นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
อารัมภบทมุมวรรณกรรมนำเสนอนวนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่องยาวหลายตอนจบ ผลงานอมตะของโยชิกาวะ เออิจิ เรื่องมิยาโมโตะ มุซาชิ ซามูไรผู้ได้ชื่อว่าไม่เคยแพ้ใคร และเป็นนักดาบคนแรกที่สู้ด้วยดาบสองมือ ผู้ก่อตั้งสำนักดาบนิเท็นอิจิริวและเป็นผู้เขียนคัมภีร์ห้าห่วงที่มีชื่อเสียง โยชิกาวะ เออิจิเขียนเรื่องมิยาโมโตะ มุซาชิ ลงในหนังสือพิมพ์ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สองติดต่อกันเป็นเวลา 4 ปี ตั้งแต่ 1935-1939 เป็นที่นิยมอ่านกันในหมู่คนญี่ปุ่นมาจนทุกวันนี้ มีผู้นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ละคร การ์ตูนมังงะ และอะนิเมชั่น มาหลายยุคหลายสมัย เชิญติดตาม MUSASHI ภาคแรกซึ่งเป็นช่วงวัยรุ่นของซามูไรในตำนานผู้นี้
ภาค 1 ดิน ตอนลูกกระพรวน1---แผ่นดินเดือด โลกจะอลวนไปถึงไหน
มนุษย์แต่ละคนสิ้นแรงไม่ผิดอะไรกับใบไม้ใบเดียวที่ปลิวคว้างอยู่ในสายลมฤดูใบไม้ร่วง
ทาเกโซคิดขณะนอนอยู่ท่ามกลางศพนักรบที่กองก่าย ในสภาพไม่ผิดอะไรกับร่างไร้วิญญาณเช่นกัน พยายามโงหัวขึ้นแต่ไม่มีแรงขยับเขยื้อน ทาเกโซดูเหมือนจะไม่รู้ตัวว่าโดนกระสุนปืนศัตรูเข้าไปสองสามนัด
เมื่อคืนวาน...วันที่สิบสี่เดือนเก้าปีที่ห้าแห่งรัชสมัยเคโจเมื่อราวค.ศ. 1596-1615...ฝนตกหนักที่สมรภูมิเซกิงาฮาระตั้งแต่ยามค่ำไปจนถึงรุ่งสาง แต่นี่ก็น่าจะเที่ยงกว่าแล้วแต่ฝนยังไม่ขาดเม็ด กลุ่มเมฆหนาทึบถูกลมหอบมาจากหลังเขาอิบูกิยิมะและเทือกเขามิโนะยังไม่กระจายตัว เดี๋ยว ๆ ก็ตกกระหน่ำลงมาราวกับจะช่วยชำระล้างร่องรอยการต่อสู้ในสมรภูมิเลือดฝนสาดลงมาบนใบหน้าของทาเกโซและศพนักรบที่กองก่ายอยู่ข้าง ๆ เขาอ้าปากเหมือนปลาแลบลิ้นเลียน้ำฝนที่ไหลลงมาตามร่องจมูก
...น้ำมนต์ส่งวิญญาณ
หัวของทาเกโซหนักอึ้ง ความรู้สึกเลือนรางเต็มที
กองทัพที่ทาเกโซสังกัดอยู่เป็นฝ่ายแพ้สงครามครั้งนี้ เพราะฮิเดอากินักรบตำแหน่งสำคัญแปรพักตร์ไปเข้ากับกองทัพฝ่ายตะวันออก หันหัวหอกกลับมาโจมตีพวกเดียวกันอันมี อิชิดะ มิตสึนาริ, อุกิตะ, ชิมาซุ และโคนิชิ เป็นต้น การสู้รบจึงพลิกผันกองทัพฝ่ายตะวันตกถูกบดขยี้แพ้ยับเยิน จอมทัพฝ่ายตะวันออกผู้เผด็จศึกก็ได้เถลิงอำนาจสูงสุดทั่วทั้งดินแดนภายในครึ่งวันนั้น สงครามครั้งนี้เป็นการสู้รบครั้งสำคัญที่กำหนดโชคชะตาผู้คนไม่รู้ว่ากี่แสนคนในวันนี้ และจะสืบต่อไปยังลูกหลานและเหลนอีกไม่รู้กว่าชั่วอายุคน
“รวมทั้งข้าด้วย...”
ทาเกโซคำนึงอยู่ในใจ คิดถึงพี่สาวที่มีอยู่คนเดียวและผู้เฒ่าผู้แก่ที่หมู่บ้าน ไม่รู้ว่าอยู่ร้ายดีกันอย่างไร เขาไม่เศร้าเสียใจแต่กลับสงสัยด้วยซ้ำว่าความตายมันง่ายแค่นี้เองหรือ
ทันใดนั้นเองทาเกโซก็เห็นใครคนหนึ่งที่อยู่ในสภาพเหมือนศพนักรบฝ่ายเดียวกันที่อยู่ห่างออกไปราวสิบก้าว ผงกหัวขึ้นมาตะโกนเรียกเขา “ทาเกโซ” เสียงนั้นปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาจากความตายในห้วงคิด
เจ้าของเสียงคือมาตาฮาจิ เพื่อนรักที่ถือหอกเล่มเดียวโลดแล่นออกมาจากหมู่บ้านเดียวกัน มาสมัครเป็นนักรบในกองทัพของขุนศึกคนเดียวกัน และได้มาร่วมรบด้วยกันที่สมรภูมิอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ ด้วยความจิตใจที่ฮึกเหิมร้อนแรงของชายวัยหนุ่มผู้ใฝ่ฝันที่จะได้เป็นวีรบุรุษ
มาตาฮาจิกับทาเกโซอายุครบสิบเจ็ดเท่ากัน
“วู้ มาตาฮาจิ”
ทาเกโซร้องตอบฝ่าสายฝน
“ทาเกโซ เอ็งยังไม่ตายรึ”
ทาเกโซตวาดเพื่อนสุดเสียง
“เฮ้ย ยังอยู่โว้ย คนอย่างข้าไม่ตายง่าย ๆ เอ็งก็อย่าตายนะมาตาฮาจิ อย่าตายอย่างหมานะโว้ย”
“ไอ้บ้า ตายได้ไง”
มาตาฮาจิคลานเข้ามาหาเพื่อนโดยเร็ว และพอมาถึงก็จับมือทาเกโซชุดพลางเร่งว่า “หนีเร็ว”
ทาเกโซกลับดึงมือเพื่อนเข้ามาแล้วสั่งเสียงดุ
“...นอนลง ทำเป็นตาย เร็วเข้า บอกให้ทำเป็นตายไง ยังไม่พ้นอันตรายนะเอ็ง”
ทาเกโซพูดยังไม่ทันขาดคำ แผ่นดินก็สั่นสะเทือนเหมือนหม้อข้าวกำลังเดือด ตามมาด้วยกองทัพม้าสีดำสนิทควบตะบึงผ่านใจกลางสมรภูมิเซกิงาฮาระมุ่งมาทางนี้
พอเห็นธงรบมาตาฮาจิก็กระซิบบอกว่า
“เฮ้ย กองทัพฟุกุชิมะ”
แล้วก็ตั้งท่าจะเผ่นหนี ทาเกโซดึงข้อเท้าลากตัวกลับมา
“ไอ้บ้า อยากตายรึไง”
---เสี้ยววินาทีต่อมา กองทัพม้าสีดำปลอดก็ตะบึงเข้ามาในระยะประชิดจนเห็นหน้านักรบฝ่ายศัตรูสวมเกราะครบชุดกวัดแกว่งหอกหอกดาบอย่างฮึกเหิม และช่วงขาพ่วงพีม้าศึกร่างพ่วงพีที่เกรอะไปด้วยขี้โคลน ควบเป็นจังหวะแรงเร็วเหมือนเครื่องทอผ้า ข้ามผ่านหัวเด็กหนุ่มทั้งสองอย่างเฉียดฉิวไปจนหมดขบวน
มาตาฮาจินอนตัวราบติดดินไม่ไหวติง ส่วนทาเกโซเบิกตาโตนอนมองท้องม้าที่ควบผ่านไปหลายสิบตัว
2ฝนที่ตกหนักมาตั้งแต่เมื่อวานซืนดูเหมือนจะเป็นฝนสั่งลาฤดูไต้ฝุ่น คืนวันนี้ซึ่งตรงกับวันที่สิบเจ็ดเดือนเก้า อากาศแจ่มใสท้องฟ้าไร้เมฆ แต่พระจันทร์ทำไมน่ากลัวเหมือนกำลังจ้องเขม็งลงมาทาเกโซให้เพื่อนโอบคอตนไว้เป็นหลักเพื่อพยุงตัวเดิน เสียงหายใจไม่เป็นจังหวะของมาตาฮาจิที่ดังอยู่ข้างหูทำให้เขาเป็นห่วงกังวล
“เดินไหวไหมเอ็ง ทนหน่อยเหอะ”
ทาเกโซถามแล้วถามอีก
“ไหวน่า”
มาตาฮาจิปากดีไปอย่างนั้น แต่หน้าซีดเสียยิ่งกว่าสีของพระจันทร์
สองสหายซ่อนตัวอยู่แถวที่ลุ่มชื้นระหว่างหุบเขาอิบุกิยามะมาได้สองวันแล้ว เก็บลูกเกาลัดดิบบ้าง กินใบไม้ใบหญ้าบ้าง ในที่สุดทาเกโซก็ปวดท้องส่วนมาตาฮาจิท้องเสียรุนแรง แน่นอนว่าโทกุงาวะขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นจอมทัพฝ่ายชนะจะยังไม่ออมมือจนกว่าจะปราบศัตรูให้สิ้นซาก และคงต้องส่งกองกำลังออกไล่ล่าบรรดาขุนศึกฝ่ายตะวันตกที่พ่ายแพ้ในการต่อสู้ที่ เซกิงาฮาระ คือ อิชิดะ, อุกิตะ และ โคนิชิ ที่หนีรอดไปได้ การที่จะซมซานออกไปถึงหมู่บ้านในคืนเดือนหงายอย่างนี้เป็นการเสี่ยงอันตรายมาก แต่อาการของมาตาฮาจิกำเริบจนทนไม่ไหวถึงกับบอกว่า ยอมให้จับดีกว่า
แต่การจะยอมให้จับกันเฉย ๆ มันไม่สมศักดิ์ศรี จึงตัดใจพากันออกเดินมุ่งหน้าไปทางที่คิดว่าจะไปถึงเมืองพักแรมทารูอิ ขณะที่พยุงกันลงมาจากที่ซ่อนตัว มาตาฮาจิใช้หอกเป็นไม้เท้าพยุงตัวเดินไปพลางเอ่ยขึ้นว่า
“ทาเกโซ ข้าขอโทษ ขอโทษนะ”“พูดอะไรอย่างนั้น”ทาเกโซนิ่งไปอึดใจหนึ่งก่อนพูดต่อไปว่า
“ข้าต่างหากที่ต้องขอโทษเอ็ง ตอนที่ได้ยินว่าท่านอุกิตะกับท่านอิชิดะจะจัดกองทัพเข้าร่วมสงครามข้าดีใจมาก พ่อเคยบอกข้าว่าท่านชินเม็นแห่งอิงะนายเก่าของพ่อเป็นบริวารของตระกูลอุกิตะ ข้าก็เลยคิดว่าจะอาศัยท่านผู้นี้ช่วยให้ท่านอุกิตะช่วยรับลูกซามูไรบ้านนอกคนนี้เป็นบริวารและให้ร่วมกองทัพออกรบด้วยสักคน ข้าตั้งใจไว้ว่าพอได้ออกศึกข้าตัดหัวแม่ทัพคนสำคัญมาให้ท่านอุกิตะ พวกคนในหมู่บ้านที่เคยดูหมิ่นดูแคลนข้าจะได้รู้เสียบ้างว่าข้ามีดีแค่ไหน พ่อของข้าที่ไปสวรรค์แล้วก็จะต้องตกใจ ข้าออกศึกก็ด้วยความฝันที่ว่านี่แหละเอ็ง”“ข้าก็เหมือนกัน”มาตาฮาจิพยักหน้า
“แล้วข้าก็ไปชวนเอ็ง พอแม่เอ็งรู้เข้าก็ด่าข้าสาดเสียเทเสียว่าชวนอะไรไม่เข้าเรื่อง โอซือแห่งวัดชิปโปจิ คู่หมั้นของเอ็ง แม้จนกระทั่งพี่สาวข้า ก็ยังคัดค้านเสียงแข็ง ร้องไห้ร้องห่มไม่ยอมท่าเดียวบอกว่าเด็กบ้านนอกจงอยู่บ้านนอก มันก็ไม่แปลกหรอกนะเพราะเราเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว”
“จริง”
“เราคิดเหมือนกันว่าปรึกษากับผู้หญิงและคนแก่ไม่ได้ประโยชน์อะไร แล้วชวนกันเผ่นออกมาจากบ้าน แต่มันไปได้สวยอยู่แค่นั้น เพราะพอมาถึงกองทหารของตระกูลชินเม็น ถึงจะเคยเป็นนายเก่าของพ่อก็ไม่ใช่ว่าจะรับเราเป็นบริวารและใช้ร่วมกองทัพออกรบง่าย ๆ เราถูกใช้ทำงานจิปาถะ ไม่ได้จับหอกจับดาบ ได้แต่จับเคียวเกี่ยวหญ้า อย่าว่าแต่จะได้ไปตัดคอแม่ทัพศัตรูมาสังเวยเจ้านายตามฝันเลย แค่หัวบริวารแม่ทัพก็ยังไม่มีโอกาสได้ตัด และนี่ถ้าปล่อยให้เอ็งตายเหมือนหมา ข้าจะไปขอโทษโอซือคู่รักของเอ็ง และแม่เอ็งว่ายังไง”
“ข้าไม่โทษเอ็งหรอกทาเกโซ มันคือชะตากรรมของคนแพ้สงคราม ทุกอย่างพินาศย่อยยับ ถ้าจะโทษใคร ก็ต้องโทษ ฮิเดอากิซามูไรแปรพักตร์”
3สองสหายเดินมาได้สักครู่ก็ชวนกันหยุดยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของทุ่งกว้างใหญ่สุดสายตา มองไปรอบ ๆ เห็นแต่หญ้าคาที่ราบลงไปเป็นแถบ ๆ ไม่เห็นแสงไฟ ไม่เห็นบ้านเรือนสักหลัง ดูแล้วไม่น่าใช่ทางที่คิดว่าจะไปถึงเมืองพักแรมทารูอิดังที่คาดไว้ก่อนออกเดินมา
“นี่มันที่ไหนฮึ ทาเกโซ”
“มัวแต่คุยกัน สงสัยจะหลงทางเสียแล้วก็ไม่รู้” ทาเกโซรำพึงกับตัวเอง
“นั่นมันแม่น้ำคุอิเซงาวะไม่ใช่รึ”
มาตาฮาจิที่เกาะบ่าเพื่อนอยู่บุ้ยหน้าไปทางสายน้ำ
“ถ้างั้น ตรงนี้ก็เป็นสนามรบที่อุกิดะรบกับฟุกุชิมะกองทัพตะวันออก โคบายาคาวะรบกับอีและฮนดะเมื่อวานซืนนี้น่ะซี”
“ใช่รึ...ถ้างั้นข้าก็ต้องรบอยู่ด้วย แต่ข้าจำอะไรไม่ได้เลยเอ็ง”
“ดูนั่น” ทาเกโซชี้ไปข้างหน้า
บนพื้นหญ้าที่ลู่ราบ และในสายน้ำที่ไหลเอื่อย ไม่ว่าจะมองไปทางไหนเห็นแต่ศพนักรบทั้งฝ่ายมิตรและศัตรู บางศพหัวทิ่มลงไปในพงหญ้า บางศพนอนหงายอยู่ในแม่น้ำ บ้างถูกทับอยู่ใต้ศพม้า ยิ่งจ้องมองก็ยิ่งเห็นแต่ศพเกลื่อนกราดแทบไม่เห็นพื้นดิน ฝนที่ตกติดต่อกันสองวันคงจะชำระล้างเลือดนักรบที่หลั่งชโลมดินไปเกือบหมด แสงจากดวงจันทร์อาบสีผิวและใบหน้าของศพให้ดูเหมือนฝูงปลาที่ขึ้นมาตายอยู่บนบก ภาพตรงหน้าสะท้อนให้เห็นว่าการรบพุ่งในวันนั้นดุเดือดเพียงไร
“...แมลง แมลงมันร้องนะเอ็ง”
มาตาฮาจิถอนใจใหญ่รดบ่าทาเกโซ เสียงที่ได้ยินไม่ได้มีแต่หรีดหริ่งเรไร น้ำตาใสสะอาดหลั่งจากดวงตาของมาตาฮาจิลงมาอาบแก้ม
“ทาเกโซ ถ้าข้าตาย เอ็งช่วยดูแลโอซือแห่งวัดชิปโปจิไปตลอดชีวิตของเอ็งด้วยนะ”
“บ้าน่า...นึกอะไรขึ้นมา อยู่ดี ๆ ก็พูดอะไรไม่ได้เรื่อง”
“ข้าอาจกำลังจะตาย”
“อย่าทำเป็นคนใจปลาซิวไปหน่อยเลย---ทำอ่อนแอแล้วจะไปไหนรอดล่ะ”
“แม่คงมีพวกญาติช่วยดูแลให้ แต่โอซือตัวคนเดียว ซามูไรพเนจรมาจากไหนไม่รู้มาพักแรมที่วัดแล้วทิ้งนางเอาไว้ตั้งแต่ยังเป็นเด็กทารก โอซือน่าสงสารมาก ทาเกโซ...ถ้าข้าตายไปช่วยดูแลนางด้วย ข้าขอร้อง”
“คนเราจะตายเพราะท้องร่วงแค่นี้ก็ให้มันรู้ไป มาตาฮาจิ...เข้มแข็งหน่อยซิเอ็ง”
ทาเกโซให้กำลังใจเพื่อน
“อดทนนิดนึงนะเอ็ง พอเจอบ้านคน เราจะได้ขอยาเขากิน และอาศัยนอนให้สบาย”
ทาเกโซพาเพื่อนคู่หูออกเดินด้วยความระมัดระวัง เจ้าหนุ่มไปตามทางเซกิงาฮาระไปยังฟุวะสายนี้มีทั้งหมู่บ้านและโรงเตี๊ยม
เดินไปได้อีกครู่หนึ่งก็พบศพนักรบซึ่งคงจะรบแพ้ทั้งกองทัพก่ายกองกันอยู่ สองสหายเห็นศพกันมาเต็มตา จนชินชากับความโหดร้ายของสงครามและไม่รู้สึกเวทนาสงสารเท่ากับเมื่อได้เห็นครั้งแรก แต่อยู่ ๆ ทาเกโซก็หยุดกึก และมาตาฮาจิก็ชะงักตาม เบิกตาโตจ้องมองไปข้างหน้าและอุทานออกมาเบา ๆ ด้วยความตกใจ
“อ๊ะ ?...”
แสงจันทร์สว่างราวกลางวัน ร่างของใครคนหนึ่งกระโจนหลบอย่างว่องไวราวกับกระต่ายป่าแทรกตัวเข้าไปหมอบนิ่งอยู่ในกองซากศพ
---ซามูไรแตกทัพ ?ทาเกโซเขม้นมองตามไปก็สบกับดวงตาวาววามราวแมวป่าปราดเปรียว ของเด็กรุ่นสาวราวสิบสามสิบสี่จ้องตอบมา
4แม้การสู้รบจะสิ้นสุดลงแต่การไล่ล่าขุนศึกแตกทัพยังไม่จบ ราวกับเป็นสงครามระลอกสอง นักรบฝ่ายศัตรูถือหอกถือดาบตระเวนค้นหาไปตามป่าเขา พบเข้าเป็นฆ่าหวังกวาดล้างให้สิ้นซาก ไม่เว้นแม้แต่สมรภูมินองเลือดแห่งนี้ที่เงี่ยหูฟังดี ๆ จะได้ยินคล้ายเสียงกระซิบแผ่วของสัมภเวสี สงสัยนักว่าทำไมเจ้าหล่อนจึงมาซ่อนตัวอยู่ในกองศพเน่าเหม็นยามค่ำคืนเช่นนี้
“....?”
สองสหายกลั้นหายใจจ้องมองไปด้วยความฉงนอยู่ครู่หนึ่ง ทาเกโซอดรนทนไม่ได้จึงร้องขู่เสียงดัง
“เฮ้ย ! ”
ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นอีกด้วยความตระหนก ตั้งท่าจะวิ่งหนี
“ไม่ต้องหนี เราอยากถามอะไรหน่อย”
ทาเกโซร้องห้ามเอาไว้แต่ช้าเกินไป ยังไม่ทันสิ้นเสียงนางแมวสาวก็โผนออกจากที่ซ่อนวิ่งตัวปลิวไม่เห็นหลังหายไปทางด้านโน้น ทิ้งไว้แต่เสียงกรุ๋งกริ๋งของลูกกระพรวนกังวานใสอยู่ในหูของสองสหาย
“อะไรกันวะ”
ทาเกโซมองฝ่าม่านหมอกจาง ๆ ยามค่ำไปทางด้านโน้นด้วยความงงงวย
“หรือว่าจะเป็นผี”
มาตาฮาจิตัวสั่นเทาขึ้นมาทันที
“บ้าเหรอ”
ทาเกโซหัวเราะกลบเกลื่อน
“นางวิ่งหายไปทางหุบเขาด้านโน้น คงจะมีหมู่บ้านละมัง ข้าไม่น่าขู่ให้นางตกใจเลยให้ตายซิ”
สองสหายพากันเดินมุ่งหน้าไปทางหุบเขา และเมื่อมองลงไปที่บึงใหญ่เชิงเขาฟุวายามะก็เห็นบ้านหลังหนึ่งจุดไฟสว่างเรืองเดินจากตรงนั้นไปราวยี่สิบห้าเส้น ก็ถึงบ้านที่ดูเก่าแก่หลังใหญ่มีกำแพงดินและซุ้มประตูสง่างาม ไม่ใช่บ้านชาวไร่ชาวนาธรรมดา เมื่อลอดซุ้มประตูเก่าแก่ที่ไม่มีบานประตูเข้าไปก็พบเรือนใหญ่อยู่ในดงดอกฮางิ
ประตูเรือนปิดสนิททาเกโซจึงเคาะเบา ๆ และส่งเสียงทักทายตามธรรมเนียม
“ขออภัยที่มารบกวนยามเย็นค่ำ ข้ามีคนป่วยมาขอความช่วยเหลือ”
ไม่มีเสียงตอบออกมา แต่ทาเกโซแว่วเสียงคล้ายคนกระซิบกัน และไม่นานก็ได้ยินเสียงก็อกแก็กที่ประตู จึงคอยอยู่ด้วยความหวังว่าคนข้างในจะเปิดรับ แต่ไม่ใช่
“พวกเจ้าเป็นซามูไรแตกทัพมาจากเซกิงาฮาระใช่ไหม”
คนข้างในถามเสียงใสชัดถ้อยชัดคำ คงจะเป็นสาวรุ่นที่สองสหายพบเมื่อตะกี้
“ข้าเป็นพลเดินเท้าในหมู่ทะลวงฟันของชินเม็นแห่งอิงะ ในกองทัพของท่านอุกิตะ”
“ไม่ได้ หากช่วยให้ซามูไรแตกทัพซ่อนตัวเราจะพลอยมีความผิดไปด้วย เจ้าอาจคิดแค่มาขอให้ช่วยคนป่วย แต่สำหรับพวกข้ามันเป็นเรื่องใหญ่”
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้”
“ไปข้างหน้าเถิด”
“เราจะไปตามที่ท่านบอก แต่เพื่อนข้าปวดท้องทรมานมากเพราะท้องร่วง หากท่านมียาอยู่บ้าง ก็อยากขอเจียดมาให้คนป่วยได้กินพอบรรเทา”
“ถ้ายาละก็...”
คนในบ้านเงียบไป คงจะนิ่งคิดอยู่อึดใจหนึ่ง และคงจะเข้าไปถามใครอีกคนเพราะได้ยินเสียงลูกกระพรวนและเสียงฝีเท้าหายเข้าไปภายในเรือน
ครู่หนึ่งต่อมาก็มีคนเยี่ยมหน้าออกมาทางช่องหน้าต่าง ท่าทางคงเป็นเมียเจ้าของบ้านที่ลอบพิศดูสองสหายอยู่ตั้งแต่ต้น “อาเกมิ เปิดประตูได้แล้ว ท่าทางเป็นซามูไรแตกทัพแต่ก็เป็นพวกพลเดินเท้า กองทัพไล่ล่าเขาคงไม่สนใจ แม่คิดว่าไม่น่ามีอะไรยุ่งยาก ให้เขาพักพิงเอาบุญเถิดลูก”
5กิจวัตรประจำวันของสองสหายในกระท่อมเก็บฟืนตั้งแต่นั้นมา คือ มาตาฮาจิกินยาผงและข้าวต้มใบกุยช่ายที่สองแม่ลูกจัดมาให้อย่างอิ่มหนำสำราญแล้วหลับไป ส่วนทาเกโซเอาเหล้าสาเกล้างแผลที่ถูกกระสุนปืนเฉี่ยวเอาตรงต้นขาแล้วเอนตัวลงนอนเช่นกัน
“เอ็งว่าบ้านนี้เขาทำอาชีพอะไรกัน”
“ทำอะไรก็ช่าง แค่รู้ว่าเป็นคนใจดีเหลือเกินก็พอ อุตส่าห์ช่วยเราให้ซ่อนตัวอยู่ที่นี่ เหมือนพระพุทธมาโปรดสัตว์นรก ไม่มีผิด”
“คนที่ท่าทางเป็นแม่ดูยังสาวอยู่และสาวน้อยคนนั้นก็เพิ่งแรกรุ่น ช่างกล้าหาญเสียจริงที่มาอยู่ตามลำพังสองคนในที่เปลี่ยวอย่างนี้”
“สาวน้อยคนนั้นมีอะไรคล้ายกับโอซือแห่งวัดชิปโปจิ เอ็งว่าไหม”
“เออ ก็น่ารักดี ...แต่ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมสาวน้อยหน้าตาท่าทางเหมือนตุ๊กตาเกียวโตอย่างนั้น ถึงได้ไปเดินท่อม ๆ อยู่ในสนามรบที่มีแต่ศพเน่าเหม็น ขนาดเราสองคนยังขยะแขยงแทบตายอย่างนั้น ตอนกลางดึกด้วยนะเอ็ง ข้างงมากเลย”
“เสียงลูกกระพรวน”
สองสหายเงี่ยหูฟัง---
“สาวน้อยอาเกมิมาแล้ว”
เสียงฝีเท้าหยุดกึกที่หน้ากระท่อม คงจะเป็นเจ้าหล่อนอย่างที่คิด มีเสียงเคาะประตูเบา ๆ เหมือนนกหัวขวาน
“มาตาฮาจิ ทาเกโซ”
“ใครน่ะ”
“ฉันเอง เอาข้าวต้มมาให้”
“ขอบใจ”
ทาเกโซลุกขึ้นไปถอดสลักกลอน เปิดประตูให้อาเกมิที่ถือถาดใส่ยากับอาหารเข้ามา
“อาการเป็นยังไงบ้าง”
“เราสองคนแข็งแรงดีอย่างที่เห็น ขอบคุณเจ้ามากนะ”
“แม่สั่งมาให้บอกว่า ถึงจะสบายขึ้นแล้วก็อย่าคุยกันเสียงดังนัก และอย่าโผล่หัวออกไปข้างนอก”
“ขอโทษนะที่ทำให้เจ้ากับแม่ต้องลำบากเพราะเรา”
“ดูเหมือนเขายังจับพวกขุนศึกอย่าง อิชิดะ มิตสึนาริ, อุกิดะ ฮิเดอิเอะ ที่แตกทัพมาจากเซกิงาฮาระไม่ได้ กองทัพไล่ล่าตามรังควาญหนักมากไม่เว้นแม้แต่แถบนี้”
“จริงรึ”
“ถึงจะเป็นแค่พลเดินเท้า แต่ถ้าเรื่องแพร่งพรายไปถึงหูพวกนั้นว่าเรารู้เห็นเป็นใจให้พวกเจ้ามาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ฉันกับแม่ก็จะต้องถูกจับไปลงโทษ”
“เราเข้าใจ”
“เอาละ นอนได้แล้ว เจอกันใหม่พรุ่งนี้”
อาเกมิยิ้มให้แล้วเตรียมตัวกลับ แต่มาตาฮาจิเรียกเอาไว้
“อาเกมิ อยู่คุยกันอีกสักหน่อยไม่ได้รึ”
“ไม่ได้” “ทำไมล่ะ”
“เดี๋ยวแม่ดุ”
“อยากถามอะไรว่าเจ้าอายุเท่าไร”
“สิบห้า”
“สิบห้า ? ตัวเล็กจัง”
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
“พ่อล่ะ”
“ไม่มี”
“ทำมาหากินอะไร”
“เรารึ ?”
“ใช่”
“ร้านทำโมงูซะ”
“มิน่าล่ะ แถวนี้เขามีชื่อเรื่องทำโมงูซะ1 สำหรับใช้รักษาโรคตามตำรับจีนโบราณ อย่างที่เขาเอาไปจุดรมไฟตามตัวที่เขาเรียกว่าโอคิว2ไงเอ็ง”
“ใช่ เราจะไปเกี่ยวหญ้าที่เรียกว่าโยโมงิ3 ตอนปลายฤดูใบไม้ผลิ มาตากแห้งในฤดูร้อน แล้วเราก็จะได้โมงูซะในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ส่งไปตามโรงเตี๊ยมที่ทารูอิ ให้เขาขายนักเดินทางเป็นของที่ระลึก”
“จริงซิ...อย่างนี้พวกผู้หญิงก็ทำกันได้สบาย”
“เจ้าจะถามแค่นี้เองรึ”
“ยังมีอีก”
“อะไรรึ”
“คืนที่เราสองคนมาที่นี่ ข้าเห็นเจ้าเดินท่อม ๆ อยู่ในสนามรบที่มีศพเน่าเหม็นเต็มไปหมด อยากถามว่าเจ้าไปทำอะไรอยู่ที่นั้น”
“ไม่รุ”
อาเกมิสะบัดหน้าแล้วออกจากกระท่อมไปโดยไม่หันมามองสองสหาย เสียงลูกกระพรวนของเจ้าหล่อนดังไกลออกไปทางเรือนใหญ่
1 โมงูซะ หรือ moxa ที่ทำจาก 3 โยโมงิ ซึ่งเป็นพืชจำพวกโกศจุฬาลัมพา นำมาวางตามจุดต่าง ๆ บนร่างกายแล้วกระตุ้นจุดนั้น ๆ โดยจุดไฟให้ความร้อน เป็นการบำบัดรักษา ป้องกันโรคและเสริมสุขภาพตามตำรับจีนโบราณ ที่ญี่ปุ่นเรียกว่า 2 “โอคิว”
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
อารัมภบทมุมวรรณกรรมนำเสนอนวนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่องยาวหลายตอนจบ ผลงานอมตะของโยชิกาวะ เออิจิ เรื่องมิยาโมโตะ มุซาชิ ซามูไรผู้ได้ชื่อว่าไม่เคยแพ้ใคร และเป็นนักดาบคนแรกที่สู้ด้วยดาบสองมือ ผู้ก่อตั้งสำนักดาบนิเท็นอิจิริวและเป็นผู้เขียนคัมภีร์ห้าห่วงที่มีชื่อเสียง โยชิกาวะ เออิจิเขียนเรื่องมิยาโมโตะ มุซาชิ ลงในหนังสือพิมพ์ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สองติดต่อกันเป็นเวลา 4 ปี ตั้งแต่ 1935-1939 เป็นที่นิยมอ่านกันในหมู่คนญี่ปุ่นมาจนทุกวันนี้ มีผู้นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ละคร การ์ตูนมังงะ และอะนิเมชั่น มาหลายยุคหลายสมัย เชิญติดตาม MUSASHI ภาคแรกซึ่งเป็นช่วงวัยรุ่นของซามูไรในตำนานผู้นี้
ภาค 1 ดิน ตอนลูกกระพรวน1---แผ่นดินเดือด โลกจะอลวนไปถึงไหน
มนุษย์แต่ละคนสิ้นแรงไม่ผิดอะไรกับใบไม้ใบเดียวที่ปลิวคว้างอยู่ในสายลมฤดูใบไม้ร่วง
ทาเกโซคิดขณะนอนอยู่ท่ามกลางศพนักรบที่กองก่าย ในสภาพไม่ผิดอะไรกับร่างไร้วิญญาณเช่นกัน พยายามโงหัวขึ้นแต่ไม่มีแรงขยับเขยื้อน ทาเกโซดูเหมือนจะไม่รู้ตัวว่าโดนกระสุนปืนศัตรูเข้าไปสองสามนัด
เมื่อคืนวาน...วันที่สิบสี่เดือนเก้าปีที่ห้าแห่งรัชสมัยเคโจเมื่อราวค.ศ. 1596-1615...ฝนตกหนักที่สมรภูมิเซกิงาฮาระตั้งแต่ยามค่ำไปจนถึงรุ่งสาง แต่นี่ก็น่าจะเที่ยงกว่าแล้วแต่ฝนยังไม่ขาดเม็ด กลุ่มเมฆหนาทึบถูกลมหอบมาจากหลังเขาอิบูกิยิมะและเทือกเขามิโนะยังไม่กระจายตัว เดี๋ยว ๆ ก็ตกกระหน่ำลงมาราวกับจะช่วยชำระล้างร่องรอยการต่อสู้ในสมรภูมิเลือดฝนสาดลงมาบนใบหน้าของทาเกโซและศพนักรบที่กองก่ายอยู่ข้าง ๆ เขาอ้าปากเหมือนปลาแลบลิ้นเลียน้ำฝนที่ไหลลงมาตามร่องจมูก
...น้ำมนต์ส่งวิญญาณ
หัวของทาเกโซหนักอึ้ง ความรู้สึกเลือนรางเต็มที
กองทัพที่ทาเกโซสังกัดอยู่เป็นฝ่ายแพ้สงครามครั้งนี้ เพราะฮิเดอากินักรบตำแหน่งสำคัญแปรพักตร์ไปเข้ากับกองทัพฝ่ายตะวันออก หันหัวหอกกลับมาโจมตีพวกเดียวกันอันมี อิชิดะ มิตสึนาริ, อุกิตะ, ชิมาซุ และโคนิชิ เป็นต้น การสู้รบจึงพลิกผันกองทัพฝ่ายตะวันตกถูกบดขยี้แพ้ยับเยิน จอมทัพฝ่ายตะวันออกผู้เผด็จศึกก็ได้เถลิงอำนาจสูงสุดทั่วทั้งดินแดนภายในครึ่งวันนั้น สงครามครั้งนี้เป็นการสู้รบครั้งสำคัญที่กำหนดโชคชะตาผู้คนไม่รู้ว่ากี่แสนคนในวันนี้ และจะสืบต่อไปยังลูกหลานและเหลนอีกไม่รู้กว่าชั่วอายุคน
“รวมทั้งข้าด้วย...”
ทาเกโซคำนึงอยู่ในใจ คิดถึงพี่สาวที่มีอยู่คนเดียวและผู้เฒ่าผู้แก่ที่หมู่บ้าน ไม่รู้ว่าอยู่ร้ายดีกันอย่างไร เขาไม่เศร้าเสียใจแต่กลับสงสัยด้วยซ้ำว่าความตายมันง่ายแค่นี้เองหรือ
ทันใดนั้นเองทาเกโซก็เห็นใครคนหนึ่งที่อยู่ในสภาพเหมือนศพนักรบฝ่ายเดียวกันที่อยู่ห่างออกไปราวสิบก้าว ผงกหัวขึ้นมาตะโกนเรียกเขา “ทาเกโซ” เสียงนั้นปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาจากความตายในห้วงคิด
เจ้าของเสียงคือมาตาฮาจิ เพื่อนรักที่ถือหอกเล่มเดียวโลดแล่นออกมาจากหมู่บ้านเดียวกัน มาสมัครเป็นนักรบในกองทัพของขุนศึกคนเดียวกัน และได้มาร่วมรบด้วยกันที่สมรภูมิอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ ด้วยความจิตใจที่ฮึกเหิมร้อนแรงของชายวัยหนุ่มผู้ใฝ่ฝันที่จะได้เป็นวีรบุรุษ
มาตาฮาจิกับทาเกโซอายุครบสิบเจ็ดเท่ากัน
“วู้ มาตาฮาจิ”
ทาเกโซร้องตอบฝ่าสายฝน
“ทาเกโซ เอ็งยังไม่ตายรึ”
ทาเกโซตวาดเพื่อนสุดเสียง
“เฮ้ย ยังอยู่โว้ย คนอย่างข้าไม่ตายง่าย ๆ เอ็งก็อย่าตายนะมาตาฮาจิ อย่าตายอย่างหมานะโว้ย”
“ไอ้บ้า ตายได้ไง”
มาตาฮาจิคลานเข้ามาหาเพื่อนโดยเร็ว และพอมาถึงก็จับมือทาเกโซชุดพลางเร่งว่า “หนีเร็ว”
ทาเกโซกลับดึงมือเพื่อนเข้ามาแล้วสั่งเสียงดุ
“...นอนลง ทำเป็นตาย เร็วเข้า บอกให้ทำเป็นตายไง ยังไม่พ้นอันตรายนะเอ็ง”
ทาเกโซพูดยังไม่ทันขาดคำ แผ่นดินก็สั่นสะเทือนเหมือนหม้อข้าวกำลังเดือด ตามมาด้วยกองทัพม้าสีดำสนิทควบตะบึงผ่านใจกลางสมรภูมิเซกิงาฮาระมุ่งมาทางนี้
พอเห็นธงรบมาตาฮาจิก็กระซิบบอกว่า
“เฮ้ย กองทัพฟุกุชิมะ”
แล้วก็ตั้งท่าจะเผ่นหนี ทาเกโซดึงข้อเท้าลากตัวกลับมา
“ไอ้บ้า อยากตายรึไง”
---เสี้ยววินาทีต่อมา กองทัพม้าสีดำปลอดก็ตะบึงเข้ามาในระยะประชิดจนเห็นหน้านักรบฝ่ายศัตรูสวมเกราะครบชุดกวัดแกว่งหอกหอกดาบอย่างฮึกเหิม และช่วงขาพ่วงพีม้าศึกร่างพ่วงพีที่เกรอะไปด้วยขี้โคลน ควบเป็นจังหวะแรงเร็วเหมือนเครื่องทอผ้า ข้ามผ่านหัวเด็กหนุ่มทั้งสองอย่างเฉียดฉิวไปจนหมดขบวน
มาตาฮาจินอนตัวราบติดดินไม่ไหวติง ส่วนทาเกโซเบิกตาโตนอนมองท้องม้าที่ควบผ่านไปหลายสิบตัว
2ฝนที่ตกหนักมาตั้งแต่เมื่อวานซืนดูเหมือนจะเป็นฝนสั่งลาฤดูไต้ฝุ่น คืนวันนี้ซึ่งตรงกับวันที่สิบเจ็ดเดือนเก้า อากาศแจ่มใสท้องฟ้าไร้เมฆ แต่พระจันทร์ทำไมน่ากลัวเหมือนกำลังจ้องเขม็งลงมาทาเกโซให้เพื่อนโอบคอตนไว้เป็นหลักเพื่อพยุงตัวเดิน เสียงหายใจไม่เป็นจังหวะของมาตาฮาจิที่ดังอยู่ข้างหูทำให้เขาเป็นห่วงกังวล
“เดินไหวไหมเอ็ง ทนหน่อยเหอะ”
ทาเกโซถามแล้วถามอีก
“ไหวน่า”
มาตาฮาจิปากดีไปอย่างนั้น แต่หน้าซีดเสียยิ่งกว่าสีของพระจันทร์
สองสหายซ่อนตัวอยู่แถวที่ลุ่มชื้นระหว่างหุบเขาอิบุกิยามะมาได้สองวันแล้ว เก็บลูกเกาลัดดิบบ้าง กินใบไม้ใบหญ้าบ้าง ในที่สุดทาเกโซก็ปวดท้องส่วนมาตาฮาจิท้องเสียรุนแรง แน่นอนว่าโทกุงาวะขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นจอมทัพฝ่ายชนะจะยังไม่ออมมือจนกว่าจะปราบศัตรูให้สิ้นซาก และคงต้องส่งกองกำลังออกไล่ล่าบรรดาขุนศึกฝ่ายตะวันตกที่พ่ายแพ้ในการต่อสู้ที่ เซกิงาฮาระ คือ อิชิดะ, อุกิตะ และ โคนิชิ ที่หนีรอดไปได้ การที่จะซมซานออกไปถึงหมู่บ้านในคืนเดือนหงายอย่างนี้เป็นการเสี่ยงอันตรายมาก แต่อาการของมาตาฮาจิกำเริบจนทนไม่ไหวถึงกับบอกว่า ยอมให้จับดีกว่า
แต่การจะยอมให้จับกันเฉย ๆ มันไม่สมศักดิ์ศรี จึงตัดใจพากันออกเดินมุ่งหน้าไปทางที่คิดว่าจะไปถึงเมืองพักแรมทารูอิ ขณะที่พยุงกันลงมาจากที่ซ่อนตัว มาตาฮาจิใช้หอกเป็นไม้เท้าพยุงตัวเดินไปพลางเอ่ยขึ้นว่า
“ทาเกโซ ข้าขอโทษ ขอโทษนะ”“พูดอะไรอย่างนั้น”ทาเกโซนิ่งไปอึดใจหนึ่งก่อนพูดต่อไปว่า
“ข้าต่างหากที่ต้องขอโทษเอ็ง ตอนที่ได้ยินว่าท่านอุกิตะกับท่านอิชิดะจะจัดกองทัพเข้าร่วมสงครามข้าดีใจมาก พ่อเคยบอกข้าว่าท่านชินเม็นแห่งอิงะนายเก่าของพ่อเป็นบริวารของตระกูลอุกิตะ ข้าก็เลยคิดว่าจะอาศัยท่านผู้นี้ช่วยให้ท่านอุกิตะช่วยรับลูกซามูไรบ้านนอกคนนี้เป็นบริวารและให้ร่วมกองทัพออกรบด้วยสักคน ข้าตั้งใจไว้ว่าพอได้ออกศึกข้าตัดหัวแม่ทัพคนสำคัญมาให้ท่านอุกิตะ พวกคนในหมู่บ้านที่เคยดูหมิ่นดูแคลนข้าจะได้รู้เสียบ้างว่าข้ามีดีแค่ไหน พ่อของข้าที่ไปสวรรค์แล้วก็จะต้องตกใจ ข้าออกศึกก็ด้วยความฝันที่ว่านี่แหละเอ็ง”“ข้าก็เหมือนกัน”มาตาฮาจิพยักหน้า
“แล้วข้าก็ไปชวนเอ็ง พอแม่เอ็งรู้เข้าก็ด่าข้าสาดเสียเทเสียว่าชวนอะไรไม่เข้าเรื่อง โอซือแห่งวัดชิปโปจิ คู่หมั้นของเอ็ง แม้จนกระทั่งพี่สาวข้า ก็ยังคัดค้านเสียงแข็ง ร้องไห้ร้องห่มไม่ยอมท่าเดียวบอกว่าเด็กบ้านนอกจงอยู่บ้านนอก มันก็ไม่แปลกหรอกนะเพราะเราเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว”
“จริง”
“เราคิดเหมือนกันว่าปรึกษากับผู้หญิงและคนแก่ไม่ได้ประโยชน์อะไร แล้วชวนกันเผ่นออกมาจากบ้าน แต่มันไปได้สวยอยู่แค่นั้น เพราะพอมาถึงกองทหารของตระกูลชินเม็น ถึงจะเคยเป็นนายเก่าของพ่อก็ไม่ใช่ว่าจะรับเราเป็นบริวารและใช้ร่วมกองทัพออกรบง่าย ๆ เราถูกใช้ทำงานจิปาถะ ไม่ได้จับหอกจับดาบ ได้แต่จับเคียวเกี่ยวหญ้า อย่าว่าแต่จะได้ไปตัดคอแม่ทัพศัตรูมาสังเวยเจ้านายตามฝันเลย แค่หัวบริวารแม่ทัพก็ยังไม่มีโอกาสได้ตัด และนี่ถ้าปล่อยให้เอ็งตายเหมือนหมา ข้าจะไปขอโทษโอซือคู่รักของเอ็ง และแม่เอ็งว่ายังไง”
“ข้าไม่โทษเอ็งหรอกทาเกโซ มันคือชะตากรรมของคนแพ้สงคราม ทุกอย่างพินาศย่อยยับ ถ้าจะโทษใคร ก็ต้องโทษ ฮิเดอากิซามูไรแปรพักตร์”
3สองสหายเดินมาได้สักครู่ก็ชวนกันหยุดยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของทุ่งกว้างใหญ่สุดสายตา มองไปรอบ ๆ เห็นแต่หญ้าคาที่ราบลงไปเป็นแถบ ๆ ไม่เห็นแสงไฟ ไม่เห็นบ้านเรือนสักหลัง ดูแล้วไม่น่าใช่ทางที่คิดว่าจะไปถึงเมืองพักแรมทารูอิดังที่คาดไว้ก่อนออกเดินมา
“นี่มันที่ไหนฮึ ทาเกโซ”
“มัวแต่คุยกัน สงสัยจะหลงทางเสียแล้วก็ไม่รู้” ทาเกโซรำพึงกับตัวเอง
“นั่นมันแม่น้ำคุอิเซงาวะไม่ใช่รึ”
มาตาฮาจิที่เกาะบ่าเพื่อนอยู่บุ้ยหน้าไปทางสายน้ำ
“ถ้างั้น ตรงนี้ก็เป็นสนามรบที่อุกิดะรบกับฟุกุชิมะกองทัพตะวันออก โคบายาคาวะรบกับอีและฮนดะเมื่อวานซืนนี้น่ะซี”
“ใช่รึ...ถ้างั้นข้าก็ต้องรบอยู่ด้วย แต่ข้าจำอะไรไม่ได้เลยเอ็ง”
“ดูนั่น” ทาเกโซชี้ไปข้างหน้า
บนพื้นหญ้าที่ลู่ราบ และในสายน้ำที่ไหลเอื่อย ไม่ว่าจะมองไปทางไหนเห็นแต่ศพนักรบทั้งฝ่ายมิตรและศัตรู บางศพหัวทิ่มลงไปในพงหญ้า บางศพนอนหงายอยู่ในแม่น้ำ บ้างถูกทับอยู่ใต้ศพม้า ยิ่งจ้องมองก็ยิ่งเห็นแต่ศพเกลื่อนกราดแทบไม่เห็นพื้นดิน ฝนที่ตกติดต่อกันสองวันคงจะชำระล้างเลือดนักรบที่หลั่งชโลมดินไปเกือบหมด แสงจากดวงจันทร์อาบสีผิวและใบหน้าของศพให้ดูเหมือนฝูงปลาที่ขึ้นมาตายอยู่บนบก ภาพตรงหน้าสะท้อนให้เห็นว่าการรบพุ่งในวันนั้นดุเดือดเพียงไร
“...แมลง แมลงมันร้องนะเอ็ง”
มาตาฮาจิถอนใจใหญ่รดบ่าทาเกโซ เสียงที่ได้ยินไม่ได้มีแต่หรีดหริ่งเรไร น้ำตาใสสะอาดหลั่งจากดวงตาของมาตาฮาจิลงมาอาบแก้ม
“ทาเกโซ ถ้าข้าตาย เอ็งช่วยดูแลโอซือแห่งวัดชิปโปจิไปตลอดชีวิตของเอ็งด้วยนะ”
“บ้าน่า...นึกอะไรขึ้นมา อยู่ดี ๆ ก็พูดอะไรไม่ได้เรื่อง”
“ข้าอาจกำลังจะตาย”
“อย่าทำเป็นคนใจปลาซิวไปหน่อยเลย---ทำอ่อนแอแล้วจะไปไหนรอดล่ะ”
“แม่คงมีพวกญาติช่วยดูแลให้ แต่โอซือตัวคนเดียว ซามูไรพเนจรมาจากไหนไม่รู้มาพักแรมที่วัดแล้วทิ้งนางเอาไว้ตั้งแต่ยังเป็นเด็กทารก โอซือน่าสงสารมาก ทาเกโซ...ถ้าข้าตายไปช่วยดูแลนางด้วย ข้าขอร้อง”
“คนเราจะตายเพราะท้องร่วงแค่นี้ก็ให้มันรู้ไป มาตาฮาจิ...เข้มแข็งหน่อยซิเอ็ง”
ทาเกโซให้กำลังใจเพื่อน
“อดทนนิดนึงนะเอ็ง พอเจอบ้านคน เราจะได้ขอยาเขากิน และอาศัยนอนให้สบาย”
ทาเกโซพาเพื่อนคู่หูออกเดินด้วยความระมัดระวัง เจ้าหนุ่มไปตามทางเซกิงาฮาระไปยังฟุวะสายนี้มีทั้งหมู่บ้านและโรงเตี๊ยม
เดินไปได้อีกครู่หนึ่งก็พบศพนักรบซึ่งคงจะรบแพ้ทั้งกองทัพก่ายกองกันอยู่ สองสหายเห็นศพกันมาเต็มตา จนชินชากับความโหดร้ายของสงครามและไม่รู้สึกเวทนาสงสารเท่ากับเมื่อได้เห็นครั้งแรก แต่อยู่ ๆ ทาเกโซก็หยุดกึก และมาตาฮาจิก็ชะงักตาม เบิกตาโตจ้องมองไปข้างหน้าและอุทานออกมาเบา ๆ ด้วยความตกใจ
“อ๊ะ ?...”
แสงจันทร์สว่างราวกลางวัน ร่างของใครคนหนึ่งกระโจนหลบอย่างว่องไวราวกับกระต่ายป่าแทรกตัวเข้าไปหมอบนิ่งอยู่ในกองซากศพ
---ซามูไรแตกทัพ ?ทาเกโซเขม้นมองตามไปก็สบกับดวงตาวาววามราวแมวป่าปราดเปรียว ของเด็กรุ่นสาวราวสิบสามสิบสี่จ้องตอบมา
4แม้การสู้รบจะสิ้นสุดลงแต่การไล่ล่าขุนศึกแตกทัพยังไม่จบ ราวกับเป็นสงครามระลอกสอง นักรบฝ่ายศัตรูถือหอกถือดาบตระเวนค้นหาไปตามป่าเขา พบเข้าเป็นฆ่าหวังกวาดล้างให้สิ้นซาก ไม่เว้นแม้แต่สมรภูมินองเลือดแห่งนี้ที่เงี่ยหูฟังดี ๆ จะได้ยินคล้ายเสียงกระซิบแผ่วของสัมภเวสี สงสัยนักว่าทำไมเจ้าหล่อนจึงมาซ่อนตัวอยู่ในกองศพเน่าเหม็นยามค่ำคืนเช่นนี้
“....?”
สองสหายกลั้นหายใจจ้องมองไปด้วยความฉงนอยู่ครู่หนึ่ง ทาเกโซอดรนทนไม่ได้จึงร้องขู่เสียงดัง
“เฮ้ย ! ”
ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นอีกด้วยความตระหนก ตั้งท่าจะวิ่งหนี
“ไม่ต้องหนี เราอยากถามอะไรหน่อย”
ทาเกโซร้องห้ามเอาไว้แต่ช้าเกินไป ยังไม่ทันสิ้นเสียงนางแมวสาวก็โผนออกจากที่ซ่อนวิ่งตัวปลิวไม่เห็นหลังหายไปทางด้านโน้น ทิ้งไว้แต่เสียงกรุ๋งกริ๋งของลูกกระพรวนกังวานใสอยู่ในหูของสองสหาย
“อะไรกันวะ”
ทาเกโซมองฝ่าม่านหมอกจาง ๆ ยามค่ำไปทางด้านโน้นด้วยความงงงวย
“หรือว่าจะเป็นผี”
มาตาฮาจิตัวสั่นเทาขึ้นมาทันที
“บ้าเหรอ”
ทาเกโซหัวเราะกลบเกลื่อน
“นางวิ่งหายไปทางหุบเขาด้านโน้น คงจะมีหมู่บ้านละมัง ข้าไม่น่าขู่ให้นางตกใจเลยให้ตายซิ”
สองสหายพากันเดินมุ่งหน้าไปทางหุบเขา และเมื่อมองลงไปที่บึงใหญ่เชิงเขาฟุวายามะก็เห็นบ้านหลังหนึ่งจุดไฟสว่างเรืองเดินจากตรงนั้นไปราวยี่สิบห้าเส้น ก็ถึงบ้านที่ดูเก่าแก่หลังใหญ่มีกำแพงดินและซุ้มประตูสง่างาม ไม่ใช่บ้านชาวไร่ชาวนาธรรมดา เมื่อลอดซุ้มประตูเก่าแก่ที่ไม่มีบานประตูเข้าไปก็พบเรือนใหญ่อยู่ในดงดอกฮางิ
ประตูเรือนปิดสนิททาเกโซจึงเคาะเบา ๆ และส่งเสียงทักทายตามธรรมเนียม
“ขออภัยที่มารบกวนยามเย็นค่ำ ข้ามีคนป่วยมาขอความช่วยเหลือ”
ไม่มีเสียงตอบออกมา แต่ทาเกโซแว่วเสียงคล้ายคนกระซิบกัน และไม่นานก็ได้ยินเสียงก็อกแก็กที่ประตู จึงคอยอยู่ด้วยความหวังว่าคนข้างในจะเปิดรับ แต่ไม่ใช่
“พวกเจ้าเป็นซามูไรแตกทัพมาจากเซกิงาฮาระใช่ไหม”
คนข้างในถามเสียงใสชัดถ้อยชัดคำ คงจะเป็นสาวรุ่นที่สองสหายพบเมื่อตะกี้
“ข้าเป็นพลเดินเท้าในหมู่ทะลวงฟันของชินเม็นแห่งอิงะ ในกองทัพของท่านอุกิตะ”
“ไม่ได้ หากช่วยให้ซามูไรแตกทัพซ่อนตัวเราจะพลอยมีความผิดไปด้วย เจ้าอาจคิดแค่มาขอให้ช่วยคนป่วย แต่สำหรับพวกข้ามันเป็นเรื่องใหญ่”
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้”
“ไปข้างหน้าเถิด”
“เราจะไปตามที่ท่านบอก แต่เพื่อนข้าปวดท้องทรมานมากเพราะท้องร่วง หากท่านมียาอยู่บ้าง ก็อยากขอเจียดมาให้คนป่วยได้กินพอบรรเทา”
“ถ้ายาละก็...”
คนในบ้านเงียบไป คงจะนิ่งคิดอยู่อึดใจหนึ่ง และคงจะเข้าไปถามใครอีกคนเพราะได้ยินเสียงลูกกระพรวนและเสียงฝีเท้าหายเข้าไปภายในเรือน
ครู่หนึ่งต่อมาก็มีคนเยี่ยมหน้าออกมาทางช่องหน้าต่าง ท่าทางคงเป็นเมียเจ้าของบ้านที่ลอบพิศดูสองสหายอยู่ตั้งแต่ต้น “อาเกมิ เปิดประตูได้แล้ว ท่าทางเป็นซามูไรแตกทัพแต่ก็เป็นพวกพลเดินเท้า กองทัพไล่ล่าเขาคงไม่สนใจ แม่คิดว่าไม่น่ามีอะไรยุ่งยาก ให้เขาพักพิงเอาบุญเถิดลูก”
5กิจวัตรประจำวันของสองสหายในกระท่อมเก็บฟืนตั้งแต่นั้นมา คือ มาตาฮาจิกินยาผงและข้าวต้มใบกุยช่ายที่สองแม่ลูกจัดมาให้อย่างอิ่มหนำสำราญแล้วหลับไป ส่วนทาเกโซเอาเหล้าสาเกล้างแผลที่ถูกกระสุนปืนเฉี่ยวเอาตรงต้นขาแล้วเอนตัวลงนอนเช่นกัน
“เอ็งว่าบ้านนี้เขาทำอาชีพอะไรกัน”
“ทำอะไรก็ช่าง แค่รู้ว่าเป็นคนใจดีเหลือเกินก็พอ อุตส่าห์ช่วยเราให้ซ่อนตัวอยู่ที่นี่ เหมือนพระพุทธมาโปรดสัตว์นรก ไม่มีผิด”
“คนที่ท่าทางเป็นแม่ดูยังสาวอยู่และสาวน้อยคนนั้นก็เพิ่งแรกรุ่น ช่างกล้าหาญเสียจริงที่มาอยู่ตามลำพังสองคนในที่เปลี่ยวอย่างนี้”
“สาวน้อยคนนั้นมีอะไรคล้ายกับโอซือแห่งวัดชิปโปจิ เอ็งว่าไหม”
“เออ ก็น่ารักดี ...แต่ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมสาวน้อยหน้าตาท่าทางเหมือนตุ๊กตาเกียวโตอย่างนั้น ถึงได้ไปเดินท่อม ๆ อยู่ในสนามรบที่มีแต่ศพเน่าเหม็น ขนาดเราสองคนยังขยะแขยงแทบตายอย่างนั้น ตอนกลางดึกด้วยนะเอ็ง ข้างงมากเลย”
“เสียงลูกกระพรวน”
สองสหายเงี่ยหูฟัง---
“สาวน้อยอาเกมิมาแล้ว”
เสียงฝีเท้าหยุดกึกที่หน้ากระท่อม คงจะเป็นเจ้าหล่อนอย่างที่คิด มีเสียงเคาะประตูเบา ๆ เหมือนนกหัวขวาน
“มาตาฮาจิ ทาเกโซ”
“ใครน่ะ”
“ฉันเอง เอาข้าวต้มมาให้”
“ขอบใจ”
ทาเกโซลุกขึ้นไปถอดสลักกลอน เปิดประตูให้อาเกมิที่ถือถาดใส่ยากับอาหารเข้ามา
“อาการเป็นยังไงบ้าง”
“เราสองคนแข็งแรงดีอย่างที่เห็น ขอบคุณเจ้ามากนะ”
“แม่สั่งมาให้บอกว่า ถึงจะสบายขึ้นแล้วก็อย่าคุยกันเสียงดังนัก และอย่าโผล่หัวออกไปข้างนอก”
“ขอโทษนะที่ทำให้เจ้ากับแม่ต้องลำบากเพราะเรา”
“ดูเหมือนเขายังจับพวกขุนศึกอย่าง อิชิดะ มิตสึนาริ, อุกิดะ ฮิเดอิเอะ ที่แตกทัพมาจากเซกิงาฮาระไม่ได้ กองทัพไล่ล่าตามรังควาญหนักมากไม่เว้นแม้แต่แถบนี้”
“จริงรึ”
“ถึงจะเป็นแค่พลเดินเท้า แต่ถ้าเรื่องแพร่งพรายไปถึงหูพวกนั้นว่าเรารู้เห็นเป็นใจให้พวกเจ้ามาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ฉันกับแม่ก็จะต้องถูกจับไปลงโทษ”
“เราเข้าใจ”
“เอาละ นอนได้แล้ว เจอกันใหม่พรุ่งนี้”
อาเกมิยิ้มให้แล้วเตรียมตัวกลับ แต่มาตาฮาจิเรียกเอาไว้
“อาเกมิ อยู่คุยกันอีกสักหน่อยไม่ได้รึ”
“ไม่ได้” “ทำไมล่ะ”
“เดี๋ยวแม่ดุ”
“อยากถามอะไรว่าเจ้าอายุเท่าไร”
“สิบห้า”
“สิบห้า ? ตัวเล็กจัง”
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
“พ่อล่ะ”
“ไม่มี”
“ทำมาหากินอะไร”
“เรารึ ?”
“ใช่”
“ร้านทำโมงูซะ”
“มิน่าล่ะ แถวนี้เขามีชื่อเรื่องทำโมงูซะ1 สำหรับใช้รักษาโรคตามตำรับจีนโบราณ อย่างที่เขาเอาไปจุดรมไฟตามตัวที่เขาเรียกว่าโอคิว2ไงเอ็ง”
“ใช่ เราจะไปเกี่ยวหญ้าที่เรียกว่าโยโมงิ3 ตอนปลายฤดูใบไม้ผลิ มาตากแห้งในฤดูร้อน แล้วเราก็จะได้โมงูซะในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ส่งไปตามโรงเตี๊ยมที่ทารูอิ ให้เขาขายนักเดินทางเป็นของที่ระลึก”
“จริงซิ...อย่างนี้พวกผู้หญิงก็ทำกันได้สบาย”
“เจ้าจะถามแค่นี้เองรึ”
“ยังมีอีก”
“อะไรรึ”
“คืนที่เราสองคนมาที่นี่ ข้าเห็นเจ้าเดินท่อม ๆ อยู่ในสนามรบที่มีศพเน่าเหม็นเต็มไปหมด อยากถามว่าเจ้าไปทำอะไรอยู่ที่นั้น”
“ไม่รุ”
อาเกมิสะบัดหน้าแล้วออกจากกระท่อมไปโดยไม่หันมามองสองสหาย เสียงลูกกระพรวนของเจ้าหล่อนดังไกลออกไปทางเรือนใหญ่
1 โมงูซะ หรือ moxa ที่ทำจาก 3 โยโมงิ ซึ่งเป็นพืชจำพวกโกศจุฬาลัมพา นำมาวางตามจุดต่าง ๆ บนร่างกายแล้วกระตุ้นจุดนั้น ๆ โดยจุดไฟให้ความร้อน เป็นการบำบัดรักษา ป้องกันโรคและเสริมสุขภาพตามตำรับจีนโบราณ ที่ญี่ปุ่นเรียกว่า 2 “โอคิว”