xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ ภาค 1 ดิน ตอนตำราพิชัยสงคราม (ต่อ)

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา


ความเดิม---
“อาตมาไม่ขัดข้องหรอกนะ แต่แม่ทัพหนวดปลาดุกดูเหมือนจะเกลียดหน้าอาตมา และอาตมาเองก็อยากแกล้งอะไร เจ็บ ๆ ทุกครั้งที่เห็นหนวดหมอนั่น เจ้าคงคิดว่าโตแล้วยังทำอะไรเหมือนเด็ก ๆ แต่คนบางคนเห็นแล้วมันอดแกล้งไม่ได้”

“แต่หลวงพี่อยู่ด้วยเถิดนะ ฉันคนเดียวมันยังไงไม่รู้”

“เจ้าอาวาสก็อยู่ด้วยไง”

“หลวงพี่ไม่รู้อะไร พอเห็นฉันหลวงพ่อก็ลุกออกไปทุกทีเลย”

“เอ...อย่างนี้ก็น่าห่วงอยู่ เอา...อาตมาอยู่ด้วยก็ได้ อย่ามัวร่ำไรอยู่เลย รีบไปผัดหน้าทาแป้งเสียให้เรียบร้อยแล้วไปด้วยกัน”







4
แขกคนสำคัญยินดียิ่งนักเมื่อเห็นโอซือเดินเข้ามาในห้องเจ้าอาวาส จัดแจงจับหมวกที่ปัดเป๋อยู่ให้เข้าที่วางท่าที่คิดว่าดูดีเป็นที่ต้องตาสาวน้อย หน้าหนวดปลาดุกแดงเรื่อแสดงว่าร่ำเหล้าสาเกมาจนได้ที่ ตาเยิ้มจนหางตาตก ถึงโอซือจะเข้ามาดูแลรินสาเกให้แต่ซามูไรหนวดปลาดุกก็ยังไม่รื่นเริงบันเทิงใจเต็มที่ เพราะมองไปทางด้านหลังโคมตะเกียงทีไรเป็นต้องเห็นเงาตะคุ่มใครคนหนึ่งนั่งหลังงอเหมือนคนตาบอด เท้าข้อศอกอ่านหนังสืออยู่บนโต๊ะเตี้ย ๆ เป็นที่ขวางหูขวางตาทุกครั้งไป
พระทากูอันนั่นเอง ซามูไรหนวดปลาดุกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพวกพระลูกวัดจึงชี้นิ้วตวาดเสียงดัง

“แก มาทำอะไรอยู่ตรงนั้น”

พระทากูอันยังอ่านหนังสือง่วนอยู่ไม่เงยหน้าขึ้นตอบ พอโอซือส่งเสียงเรียกเบา ๆ จึงรู้สึกตัวมองไปรอบ ๆ

“อ้าว เรียกอาตมาดอกรึ”

“ใช่ ไปให้พ้น มานั่งเกะกะอยู่ทำไมไม่ใช่กงการอะไรของเอ็ง”

“อาตมาอยู่ตรงนี้ไม่เกะกะดอก”

“ไม่ได้ เข้าจะดื่มสาเก เอ็งมานั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนี้ สาเกข้าเสียรสหมด ไม่ให้พ้นเดี๋ยวนี้เลย”

“คว่ำหนังสือก็ได้เอ้า”

“แต่มันขวางหูขวางตา”

“งั้นโอซือ เจ้าช่วยเอาหนังสือนี่ไปไว้นอกห้องทีเถิด”

“ที่ขวางดูขวางตาข้าน่ะไม่ใช่หนังสือ แต่เป็นตัวเอ็งเข้าใจไหม เอ็งนั่งอยู่ตรงนี้สาเกของข้าเสียรสหมด”

“เอ แล้วจะทำยังไงดี อาตมาไม่ใช่ท่านเห่งเจียเสียด้วย จะได้เสกตัวเองให้กลายเป็นควัน หรือเป็นแมลงไปเกาะอยู่มุมถาดให้พ้นตาท่าน”

“ไม่ต้องมาพล่าม ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้”

คราวนี้ซามูไรหนวดปลาดุกเกิดโมโหขึ้นมาจริง ๆ

“ขอรับ ขอรับ”

พระทากูอันค้อมตัวอ่อนน้อมแล้วฉวยข้อมือโอซือ

“โอซือ รู้สึกว่าท่านซามูไรจะชอบอยู่คนเดียว รักความสันโดษอันเป็นวิสัยของผู้ทรงปัญญา...เรามารวบกวนท่านอย่างนี้มันไม่ดี ไปทางโน้นกันดีกว่าโอซือ อย่ามัวร่ำไร”

“ไอ้บ้า...”

“อ้าว อะไรล่ะ”

“ใครบอกให้พาโอซือไปด้วย เอ็งนี่ไม่โง่ก็บ้า พูดไม่รู้เรื่อง”

“พระกับซามูไร น้อยคนนักที่จะหล่อเหลาเอาการ ดูอย่างหนวดปลาดุกของท่านเป็นตัวอย่าง”

“อะไรนะ”

ซามูไรยื่นมือไปคว้าดาบที่วางพิงไว้ข้างฝา พระทากูอันจ้องดูหนวดปลาดุกที่ชี้เด่ขึ้นด้วยโทสะแล้วยั่วว่า

“ท่านเคยเห็นหนวดชี้เด่ไหมว่ามันเป็นยังไง”

“ทนไม่ไหวแล้วไอ้ชั่ว เตรียมตัวตาย”

“ไหน ๆ ท่านจะบั่นคออาตมารึ ฮะ.ฮะ.ห้า อย่าดีกว่า ไม่สนุกหรอก”

“ว่าไงนะ ไอ้พระสามหาว”

“ไม่มีอะไรจะเสียแรงเปล่าเท่ากับบั่นคอพระ คิดดูก็แล้วกันว่าจะได้ประโยชน์อะไร หากหัวที่ท่านตัดกระเด็น ลงไปกลิ้ง หัวเราะชอบใจไม่มีอนาทรร้อนใจอะไรอยู่ตรงนั้น”

“เออ ก็ลองดูไหมล่ะว่าหัวขาดแล้วจะยังสำรากได้อีกหรือเปล่า”

“แต่ ท่านขอรับ...

คำพูดของพระทากูอันกวนประสาทให้ซามูไรหนวดปลาดุกบันดาลโทสะขึ้นเรื่อย ๆ มือที่กุมฝักดาบอยู่สั่นระริกด้วยความโกรธ โอซือเห็นท่าจะไม่ได้การจึงเอาตัวเข้าไปบังพระทากูอันไว้ พลางห้ามเสียงสั่นเครือ

“หลวงพี่เจ้าขาพอทีเกิด ไม่มีใครเขาพูดอย่างนั้นกับท่านซามูไรกันหรอกนะ เราเป็นผู้น้อย ขอโทษท่านเสีย ขอโทษเดี๋ยวนี้เลย ถ้าท่านลงดาบจริง ๆ จะทำยังไง”

พระทากูอันไม่ฟังเสียง

“โอซือออกไปเสีย ไม่ต้องเป็นห่วงอาตมา...แม่ทัพอะไรกันไม่เห็นจะมีน้ำยา เกณฑ์บริวารมากมายก่ายกองมาไล่ล่าเจ้าหนุ่มทาเกโซคนเดียว จนยี่สิบวันแล้วก็ยังจับไม่ได้ แล้วจะมีปัญญาอะไรมาบั่นคอพระอย่างทากูอัน ก็ลองดูบั่นดูซิ อาตมาจะหัวเราะให้ฟันหักทีเดียว”

5
“ปากดีนัก อย่าหนีก็แล้วกัน”

ซามูไรหนวดปลาดุกหน้าแดงราวกับทาด้วยชาด เตรียมพร้อมชักดาบออกจากฝัก

“โอซือถอยไป ข้าจะฟันไอ้คนปากชั่วคนนี้ให้ขาดเป็นสองท่อนเดี๋ยวนี้แหละ”

โอซือถลาเข้าไปกั้นพระทากูอันไว้ และฟุบตัวลงแทบเท้าของซามูไร

“ท่านต้องโกรธมาก แต่กรุณาให้อภัยหลวงพี่ด้วยเถิดเจ้าค่ะ หลวงพี่พูดอย่างนี้กับทุกคน ดิฉันแน่ใจเจ้าค่ะว่าไม่ได้จงใจยั่วโมโหท่านเลย”

พอได้ยินดังนั้นพระทากูอันก็ขัดขึ้นว่า

“โอซือเจ้าชักจะพูดอะไรไม่ได้เรื่องใหญ่แล้ว อาตมาไม่ได้พูดเล่น ที่อาตมาพูดไปทั้งหมดเป็นความจริง อาตมาเห็นซามูไรคนไหนไม่มีน้ำยา อาตมาก็ว่าไปอย่างนั้น ผิดด้วยรึ”

“ยังจะสามหาวอยู่อีก”

“อาตมาก็พูดของอาตมาอยู่อย่างนี้แหละจะทำไม และอีกอย่างอาตมาขอบอกท่านซามูไรว่า จะเกณฑ์บริวารของท่านพลิกแผ่นดินบนภูเขาทั้งหมดนี้ไล่ล่าทาเกโซต่อไปอีกกี่วันกี่เดือนก็ตามใจ แต่เลิกทำความเดือดร้อนให้แก่ชาวไร่ชาวนาเสียที เกณฑ์คนไปไล่ล่าทุกวันจนต่อทิ้งไร่ทิ้งนา เงินทองก็ไม่เคยให้เป็นค่าตอบแทน ท่านรู้บ้างไหมว่ากำลังจะอดตายกันทั้งหมู่บ้านแล้ว”

“เอ๊ะ เจ้าพระลูกวัดคนนี้ชักจะโอหังเกินไปเสียแล้ว รู้หรือไม่ว่ากำลังทำตัวขัดขืนกับวิถีการปกครองของท่านจอมทัพ”

“อาตมาไม่ได้ลบหลู่หรือขัดขืนวิธีการปกครองของท่านจอมทัพ แต่กำลังด่าพวกเจ้าพนักงานอย่างพวกท่านที่เข้าไปแทรกกลางอยู่ระหว่างผู้ครองแคว้นและพลเมือง วางท่าเป็นคนดีมีความซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน แต่ที่จริงแล้วล้วนแต่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวไม่ผิดอะไรกับหัวขโมย ความประพฤติของตัวท่านเองคืนนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดมาก บอกข้าได้ไหมว่าท่านมีสิทธิอะไรถึงได้มาอยู่อย่างสุขสบายในห้องเจ้าอาวาสวัดนี้ ใส่เสื้อใส่ผ้าอบอุ่น ลงแช่น้ำร้อน ๆ สบายกายสบายใจ เสร็จแล้วมานั่งเอ้เตเรียกหาสาเกและสาวสวยมาช่วยรินให้เป็นที่สำราญก่อนนอนห่มผ้านวมอบอุ่น จะให้เชื่อหรือว่าท่านทำตามคำสั่งของผู้ครองแคว้น”

“... ... ...”

“อาตมาเข้าใจว่าหน้าที่ที่แท้จริงของเจ้าพนักงานคือตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายด้วยความซื่อตรงจนบรรลุผลสำเร็จ และดูแลทุกข์สุขของชาวบ้านให้อยู่ดีกินดี แต่ดูนี่ซิ ท่านมาทำความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน จิกหัวใช้บริวารโดยไม่คำนึงว่าใครจะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน ขโมยเวลาในหน้าที่มาดื่มกินร่ำสุราหาความสุขใส่ตัวเอง ท่านนี้แหละคือตัวอย่างของเจ้าพนักงานเลวตัวจริงที่ใช้อำนาจข่มเหงชาวบ้านตาดำ ๆ”

“... ... ...”

“ก็ลองดูซิ ลองตัดหัวอาตมาเอาไปวางต่อหน้าท่านอิเกดะ เทรุมาซะผู้ครองปราสาทฮิเมจิดูแล้วเจ้าจะต้องตกใจแทบสิ้นสติ เมื่อได้ยินท่านจอมทัพร้องทักอาตมาว่า...อ้าว ทำไมวันนี้พระคุณท่านถึงได้มาพบข้าพเจ้าแค่ศีรษะ ท่านชะล่าใจเกินไป คงไม่รู้หรอกว่าอาตมาคุ้นเคยกับท่านจอมทัพเพียงไร เราพบกันบ่อย ๆที่การชุมนุมพิธีชาที่วัดเมียวชินจิ และที่วัดไดโทกุจิในโอซากา”

ซามูไรหนวดปลาดุกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่ก็ดูหวั่นไหวแทบจะสร่างเมา

“นั่งลงสงบจิตสงบใจเสียก่อน”

พระทากุอันให้โอกาสคู่อริ

“ถ้าท่านยังสงสัยว่าอาตมาพูดไม่จริง จะให้อาตมาเอาแป้งโซบะติดมือไปเยี่ยมเยือนท่านเทรุมาซะผู้ครองปราสาทฮิเมจิก็คงได้ แต่เสียดายที่อาตมาเกลียดการไปเยี่ยมเยียนผู้ครองนครนอกจากจะจำเป็นจริง ๆ และถ้าไปแล้วไปเผลอพูดถึงพฤติกรรมของท่านที่หมู่บ้านมิยาโมโตะแห่งนี้ออกไปละก็ คงมีใครสักคนต้องฮาราคีริ อาตมาถึงได้บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าอย่ามาทำเขื่องกับอาตมา นักรบซามูไรทีดีจะต้องรู้จักคิดหน้าคิดหลัง ตรงนี้แหละที่เป็นจุดอ่อนของพวกท่าน”

“... ... ...”

“จงวางดาบลงที่เดิมโดยเร็ว แล้วฟังอาตมา ท่านเคยอ่านตำราพิชัยสงครามของท่านซนชิบ้างหรือเปล่า นักรบที่ดีย่อม รู้จักตำราพิชัยสงครามของท่านซนชิกันทุกคน และจากนี้อาตมาจะบรรยายให้ฟังว่าจะสามารถจับตัวทาเกโซแห่งหมู่บ้าน มิยาโมโตะได้อย่างไรโดยไม่ต้องสูญเสียนักรบบริวารของท่าน...นั่งลงและตั้งใจฟังให้ดีเพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงานในหน้าที่ที่จอมทัพของท่านมอบหมายมา โอซือช่วยเติมสาเกให้ท่านด้วยเถิด”

6
ซามูไรหนวดปลาดุกอยู่ในวัยสี่สิบ แก่กว่าพระทากูอันราวสิบปี แต่ความแตกต่างในคุณค่าของของความเป็นคนนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ หรือแม้แต่ฐานะการเป็นราชากับยาจก

“สาเกไม่เอาละ...ข้าพอแล้ว”

ซามูไรหนวดปลาดุกที่ฮึกเหิมกรากเกรี้ยวแต่แรกนั้น เปลี่ยนไปเป็นเหมือนแมวเชื่องตัวหนึ่ง

“ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าพระคุณเจ้าคุ้นเคยสนิทสนมกับท่านเทรุมาซะแห่งปราสาทฮิเมจิมาก่อน ก็เลยพูดจาล่วงเกินไปมาก อภัยให้ข้าด้วยเถิด”

ซามูไรที่ถูกถอดเขี้ยวเล็บพร่ำพูดขอโทษขอโพยอย่างน่าขัน แต่พระทากูอันก็ไม่ถือโอกาสที่เป็นต่อพูดจาซ้ำเติมแต่อย่างใด

“เอาละ เรื่องนั้นช่างเถอะ ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าทำอย่างไรจึงจะจับทาเกโซให้อยู่มือได้ สำหรับท่านนอกจากจะเป็นการทำภารกิจที่ท่านได้รับมอบหมายมาให้สำเร็จลุล่วงแล้ว ยังเป็นการรักษาศักดิ์ศรีความเป็นนักรบซามูไรของท่านด้วย”

“ใช่”

“อาตมารู้ว่าท่านชอบให้มันยืดเยื้ออย่างนี้ เพราะยิ่งจับทาเกโซได้ช้าเท่าไรท่านก็ยิ่งได้เสวยสุขอยู่ที่วัดชิปโปจิแห่งนี้โดยมีสาวงามโอซืคอยปฏิบัติ ได้ยาวนานเพียงนั้น”

“เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้วข้าขอร้อง โดยเฉพาะต่อหน้าท่านเทรุมาซะเจ้านายเหนือหัวของข้า”

“เรื่องนี้อาตมาตั้งใจแล้วว่าจะเก็บไว้เป็นความลับ แต่ถ้าท่านยังเกณฑ์ให้ชาวบ้านขึ้นไปไล่ล่าทาเกโซบนภูเขายืดเยื้อนานออกไป ชาวไร่ชาวนาก็จะไม่มีเวลาไปทำมาหากิน และชาวบ้านก็จะลำบากยากแค้นไปทั่ว”

“เห็นข้าสุขสบายอย่างนี้ แต่ใจจริงแล้วข้าเองก็ห่วงกังวลทุกค่ำคืนเลยละหลวงพี่”

“ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะท่านไม่รู้จักคิดหากุศโลบาย คืออ่อนหัดไม่รู้ตำราพิชัยสงคราม”

“ท่านพูดให้ข้าละอายใจ”

“ใช่...ท่านควรละอายในความไร้สมรรถภาพของตนเอง และช่วยไม่ได้ที่อาตมาจะเรียกท่านว่าไอ้งั่ง แต่ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมัวแต่มานั่งประณามท่านให้น่าเวทนาอยู่อย่างนี้ เอาเป็นว่าอาตมาจะจับทาเกโซให้ได้ภายในสามวัน”

“หลวงพี่ว่ายังไงนะ”

“ท่านคิดว่าอาตมาพูดเล่นอย่างนั้นรึ”

“แต่”

“แต่อะไร”

“ก็บริวารของข้าหลายสิบคนกับชาวไร่ชาวนาที่รี้รวมกันแล้วราวสองร้อยคน ออกไล่ล่าบนภูเขาทุกวันยังจับมันไม่ได้”

“รู้สึกว่าจะเหน็ดเหนื่อยมากอยู่”

“ยิ่งตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ เจ้าทาเกโซเลยยิ่งสบายใหญ่เพราะบนภูเขามีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์”

“งั้นก็รอจนกว่าหิมะจะตกแล้วกันนะ”

“คงไม่ได้มั้งหลวงพี่”

“อาตมาถึงได้อาสาว่าจะจับให้ยังไง อาตมาไม่ต้องการคนมากมายดอกแค่คนเดียวก็พอ บางทีข้าจะขอให้โอซือไปด้วย”

“พูดเป็นเล่น”

“บ้าเหรอ คิดว่าชูโฮ ทากูอันพูดแต่เรื่องตลกโปฮาไปวัน ๆ หรือไง”

“เปล่า...คือ”

“ตรงนี้แหละที่ข้าบอกว่าท่านไม่รู้จักตำราพิชัยสงคราม ถึงอาตมาจะเป็นพระแต่ก็ได้อ่านตำรับตำรายุทธศาสตร์ของนักปราชญ์จีนมาบ้าง การรับอาสาครั้งนี้ข้ามีเงื่อน แต่ถ้าไม่ยอมข้าก็จะเฝ้าดูการไล่ล่าของท่าไปจนกว่าหิมะจะตก”

“เงื่อนไขอะไร”

“หลังจากจับทาเกโซได้แล้ว ท่านต้องปล่อยให้อาตมาเป็นคนจัดการกับมัน”

“หลวงพี่หมายความว่ายังไง”

ซามูไรบิดหนวดปลาดุกพลางครุ่นคิด เขาไม่เชื่อถือหลวงพี่เพี้ยน ๆ คนนี้เท่าไรนัก อาจพูดโวไปอย่างนั้นพอพบทาเกโซเข้าจริง ๆ อาจวิ่งหนีหางจุกตูดเลยก็ได้ แต่ก็น่าลองดูสักตั้งจึงตอบว่า

“ตกลง ถ้าจับได้หลวงพ่อก็จัดการเองตามใจแล้วกัน แต่ถ้าเกิดจับไม่ได้ภายในสามวัน หลวงพี่จะทำยังไง”

“อาตมาจะแขวนคอกับต้นไม้ในสวนนี่แหละ”

พระทากูอันพูดพลางทำท่าแขวนคอลิ้นจุกปากให้ดู


กำลังโหลดความคิดเห็น