นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
“หลวงพี่ทากูอันถ้าจะเสียสติไปแล้ว เมื่อเช้าเห็นเล่าว่าไปอาสาท่านซามูไรทำอะไรก็ไม่รู้น่าห่วงมากเลยเอ็ง”
ลูกศิษย์วัดคนหนึ่งเข้ามาปรารภด้วยความห่วงกังวลในเรือนครัว ทำเอาตื่นตกใจไปตาม ๆ กัน
“จริงรึ”
คนหนึ่งเบิกตาโพลง
“หลวงพี่จะทำอะไร”
ไม่นานเมื่อเรื่องก็ถึงหูเจ้าอาวาส ท่านก็ถอนใจและเอ่ยเชิงเทศนาว่า
“สาธุ...นี่แหละที่โบราณเขาว่าพูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดชั่วอัปราชัย”
แต่คนที่ห่วงใยพระทาคูอันมากกว่าใคร ๆ ก็คือโอซือ
สาวน้อยเพิ่งบอบช้ำมาหยก ๆ เมื่อมาตาฮาจิคู่หมั้นที่นางไว้เนื้อเชื่อใจเป็นที่สุดส่งจดหมายตัดรักมาอย่างสิ้นเยื่อใย บาด แผลในใจของโอซือครั้งนี้สาหัสกว่าที่จะได้ยินว่ามาตาฮาจิตายในสนามรบเสียอีก โอซือหวังที่จะได้มีเหย้ามีเรือนอยู่เย็นเป็นสุขกับเขาเสียที แต่เมื่อเป็นไปเช่นนี้แล้วจะหันหน้าไปพึ่งใครได้ แม่เฒ่าแห่งตะกูลฮนอิเด็นว่าที่แม่ผัวซึ่งเคยดีด้วยก็แสดงธาตุแท้ให้เห็นมาแล้วกับตา
หลวงพี่ทากูอันคนเดียวเท่านั้นคือแสงสว่างสำหรับโอซือที่ถูกทิ้งให้ทุกข์ทรมานอยู่คนเดียวในความมืด ตอนที่ร่ำไห้อยู่คนเดียวในเรือนทอผ้า โอซือแค้นใจถึงกับคิดจะเอามีดมากรีดผ้าผืนงามที่ทอไว้ให้มาตาฮาจิค้างอยู่บนหูกให้ขาดกระจุย แล้วเอามีดนั้นแทงตัวตายให้สิ้นเวรสิ้นกรรมกันไปที ดีที่ได้หลวงพี่ทากูอันมาช่วยพูดปลอบขวัญจนจิตใจนางสงบลงและได้คิด ยอมให้หลวงพี่จูงไปรินสาเกรับรองแขกของเจ้าอาวาสตามหน้าที่ ความอบอุ่นของมือหลวงพี่ที่จูงนางไปยังประทับใจไม่จาง
โอซือเป็นห่วงหลวงพี่ยิ่งนัก ห่วงยิ่งกว่าตัวเองเสียอีก
สาวน้อยกลัวที่จะต้องสูญเสียหลวงพี่ทากูอันจากการที่ไปออกปากให้สัญญากับซามูไรหนวดปลาดุก ถ้าหลวงพี่เกิดเป็นอะไรไปจริง ๆ นางจะต้องโศกเศร้าจนใจแทบสลาย
โอซือมองไม่เห็นทางที่หลวงพี่จะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับซามูไรหนวดปลาดุกได้สำเร็จ ทาเกโซซ่อนตัวอยู่ที่ไหนไม่มีใครรู้ และจะระดมบริวารของซามูไรและชาวบ้านกลุ่มใหญ่แยกย้ายกันไล่ล่ามายี่สิบกว่าวันแล้วก็ยังไม่ได้ตัว แล้วลำพังหลวงพี่กับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างนางเพียงสองคน จะจับตัวทาเกโซผู้ปราดเปรียวราวแมวป่า เอาเชือกล่ามมาสยบแทบเท้าซามูไรหนวดปลาดุกได้อย่างไรภายในสามวัน คิดอย่างไรก็เห็นแต่ความมืดมน
คืนนั้น พระทากูอันกับซามูไรหนวดปลาดุกเจรจาต่อรองเงื่อนไขกันจนเป็นที่พอใจทั้งสองฝ่ายแล้ว จึงทำสัญญาโดยสาบานร่วมกันต่อเทพแห่งสงครามเลยทีเดียว
พระทากูอันลาคู่สัญญากลับมาที่โบสถ์ และพอโอซือเห็นเข้าก็ตรงเข้ามาต่อว่าไม่หยุดว่าทำไมถึงได้บุ่มบ่ามไปทำสัญญาโดยไม่คิดหน้าคิดหลังอย่างนั้น พระทากูอันตบไหล่โอซือเบา ๆ แล้วปลอบว่า---ไม่มีอะไรต้องวิตกกังวลหรอกนะโอซือ ถ้าเราสามารถขับไล่ความเดือดร้อนรำคาญให้หมดสิ้นไปจากหมู่บ้าน นำความปลอดภัยกลับมาสู่ทางหลวงที่เชื่อมต่อสี่แว่นแคว้นคืออินาบะ ทาจิมะ ฮาริมะ และบิเซ็น และช่วยชีวิตคนได้มากมาย ใจของเราก็จะเบาเหมือนขนนกเป็ดน้ำและปลอดโปร่งไปตลอดชีวิต พรุ่งนี้โอซือพักผ่อนหลับนอนให้สบายจนถึงเย็น แล้วจากนั้นก็ตามอาตมาเงียบ ๆ เท่านั้น---
แต่โอซือก็ลุกนั่งไม่เป็นสุขมาตั้งแต่เช้าจนจะเย็นแล้ว หลวงพี่ทากูอันยังนอนกลางวันกับแมวอยู่ที่ซอกหนึ่งของโบสถ์ เจ้าอาวาส ลูกวัด และคนทำงานในวัดเห็นหน้าโอซือเข้าก็สงสารและเห็นใจ
“โอซือ เจ้าอย่าไปเลย”
“หนีไปซ่อนดีกว่า”
แล้วก็ช่วยกันหาทางให้โอซือหนีจะได้ไม่ต้องไปกับพระทากูอัน แต่โอซือไม่มีใจที่จะหนีไปไหน
พระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้ว
แม่น้ำไอดะและหมู่บ้านมิยาโมโตะกำลังจะตกอยู่ในหลืบเงาของเทือกเขามืดทืบลงเรื่อย ๆ
แมวกระโจนลงไปจากโบสถ์ เมื่อพระทากูอันลืมตาตื่นและออกไปยืดตัวบิดขี้เกียจอยู่นอกระเบียง
“โอซือ เตรียมตัวออกเดินทางกันได้แล้ว”
“ฉันเตรียมเสร็จนานแล้วเจ้าค่ะหลวงพี่ มีรองเท้าฟาง ไม้เท้า สนับแข้ง ยา แล้วก็กระดาษชุบน้ำมัน”
“มีอย่างอื่นที่อาตมาอยากให้เอาไปด้วย”
“หอก กับ ดาบหรือเจ้าคะ”
“พวกนั้นไม่เอา อาตมาหมายถึงเสบียง”
“ข้าวห่อรึ”
“ไม่ใช่...โอซือช่วยเตรียม ข้าว เกลือ เต้าเจี้ยว แล้วก็เอาหม้อไปด้วยนะ อยากได้สาเกติดไปด้วยนิดหนึ่งด้วย ไปดูในครัวแล้วกัน มีอะไรกินได้ก็หยิบเอามาใส่กระบุง เอาไม้คานสอดเข้า เราสองคนจะได้ช่วยกันหามไปไง”
2
ภูเขาที่อยู่ใกล้มืดสนิทราวสีของถาดลงรัก และเทือกเขาที่ไกลออกไปทางฟ้าฟ้าด้านโน้นเป็นสีเทาจาง ลมอุ่นเริ่มโชยมาเมื่อใกล้ย่างเข้าฤดูร้อน
พุ่มไผ่เตี้ยและเถาไม้ข้างทางชุ่มน้ำจากหมอกที่ลงจัด และยิ่งไกลจากหมู่บ้านเข้าไปในภูเขาก็ยิ่งเปียกราวกับฝนเพิ่งหยุดตก พระทากูอันกับโอซือเดินหาบกระบุงเสบียงอยู่คนละปลายไม้คาน
“เพลินดีไหมโอซือ”
พระทากูอันเดินถือไม้เท้าร้องถามโอซือที่คอนไม้คานอยู่ข้างหลัง
“ไม่เห็นเพลินเลย หลวงพี่จะเดินไปถึงไหนกัน”
“นั่นน่ะซี”
คำตอบของหลวงพี่ทำเอาโอซือแทบหมดแรงเดิน
“น่า เดินไปกันอีกหน่อยนะ”
“เดินน่ะไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ”
“เหนื่อยรึ”
“เปล่าเจ้าค่ะ”
โอซือคงเจ็บไหล่ เห็นเปลี่ยนไม้คานไปที่ไหล่ขวาบ้างซ้ายบ้าง เปลี่ยนมือถือไม้เท้าบ้าง
“ไม่เห็นเจอใครสักคนเลยนะเจ้าคะ”
“วันนี้ ท่านซามูไรหนวดปลาดุกไม่อยู่ที่วัดทั้งวัน คงจะถอนกำลังออกจากภูเขากลับหมู่บ้านไปคอยดูเราสามวันตามสัญญา”
“ฉันอยากรู้นักว่า หลวงพี่จะจับทาเกโซตามที่สัญญาไว้กับเขาได้ยังไง”
“คอยดูแล้วกัน อีกไม่นานทาเกโซจะต้องออกมา”
“ออกมาแล้วหลวงพี่จะจับยังไง ปกติทาเกโซเป็นคนมีเรี่ยวแรงมหาศาลอยู่แล้ว ยิ่งถูกไล่ล่าล้อมกรอบอยู่นานอย่างนี้คงต้องบ้าเลือด กลายเป็นปีศาจร้ายไปแล้วเน่ ๆ แค่คิดฉันก็กลัวจนขาสั่นแล้วเจ้าค่ะ หลวงพี่”
“ระวังเท้า”
“ว้าย...อะไรไม่รู้ตกใจหมด”
“ไม่ได้บอกว่าทาเกโซมาซักหน่อย อาตมาเห็นเถาวัลย์พันเกี่ยวกับหนามยื่นออกมา กลัวโอซือจะสะดุดก็เลยร้องเตือนเอาไว้”
“สงสัยพวกไล่ล่าผูกเอาไว้ดักล่อทาเกโซให้จนมุมละมัง”
“นั่นน่ะซี ถ้าเดินไม่ระวังเราอาจอาจตกลงไปในหลุมพรางที่พวกไล่ล่าขุดดักเอาไว้ก็ได้นะ””
“ได้ยินหลวงพี่พูดอย่างนี้ ฉันไม่กล้าเดินแล้วนะเจ้าคะ”
“ไม่ต้องกลัวถ้าตกอาตมาก็ตกก่อน แต่คิดว่าดักไปก็เสียแรงเปล่า...เออ ทางชักจะแคบเข้ามามากแล้วนา”
“เราผ่านด้านหลังของซานุโมะมาแล้ว ตรงนี้คงจะแถว ๆ สึจิโนะฮาระ”
“สงสัยจะต้องเดินตลอดคืนละมังนะโอซือ”
“ปรึกษาฉันคงไม่ได้หรอกนะเจ้าค่ะ”
“วางหาบลงก่อนไหม”
“หลวงพี่จะทำอะไร”
พระทากูอันบอกหน้าตาเฉยว่า “ไปเบา” แล้วเดินไปที่ชะง่อนผา
ล่างลงไปเป็นวังน้ำวนแล้วไหลกระเชี่ยวกรากกระทบโขดหินที่เกลื่อนกลาดอยู่ในแม่น้ำไอดะตอนบน เสียงครืนครานราวฟ้าคะนอง
“สบายใจจริง นี่อาตมาเป็นหนึ่งในจักรวาล หรือว่าเป็นจักรวาลเสียเองกันแน่”
พระทากูอันทำธุระพลางแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าราวกับจะนับดาว
โอซือถูกทิ้งอยู่คนเดียวนานเข้าชักใจเสีย
“หลวงพี่ทากูอันยังไม่เสร็จหรือเจ้าคะ นานจัง”
ในที่สุดพระทากูอันก็กลับมา
“อาตมาถือโอกาสนั่งทางใน ถ้าถูกละก็แจ่มไปเลย”
“นั่งทางใน ?”
“ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือตั้งจิต ตั้งใจ ประสานกับสภาพดิน น้ำ อากาศ แล้วพอหลับตาลงก็ได้คำตอบว่าไปทางภูเขาลูกโน้น”
“ภูเขาทาเกเทรุหรือเจ้าคะ”
“จะชื่อว่าภูเขาอะไรอาตมาไม่รู้ เห็นแต่ทุ่งกว้างไม่มีต้นไม้อยู่กลางเขา”
“ทุ่งหญ้าอิตาโดริ”
“อิตาโดริ ชื่อของมันแปลว่าไปจับคนที่อยู่ตรงนั้น โชคดีแล้วเรา”
ว่าและพระทากูอันก็หัวเราะก้องไปทั้งหุบเขา
3
จากตรงนั้นพระทากูอันกับโอซือก็พากันเดินมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงทุ่งหญ้าอิตะโดริกลางเขาทากาเทรุที่มีทัศนียภาพกว้างขวาง แม้จะเรียกว่าทุ่งหญ้าแต่ก็ไม่ได้มีใครปล่อยให้วัวหรือม้ามาและเล็ม ในค่ำคืนที่ลมโชยอ่อน ๆ ลูบไล้ดอกไม้ใบหญ้าเช่นยามนี้
“เอาละโอซือ คืนนี้เราพักแรมกันที่นี่ ทาเกโซศัตรูของเราเปรียบเสมือนโจโฉและอาตมาคือขงเบ้ง”
“---เราจะทำอะไรที่นี่หรือเจ้าคะ”
“ก็นั่งลงน่ะซี”
“นั่งแล้วจะจับทาเกโซได้รึ”
“แค่เจ้าขึงตาข่ายแม้แต่นกที่บินอยู่ในอากาศก็จะบินมาติดเอง”
“หลวงพี่ทากูอันไม่กลัวหมาจิ้งจอกเยี่ยมกรายเข้ามาบ้างรึเจ้าค่ะ”
“งั้นเราก่อกองกองไฟกันเผื่อมันจะกลัว”
ว่าแล้วก็ออกไปเก็บกิ่งไม้แห้งมาหอบหนึ่งมาก่อกองไฟ โอซือค่อยหายใจทั่วท้องขึ้นมาบ้าง
“มีไฟแล้วสบายใจจริง”
“โอซือกลัวรึ”
“ก็ใครล่ะจะไม่กลัว ต้องมาอยู่กลางป่าจนถึงเช้าอย่างนี้ใช่เรื่องเล่นเสียเมื่อไร ถ้าฝนตกลงมาจะทำยังไง”
“ระหว่างทางขึ้นมาที่นี่ อาตมาเห็นถ้ำอยู่ข้างทาง กะว่าถ้าฝนตกก็จะหนีเข้าไปหลบ”
“ทาเกโซก็คงจะหนีไปซ่อนตัวอยู่ตามโพรงถ้ำเช่นนั้นยามค่ำคืนและเวลาฝนตก...ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมชาวบ้านถึงได้เกลียดชังทาเกโซกันถึงเพียงนี้”
“พวกเขาถูกอำนาจกดขี่ให้ต้องทำเช่นนั้น ชาวบ้านยิ่งจิตใจบริสุทธิ์เพียงใดก็ยิ่งเกรงกลัวอำนาจของพวกเจ้าหน้าที่เพียงนั้น พวกเขาเกรงกลัวอำนาจของเจ้าหน้าที่ถึงขนาดขับไล่ ญาติพี่น้องออกไปจากบ้านเกิดได้ทีเดียวนะโอซือ”
“คือใครจะเป็นยังไงก็ชั่ง ขอให้พวกตนพ้นภัยเท่านั้นเป็นพอ”
“แต่เราก็ต้องเห็นใจชาวบ้านด้วยนะโอซือ เพราะพวกเขาที่ไม่มีพละกำลังไปต่อกรพวกเจ้าหน้าที่”
“แล้วพวกซามูไรจากฮิเมจิเล่าหลวงพี่ ทาเกโซคนเดียวแท้ ๆ ไม่เห็นจำเป็นต้องระดมกำลังกันมาเป็นโกลาหลขนาดนั้น”
“ช่วยไม่ได้นะโอซือเพราะมันเป็นเรื่องของความมั่นคงปลอดภัย ตั้งแต่รอดชีวิตมาจากเซกิงาฮาระ ทาเกโซก็หนีตลอดมาด้วยความรู้สึกว่าถูกไล่ล่า ทาเกโซทำผิดอย่างมหันต์ที่ไปหักด่านกั้นเขตแดนระหว่างทางกลับหมู่บ้าน ฆ่านายด่านที่เป็นนักรบของแคว้นและอีกหลายคน คิดว่าต้องฆ่าเพื่อรักษาชีวิตตัวเอง นั่นเป็นเคราะห์กรรมที่ทาเกโซก่อขึ้นเองไม่อาจโทษใครได้ ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพราะความเบาปัญญาของเขาเอง”
“หลวงพี่โกรธชังทาเกโซเหมือนคนอื่นหรือเปล่า”
“โกรธซี ถ้าเป็นผู้ครองแคว้นอาตมาจะจับทาเกโซมาลงโทษหนักที่สุด จับตัวมาฉีกเป็นชิ้น ๆ ประจานให้ผู้คนได้เห็นเป็นเยี่ยงอย่าง และไม่ว่าจะมีฤทธิ์แค่ไหนจะดำดินดำน้ำหนีได้ยังไง อาตมาก็จะต้องดั้นด้นไปลากตัวเอามาขึ้นตะแลงแกงให้ได้ คนอย่างทาเกโซปล่อยไว้ไม่ได้ ขืนอ่อนข้อให้ก็จะยิ่งกำเริบเสิบสานเป็นอันตรายต่อบ้านเมือง”
“หลวงพี่ทากูอันโอบอ้อมอารีใจดีกับฉันเสมอ ไม่คิดว่าใจจริงจะแข็งกร้าวเกิดคาด”
“กร้าวซิ อาตมามาที่นี่ก็เพราะได้รับมอบอำนาจให้มาทำหน้าที่ลงโทษและให้รางวัลด้วยความถูกต้องเที่ยงธรรม”
“เอ๊ะ อะไร”
โอซือร้องด้วยความตกใจ ลุกขึ้นยืนตัวแข็งอยู่ข้างกองไปนั้นเอง
“หลวงพี่ได้ยินเสียงเหมือนคนเดินอยู่ในหมู่ไม้ตรงโน้นไหมเจ้าคะ”
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
“หลวงพี่ทากูอันถ้าจะเสียสติไปแล้ว เมื่อเช้าเห็นเล่าว่าไปอาสาท่านซามูไรทำอะไรก็ไม่รู้น่าห่วงมากเลยเอ็ง”
ลูกศิษย์วัดคนหนึ่งเข้ามาปรารภด้วยความห่วงกังวลในเรือนครัว ทำเอาตื่นตกใจไปตาม ๆ กัน
“จริงรึ”
คนหนึ่งเบิกตาโพลง
“หลวงพี่จะทำอะไร”
ไม่นานเมื่อเรื่องก็ถึงหูเจ้าอาวาส ท่านก็ถอนใจและเอ่ยเชิงเทศนาว่า
“สาธุ...นี่แหละที่โบราณเขาว่าพูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดชั่วอัปราชัย”
แต่คนที่ห่วงใยพระทาคูอันมากกว่าใคร ๆ ก็คือโอซือ
สาวน้อยเพิ่งบอบช้ำมาหยก ๆ เมื่อมาตาฮาจิคู่หมั้นที่นางไว้เนื้อเชื่อใจเป็นที่สุดส่งจดหมายตัดรักมาอย่างสิ้นเยื่อใย บาด แผลในใจของโอซือครั้งนี้สาหัสกว่าที่จะได้ยินว่ามาตาฮาจิตายในสนามรบเสียอีก โอซือหวังที่จะได้มีเหย้ามีเรือนอยู่เย็นเป็นสุขกับเขาเสียที แต่เมื่อเป็นไปเช่นนี้แล้วจะหันหน้าไปพึ่งใครได้ แม่เฒ่าแห่งตะกูลฮนอิเด็นว่าที่แม่ผัวซึ่งเคยดีด้วยก็แสดงธาตุแท้ให้เห็นมาแล้วกับตา
หลวงพี่ทากูอันคนเดียวเท่านั้นคือแสงสว่างสำหรับโอซือที่ถูกทิ้งให้ทุกข์ทรมานอยู่คนเดียวในความมืด ตอนที่ร่ำไห้อยู่คนเดียวในเรือนทอผ้า โอซือแค้นใจถึงกับคิดจะเอามีดมากรีดผ้าผืนงามที่ทอไว้ให้มาตาฮาจิค้างอยู่บนหูกให้ขาดกระจุย แล้วเอามีดนั้นแทงตัวตายให้สิ้นเวรสิ้นกรรมกันไปที ดีที่ได้หลวงพี่ทากูอันมาช่วยพูดปลอบขวัญจนจิตใจนางสงบลงและได้คิด ยอมให้หลวงพี่จูงไปรินสาเกรับรองแขกของเจ้าอาวาสตามหน้าที่ ความอบอุ่นของมือหลวงพี่ที่จูงนางไปยังประทับใจไม่จาง
โอซือเป็นห่วงหลวงพี่ยิ่งนัก ห่วงยิ่งกว่าตัวเองเสียอีก
สาวน้อยกลัวที่จะต้องสูญเสียหลวงพี่ทากูอันจากการที่ไปออกปากให้สัญญากับซามูไรหนวดปลาดุก ถ้าหลวงพี่เกิดเป็นอะไรไปจริง ๆ นางจะต้องโศกเศร้าจนใจแทบสลาย
โอซือมองไม่เห็นทางที่หลวงพี่จะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับซามูไรหนวดปลาดุกได้สำเร็จ ทาเกโซซ่อนตัวอยู่ที่ไหนไม่มีใครรู้ และจะระดมบริวารของซามูไรและชาวบ้านกลุ่มใหญ่แยกย้ายกันไล่ล่ามายี่สิบกว่าวันแล้วก็ยังไม่ได้ตัว แล้วลำพังหลวงพี่กับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างนางเพียงสองคน จะจับตัวทาเกโซผู้ปราดเปรียวราวแมวป่า เอาเชือกล่ามมาสยบแทบเท้าซามูไรหนวดปลาดุกได้อย่างไรภายในสามวัน คิดอย่างไรก็เห็นแต่ความมืดมน
คืนนั้น พระทากูอันกับซามูไรหนวดปลาดุกเจรจาต่อรองเงื่อนไขกันจนเป็นที่พอใจทั้งสองฝ่ายแล้ว จึงทำสัญญาโดยสาบานร่วมกันต่อเทพแห่งสงครามเลยทีเดียว
พระทากูอันลาคู่สัญญากลับมาที่โบสถ์ และพอโอซือเห็นเข้าก็ตรงเข้ามาต่อว่าไม่หยุดว่าทำไมถึงได้บุ่มบ่ามไปทำสัญญาโดยไม่คิดหน้าคิดหลังอย่างนั้น พระทากูอันตบไหล่โอซือเบา ๆ แล้วปลอบว่า---ไม่มีอะไรต้องวิตกกังวลหรอกนะโอซือ ถ้าเราสามารถขับไล่ความเดือดร้อนรำคาญให้หมดสิ้นไปจากหมู่บ้าน นำความปลอดภัยกลับมาสู่ทางหลวงที่เชื่อมต่อสี่แว่นแคว้นคืออินาบะ ทาจิมะ ฮาริมะ และบิเซ็น และช่วยชีวิตคนได้มากมาย ใจของเราก็จะเบาเหมือนขนนกเป็ดน้ำและปลอดโปร่งไปตลอดชีวิต พรุ่งนี้โอซือพักผ่อนหลับนอนให้สบายจนถึงเย็น แล้วจากนั้นก็ตามอาตมาเงียบ ๆ เท่านั้น---
แต่โอซือก็ลุกนั่งไม่เป็นสุขมาตั้งแต่เช้าจนจะเย็นแล้ว หลวงพี่ทากูอันยังนอนกลางวันกับแมวอยู่ที่ซอกหนึ่งของโบสถ์ เจ้าอาวาส ลูกวัด และคนทำงานในวัดเห็นหน้าโอซือเข้าก็สงสารและเห็นใจ
“โอซือ เจ้าอย่าไปเลย”
“หนีไปซ่อนดีกว่า”
แล้วก็ช่วยกันหาทางให้โอซือหนีจะได้ไม่ต้องไปกับพระทากูอัน แต่โอซือไม่มีใจที่จะหนีไปไหน
พระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้ว
แม่น้ำไอดะและหมู่บ้านมิยาโมโตะกำลังจะตกอยู่ในหลืบเงาของเทือกเขามืดทืบลงเรื่อย ๆ
แมวกระโจนลงไปจากโบสถ์ เมื่อพระทากูอันลืมตาตื่นและออกไปยืดตัวบิดขี้เกียจอยู่นอกระเบียง
“โอซือ เตรียมตัวออกเดินทางกันได้แล้ว”
“ฉันเตรียมเสร็จนานแล้วเจ้าค่ะหลวงพี่ มีรองเท้าฟาง ไม้เท้า สนับแข้ง ยา แล้วก็กระดาษชุบน้ำมัน”
“มีอย่างอื่นที่อาตมาอยากให้เอาไปด้วย”
“หอก กับ ดาบหรือเจ้าคะ”
“พวกนั้นไม่เอา อาตมาหมายถึงเสบียง”
“ข้าวห่อรึ”
“ไม่ใช่...โอซือช่วยเตรียม ข้าว เกลือ เต้าเจี้ยว แล้วก็เอาหม้อไปด้วยนะ อยากได้สาเกติดไปด้วยนิดหนึ่งด้วย ไปดูในครัวแล้วกัน มีอะไรกินได้ก็หยิบเอามาใส่กระบุง เอาไม้คานสอดเข้า เราสองคนจะได้ช่วยกันหามไปไง”
2
ภูเขาที่อยู่ใกล้มืดสนิทราวสีของถาดลงรัก และเทือกเขาที่ไกลออกไปทางฟ้าฟ้าด้านโน้นเป็นสีเทาจาง ลมอุ่นเริ่มโชยมาเมื่อใกล้ย่างเข้าฤดูร้อน
พุ่มไผ่เตี้ยและเถาไม้ข้างทางชุ่มน้ำจากหมอกที่ลงจัด และยิ่งไกลจากหมู่บ้านเข้าไปในภูเขาก็ยิ่งเปียกราวกับฝนเพิ่งหยุดตก พระทากูอันกับโอซือเดินหาบกระบุงเสบียงอยู่คนละปลายไม้คาน
“เพลินดีไหมโอซือ”
พระทากูอันเดินถือไม้เท้าร้องถามโอซือที่คอนไม้คานอยู่ข้างหลัง
“ไม่เห็นเพลินเลย หลวงพี่จะเดินไปถึงไหนกัน”
“นั่นน่ะซี”
คำตอบของหลวงพี่ทำเอาโอซือแทบหมดแรงเดิน
“น่า เดินไปกันอีกหน่อยนะ”
“เดินน่ะไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ”
“เหนื่อยรึ”
“เปล่าเจ้าค่ะ”
โอซือคงเจ็บไหล่ เห็นเปลี่ยนไม้คานไปที่ไหล่ขวาบ้างซ้ายบ้าง เปลี่ยนมือถือไม้เท้าบ้าง
“ไม่เห็นเจอใครสักคนเลยนะเจ้าคะ”
“วันนี้ ท่านซามูไรหนวดปลาดุกไม่อยู่ที่วัดทั้งวัน คงจะถอนกำลังออกจากภูเขากลับหมู่บ้านไปคอยดูเราสามวันตามสัญญา”
“ฉันอยากรู้นักว่า หลวงพี่จะจับทาเกโซตามที่สัญญาไว้กับเขาได้ยังไง”
“คอยดูแล้วกัน อีกไม่นานทาเกโซจะต้องออกมา”
“ออกมาแล้วหลวงพี่จะจับยังไง ปกติทาเกโซเป็นคนมีเรี่ยวแรงมหาศาลอยู่แล้ว ยิ่งถูกไล่ล่าล้อมกรอบอยู่นานอย่างนี้คงต้องบ้าเลือด กลายเป็นปีศาจร้ายไปแล้วเน่ ๆ แค่คิดฉันก็กลัวจนขาสั่นแล้วเจ้าค่ะ หลวงพี่”
“ระวังเท้า”
“ว้าย...อะไรไม่รู้ตกใจหมด”
“ไม่ได้บอกว่าทาเกโซมาซักหน่อย อาตมาเห็นเถาวัลย์พันเกี่ยวกับหนามยื่นออกมา กลัวโอซือจะสะดุดก็เลยร้องเตือนเอาไว้”
“สงสัยพวกไล่ล่าผูกเอาไว้ดักล่อทาเกโซให้จนมุมละมัง”
“นั่นน่ะซี ถ้าเดินไม่ระวังเราอาจอาจตกลงไปในหลุมพรางที่พวกไล่ล่าขุดดักเอาไว้ก็ได้นะ””
“ได้ยินหลวงพี่พูดอย่างนี้ ฉันไม่กล้าเดินแล้วนะเจ้าคะ”
“ไม่ต้องกลัวถ้าตกอาตมาก็ตกก่อน แต่คิดว่าดักไปก็เสียแรงเปล่า...เออ ทางชักจะแคบเข้ามามากแล้วนา”
“เราผ่านด้านหลังของซานุโมะมาแล้ว ตรงนี้คงจะแถว ๆ สึจิโนะฮาระ”
“สงสัยจะต้องเดินตลอดคืนละมังนะโอซือ”
“ปรึกษาฉันคงไม่ได้หรอกนะเจ้าค่ะ”
“วางหาบลงก่อนไหม”
“หลวงพี่จะทำอะไร”
พระทากูอันบอกหน้าตาเฉยว่า “ไปเบา” แล้วเดินไปที่ชะง่อนผา
ล่างลงไปเป็นวังน้ำวนแล้วไหลกระเชี่ยวกรากกระทบโขดหินที่เกลื่อนกลาดอยู่ในแม่น้ำไอดะตอนบน เสียงครืนครานราวฟ้าคะนอง
“สบายใจจริง นี่อาตมาเป็นหนึ่งในจักรวาล หรือว่าเป็นจักรวาลเสียเองกันแน่”
พระทากูอันทำธุระพลางแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าราวกับจะนับดาว
โอซือถูกทิ้งอยู่คนเดียวนานเข้าชักใจเสีย
“หลวงพี่ทากูอันยังไม่เสร็จหรือเจ้าคะ นานจัง”
ในที่สุดพระทากูอันก็กลับมา
“อาตมาถือโอกาสนั่งทางใน ถ้าถูกละก็แจ่มไปเลย”
“นั่งทางใน ?”
“ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือตั้งจิต ตั้งใจ ประสานกับสภาพดิน น้ำ อากาศ แล้วพอหลับตาลงก็ได้คำตอบว่าไปทางภูเขาลูกโน้น”
“ภูเขาทาเกเทรุหรือเจ้าคะ”
“จะชื่อว่าภูเขาอะไรอาตมาไม่รู้ เห็นแต่ทุ่งกว้างไม่มีต้นไม้อยู่กลางเขา”
“ทุ่งหญ้าอิตาโดริ”
“อิตาโดริ ชื่อของมันแปลว่าไปจับคนที่อยู่ตรงนั้น โชคดีแล้วเรา”
ว่าและพระทากูอันก็หัวเราะก้องไปทั้งหุบเขา
3
จากตรงนั้นพระทากูอันกับโอซือก็พากันเดินมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงทุ่งหญ้าอิตะโดริกลางเขาทากาเทรุที่มีทัศนียภาพกว้างขวาง แม้จะเรียกว่าทุ่งหญ้าแต่ก็ไม่ได้มีใครปล่อยให้วัวหรือม้ามาและเล็ม ในค่ำคืนที่ลมโชยอ่อน ๆ ลูบไล้ดอกไม้ใบหญ้าเช่นยามนี้
“เอาละโอซือ คืนนี้เราพักแรมกันที่นี่ ทาเกโซศัตรูของเราเปรียบเสมือนโจโฉและอาตมาคือขงเบ้ง”
“---เราจะทำอะไรที่นี่หรือเจ้าคะ”
“ก็นั่งลงน่ะซี”
“นั่งแล้วจะจับทาเกโซได้รึ”
“แค่เจ้าขึงตาข่ายแม้แต่นกที่บินอยู่ในอากาศก็จะบินมาติดเอง”
“หลวงพี่ทากูอันไม่กลัวหมาจิ้งจอกเยี่ยมกรายเข้ามาบ้างรึเจ้าค่ะ”
“งั้นเราก่อกองกองไฟกันเผื่อมันจะกลัว”
ว่าแล้วก็ออกไปเก็บกิ่งไม้แห้งมาหอบหนึ่งมาก่อกองไฟ โอซือค่อยหายใจทั่วท้องขึ้นมาบ้าง
“มีไฟแล้วสบายใจจริง”
“โอซือกลัวรึ”
“ก็ใครล่ะจะไม่กลัว ต้องมาอยู่กลางป่าจนถึงเช้าอย่างนี้ใช่เรื่องเล่นเสียเมื่อไร ถ้าฝนตกลงมาจะทำยังไง”
“ระหว่างทางขึ้นมาที่นี่ อาตมาเห็นถ้ำอยู่ข้างทาง กะว่าถ้าฝนตกก็จะหนีเข้าไปหลบ”
“ทาเกโซก็คงจะหนีไปซ่อนตัวอยู่ตามโพรงถ้ำเช่นนั้นยามค่ำคืนและเวลาฝนตก...ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมชาวบ้านถึงได้เกลียดชังทาเกโซกันถึงเพียงนี้”
“พวกเขาถูกอำนาจกดขี่ให้ต้องทำเช่นนั้น ชาวบ้านยิ่งจิตใจบริสุทธิ์เพียงใดก็ยิ่งเกรงกลัวอำนาจของพวกเจ้าหน้าที่เพียงนั้น พวกเขาเกรงกลัวอำนาจของเจ้าหน้าที่ถึงขนาดขับไล่ ญาติพี่น้องออกไปจากบ้านเกิดได้ทีเดียวนะโอซือ”
“คือใครจะเป็นยังไงก็ชั่ง ขอให้พวกตนพ้นภัยเท่านั้นเป็นพอ”
“แต่เราก็ต้องเห็นใจชาวบ้านด้วยนะโอซือ เพราะพวกเขาที่ไม่มีพละกำลังไปต่อกรพวกเจ้าหน้าที่”
“แล้วพวกซามูไรจากฮิเมจิเล่าหลวงพี่ ทาเกโซคนเดียวแท้ ๆ ไม่เห็นจำเป็นต้องระดมกำลังกันมาเป็นโกลาหลขนาดนั้น”
“ช่วยไม่ได้นะโอซือเพราะมันเป็นเรื่องของความมั่นคงปลอดภัย ตั้งแต่รอดชีวิตมาจากเซกิงาฮาระ ทาเกโซก็หนีตลอดมาด้วยความรู้สึกว่าถูกไล่ล่า ทาเกโซทำผิดอย่างมหันต์ที่ไปหักด่านกั้นเขตแดนระหว่างทางกลับหมู่บ้าน ฆ่านายด่านที่เป็นนักรบของแคว้นและอีกหลายคน คิดว่าต้องฆ่าเพื่อรักษาชีวิตตัวเอง นั่นเป็นเคราะห์กรรมที่ทาเกโซก่อขึ้นเองไม่อาจโทษใครได้ ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพราะความเบาปัญญาของเขาเอง”
“หลวงพี่โกรธชังทาเกโซเหมือนคนอื่นหรือเปล่า”
“โกรธซี ถ้าเป็นผู้ครองแคว้นอาตมาจะจับทาเกโซมาลงโทษหนักที่สุด จับตัวมาฉีกเป็นชิ้น ๆ ประจานให้ผู้คนได้เห็นเป็นเยี่ยงอย่าง และไม่ว่าจะมีฤทธิ์แค่ไหนจะดำดินดำน้ำหนีได้ยังไง อาตมาก็จะต้องดั้นด้นไปลากตัวเอามาขึ้นตะแลงแกงให้ได้ คนอย่างทาเกโซปล่อยไว้ไม่ได้ ขืนอ่อนข้อให้ก็จะยิ่งกำเริบเสิบสานเป็นอันตรายต่อบ้านเมือง”
“หลวงพี่ทากูอันโอบอ้อมอารีใจดีกับฉันเสมอ ไม่คิดว่าใจจริงจะแข็งกร้าวเกิดคาด”
“กร้าวซิ อาตมามาที่นี่ก็เพราะได้รับมอบอำนาจให้มาทำหน้าที่ลงโทษและให้รางวัลด้วยความถูกต้องเที่ยงธรรม”
“เอ๊ะ อะไร”
โอซือร้องด้วยความตกใจ ลุกขึ้นยืนตัวแข็งอยู่ข้างกองไปนั้นเอง
“หลวงพี่ได้ยินเสียงเหมือนคนเดินอยู่ในหมู่ไม้ตรงโน้นไหมเจ้าคะ”