤทธิ์ไม่มีแก่ใจจะทำอะไร ได้แต่นอนนิ่งมืออ่อนตีนอ่อน น้ำตาไหลรินเป็นสายจากปลายตา