นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วงบทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ณ ศักราชนี้ ทาเกโซกำลังเป็นหนุ่มวัยคะนอง ร่างกายล่ำสันสูงถึงราวสามศอกครึ่ง วิ่งเร็วราวกับม้าศึก แขนขายาวแข็งแรง ริมฝีปากเต็มอิ่มมีเลือดฝาด ขนคิ้วยาวและดกดำปลายเฉี่ยวเลยหางตา
---เจ้าหนูเจริญผล
คือสมญาที่ชาวบ้านมิยาโมโตะแห่งแคว้นซากุ เรียกทาเกโซกันจนติดปากมาตั้งแต่เมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็กน้อย ดวงตากลมโต ปากคอคิ้วคาง มือไม้และแข้งขาที่ใหญ่โตเกินเด็กอื่นของเจ้าหนู ดูแล้วช่างสมกับที่เกิดมาในปีที่พืชผลอุดมสมบูรณ์โดยแท้
ส่วนมาตาฮาจิก็จัดอยู่ในพวก “เจ้าหนูเจริญผล” คนหนึ่ง แม้จะสูงไม่เท่าทาเกโซและเจ้าเนื้อกว่า แต่ก็ล่ำสันไม่แพ้กัน แผงอกดูแข็งแกร่งราวกับกระดานหมากล้อม ใบหน้ากลมและดวงตาคมวาวไหวเป็นประกายยามบอกเล่าความอะไรแก่ใคร
ครั้งหนึ่ง อยู่ ๆ มาตาฮาจิก็โผล่หน้าเข้ามากระซิบว่า
“ทาเกโซ เอ็งรู้ไหม คุณนายสาวบ้านนี้แต่งเนื้อแต่งตัว ผัดหน้าทาแป้งขาวทุกคืนเลยว่ะ”
สองสหายเป็นหนุ่มที่กำลังเจริญวัยด้วยกันทั้งคู่ ตอนนี้บาดแผลถูกกระสุนปืนของทาเกโซหายดีแล้ว พอดีกับที่มาตาฮาจิทนหมกตัวอยู่ในความมืดและอับชื้นของกระท่อมเก็บไม้ฟืนเหมือนตัวจิ้งหรีดไม่ได้อีกต่อไป
บางวันทาเกโซได้ยินเสียงเฮฮาจากเรือนใหญ่ จึงคิดว่ามีแขกไปร่วมวงรอบเตาผิงกับสองแม่ลูกคือโอโคกับแม่สาวน้อย อาเกมิ ร้องเพลง เล่าเรื่องตลกขบขันให้หัวเราะกันและตัวเองก็หัวเราะกลิ้งไปด้วย แต่ไม่นานก็พบว่าคนที่เขาคิดว่าเป็นแขกนั้นที่แท้ก็คือมาตาฮาจินั่นเอง
ตอนกลางวันก็หายไป ตอนกลางคืนก็เช่นกัน ระยะนี้มาตาฮาจิไม่กลับมานอนที่กระท่อมเก็บฟืนเป็นส่วนใหญ่ บางครั้งก็เข้ามาฉุดแขนฉุดขาเพื่อน มีกลิ่นเหล้าสาเกระเหยออกมาจากลมหายใจ
“ทาเกโซ ไปด้วยกันน่า”
แรก ๆ ทาเกโซก็ไม่เอาด้วย
“ไอ้บ้า เราไม่ใช่คนที่นี่ แล้วข้าก็เกลียดเหล้า”
แต่หลัง ๆ ชักจะเหงาขึ้นมา
“เออ---เอ็งว่าแถวนี้ ไม่มีอะไรแล้วรึ”
ทาเกโซออกจากกระท่อม แหงนดูท้องฟ้าเป็นครั้งแรกในยี่สิบวัน ยืดตัวบิดขี้เกียจแล้วหาวเสียงดังยืดยาวอย่างสบายใจ
“มาตาฮาจิ ข้าว่าเรารบกวนเขามากไปท่าจะไม่ดี กลับบ้านกันเถอะนะ”
“ข้าก็คิดอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้เขาคงยังตรวจตราคนเดินทางไปมาแถวอิเซะและทางสายอื่น ๆ กันเข้มงวดมาก เราน่าจะซ่อนตัวอยู่ที่นี่จนกว่าหิมะจะตกดีกว่านะเอ็ง คุณนายกับลูกสาวก็ว่าอย่างนั้น”
“ซ่อนตัวงั้นซิ ข้าเห็นเอ็งไปนั่งกินสาเกผิงไฟอยู่ที่เรือนใหญ่สบายอารมณ์”
“อะไรได้ เอ็งไม่รู้อะไร ฝ่ายขุนศึกโทกุงาวะยังจับตัวแม่ทัพคนอื่นไม่ได้นอกจากท่านอุกิตะ วันก่อนมีคนท่าทางเป็นซามูไรฝ่ายนั้นบุกเข้ามาสืบค้นถึงที่นี่ ทำเป็นมาเคาะประตูทักทาย ข้านี่แหละเป็นคนออกไปรับหน้าและตะเพิดกลับไป ข้าว่าอย่างนั้นมันปลอดภัยกว่า ต้องคอยหนีเข้าไปซุกที่มุมกระท่อมตัวสั่นงันงกทุกครั้งที่ได้ยินเสียงฝีเท้าคน นะเอ็ง”
“ก็ใช่ แต่ฟังเอ็งเล่าแล้ว ข้าว่ามันแปลก ๆ พิกล”
ถึงจะรู้ว่าเพื่อนแถ แต่ทาเกโซก็ยินยอมพร้อมใจที่จะย้ายไปอยู่ที่เรือนใหญ่ตั้งแต่วันนั้น
คุณนายโอโคไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจแม้แต่น้อย ดูนางดีใจเสียด้วยซ้ำบอกว่าบ้านจะได้ครึกครื้นและถึงกับออกปากว่า
“จะอยู่กันตลอดไปก็ได้นะ ก็ให้ใครสักคน มาตาฮาจิหรือไม่ก็ทาเกโซแต่งงานเสียกับอาเกมิ”
ทำเอาเจ้าหนุ่มรุ่นกระทงทั้งสองวางหน้าวางตาทำท่าไม่ถูกจนดูน่าขัน
2
หลังเรือนใหญ่เป็นภูเขาป่าสน
“เจอแล้ว เจอแล้ว พี่ชายมาตรงนี้”
อาเกมิเอาตะกร้าคล้องแขนเดินบุกไปตามโคนต้นสน พอได้กลิ่นเห็ดมัตสึตาเกะ ก็จะตะโกนบอกเสียงแจ๋วไร้เดียงสา
ทาเกโซถือตะกร้าเหมือนกัน นั่งยอง ๆ อยู่ที่โคนต้นสนห่างออกไปนิดหนึ่ง
“ตรงนี้ก็มี”
ดวงอาทิตย์ฤดูใบไม้ร่วงสาดลำแสงลอดกิ่งสนใบแหลมเป็นเส้นบาง ไหวราวละลอกคลื่นน้อย ๆ ตามแรงลมอยู่บนร่างสาวหนุ่ม
“ที่ไหนจะมากกว่ากันน้า”
“ตรงนี้มากกว่า
อาเกมิหยิบเห็ดในตะกร้าของทาเกโซขึ้นมาดู
“ไม่ได้ ไม่ได้ นี่มันเห็ดแดง แล้วนี่เห็ดเท็งงู นี่ก็เห็ดมีพิษ”
สาวน้อยเลือกเก็บทิ้ง แล้วอวดว่า
“ดูซิ ของฉันได้ตั้งเยอะ”
“เย็นแล้ว กลับกันเถอะ”
“แพ้น่ะซี”
อาเกมิหยอก แล้ววิ่งลงเนินเขานำหน้าไปด้วยฝีเท้าปราดเปรียวราวไก่ป่า แต่แล้วก็หยุดชะงัก ยืนตกตะลึงหน้าซีดอยู่ตรงนั้น
ชายคนหนึ่งกำลังเดินก้าวยาว ๆ ขึ้นมาทางหมู่ไม้เยื้องออกไปทางตอนกลางของเนินเขาและชายตามองมาทางนี้ ท่าทางเป็นคนเถื่อนเหมือนสัตว์ป่าที่พร้อมสู้ คิ้วพาดหนาเหมือนตัวบุ้งยิ่งทำให้ดูดุดัน ปากหนา สะพายดาบเล่มใหญ่ ใส่เสื้อเกราะคลุมด้วยหนังสัตว์
“อาเกมิ”
ชายคนนั้นเดินหัวเราะเห็นฟันเหลืองอ๋อยเข้ามาหา ขณะที่อาเกมิยังยืนหน้าซีดตัวสั่นอยู่อย่างนั้น
“แม่อยู่บ้านรึ”
“จ้ะ”
“กลับไปบอกเลยนะว่า ขืนแอบหาลำไพ่โดยคิดว่าข้าไม่รู้อย่างนี้ต่อไป ระวังให้ดีวันหนึ่งข้าจะไปเอาคืนเป็นรายปี”
“... ... ...”
“แม่เอ็งคงคิดว่าหลอกข้าได้ หารู้ไม่ว่าพอนางเอาของที่หามาได้ไปขายเรื่องมันก็เข้าหูข้าทันที เอ็งก็เหมือนกัน ไปที่ เซกิงาฮาระทุกคืนใช่ไหม”
“เปล่านะ”
“กลับไปบอกแม่เอ็ง ถ้ายังทำอะไรตบตาข้าอย่างนี้ต่อไป ข้าจะทำให้อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ ไปบอกเดี๋ยวนี้เลย”
ว่าแล้วก็จ้องหน้าอาเกมิเป็นเชิงสำทับ แล้วพาร่างใหญ่เทอะทะเดินลงไปทางลำธาร
“ใครน่ะ”
มาตาฮาจิเบนสายตาที่มองตามร่างนั้นไป กลับมาที่ใบหน้าซีดขาวของอาเกมิ
“สึจิคาเซะแห่งฟูวะ”
“พวกโจรป่ารึ”
“ใช่”
“เจ้าไปทำอะไรให้มันโกรธ”
“... ... ...”
“ร้ายแรงขนาดเล่าให้ข้าฟังไม่ได้เลยรึ บอกมาเถิดข้าไม่แพร่งพรายให้คนอื่นรู้หรอก”
อาเกมิอึกอักอยู่เป็นครู่แล้วอยู่ ๆ ก็โผเข้าซบอกทาเกโซแล้วบอกว่า
“พี่อย่าบอกใครนะ”
“เออ”
“คืนวันหนึ่งพี่เห็นฉันที่เซกิงาฮาระใช่ไหม พี่ไม่รู้หรอกหรือว่าฉันไปทำอะไรอยู่ที่นั่น”
“ไม่รู้”
“ฉันไปขโมยของ”
“อะไรนะ”
“ฉันไปที่สนามรบ บุกเข้าไปในกองซากศพเพื่อเก็บของติดตัวของพวกซามูไร ทั้งมีดดาบ ปิ่นปักผมและถุงเครื่องหอมที่คู่รักให้ติดตัวมา ไม่ว่าอะไรที่จะเอามาแลกเป็นเงินได้ ฉันเก็บมาทุกอย่าง ฉันกลัวแทบเป็นบ้า แต่ก็ต้องทำเพราะไม่มีจะกิน แต่แรกฉันไม่ไป แต่ถูกแม่ดุด่าจนต้องยอม---“
3
ดวงอาทิตย์ยังไม่คล้อยต่ำลงมากนัก
ทาเกโซจึงชวนอาเกมินั่งลงในพงหญ้า มองผ่านหมู่ไม้ในป่าสนลงไปเห็นบ้านบนชายเนิน
“ถ้างั้นที่แม่เจ้าบอกว่า ทำอาชีพตัดหญ้าโยโมงิแถวลำธารนี่ ไปทำเป็นโมงูซะสำหรับรักษาโรคก็ไม่เป็นความจริงน่ะซี”
“ใช่ แม่ฉันเป็นคนโกหกเก่ง แค่ตัดหญ้าโมโยงิขาย ไม่พอกินหรอก”
“ก็จริงนะ”
“ตอนพ่อยังอยู่ เราอยู่บ้านหลังใหญ่ที่สุดในเขตอิบูกินานาซาโตะแห่งนี้ มีบริวารมากมาย”
“พ่อเป็นคหบดีในหมู่บ้านรึ”
“ไม่ใช่ พ่อเป็นหัวหน้าโจรป่า”
อาเกมิยืดอก ดวงตาเป็นประกายด้วยความภาคภูมิใจ
“แต่ถูกสึจิคาเซะ เท็นมะ คนที่ขู่ฉันเมื่อตะกี้ฆ่าตาย ทุกคนรู้กันไปทั่วว่าเท็นมะเป็นคนฆ่า”
“พ่อเธอถูกฆ่ารึ”
“... ... ...”
อาเกมิพยักหน้าน้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม เจ้าหล่อนเป็นเด็กสาวร่างเล็กดูไม่ออกว่าอายุสิบห้า พูดจาไม่มีหางเสียงและบางครั้งก็แก่แดดและปราดเปรียวจนดูไม่น่ารัก แต่พอเห็นนางร้องไห้น้ำตาร่วงเผาะเช่นนี้ เจ้าหนุ่มก็ใจอ่อนอยากจะโอบกอดเข้ามาในอ้อมอกทันทีด้วยความสงสารจับใจ
อาเกมิดูเป็นเด็กที่ไม่ได้รับการศึกษาและอบรมบ่มนิสัยเท่าที่ควร และดูเหมือนจะภาคภูมิใจในอาชีพโจรป่าของพ่อตน แม่คงจะพร่ำสอนจนนางจำติดใจว่า การเป็นโจรที่เลือดเย็นยิ่งกว่าหัวขโมยนั้น เป็นช่องทางหาเลี้ยงชีพที่มีความถูกต้อง
ระหว่างสงครามแย่งชิงอำนาจระหว่างแว่นแคว้นสร้างความปั่นป่วนยืดเยื้อไปทั่วสารทิศ พวกคนเกียจคร้านไม่รู้จักคุณค่าของชีวิต ไม่ทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน ออกเดินทางร่อนเร่ไปตามป่าเขาและกลายเป็นโจรป่าคอยรังควาญผู้คนที่สัญจรไปมา เวลาเกิดศึกสงครามผู้ครองแคว้นจะจ้างพวกโจรป่าไปลอบวางเพลิงในกองทัพข้าศึกหรือไม่ก็ขโมยม้า กุข่าวเท็จเพื่อประโยชน์แก่ฝ่ายตน ส่วนพวกที่ไม่มีใครจ้างก็จะคอยจนเสร็จศึกแล้วเข้าไปเก็บของมีค่าจากศพ บ้างก็ปล้นสะดมชาวบ้านจนหมดตัว เก็บหัวข้าศึกไปให้นักรบเพื่อนำไปบรรณาการแม่ทัพ และทำทุกอย่างที่แลกเป็นเงินได้ เอาเป็นว่าใครทำสงครามกับใครครั้งหนึ่ง พวกโจรป่าก็อยู่กันอย่างสบายไปเป็นปีหรือครึ่งปี
สำมะหาอะไรกับพวกโจรป่า แม้แต่คนดี ๆ อย่างชาวไร่ชาวนาและพวกหาไม้หาของป่า เวลาศึกสงครามลุกลามเข้ามาใกล้หมู่บ้านตน ทำมาหากินไม่ได้ก็ยังต้องเก็บของเหลือ ๆ ตามไร่นาไปขายค้ากำไรเกินควรเพื่อเอาชีวิตรอด
พวกโจรป่ามืออาชีพจะยึดครองอาณาบริเวณเป็นที่ซ่องสุมและป้องกันเอาไว้อย่างสุดชีวิต ใครหน้าไหนที่ล่วงล้ำเข้ามารุกรานจะถูกจัดการด้วยกฎเหล็กอย่างเหี้ยมโหด
“ทำยังไงดีล่ะ”
อาเกมิกลัวจนตัวสั่น
“บริวารของเจ้าโจรป่าเท็มมะจะต้องมาเล่นงานเราแน่ ถ้าพวกมันมา...”
“ถ้ามา ข้ารับคำทักทายของพวกมันเอง ไม่ต้องกลัวไป”
ทั้งสองจะลงมาจากภูเขาเมื่อแสงแดดลำสุดท้ายกำลังจะลาจากพื้นน้ำในลำธาร ควันไฟที่ต้มน้ำอาบลอยเอื่อยขึ้นมาจากบ้านโดดเดียวหลังนั้น คุณนายโอโคแต่งหน้าแต่งตาเรียบร้อยยืนอยู่หน้าประตูไม้ด้านหลังบ้าน พอเห็นอาเกมิกับทาเกโซเดินเคียงคู่กลับมาด้วยกัน ก็มองมาด้วยสายตาที่เข้มงวดและถามเสียงแข็งอย่างไม่เคยได้ยินมาก่อน
“อาเกมิ ไปทำอะไรที่ไหนมาจนค่ำมืดอย่างนี้”
ทาเกโซไม่ได้สะดุ้งสะเทือน แต่อาเกมิซึ่งจับความรู้สึกของแม่ได้ไวที่สุดถึงกับสะดุ้งหน้าแดงเรื่อ ผละออกห่างเจ้าหนุ่ม ทาเกโซทันที แล้ววิ่งกลับเข้าบ้าน
4
รุ่งเช้า พอลูกสาวเล่าเรื่องโจรป่าเท็มมะให้ฟัง คุณนายก็ตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก
“ทำไมไม่รีบบอกฮึ”
นางดุลูกสาว แล้วตรงไปเปิดตู้ เปิดลิ้นชัก เปิดห้องเก็บของ โกยเอาของทั้งหมดที่อยู่ในนั้นมารวมกองกันไว้
“มาตาฮาจิ ทาเกโซ ช่วยฉันขนของพวกนี้ขึ้นไปซ่อนไว้ใต้เพดานที เร็วเข้า”
มาตาฮาจิปีนขึ้นไปบนเพดานทันที
ทาเกโซขึ้นไปยืนบนแท่นไม้ รับของจากคุณนายส่งต่อไปให้มาตาฮาจิบนเพดานทีละอย่างสองอย่าง
นี่ถ้าอาเกมิไม่ได้เล่าให้ฟังเมื่อวาน ทาเกโซจะต้องตกใจมากกับสิ่งของเหล่านี้ คงจะต้องสะสมกันมานานจึงเป็นภูเขาเลากาเช่นนี้ เห็นแล้วอดทึ่งไม่ได้ว่าช่างขนกันมาสารพัดสิ่งจริง ๆ มีทั้งดาบ ทั้งหอก เสื้อเกราะแขนเดียว หมวกแม่ทัพไม่มียอด แท่นบูชาพระเล็กจิ๋วที่นักรบพกติดตัว ลูกประคำ เสาธง อีกทั้งของมีค่าอย่างอานม้าประดับมุก ทองและเงิน เป็นต้น
“แค่นี้รึ”
มาตาฮาจิโผล่หน้าจากเพดานลงมาถาม
“มีอีกอันนึง”
คุณนายหยิบดาบไม้โอ๊กสีดำยาวราวสี่ฟุตส่งให้ พอทาเกโซรับเอามาถือไว้เจ้าหนุ่มรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าไม่อยากปล่อย มันเหมาะมืออย่างบอกไม่ถูก ทั้งน้ำหนัก ความแข็งแกร่ง และทรงของดาบ
“โอโค ดาบเล่มนี้ ให้ฉันได้ไหม”
“เจ้าอยากได้รึ”
“อือ”
“... ... ...”
โอโคไม่เอ่ยออกมาว่าให้ แต่ยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มที่สองแก้มแล้วพยักหน้า แสดงว่าเต็มใจมอบให้
มาตาฮาจิลงมาจากใต้เพดาน ชักสีหน้าเป็นทีว่าอิจฉา โอโคเห็นเข้าจึงหัวเราะ
“ขี้งอนนักนะพ่อหนุ่มคนนี้”
ว่าแล้วก็หยิบกระเป๋าหนังประดับด้วยลูกปัดทำด้วยหยกใบหนึ่งส่งให้ แต่มาตาฮาจิดูไม่ค่อยดีใจสักเท่าไร
พอตกเย็น คุณนายโอโคซึ่งคงเคยมีชีวิตอย่างคนชั้นสูงมาก่อน จะต้องแช่น้ำอุ่น แต่งหน้าแต่งตางดงามออกมาดื่มเหล้าสาเก กับลูกสาว ดูนางเป็นคนรักความงามหรูหราและต้องการคงความเป็นสาวเอาไว้ตลอดกาล
“มามะ ทุกคน มาทางนี้”
นางเรียกทุกคนมานั่งล้อมลงรอบเตาผิง รินเหล้าสาเกให้มาตาฮาจิ แล้วส่งจอกให้ทาเกโซถือไว้ แม้เจ้าหนุ่มจะปฏิเสธเพียงไรนางก็ไม่ยอม
“เป็นผู้ชาย ไม่ดื่มสาเกได้ยังไง มานี่ โอโคช่วยเอง”
ว่าแล้วนางก็จับข้อมือเจ้าหนุ่มขืนให้ยกจอกสาเกขึ้นดื่มจนได้
มาตาฮาจิทำหน้าไม่สบอารมณ์จ้องมองไปที่โอโคไม่วางตา ผู้หญิงอย่างคุณนายมีหรือจะไม่รู้สึกว่าถูกจ้องมอง และยิ่งรู้ก็ยิ่งอยากยั่ว นางวางมือลงบนตักของทาเกโซ แล้วเริ่มร้องเพลงที่กำลังนิยมกันในตอนนั้น ด้วยเสียงหวานเจือยแจ้วอย่างมีจริต
“เพลงนี้เป็นเพลงจากใจของฉัน ทาเกโซรู้ไหม”
นางจงใจแกล้งให้เจ้าหนุ่มคนหนึ่งเขินอายและให้อีกคนริษยา โดยไม่ใส่ใจว่าอาเกมิจะเบือนหน้าไปทางหนึ่ง
ชักจะไม่สนุกเสียแล้ว
“ทาเกโซ ข้าว่าอีกสองสามวันเราน่าจะออกเดินทางกันนะ”
มาตาฮาจิโพล่งขึ้นอย่างเหลืออด
“อ้าว จะไปไหนล่ะ มาตาฮาจิ”
“กลับหมู่บ้านมิยาโมโตะแห่งแคว้นซากุน่ะซี แม่กับคู่หมั้นของฉันคอยอยู่”
“ตายจริง ฉันนี่แย่มากเลยที่กักเจ้าเอาไว้ที่นี่ ถ้ามีคนคอยอยู่ที่บ้านละก็ มาตาฮาจิจะกลับไปก่อนคนเดียวก็ตามใจเลยนะ ฉันไม่หน่วงเหนี่ยวเอาไว้หรอก”
1
ณ ศักราชนี้ ทาเกโซกำลังเป็นหนุ่มวัยคะนอง ร่างกายล่ำสันสูงถึงราวสามศอกครึ่ง วิ่งเร็วราวกับม้าศึก แขนขายาวแข็งแรง ริมฝีปากเต็มอิ่มมีเลือดฝาด ขนคิ้วยาวและดกดำปลายเฉี่ยวเลยหางตา
---เจ้าหนูเจริญผล
คือสมญาที่ชาวบ้านมิยาโมโตะแห่งแคว้นซากุ เรียกทาเกโซกันจนติดปากมาตั้งแต่เมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็กน้อย ดวงตากลมโต ปากคอคิ้วคาง มือไม้และแข้งขาที่ใหญ่โตเกินเด็กอื่นของเจ้าหนู ดูแล้วช่างสมกับที่เกิดมาในปีที่พืชผลอุดมสมบูรณ์โดยแท้
ส่วนมาตาฮาจิก็จัดอยู่ในพวก “เจ้าหนูเจริญผล” คนหนึ่ง แม้จะสูงไม่เท่าทาเกโซและเจ้าเนื้อกว่า แต่ก็ล่ำสันไม่แพ้กัน แผงอกดูแข็งแกร่งราวกับกระดานหมากล้อม ใบหน้ากลมและดวงตาคมวาวไหวเป็นประกายยามบอกเล่าความอะไรแก่ใคร
ครั้งหนึ่ง อยู่ ๆ มาตาฮาจิก็โผล่หน้าเข้ามากระซิบว่า
“ทาเกโซ เอ็งรู้ไหม คุณนายสาวบ้านนี้แต่งเนื้อแต่งตัว ผัดหน้าทาแป้งขาวทุกคืนเลยว่ะ”
สองสหายเป็นหนุ่มที่กำลังเจริญวัยด้วยกันทั้งคู่ ตอนนี้บาดแผลถูกกระสุนปืนของทาเกโซหายดีแล้ว พอดีกับที่มาตาฮาจิทนหมกตัวอยู่ในความมืดและอับชื้นของกระท่อมเก็บไม้ฟืนเหมือนตัวจิ้งหรีดไม่ได้อีกต่อไป
บางวันทาเกโซได้ยินเสียงเฮฮาจากเรือนใหญ่ จึงคิดว่ามีแขกไปร่วมวงรอบเตาผิงกับสองแม่ลูกคือโอโคกับแม่สาวน้อย อาเกมิ ร้องเพลง เล่าเรื่องตลกขบขันให้หัวเราะกันและตัวเองก็หัวเราะกลิ้งไปด้วย แต่ไม่นานก็พบว่าคนที่เขาคิดว่าเป็นแขกนั้นที่แท้ก็คือมาตาฮาจินั่นเอง
ตอนกลางวันก็หายไป ตอนกลางคืนก็เช่นกัน ระยะนี้มาตาฮาจิไม่กลับมานอนที่กระท่อมเก็บฟืนเป็นส่วนใหญ่ บางครั้งก็เข้ามาฉุดแขนฉุดขาเพื่อน มีกลิ่นเหล้าสาเกระเหยออกมาจากลมหายใจ
“ทาเกโซ ไปด้วยกันน่า”
แรก ๆ ทาเกโซก็ไม่เอาด้วย
“ไอ้บ้า เราไม่ใช่คนที่นี่ แล้วข้าก็เกลียดเหล้า”
แต่หลัง ๆ ชักจะเหงาขึ้นมา
“เออ---เอ็งว่าแถวนี้ ไม่มีอะไรแล้วรึ”
ทาเกโซออกจากกระท่อม แหงนดูท้องฟ้าเป็นครั้งแรกในยี่สิบวัน ยืดตัวบิดขี้เกียจแล้วหาวเสียงดังยืดยาวอย่างสบายใจ
“มาตาฮาจิ ข้าว่าเรารบกวนเขามากไปท่าจะไม่ดี กลับบ้านกันเถอะนะ”
“ข้าก็คิดอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้เขาคงยังตรวจตราคนเดินทางไปมาแถวอิเซะและทางสายอื่น ๆ กันเข้มงวดมาก เราน่าจะซ่อนตัวอยู่ที่นี่จนกว่าหิมะจะตกดีกว่านะเอ็ง คุณนายกับลูกสาวก็ว่าอย่างนั้น”
“ซ่อนตัวงั้นซิ ข้าเห็นเอ็งไปนั่งกินสาเกผิงไฟอยู่ที่เรือนใหญ่สบายอารมณ์”
“อะไรได้ เอ็งไม่รู้อะไร ฝ่ายขุนศึกโทกุงาวะยังจับตัวแม่ทัพคนอื่นไม่ได้นอกจากท่านอุกิตะ วันก่อนมีคนท่าทางเป็นซามูไรฝ่ายนั้นบุกเข้ามาสืบค้นถึงที่นี่ ทำเป็นมาเคาะประตูทักทาย ข้านี่แหละเป็นคนออกไปรับหน้าและตะเพิดกลับไป ข้าว่าอย่างนั้นมันปลอดภัยกว่า ต้องคอยหนีเข้าไปซุกที่มุมกระท่อมตัวสั่นงันงกทุกครั้งที่ได้ยินเสียงฝีเท้าคน นะเอ็ง”
“ก็ใช่ แต่ฟังเอ็งเล่าแล้ว ข้าว่ามันแปลก ๆ พิกล”
ถึงจะรู้ว่าเพื่อนแถ แต่ทาเกโซก็ยินยอมพร้อมใจที่จะย้ายไปอยู่ที่เรือนใหญ่ตั้งแต่วันนั้น
คุณนายโอโคไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจแม้แต่น้อย ดูนางดีใจเสียด้วยซ้ำบอกว่าบ้านจะได้ครึกครื้นและถึงกับออกปากว่า
“จะอยู่กันตลอดไปก็ได้นะ ก็ให้ใครสักคน มาตาฮาจิหรือไม่ก็ทาเกโซแต่งงานเสียกับอาเกมิ”
ทำเอาเจ้าหนุ่มรุ่นกระทงทั้งสองวางหน้าวางตาทำท่าไม่ถูกจนดูน่าขัน
2
หลังเรือนใหญ่เป็นภูเขาป่าสน
“เจอแล้ว เจอแล้ว พี่ชายมาตรงนี้”
อาเกมิเอาตะกร้าคล้องแขนเดินบุกไปตามโคนต้นสน พอได้กลิ่นเห็ดมัตสึตาเกะ ก็จะตะโกนบอกเสียงแจ๋วไร้เดียงสา
ทาเกโซถือตะกร้าเหมือนกัน นั่งยอง ๆ อยู่ที่โคนต้นสนห่างออกไปนิดหนึ่ง
“ตรงนี้ก็มี”
ดวงอาทิตย์ฤดูใบไม้ร่วงสาดลำแสงลอดกิ่งสนใบแหลมเป็นเส้นบาง ไหวราวละลอกคลื่นน้อย ๆ ตามแรงลมอยู่บนร่างสาวหนุ่ม
“ที่ไหนจะมากกว่ากันน้า”
“ตรงนี้มากกว่า
อาเกมิหยิบเห็ดในตะกร้าของทาเกโซขึ้นมาดู
“ไม่ได้ ไม่ได้ นี่มันเห็ดแดง แล้วนี่เห็ดเท็งงู นี่ก็เห็ดมีพิษ”
สาวน้อยเลือกเก็บทิ้ง แล้วอวดว่า
“ดูซิ ของฉันได้ตั้งเยอะ”
“เย็นแล้ว กลับกันเถอะ”
“แพ้น่ะซี”
อาเกมิหยอก แล้ววิ่งลงเนินเขานำหน้าไปด้วยฝีเท้าปราดเปรียวราวไก่ป่า แต่แล้วก็หยุดชะงัก ยืนตกตะลึงหน้าซีดอยู่ตรงนั้น
ชายคนหนึ่งกำลังเดินก้าวยาว ๆ ขึ้นมาทางหมู่ไม้เยื้องออกไปทางตอนกลางของเนินเขาและชายตามองมาทางนี้ ท่าทางเป็นคนเถื่อนเหมือนสัตว์ป่าที่พร้อมสู้ คิ้วพาดหนาเหมือนตัวบุ้งยิ่งทำให้ดูดุดัน ปากหนา สะพายดาบเล่มใหญ่ ใส่เสื้อเกราะคลุมด้วยหนังสัตว์
“อาเกมิ”
ชายคนนั้นเดินหัวเราะเห็นฟันเหลืองอ๋อยเข้ามาหา ขณะที่อาเกมิยังยืนหน้าซีดตัวสั่นอยู่อย่างนั้น
“แม่อยู่บ้านรึ”
“จ้ะ”
“กลับไปบอกเลยนะว่า ขืนแอบหาลำไพ่โดยคิดว่าข้าไม่รู้อย่างนี้ต่อไป ระวังให้ดีวันหนึ่งข้าจะไปเอาคืนเป็นรายปี”
“... ... ...”
“แม่เอ็งคงคิดว่าหลอกข้าได้ หารู้ไม่ว่าพอนางเอาของที่หามาได้ไปขายเรื่องมันก็เข้าหูข้าทันที เอ็งก็เหมือนกัน ไปที่ เซกิงาฮาระทุกคืนใช่ไหม”
“เปล่านะ”
“กลับไปบอกแม่เอ็ง ถ้ายังทำอะไรตบตาข้าอย่างนี้ต่อไป ข้าจะทำให้อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ ไปบอกเดี๋ยวนี้เลย”
ว่าแล้วก็จ้องหน้าอาเกมิเป็นเชิงสำทับ แล้วพาร่างใหญ่เทอะทะเดินลงไปทางลำธาร
“ใครน่ะ”
มาตาฮาจิเบนสายตาที่มองตามร่างนั้นไป กลับมาที่ใบหน้าซีดขาวของอาเกมิ
“สึจิคาเซะแห่งฟูวะ”
“พวกโจรป่ารึ”
“ใช่”
“เจ้าไปทำอะไรให้มันโกรธ”
“... ... ...”
“ร้ายแรงขนาดเล่าให้ข้าฟังไม่ได้เลยรึ บอกมาเถิดข้าไม่แพร่งพรายให้คนอื่นรู้หรอก”
อาเกมิอึกอักอยู่เป็นครู่แล้วอยู่ ๆ ก็โผเข้าซบอกทาเกโซแล้วบอกว่า
“พี่อย่าบอกใครนะ”
“เออ”
“คืนวันหนึ่งพี่เห็นฉันที่เซกิงาฮาระใช่ไหม พี่ไม่รู้หรอกหรือว่าฉันไปทำอะไรอยู่ที่นั่น”
“ไม่รู้”
“ฉันไปขโมยของ”
“อะไรนะ”
“ฉันไปที่สนามรบ บุกเข้าไปในกองซากศพเพื่อเก็บของติดตัวของพวกซามูไร ทั้งมีดดาบ ปิ่นปักผมและถุงเครื่องหอมที่คู่รักให้ติดตัวมา ไม่ว่าอะไรที่จะเอามาแลกเป็นเงินได้ ฉันเก็บมาทุกอย่าง ฉันกลัวแทบเป็นบ้า แต่ก็ต้องทำเพราะไม่มีจะกิน แต่แรกฉันไม่ไป แต่ถูกแม่ดุด่าจนต้องยอม---“
3
ดวงอาทิตย์ยังไม่คล้อยต่ำลงมากนัก
ทาเกโซจึงชวนอาเกมินั่งลงในพงหญ้า มองผ่านหมู่ไม้ในป่าสนลงไปเห็นบ้านบนชายเนิน
“ถ้างั้นที่แม่เจ้าบอกว่า ทำอาชีพตัดหญ้าโยโมงิแถวลำธารนี่ ไปทำเป็นโมงูซะสำหรับรักษาโรคก็ไม่เป็นความจริงน่ะซี”
“ใช่ แม่ฉันเป็นคนโกหกเก่ง แค่ตัดหญ้าโมโยงิขาย ไม่พอกินหรอก”
“ก็จริงนะ”
“ตอนพ่อยังอยู่ เราอยู่บ้านหลังใหญ่ที่สุดในเขตอิบูกินานาซาโตะแห่งนี้ มีบริวารมากมาย”
“พ่อเป็นคหบดีในหมู่บ้านรึ”
“ไม่ใช่ พ่อเป็นหัวหน้าโจรป่า”
อาเกมิยืดอก ดวงตาเป็นประกายด้วยความภาคภูมิใจ
“แต่ถูกสึจิคาเซะ เท็นมะ คนที่ขู่ฉันเมื่อตะกี้ฆ่าตาย ทุกคนรู้กันไปทั่วว่าเท็นมะเป็นคนฆ่า”
“พ่อเธอถูกฆ่ารึ”
“... ... ...”
อาเกมิพยักหน้าน้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม เจ้าหล่อนเป็นเด็กสาวร่างเล็กดูไม่ออกว่าอายุสิบห้า พูดจาไม่มีหางเสียงและบางครั้งก็แก่แดดและปราดเปรียวจนดูไม่น่ารัก แต่พอเห็นนางร้องไห้น้ำตาร่วงเผาะเช่นนี้ เจ้าหนุ่มก็ใจอ่อนอยากจะโอบกอดเข้ามาในอ้อมอกทันทีด้วยความสงสารจับใจ
อาเกมิดูเป็นเด็กที่ไม่ได้รับการศึกษาและอบรมบ่มนิสัยเท่าที่ควร และดูเหมือนจะภาคภูมิใจในอาชีพโจรป่าของพ่อตน แม่คงจะพร่ำสอนจนนางจำติดใจว่า การเป็นโจรที่เลือดเย็นยิ่งกว่าหัวขโมยนั้น เป็นช่องทางหาเลี้ยงชีพที่มีความถูกต้อง
ระหว่างสงครามแย่งชิงอำนาจระหว่างแว่นแคว้นสร้างความปั่นป่วนยืดเยื้อไปทั่วสารทิศ พวกคนเกียจคร้านไม่รู้จักคุณค่าของชีวิต ไม่ทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน ออกเดินทางร่อนเร่ไปตามป่าเขาและกลายเป็นโจรป่าคอยรังควาญผู้คนที่สัญจรไปมา เวลาเกิดศึกสงครามผู้ครองแคว้นจะจ้างพวกโจรป่าไปลอบวางเพลิงในกองทัพข้าศึกหรือไม่ก็ขโมยม้า กุข่าวเท็จเพื่อประโยชน์แก่ฝ่ายตน ส่วนพวกที่ไม่มีใครจ้างก็จะคอยจนเสร็จศึกแล้วเข้าไปเก็บของมีค่าจากศพ บ้างก็ปล้นสะดมชาวบ้านจนหมดตัว เก็บหัวข้าศึกไปให้นักรบเพื่อนำไปบรรณาการแม่ทัพ และทำทุกอย่างที่แลกเป็นเงินได้ เอาเป็นว่าใครทำสงครามกับใครครั้งหนึ่ง พวกโจรป่าก็อยู่กันอย่างสบายไปเป็นปีหรือครึ่งปี
สำมะหาอะไรกับพวกโจรป่า แม้แต่คนดี ๆ อย่างชาวไร่ชาวนาและพวกหาไม้หาของป่า เวลาศึกสงครามลุกลามเข้ามาใกล้หมู่บ้านตน ทำมาหากินไม่ได้ก็ยังต้องเก็บของเหลือ ๆ ตามไร่นาไปขายค้ากำไรเกินควรเพื่อเอาชีวิตรอด
พวกโจรป่ามืออาชีพจะยึดครองอาณาบริเวณเป็นที่ซ่องสุมและป้องกันเอาไว้อย่างสุดชีวิต ใครหน้าไหนที่ล่วงล้ำเข้ามารุกรานจะถูกจัดการด้วยกฎเหล็กอย่างเหี้ยมโหด
“ทำยังไงดีล่ะ”
อาเกมิกลัวจนตัวสั่น
“บริวารของเจ้าโจรป่าเท็มมะจะต้องมาเล่นงานเราแน่ ถ้าพวกมันมา...”
“ถ้ามา ข้ารับคำทักทายของพวกมันเอง ไม่ต้องกลัวไป”
ทั้งสองจะลงมาจากภูเขาเมื่อแสงแดดลำสุดท้ายกำลังจะลาจากพื้นน้ำในลำธาร ควันไฟที่ต้มน้ำอาบลอยเอื่อยขึ้นมาจากบ้านโดดเดียวหลังนั้น คุณนายโอโคแต่งหน้าแต่งตาเรียบร้อยยืนอยู่หน้าประตูไม้ด้านหลังบ้าน พอเห็นอาเกมิกับทาเกโซเดินเคียงคู่กลับมาด้วยกัน ก็มองมาด้วยสายตาที่เข้มงวดและถามเสียงแข็งอย่างไม่เคยได้ยินมาก่อน
“อาเกมิ ไปทำอะไรที่ไหนมาจนค่ำมืดอย่างนี้”
ทาเกโซไม่ได้สะดุ้งสะเทือน แต่อาเกมิซึ่งจับความรู้สึกของแม่ได้ไวที่สุดถึงกับสะดุ้งหน้าแดงเรื่อ ผละออกห่างเจ้าหนุ่ม ทาเกโซทันที แล้ววิ่งกลับเข้าบ้าน
4
รุ่งเช้า พอลูกสาวเล่าเรื่องโจรป่าเท็มมะให้ฟัง คุณนายก็ตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก
“ทำไมไม่รีบบอกฮึ”
นางดุลูกสาว แล้วตรงไปเปิดตู้ เปิดลิ้นชัก เปิดห้องเก็บของ โกยเอาของทั้งหมดที่อยู่ในนั้นมารวมกองกันไว้
“มาตาฮาจิ ทาเกโซ ช่วยฉันขนของพวกนี้ขึ้นไปซ่อนไว้ใต้เพดานที เร็วเข้า”
มาตาฮาจิปีนขึ้นไปบนเพดานทันที
ทาเกโซขึ้นไปยืนบนแท่นไม้ รับของจากคุณนายส่งต่อไปให้มาตาฮาจิบนเพดานทีละอย่างสองอย่าง
นี่ถ้าอาเกมิไม่ได้เล่าให้ฟังเมื่อวาน ทาเกโซจะต้องตกใจมากกับสิ่งของเหล่านี้ คงจะต้องสะสมกันมานานจึงเป็นภูเขาเลากาเช่นนี้ เห็นแล้วอดทึ่งไม่ได้ว่าช่างขนกันมาสารพัดสิ่งจริง ๆ มีทั้งดาบ ทั้งหอก เสื้อเกราะแขนเดียว หมวกแม่ทัพไม่มียอด แท่นบูชาพระเล็กจิ๋วที่นักรบพกติดตัว ลูกประคำ เสาธง อีกทั้งของมีค่าอย่างอานม้าประดับมุก ทองและเงิน เป็นต้น
“แค่นี้รึ”
มาตาฮาจิโผล่หน้าจากเพดานลงมาถาม
“มีอีกอันนึง”
คุณนายหยิบดาบไม้โอ๊กสีดำยาวราวสี่ฟุตส่งให้ พอทาเกโซรับเอามาถือไว้เจ้าหนุ่มรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าไม่อยากปล่อย มันเหมาะมืออย่างบอกไม่ถูก ทั้งน้ำหนัก ความแข็งแกร่ง และทรงของดาบ
“โอโค ดาบเล่มนี้ ให้ฉันได้ไหม”
“เจ้าอยากได้รึ”
“อือ”
“... ... ...”
โอโคไม่เอ่ยออกมาว่าให้ แต่ยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มที่สองแก้มแล้วพยักหน้า แสดงว่าเต็มใจมอบให้
มาตาฮาจิลงมาจากใต้เพดาน ชักสีหน้าเป็นทีว่าอิจฉา โอโคเห็นเข้าจึงหัวเราะ
“ขี้งอนนักนะพ่อหนุ่มคนนี้”
ว่าแล้วก็หยิบกระเป๋าหนังประดับด้วยลูกปัดทำด้วยหยกใบหนึ่งส่งให้ แต่มาตาฮาจิดูไม่ค่อยดีใจสักเท่าไร
พอตกเย็น คุณนายโอโคซึ่งคงเคยมีชีวิตอย่างคนชั้นสูงมาก่อน จะต้องแช่น้ำอุ่น แต่งหน้าแต่งตางดงามออกมาดื่มเหล้าสาเก กับลูกสาว ดูนางเป็นคนรักความงามหรูหราและต้องการคงความเป็นสาวเอาไว้ตลอดกาล
“มามะ ทุกคน มาทางนี้”
นางเรียกทุกคนมานั่งล้อมลงรอบเตาผิง รินเหล้าสาเกให้มาตาฮาจิ แล้วส่งจอกให้ทาเกโซถือไว้ แม้เจ้าหนุ่มจะปฏิเสธเพียงไรนางก็ไม่ยอม
“เป็นผู้ชาย ไม่ดื่มสาเกได้ยังไง มานี่ โอโคช่วยเอง”
ว่าแล้วนางก็จับข้อมือเจ้าหนุ่มขืนให้ยกจอกสาเกขึ้นดื่มจนได้
มาตาฮาจิทำหน้าไม่สบอารมณ์จ้องมองไปที่โอโคไม่วางตา ผู้หญิงอย่างคุณนายมีหรือจะไม่รู้สึกว่าถูกจ้องมอง และยิ่งรู้ก็ยิ่งอยากยั่ว นางวางมือลงบนตักของทาเกโซ แล้วเริ่มร้องเพลงที่กำลังนิยมกันในตอนนั้น ด้วยเสียงหวานเจือยแจ้วอย่างมีจริต
“เพลงนี้เป็นเพลงจากใจของฉัน ทาเกโซรู้ไหม”
นางจงใจแกล้งให้เจ้าหนุ่มคนหนึ่งเขินอายและให้อีกคนริษยา โดยไม่ใส่ใจว่าอาเกมิจะเบือนหน้าไปทางหนึ่ง
ชักจะไม่สนุกเสียแล้ว
“ทาเกโซ ข้าว่าอีกสองสามวันเราน่าจะออกเดินทางกันนะ”
มาตาฮาจิโพล่งขึ้นอย่างเหลืออด
“อ้าว จะไปไหนล่ะ มาตาฮาจิ”
“กลับหมู่บ้านมิยาโมโตะแห่งแคว้นซากุน่ะซี แม่กับคู่หมั้นของฉันคอยอยู่”
“ตายจริง ฉันนี่แย่มากเลยที่กักเจ้าเอาไว้ที่นี่ ถ้ามีคนคอยอยู่ที่บ้านละก็ มาตาฮาจิจะกลับไปก่อนคนเดียวก็ตามใจเลยนะ ฉันไม่หน่วงเหนี่ยวเอาไว้หรอก”