นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ภาค 1ดิน ตอนเห็ดเมา (ต่อ)
ความเดิมของตอนที่แล้ว
“อ้าว จะไปไหนล่ะ มาตาฮาจิ”
“กลับหมู่บ้านมิยาโมโตะแห่งแคว้นซากุน่ะซี แม่กับคู่หมั้นของฉันคอยอยู่”
“ตายจริง ฉันนี่แย่มากเลยที่กักเจ้าเอาไว้ที่นี่ ถ้ามีคนคอยอยู่ที่บ้าน มาตาฮาจิจะกลับไปก่อนคนเดียวก็ตามใจเลยนะ ฉันไม่หน่วงเหนี่ยวเอาไว้หรอก”
5
ทาเกโซกำด้ามดาบไม้ดำกระชับแน่น และเมื่อลองฟาดฟันราวต่อสู้กับข้าศึก ก็รู้สึกได้ถึงแรงเหวี่ยงและแรงสะท้อนกลับที่สมดุลเหมาะมือยิ่งนัก เจ้าหนุ่มพกดาบไม้เล่มนี้ติดตัวไม่ยอมห่างนับแต่วันที่ได้รับมาจากคุณนายโอโค
แม้ยามนอนก็กอดนอน และคราใดที่แนบแก้มลงกับดาบไม้ที่เยียบเย็น จิตวิญญาณนักดาบที่ถูกเคี่ยวจนเข้มข้นด้วยนักดาบจอมยุทธ์มูนิไซผู้บิดาบนพื้นโรงฝึกอันเย็นเยียบยามเยาว์วัย ก็ซาบซ่านขึ้นทั่วตัวทุกครั้งไป
บิดาของทาเกโซเป็นคนเข้มแข็งเด็ดขาดและเลือดเย็นราวน้ำค้างแข็งในฤดูใบไม้ร่วง ทาเกโซไม่เคยได้สัมผัสกับความรักความอบอุ่นจากบิดา ได้แต่โหยหาอ้อมอกของมารดาที่แยกทางออกจากบ้านไปตั้งแต่เขายังเป็นเด็กเล็ก บิดาเป็นแค่ครูดาบผู้ดุดันน่าเกรงขามที่เด็กน้อยไม่อยากเผชิญหน้าแม้แต่จะเฉียดเข้าไปใกล้ เมื่อเก้าขวบทาเกโซหนีออกจากบ้านไปหามารดาที่แคว้นบันชู เพียงเพื่ออยากได้ยินเสียงอ่อนโยนของมารดาเมื่อร้องทักว่า---โตขึ้นมากนะลูก เท่านั้นเอง
แต่เปล่าเลย ภาพของมารดาผู้แยกทางกับมูนิไซผู้สามีด้วยเหตุผลกลใดไม่รู้แจ้ง และแต่งงานใหม่กับนักรบที่ซาโยโกแห่งแคว้นบันชูจนมีลูกด้วยกันอีกคนหนึ่ง จูงมือเขาไปยังป่าละเมาะของศาลเจ้าที่ร้างผู้คน กอดเขาไว้แนบอก ร้องไห้พลางอ้อนวอนว่า---กลับไปเถิดลูก กลับไปหาพ่อเจ้า---ยังติดตาทาเกโซมาจนทุกวันนี้
ไม่นาน บริวารของบิดาก็ตามมาจับทาเกโซมัดกับหลังม้าที่เปล่าเปลือย พากลับไปยังหมู่บ้านมิยาโมโตะอีกครั้ง ทันทีที่เห็นหน้าลูกชาย มูนิไซบันดาลโทสะสุดขีด ตรงเข้าไปใช้ไม้ที่ถือติดมืออยู่ฟาดลงไปไม่ยั้งและไม่เลือกที่บนร่างเด็กชาย พลางร้องด่าว่า---ไอ้ลูกไม่รักดี---ไม่หยุดปาก ภาพนั้นติดตรึงราวถูกตีตราเอาไว้บนหัวใจอันอ่อนเยาว์ของทาเกโซ
---ถ้าไปหาแม่เอ็งอีก ข้าจะไม่นับว่าเอ็งเป็นลูกอีกต่อไป---
จากนั้นไม่นาน พอได้ข่าวว่ามารดาล้มป่วยและถึงแก่กรรม ทาเกโซก็เปลี่ยนไปทันที จากที่เคยเงียบหงิมกลายไปเป็นเด็กก้าวร้าวเกเรที่สุดในหมู่บ้านจนไม่มีใครเอาอยู่ แม้แต่บิดาผู้ดุดันยังต้องถอย เพราะพอมูนิไซเงื้อมือทาเกโซก็จะคว้าไม้ขึ้นมาตั้งรับด้วยทีท่าเอาจริง บรรดาเด็กเหลือขอที่ว่าร้ายมากแล้วก็ยังต้องยอมสงบให้ทาเกโซทุกคน มีอยู่คนเดียวที่กล้าเผชิญหน้ากับเขาก็คือมาตาฮาจิ ลูกชายซามูไรคนนั้นเอง
ทาเกโซสูงเกือบเท่าผู้ใหญ่เมื่ออายุเพียงสิบสองสิบสาม มีอยู่ปีหนึ่ง ซามูไรพเนจรเพื่อฝึกฝนวิทยายุทธ์ชื่ออาริมะ คิเฮ เดินทางเข้ามาในหมู่บ้านแล้วปักป้ายท้าทายให้มาประลองฝีมือกัน ทาเกโซเสนอตัวเป็นคู่ประลองฝีมือกันกลางลาน และเอาชีวิตซามูไรผู้นั้นหลังประกันได้ไม่กี่ดาบ ชาวบ้านแซ่ซ้องสรรเสริญ “เจ้าหนูเจริญผลผู้แกร่งกล้า” กันเซ็งแซ่ ทว่ายิ่งเติบใหญ่ความก้าวร้าวใช้กำลังรุนแรงก็ยิ่งทวีขึ้นตามลำดับ จนผู้คนเกลียดกลัวไม่กล้าเข้าใกล้---ทาเกโซมาแล้ว ไปทางโน้นกันดีกว่า---ทุกคนมองมาด้วยความเย็นชาจนหัวใจของเด็กหนุ่มแทบไม่ได้สัมผัสกับความอบอุ่น ทั้งบิดาผู้ให้กำเนิดก็ไม่เคยให้ความอบอุ่นแก่เขาจนกระทั่งตายไปทั้ง ๆ ที่เย็นชา ทั้งหมดนั้นได้บ่มเพาะความโหดร้ายให้งอกงามอยู่ลึกลงไปในจิตใจของ ทาเกโซ
ยังดีที่มีโอกินพี่สาวคนเดียวเป็นที่ยึดเหนี่ยว เพราะคราวใดที่พี่สาวร้องไห้อ้อนวอนให้หยุด เจ้าหนุ่มก็จะทำตามเสมอไม่เช่นนั้นทาเกโซอาจก่อเหตุวุ่นวายใหญ่โตจนถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้านไปแล้วก็ได้
การที่ทาเกโซชวนมาตาฮาจิไปสมัครเป็นนักรบครั้งนี้ แสดงให้เห็นเส้นแสงเล็ก ๆ ของความเปลี่ยนแปลงที่วาบเข้ามาในชีวิตของเจ้าหนุ่มจอมเกกมะเหรกคนนี้ แสดงว่าได้เกิดมีความตั้งใจที่จะเป็นมนุษย์มนากับเขาบ้างผุดขึ้นมาที่ใดสักแห่งในห้วงสำนึก --- ทว่า ความเป็นจริงอันมืดดำในสมรภูมิ เหวี่ยงเจ้าหนุ่มออกไปหมุนคว้างอยู่บนหนทางที่ไร้จุดหมายอีกครั้ง
ถ้าบ้านเมืองไม่ตกอยู่ในภาวะสงครามแย่งชิงอำนาจที่ป่วนประสาทผู้คนทุกหมู่เหล่าให้ระส่ำระสายไร้ความสงบสุข ทาเกโซก็คงจะร่าเริงสนุกสนานอย่างหนุ่มรุ่นคะนอง นอนหลับสบายโดยไม่ต้องห่วงกังวลสักนิดว่าวันพรุ่งจะเป็นเช่นใด
ทาเกโซในวันนี้ นอนกอดดาบไม้ดำหายใจเป็นจังหวะ คงจะกำลังฝันถึงบ้านเกิดอยู่ละมัง
“...ทาเกโซ”
คุณนายโอโคอาศัยแสงสลัวจากเชิงเทียนเคลื่อนตัวเข้ามานั่งอยู่ที่ข้างหมอนของเจ้าหนุ่ม
“...ใบหน้ายามหลับของเจ้า”
นางแตะปลายนิ้วเบา ๆ ที่ริมฝีปากของทาเกโซ
6
แสงเทียนดับวูบลงด้วยลมเป่าของโอโค นางเอนตัวลงนอนขดตัวเหมือนแมวแล้วค่อย ๆ กระเถิบเข้าไปจนแนบชิดทาเกโซ
กิโมโนชุดนอนสีฉูดฉาดเกินวัยและความขาวของใบหน้ากลมกลืนเข้าไปในความมืด เงียบสงัด...ได้ยินแต่เสียงน้ำค้างยามดึกกระทบชายคาหน้าต่าง
“ยังไม่รู้ตัวอีกหรือนี่”
แต่พอโอโคเอื้อมมือไปแตะดาบไม้ที่เจ้าหนุ่มกอดอยู่เท่านั้นเอง ทาเกโซก็ผลุดลุกขึ้นทันใด
“ขโมย !”
เชิงเทียนถูกปัดกระเด็นไปทางหนึ่ง ไหล่และหน้าอกของนางถูกกดลงกับพื้น และแขนถูกบิดไปข้างหลังอย่างแรงจนต้องร้องออกมา
“โอ๊ย”
“อ้าว คุณนาย”
ทาเกโซปล่อยมือ
“โธ่เอ้ย ข้านึกว่าขโมย”
“เจ้านี่แย่จริง ๆ เลย ฉันเจ็บนะ”
“ข้าไม่รู้ ยกโทษให้ข้าเถิด”
“ไม่ต้องขอโทษหรอก ทาเกโซ”
“โอ๊ะ ทำอะไรอย่างนั้น คุณนาย ปล่อยข้า”
“เอะอะอะไร ทาเกโซ...เจ้าอย่าทำไร้เดียงสาไปหน่อยเลย ดูตากันไม่รู้หรืออย่างไรว่า ข้าคิดยังไงกับเจ้า รู้ดีใช่ไหม”
“ข้าไม่มีวันลืม คุณนายช่วยเหลือข้ามาก ข้าระลึกถึงอยู่ทุกวัน”
“ไม่เอาน่า อย่ามาพูดเรื่องบุญคุณหรืออะไรให้ยุ่งยากไปหน่อยเลย ทาเกโซ...อารมณ์ของคนเรานั้นหลากหลายและล้ำลึกเกินกว่าจะประมาณได้ไม่ใช่รึเจ้า”
“รอเดี๋ยว คุณนาย ข้าจะจุดเทียนเดี๋ยวนี้”
“นี่แน่ะ ทำเป็นไม่รู้เรื่องดีนัก”
“โอ๊ะ คุณนาย”
ทาเกโซสั่นสะท้านไปทั้งตัว ได้ยินเสียงกระดูก เสียงฟัน กระทบกันกึก กักก้องอยู่ในหู หัวใจเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมานอกเป้าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เจ้าหนุ่มกลัวจนขนหัวลุก กลัวยิ่งกว่าข้าศึกศัตรูที่เผชิญหน้าในสนามรบ สยองขวัญยิ่งกว่าเมื่อครั้งที่นอนแผ่หลาอยู่บนพื้นดิน เงยหน้าขึ้นเห็นท้องม้าศึกที่ควบตะบึงผ่านไปเป็นฝูงใหญ่
เจ้าหนุ่มกระเถิบหนีไปซุกตัวอยู่ที่มุมห้อง
“คุณนาย ไปทางโน้น กลับไปห้องตัวเองเร็ว ไม่เช่นนั้นข้าจะเรียกมาตาฮาจิ”
โอโคไม่ขยับเขยื้อน คงจะเขม้นมองฝ่าความมืดมิดมาทางนี้ เสียงหายใจหอบกระเส่า
“ทาเกโซ อย่าบอกนะว่าเอ็งไม่เข้าใจความรู้สึกของข้า”
“... ... ...”
“หยุดนะคุณนาย ทำอะไรน่าอายเหลือเกิน ”
“อายรึ”
“ใช่น่ะซี”
ทั้งทาเกโซและคุณนายโอโคต่างกำลังโกรธจัด จึงไม่ได้ยินเสียงตบประตูเรียกทางหน้าเรือน ตามมาด้วยเสียงตะโกน
“เฮ้ย เปิดประตู เปิดเดี๋ยวนี้”
ทาเกโซเห็นแสงเทียนวอมแวมลอดรอยแยกของบานประตูเลื่อนเข้ามา อาเกมิคงจะตกใจตื่น
“อะไรหว่า”
เสียงมาตาฮาจิพึมพำเบา ๆ
“แม่”
เสียงอาเกมิดังมาจากระเบียงทางเดิน
คุณนายอารามตกใจรีบกลับไปที่ห้องแล้วส่งเสียงตอบลูกสาวจากนี่นั่น เมื่อไม่มีใครออกไปเปิดให้คนที่ตบประตูเรียกอยู่เป็นครู่ก็ใช้กำลังผลักประตูเข้ามาโดยพลการ ทาเกโซมองลอดช่องว่างของประตูเลื่อนออกไป เห็นเงาตะคุ่มของคนร่างใหญ่ยักษ์ซ้อนทับกันหกเจ็ดเงา หนึ่งในนั้นตวาดเสียงกึกก้อง
“ข้าเท็มมะ จุดไฟให้สว่างเดี๋ยวนี้”
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ภาค 1ดิน ตอนเห็ดเมา (ต่อ)
ความเดิมของตอนที่แล้ว
“อ้าว จะไปไหนล่ะ มาตาฮาจิ”
“กลับหมู่บ้านมิยาโมโตะแห่งแคว้นซากุน่ะซี แม่กับคู่หมั้นของฉันคอยอยู่”
“ตายจริง ฉันนี่แย่มากเลยที่กักเจ้าเอาไว้ที่นี่ ถ้ามีคนคอยอยู่ที่บ้าน มาตาฮาจิจะกลับไปก่อนคนเดียวก็ตามใจเลยนะ ฉันไม่หน่วงเหนี่ยวเอาไว้หรอก”
5
ทาเกโซกำด้ามดาบไม้ดำกระชับแน่น และเมื่อลองฟาดฟันราวต่อสู้กับข้าศึก ก็รู้สึกได้ถึงแรงเหวี่ยงและแรงสะท้อนกลับที่สมดุลเหมาะมือยิ่งนัก เจ้าหนุ่มพกดาบไม้เล่มนี้ติดตัวไม่ยอมห่างนับแต่วันที่ได้รับมาจากคุณนายโอโค
แม้ยามนอนก็กอดนอน และคราใดที่แนบแก้มลงกับดาบไม้ที่เยียบเย็น จิตวิญญาณนักดาบที่ถูกเคี่ยวจนเข้มข้นด้วยนักดาบจอมยุทธ์มูนิไซผู้บิดาบนพื้นโรงฝึกอันเย็นเยียบยามเยาว์วัย ก็ซาบซ่านขึ้นทั่วตัวทุกครั้งไป
บิดาของทาเกโซเป็นคนเข้มแข็งเด็ดขาดและเลือดเย็นราวน้ำค้างแข็งในฤดูใบไม้ร่วง ทาเกโซไม่เคยได้สัมผัสกับความรักความอบอุ่นจากบิดา ได้แต่โหยหาอ้อมอกของมารดาที่แยกทางออกจากบ้านไปตั้งแต่เขายังเป็นเด็กเล็ก บิดาเป็นแค่ครูดาบผู้ดุดันน่าเกรงขามที่เด็กน้อยไม่อยากเผชิญหน้าแม้แต่จะเฉียดเข้าไปใกล้ เมื่อเก้าขวบทาเกโซหนีออกจากบ้านไปหามารดาที่แคว้นบันชู เพียงเพื่ออยากได้ยินเสียงอ่อนโยนของมารดาเมื่อร้องทักว่า---โตขึ้นมากนะลูก เท่านั้นเอง
แต่เปล่าเลย ภาพของมารดาผู้แยกทางกับมูนิไซผู้สามีด้วยเหตุผลกลใดไม่รู้แจ้ง และแต่งงานใหม่กับนักรบที่ซาโยโกแห่งแคว้นบันชูจนมีลูกด้วยกันอีกคนหนึ่ง จูงมือเขาไปยังป่าละเมาะของศาลเจ้าที่ร้างผู้คน กอดเขาไว้แนบอก ร้องไห้พลางอ้อนวอนว่า---กลับไปเถิดลูก กลับไปหาพ่อเจ้า---ยังติดตาทาเกโซมาจนทุกวันนี้
ไม่นาน บริวารของบิดาก็ตามมาจับทาเกโซมัดกับหลังม้าที่เปล่าเปลือย พากลับไปยังหมู่บ้านมิยาโมโตะอีกครั้ง ทันทีที่เห็นหน้าลูกชาย มูนิไซบันดาลโทสะสุดขีด ตรงเข้าไปใช้ไม้ที่ถือติดมืออยู่ฟาดลงไปไม่ยั้งและไม่เลือกที่บนร่างเด็กชาย พลางร้องด่าว่า---ไอ้ลูกไม่รักดี---ไม่หยุดปาก ภาพนั้นติดตรึงราวถูกตีตราเอาไว้บนหัวใจอันอ่อนเยาว์ของทาเกโซ
---ถ้าไปหาแม่เอ็งอีก ข้าจะไม่นับว่าเอ็งเป็นลูกอีกต่อไป---
จากนั้นไม่นาน พอได้ข่าวว่ามารดาล้มป่วยและถึงแก่กรรม ทาเกโซก็เปลี่ยนไปทันที จากที่เคยเงียบหงิมกลายไปเป็นเด็กก้าวร้าวเกเรที่สุดในหมู่บ้านจนไม่มีใครเอาอยู่ แม้แต่บิดาผู้ดุดันยังต้องถอย เพราะพอมูนิไซเงื้อมือทาเกโซก็จะคว้าไม้ขึ้นมาตั้งรับด้วยทีท่าเอาจริง บรรดาเด็กเหลือขอที่ว่าร้ายมากแล้วก็ยังต้องยอมสงบให้ทาเกโซทุกคน มีอยู่คนเดียวที่กล้าเผชิญหน้ากับเขาก็คือมาตาฮาจิ ลูกชายซามูไรคนนั้นเอง
ทาเกโซสูงเกือบเท่าผู้ใหญ่เมื่ออายุเพียงสิบสองสิบสาม มีอยู่ปีหนึ่ง ซามูไรพเนจรเพื่อฝึกฝนวิทยายุทธ์ชื่ออาริมะ คิเฮ เดินทางเข้ามาในหมู่บ้านแล้วปักป้ายท้าทายให้มาประลองฝีมือกัน ทาเกโซเสนอตัวเป็นคู่ประลองฝีมือกันกลางลาน และเอาชีวิตซามูไรผู้นั้นหลังประกันได้ไม่กี่ดาบ ชาวบ้านแซ่ซ้องสรรเสริญ “เจ้าหนูเจริญผลผู้แกร่งกล้า” กันเซ็งแซ่ ทว่ายิ่งเติบใหญ่ความก้าวร้าวใช้กำลังรุนแรงก็ยิ่งทวีขึ้นตามลำดับ จนผู้คนเกลียดกลัวไม่กล้าเข้าใกล้---ทาเกโซมาแล้ว ไปทางโน้นกันดีกว่า---ทุกคนมองมาด้วยความเย็นชาจนหัวใจของเด็กหนุ่มแทบไม่ได้สัมผัสกับความอบอุ่น ทั้งบิดาผู้ให้กำเนิดก็ไม่เคยให้ความอบอุ่นแก่เขาจนกระทั่งตายไปทั้ง ๆ ที่เย็นชา ทั้งหมดนั้นได้บ่มเพาะความโหดร้ายให้งอกงามอยู่ลึกลงไปในจิตใจของ ทาเกโซ
ยังดีที่มีโอกินพี่สาวคนเดียวเป็นที่ยึดเหนี่ยว เพราะคราวใดที่พี่สาวร้องไห้อ้อนวอนให้หยุด เจ้าหนุ่มก็จะทำตามเสมอไม่เช่นนั้นทาเกโซอาจก่อเหตุวุ่นวายใหญ่โตจนถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้านไปแล้วก็ได้
การที่ทาเกโซชวนมาตาฮาจิไปสมัครเป็นนักรบครั้งนี้ แสดงให้เห็นเส้นแสงเล็ก ๆ ของความเปลี่ยนแปลงที่วาบเข้ามาในชีวิตของเจ้าหนุ่มจอมเกกมะเหรกคนนี้ แสดงว่าได้เกิดมีความตั้งใจที่จะเป็นมนุษย์มนากับเขาบ้างผุดขึ้นมาที่ใดสักแห่งในห้วงสำนึก --- ทว่า ความเป็นจริงอันมืดดำในสมรภูมิ เหวี่ยงเจ้าหนุ่มออกไปหมุนคว้างอยู่บนหนทางที่ไร้จุดหมายอีกครั้ง
ถ้าบ้านเมืองไม่ตกอยู่ในภาวะสงครามแย่งชิงอำนาจที่ป่วนประสาทผู้คนทุกหมู่เหล่าให้ระส่ำระสายไร้ความสงบสุข ทาเกโซก็คงจะร่าเริงสนุกสนานอย่างหนุ่มรุ่นคะนอง นอนหลับสบายโดยไม่ต้องห่วงกังวลสักนิดว่าวันพรุ่งจะเป็นเช่นใด
ทาเกโซในวันนี้ นอนกอดดาบไม้ดำหายใจเป็นจังหวะ คงจะกำลังฝันถึงบ้านเกิดอยู่ละมัง
“...ทาเกโซ”
คุณนายโอโคอาศัยแสงสลัวจากเชิงเทียนเคลื่อนตัวเข้ามานั่งอยู่ที่ข้างหมอนของเจ้าหนุ่ม
“...ใบหน้ายามหลับของเจ้า”
นางแตะปลายนิ้วเบา ๆ ที่ริมฝีปากของทาเกโซ
6
แสงเทียนดับวูบลงด้วยลมเป่าของโอโค นางเอนตัวลงนอนขดตัวเหมือนแมวแล้วค่อย ๆ กระเถิบเข้าไปจนแนบชิดทาเกโซ
กิโมโนชุดนอนสีฉูดฉาดเกินวัยและความขาวของใบหน้ากลมกลืนเข้าไปในความมืด เงียบสงัด...ได้ยินแต่เสียงน้ำค้างยามดึกกระทบชายคาหน้าต่าง
“ยังไม่รู้ตัวอีกหรือนี่”
แต่พอโอโคเอื้อมมือไปแตะดาบไม้ที่เจ้าหนุ่มกอดอยู่เท่านั้นเอง ทาเกโซก็ผลุดลุกขึ้นทันใด
“ขโมย !”
เชิงเทียนถูกปัดกระเด็นไปทางหนึ่ง ไหล่และหน้าอกของนางถูกกดลงกับพื้น และแขนถูกบิดไปข้างหลังอย่างแรงจนต้องร้องออกมา
“โอ๊ย”
“อ้าว คุณนาย”
ทาเกโซปล่อยมือ
“โธ่เอ้ย ข้านึกว่าขโมย”
“เจ้านี่แย่จริง ๆ เลย ฉันเจ็บนะ”
“ข้าไม่รู้ ยกโทษให้ข้าเถิด”
“ไม่ต้องขอโทษหรอก ทาเกโซ”
“โอ๊ะ ทำอะไรอย่างนั้น คุณนาย ปล่อยข้า”
“เอะอะอะไร ทาเกโซ...เจ้าอย่าทำไร้เดียงสาไปหน่อยเลย ดูตากันไม่รู้หรืออย่างไรว่า ข้าคิดยังไงกับเจ้า รู้ดีใช่ไหม”
“ข้าไม่มีวันลืม คุณนายช่วยเหลือข้ามาก ข้าระลึกถึงอยู่ทุกวัน”
“ไม่เอาน่า อย่ามาพูดเรื่องบุญคุณหรืออะไรให้ยุ่งยากไปหน่อยเลย ทาเกโซ...อารมณ์ของคนเรานั้นหลากหลายและล้ำลึกเกินกว่าจะประมาณได้ไม่ใช่รึเจ้า”
“รอเดี๋ยว คุณนาย ข้าจะจุดเทียนเดี๋ยวนี้”
“นี่แน่ะ ทำเป็นไม่รู้เรื่องดีนัก”
“โอ๊ะ คุณนาย”
ทาเกโซสั่นสะท้านไปทั้งตัว ได้ยินเสียงกระดูก เสียงฟัน กระทบกันกึก กักก้องอยู่ในหู หัวใจเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมานอกเป้าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เจ้าหนุ่มกลัวจนขนหัวลุก กลัวยิ่งกว่าข้าศึกศัตรูที่เผชิญหน้าในสนามรบ สยองขวัญยิ่งกว่าเมื่อครั้งที่นอนแผ่หลาอยู่บนพื้นดิน เงยหน้าขึ้นเห็นท้องม้าศึกที่ควบตะบึงผ่านไปเป็นฝูงใหญ่
เจ้าหนุ่มกระเถิบหนีไปซุกตัวอยู่ที่มุมห้อง
“คุณนาย ไปทางโน้น กลับไปห้องตัวเองเร็ว ไม่เช่นนั้นข้าจะเรียกมาตาฮาจิ”
โอโคไม่ขยับเขยื้อน คงจะเขม้นมองฝ่าความมืดมิดมาทางนี้ เสียงหายใจหอบกระเส่า
“ทาเกโซ อย่าบอกนะว่าเอ็งไม่เข้าใจความรู้สึกของข้า”
“... ... ...”
“หยุดนะคุณนาย ทำอะไรน่าอายเหลือเกิน ”
“อายรึ”
“ใช่น่ะซี”
ทั้งทาเกโซและคุณนายโอโคต่างกำลังโกรธจัด จึงไม่ได้ยินเสียงตบประตูเรียกทางหน้าเรือน ตามมาด้วยเสียงตะโกน
“เฮ้ย เปิดประตู เปิดเดี๋ยวนี้”
ทาเกโซเห็นแสงเทียนวอมแวมลอดรอยแยกของบานประตูเลื่อนเข้ามา อาเกมิคงจะตกใจตื่น
“อะไรหว่า”
เสียงมาตาฮาจิพึมพำเบา ๆ
“แม่”
เสียงอาเกมิดังมาจากระเบียงทางเดิน
คุณนายอารามตกใจรีบกลับไปที่ห้องแล้วส่งเสียงตอบลูกสาวจากนี่นั่น เมื่อไม่มีใครออกไปเปิดให้คนที่ตบประตูเรียกอยู่เป็นครู่ก็ใช้กำลังผลักประตูเข้ามาโดยพลการ ทาเกโซมองลอดช่องว่างของประตูเลื่อนออกไป เห็นเงาตะคุ่มของคนร่างใหญ่ยักษ์ซ้อนทับกันหกเจ็ดเงา หนึ่งในนั้นตวาดเสียงกึกก้อง
“ข้าเท็มมะ จุดไฟให้สว่างเดี๋ยวนี้”