นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
“วู้...เจอไหม”
เสียงกู่ก้องดังมาจากภูเขาด้านโน้น
“วู้...ไม่เจอ แล้วเอ็งละเจอม้าย
เสียงกู่กลับไปจากภูเขาฟากนี้
หนุ่มชาวบ้านที่ถูกนักรบซามูไรเกณฑ์เป็นกองหนุน ออกไล่ล่าทาเกโซไปตามภูเขารอบ ๆ หมู่บ้านไม่เว้นแต่ละวัน จนไม่มีอันทำมาหากิน เวลาจะเก็บใบหม่อนเลี้ยงไหมก็ไม่มี จะคราดดินเตรียมดินก็ต้องคลาดไป
ที่หน้าซุ้มประตูของเรือนผู้ใหญ่บ้าน และที่ทุกทางแยกของหมู่บ้าน มีป้ายประกาศจับขนาดใหญ่ปักเอาไว้ให้เห็นชัดเจนเป็นที่ระทึกใจประกาศจับ ทาเกโซ บุตรชายของชินเม็น มุนิไซผู้ล่วงลับ ที่ทำผิดอุกฉกรรจ์หนีการจับกุมเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในป่าบนภูเขา และตั้งรางวัลมีค่าเอาไว้มากน้อยตามลำดับให้แก่คนที่จับตัวทาเกโซมาได้ ฆ่า หรือว่าบอกที่ซ่อน ประกาศนี้ประทับตราชื่อ เทรูมาซะ อิเคดะ ผู้ครองปราสาทฮิเมจิ
ส่วนทางบ้านของตระกูลฮนอิเด็นก็อยู่กันไม่สุขเพราะเกรงกันว่าทาเกโซจะย้อนกลับมาล้างแค้นที่ถูกแม่เฒ่าโอซุงิหักหลังเอาซึ่ง ๆ หน้า ปิดประตูเรือนสนิทแน่นหนาเท่านั้นไม่พอ ยังทำเครื่องกีดขวางทางเข้าออกราวกับตั้งรับกองทัพข้าศึก
นักรบจากตระกูลอิเคดะแห่งฮิเมจิยกกองกำลังมาสมทบ พอมาถึงก็ประชุมวางแผนดำเนินกลยุทธ์ราวจะออกไปรบทัพจับศึก นัดหมายกันว่าใครก็ตามที่เห็นทาเกโซโผล่หัวออกมา ให้ส่งสัญญาณแจ้งกันและกันด้วยเครื่องส่งเสียงทุกอย่างที่หาได้ใกล้มือ ไม่ว่าจะเป็นระฆังวัด หอยสังข์ หรืออะไรก็ตาม เมื่อได้ยินแล้วให้กรูกันเข้าจับให้อยู่หมัดในทันที
ทว่าความพยายามทั้งหลายไม่มีวี่แววว่าจะบังเกิดผล
เมื่อเช้านี้ก็เช่นกัน
“เฮ้ย...เป็นศพไปอีกคนแล้ว”
“คราวนี้ใครล่ะ”
“คงจะเป็นพวกซามูไรละมัง”
ชาวบ้านคนหนึ่งพบศพชายคนหนึ่งอยู่ในสภาพน่าสมเพท หัวทิ่มลงไปในดงหญ้าสองเท้าชี้โด่เด่ขึ้นมาที่ข้างทางท้ายหมู่บ้าน เสียงเอะอะเอ็ดตะโรของคนพบศพเรียกบรรดาชาวบ้านให้เข้ามามุงดู แล้วก็ต้องผงะไปตาม ๆ กันด้วยความเสียวสยอง เมื่อเห็นหัวกะโหลกของศพยุบลงไปเพราะถูกฟาดด้วยป้ายปักประกาศอันใหญ่หนึ่งในบรรดาที่ปักอยู่แถวนั้น อาบเลือดแดงสดถูกทิ้งให้พาดอยู่บนไหล่คนที่ตกเป็นเหยื่ออย่างน่าอนาถ ป้ายหันด้านที่มีข้อความประกาศออกมาเด่นชัดเหมือนประชด ถึงไม่อยากอ่านก็ต้องอ่าน แล้วเมื่ออ่านความรู้สึกสยองก็บรรเทาลง จนบางคนถึงกับขำ และถูกดุว่า“หัวเราะได้ไงวะ”
โอซือแห่งวัดชิปโปจิ หน้าซีดขาวจนถึงริมฝีปากหดหัวเข้ามาจากฝูงชาวบ้านที่มากลุ้มรุมดูศพ
ไม่น่ามาดูเลย
นางคิดพลางพยายามสลัดภาพศพที่ติดตาอยู่ให้พ้นไปพลาง วิ่งหยอย ๆ กลับวัด สวนกับแม่ทัพที่มายึดเอาวัดเป็นฐานทัพและพักแรมอยู่หลายวันแล้ว มีบริวารห้าหกคนวิ่งตามมา ท่าทางคงจะได้ข่าวคนตายแล้วรีบวิ่งไปยังที่เกิดเหตุ พอเห็นโอซือแม่ทัพก็ร้องทัก
“โอซือนั่นเอง แม่ไปไหนมา”
โอซือขยะแขยงจนขนลุกเกรียวทุกครั้งที่เห็นหน้าแม่ทัพปลาดุกคนนี้ นับตั้งแต่คืนวันที่เขาพยายามลวนลามนาง
วันนี้ก็เช่นกัน
“ไปซื้อของ”
โอซือสะบัดเสียงตอบ แล้วรีบวิ่งขึ้นบันไดหินสูงหน้าโบสถ์ไปโดยไม่สนใจที่จะมองหน้า
2
พระทากูอันนั่งเล่นกับหมาอยู่ที่หน้าโบสถ์ พอเห็นโอซือวิ่งเลี่ยงหมาไปก็ร้องบอกว่า
“โอซือ มีจดหมายถึงเจ้าแน่ะ”
“จดหมาย ?”
“ใช่...โอซือไม่อยู่ อาตมาเลยรับเอาไว้ให้”
ว่าแล้วก็หยิบจดหมายใส่ไว้ในแขนเสื้อกิโมโนออกมาส่งให้
“หน้าตาไม่สบายเลย เป็นอะไรไปรึ”
“เมื่อกี้ไปเห็นศพคนที่ข้างทาง ก็เลยผะอืดผะอม”
“ไม่น่าไปดูนี่นา...แต่โลกเราทุกวันนี้ช่างน่าเวทนาเสียจริง ไปทางไหนเป็นต้องได้เห็นคนตายทั้งนั้น ไม่ว่าจะปิดตาหรือว่าเลี่ยงไปเดินทางอื่น อาตมาเคยคิดว่าหมู่บ้านแห่งนี้เป็นชั้นหนึ่งของสวรรค์ แต่ก็ไม่ใช่เสียแล้ว”
“ทำไมทาเกโซถึงต้องฆ่าคนอย่างนี้ก็ไม่รู้นะหลวงพี่”
“ถ้าไม่ฆ่าก่อนตนเองก็จะต้องถูกฆ่า ไม่มีใครที่ถูกฆ่าตายโดยไม่มีเหตุผลหรอกนะโอซือ”
“หลวงพี่...ฉันกลัว”
โอซือห่อไหล่ ตัวสั่นเทา
“ถ้าทาเกโซมาที่นี่จะทำยังไง”
เมฆดำบาง ๆ ลอยต่ำลงมาที่แนวเขา โอซือถือจดหมายเดินหลบเข้าไปที่เรือนทอผ้าที่อยู่ข้างครัว บนหูกมีผ้าสำหรับเย็บกิโมโนผู้ชายทอค้างอยู่ โอซือตั้งใจทอผ้าผืนนี้ทีละเล็กทีละน้อยทั้งเช้าทั้งเย็นมาตั้งแต่ปีที่แล้ว เพื่อให้มาตาฮาจิคู่หมั้นของนางได้ใส่เมื่อคืนถิ่น
โอซือนั่งลงตรงหน้าหูกทอผ้า มองจดหมายแล้วเอียงคอคิด
จดหมายจากใครกันนะ
นางเป็นลูกกำพร้าไม่น่ามีใครเขียนจดหมายมาหาและนางก็ไม่มีใครที่จะเขียนจดหมายถึง
หรือว่าส่งผิด
โอซือดูจ่าหน้าจดหมายซ้ำหลายครั้ง จดหมายฉบับนี้คงผ่านมือคนส่งสารมาหลายทอดกว่าจะมาถึงมือนาง เพราะดูยับเยินมีทั้งรอยมือหยิบจับและรอยเปียกน้ำเปียกฝน พอเปิดผนึกออกดูก็พบว่าภายในมีจดหมายอยู่สองฉบับ โอซือเปิดฉบับหนึ่งออกอ่านก่อน
ลายมือเป็นของผู้หญิงที่โอซือไม่เคยเห็นมาก่อน เส้นสายบ่งบอกว่าเป็นคนอายุมากกว่าตน
ถึงโอซือ...ฉันเขียนจดหมายฉบับนี้ก็เพื่อยืนยันว่าข้อความในจดหมายอีกฉบับเป็นความจริง และขอเพิ่มเติมให้ละเอียดขึ้น คือฉันได้แต่งงานกับมาตาฮาจิและรับเขาเข้ามาเป็นคนสืบตระกูลของฉัน แต่มาตาฮาจิยังเป็นห่วงกังวลเรื่องเธออยู่ ฉันจึงคิดว่าถ้าปล่อยเอาไว้เช่นนี้คงไม่ดีด้วยกันทุกฝ่าย จึงได้เขียนยืนยันมา และมาตาฮาจิก็ได้เขียนอธิบายมาด้วยแล้วในจดหมายอีกฉบับหนึ่ง ขอให้เธอลืมมาตาฮาจิเสียเถิด
ด้วยความหวังดี...โอโค
จดหมายอีกฉบับหนึ่งเธอจำลายมือได้ดีว่าเป็นของฮนอิเด็น มาตาฮาจิ เขียนถึงเหตุผลที่ทำให้ตนกลับบ้านเกิดไม่ได้วกไปวนมา สุดท้ายขอให้โอซือตัดใจจากตนเสียเถิด แล้วขอให้ได้แต่งงานกับผู้ชายที่ดีและเหมาะสม ส่วนแม่นั้น เขาคงเขียน จดหมายถึงได้ยาก หากโอซือพบแม่ขอให้ช่วยบอกด้วยว่าตนมีชีวิตสุขสบายดีอยู่ที่แคว้นอื่น
โอซือนิ่งอั้น เย็นยะเยือกไปทั้งตัวเหมือนถูกหล่อด้วยน้ำแข็ง ไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว เล็บที่กดจับริมกระดาษเอาไว้ขาวซีดเป็นสีเดียวกับเล็บของศพที่เห็นเมื่อครู่ก่อน
3
เหล่าบริวารทั้งกองทัพล้วนแต่ต้องนอนกลางดินกินกลางทราย เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าซอกซอนไล่ล่าอริศัตรูคนเดียวนั้นในป่าลึกทั้งเช้าค่ำ แต่แม่ทัพหนวดปลาดุกกลับอยู่สุขสบายราวกับพักตากอากาศอยู่ที่วัดชิปโปจิซึ่งเข้าไปวางอำนาจยึดเป็นฐานทัพ ทางวัดก็ต้องรับรองอย่างสมฐานะ ทุกวันพอตกเย็นเตรียมน้ำอุ่นให้อาบให้แช่ หาปลาแม่น้ำมาต้มปรุงรสให้กิน ไปหาเหล้าสาเกดี ๆ จากชาวบ้านมาปรนเปรอ
แต่วันนี้ เย็นแล้วแต่โอซือก็ยังไม่เข้าครัวมาเตรียมอาหารต้อนรับแขกเช่นเคย พระทากูอันรู้เข้าจึงออกเดินหาโอซือไปทั่วบริเวณวัดพลางร้องเรียกไปด้วยเหมือนหาเด็กหลงทาง ผ่านไปทางเรือนทอผ้าก็ไม่ได้ยินเสียงหูกและประตูก็ปิดอยู่ พระ ทากูอันเดินผ่านตรงนั้นหลายรอบแล้วแต่ก็ไม่ได้คิดที่จะเปิดเข้าไปดู
เจ้าอาวาสเองก็ชักอยู่ไม่สุข เดี๋ยว ๆ ก็เยี่ยมหน้าออกมาร้องถามที่ระเบียงทางเดินว่า โอซือ หายไปไหน” แล้วเร่งว่า
“โอซือรู้หน้าที่ดีคงไม่ไปไหน แต่ไม่น่าปล่อยให้แขกสำคัญต้องรออย่างนี้ ท่านแม่ทัพเรียกหาสุราแล้ว รีบไปหาตัวมาเร็ว”
พวกผู้ชายในวัดหากันจนทั่วแล้วไม่เจอ จึงชวนกันถือโคมไฟลงไปหาถึงเชิงบันไดขึ้นวัด ส่วนพระทากูอันก็หาจนอ่อนใจแล้วเหมือนกัน แต่คราวนี้พอเดินผ่านเรือนทอผ้าก็เกิดฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ไม่รู้ จึงเปิดประตูเข้าไป
โอซือนั่งซบหน้านิ่งอยู่กับหูกทอผ้าด้วยความระทมใจอยู่ในความมืด
“... .... ...”
พระทากูอันเห็นแล้วไม่อยากรบกวน จึงเงียบอยู่อึดใจหนึ่ง และพอดีเหลือบไปเห็นจดหมายสองฉบับถูกทิ้งอยู่แทบเท้าของโอซือในสภาพที่ถูกขย้ำทิ้งอย่างแรง และกระทืบซ้ำเหมือนตุ๊กตาฟางสาปแช่ง จึงเก็บมันขึ้นมา
“โอซือ จดหมายที่ได้รับเมื่อตอนกลางวันไม่ใช่รึ เก็บไว้ดีกว่าไหม”
“... ... ...”
โอซือส่ายหน้าน้อย ๆ และไม่ยื่นมือมารับ
“ใคร ๆ เขาหากันใหญ่แล้ว มาเถอะ...ถึงจะต้องฝืนใจก็ทนนิดนึงนะ ไปช่วยท่านเจ้าอาวาสรับมือกับแม่ทัพหนวดปลาดุกหน่อย ท่าทางท่านกำลังจะแย่อยู่แล้ว”
“แต่ฉันปวดหัว...หลวงพี่ทากูอัน ขอฉันสักวันหนึ่งเถิด”
“โอซือ อาตมาไม่ได้เห็นดีด้วยเลยที่เจ้าต้องไปคอยรินสุราให้แม่ทัพหนวดปลาดุกไม่ว่าคืนนี้หรือคืนไหน แต่เจ้าอาวาสวัดนี้ท่านเป็นคนที่เข้าใจโลก ท่านตระหนักดีว่าในเมื่อตนไม่สามารถจูงใจให้ผู้ครองแคว้นทำนุบำรุงวัดนี้ได้ด้วยทางธรรม ก็จำต้องใช้ทางโลกคือให้การต้อนรับขับสู้อย่างเต็มที่ อุทิศวัดให้ใช้เป็นฐานทัพและเลี้ยงข้าวปลาอาหารพร้อมสุราไม่อั้น เพื่อให้แม่ทัพหนวดปลาดุกอารมณ์ดีตลอดเวลา”
พระทากูอันพูดพลางลูบหลังปลอบโยนโอซือ
“โอซือเป็นเด็กที่เจ้าอาวาสเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ยามที่ท่านลำบากก็ต้องช่วยท่านหน่อย ได้ไหม...แค่ออกไปให้เห็นหน้านิดหนึ่งก็ยังดี”
“เจ้าค่ะ”
“งั้นไปกันเถอะ”
พระทากูอันเข้าไปประคอง โอซือเงยหน้าชื้นน้ำตาขึ้นบอกว่า
“หลวงพี่ทากูอันเจ้าขา ฉันไปก็ได้ แต่หลวงพี่ช่วยอยู่ด้วยได้ไหมเจ้าคะ”
“อาตมาไม่ขัดข้องหรอกนะ แต่แม่ทัพหนวดปลาดุกดูเหมือนจะเกลียดหน้าอาตมา และอาตมาเองก็อยากแกล้งอะไร เจ็บ ๆ ทุกครั้งที่เห็นหนวดหมอนั่น เจ้าคงคิดว่าโตแล้วยังทำอะไรเหมือนเด็ก ๆ แต่คนบางคนเห็นแล้วมันอดแกล้งไม่ได้”
“แต่หลวงพี่อยู่ด้วยเถิดนะ ฉันคนเดียวมันยังไงไม่รู้”
“เจ้าอาวาสก็อยู่ด้วยไง”
“หลวงพี่ไม่รู้อะไร พอเห็นฉันหลวงพ่อก็ลุกออกไปทุกทีเลย”
“เอ...อย่างนี้ก็น่าห่วงอยู่ เอา...อาตมาอยู่ด้วยก็ได้ อย่ามัวร่ำไรอยู่เลย รีบไปผัดหน้าทาแป้งเสียให้เรียบร้อยแล้วไปด้วยกัน”
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
“วู้...เจอไหม”
เสียงกู่ก้องดังมาจากภูเขาด้านโน้น
“วู้...ไม่เจอ แล้วเอ็งละเจอม้าย
เสียงกู่กลับไปจากภูเขาฟากนี้
หนุ่มชาวบ้านที่ถูกนักรบซามูไรเกณฑ์เป็นกองหนุน ออกไล่ล่าทาเกโซไปตามภูเขารอบ ๆ หมู่บ้านไม่เว้นแต่ละวัน จนไม่มีอันทำมาหากิน เวลาจะเก็บใบหม่อนเลี้ยงไหมก็ไม่มี จะคราดดินเตรียมดินก็ต้องคลาดไป
ที่หน้าซุ้มประตูของเรือนผู้ใหญ่บ้าน และที่ทุกทางแยกของหมู่บ้าน มีป้ายประกาศจับขนาดใหญ่ปักเอาไว้ให้เห็นชัดเจนเป็นที่ระทึกใจประกาศจับ ทาเกโซ บุตรชายของชินเม็น มุนิไซผู้ล่วงลับ ที่ทำผิดอุกฉกรรจ์หนีการจับกุมเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในป่าบนภูเขา และตั้งรางวัลมีค่าเอาไว้มากน้อยตามลำดับให้แก่คนที่จับตัวทาเกโซมาได้ ฆ่า หรือว่าบอกที่ซ่อน ประกาศนี้ประทับตราชื่อ เทรูมาซะ อิเคดะ ผู้ครองปราสาทฮิเมจิ
ส่วนทางบ้านของตระกูลฮนอิเด็นก็อยู่กันไม่สุขเพราะเกรงกันว่าทาเกโซจะย้อนกลับมาล้างแค้นที่ถูกแม่เฒ่าโอซุงิหักหลังเอาซึ่ง ๆ หน้า ปิดประตูเรือนสนิทแน่นหนาเท่านั้นไม่พอ ยังทำเครื่องกีดขวางทางเข้าออกราวกับตั้งรับกองทัพข้าศึก
นักรบจากตระกูลอิเคดะแห่งฮิเมจิยกกองกำลังมาสมทบ พอมาถึงก็ประชุมวางแผนดำเนินกลยุทธ์ราวจะออกไปรบทัพจับศึก นัดหมายกันว่าใครก็ตามที่เห็นทาเกโซโผล่หัวออกมา ให้ส่งสัญญาณแจ้งกันและกันด้วยเครื่องส่งเสียงทุกอย่างที่หาได้ใกล้มือ ไม่ว่าจะเป็นระฆังวัด หอยสังข์ หรืออะไรก็ตาม เมื่อได้ยินแล้วให้กรูกันเข้าจับให้อยู่หมัดในทันที
ทว่าความพยายามทั้งหลายไม่มีวี่แววว่าจะบังเกิดผล
เมื่อเช้านี้ก็เช่นกัน
“เฮ้ย...เป็นศพไปอีกคนแล้ว”
“คราวนี้ใครล่ะ”
“คงจะเป็นพวกซามูไรละมัง”
ชาวบ้านคนหนึ่งพบศพชายคนหนึ่งอยู่ในสภาพน่าสมเพท หัวทิ่มลงไปในดงหญ้าสองเท้าชี้โด่เด่ขึ้นมาที่ข้างทางท้ายหมู่บ้าน เสียงเอะอะเอ็ดตะโรของคนพบศพเรียกบรรดาชาวบ้านให้เข้ามามุงดู แล้วก็ต้องผงะไปตาม ๆ กันด้วยความเสียวสยอง เมื่อเห็นหัวกะโหลกของศพยุบลงไปเพราะถูกฟาดด้วยป้ายปักประกาศอันใหญ่หนึ่งในบรรดาที่ปักอยู่แถวนั้น อาบเลือดแดงสดถูกทิ้งให้พาดอยู่บนไหล่คนที่ตกเป็นเหยื่ออย่างน่าอนาถ ป้ายหันด้านที่มีข้อความประกาศออกมาเด่นชัดเหมือนประชด ถึงไม่อยากอ่านก็ต้องอ่าน แล้วเมื่ออ่านความรู้สึกสยองก็บรรเทาลง จนบางคนถึงกับขำ และถูกดุว่า“หัวเราะได้ไงวะ”
โอซือแห่งวัดชิปโปจิ หน้าซีดขาวจนถึงริมฝีปากหดหัวเข้ามาจากฝูงชาวบ้านที่มากลุ้มรุมดูศพ
ไม่น่ามาดูเลย
นางคิดพลางพยายามสลัดภาพศพที่ติดตาอยู่ให้พ้นไปพลาง วิ่งหยอย ๆ กลับวัด สวนกับแม่ทัพที่มายึดเอาวัดเป็นฐานทัพและพักแรมอยู่หลายวันแล้ว มีบริวารห้าหกคนวิ่งตามมา ท่าทางคงจะได้ข่าวคนตายแล้วรีบวิ่งไปยังที่เกิดเหตุ พอเห็นโอซือแม่ทัพก็ร้องทัก
“โอซือนั่นเอง แม่ไปไหนมา”
โอซือขยะแขยงจนขนลุกเกรียวทุกครั้งที่เห็นหน้าแม่ทัพปลาดุกคนนี้ นับตั้งแต่คืนวันที่เขาพยายามลวนลามนาง
วันนี้ก็เช่นกัน
“ไปซื้อของ”
โอซือสะบัดเสียงตอบ แล้วรีบวิ่งขึ้นบันไดหินสูงหน้าโบสถ์ไปโดยไม่สนใจที่จะมองหน้า
2
พระทากูอันนั่งเล่นกับหมาอยู่ที่หน้าโบสถ์ พอเห็นโอซือวิ่งเลี่ยงหมาไปก็ร้องบอกว่า
“โอซือ มีจดหมายถึงเจ้าแน่ะ”
“จดหมาย ?”
“ใช่...โอซือไม่อยู่ อาตมาเลยรับเอาไว้ให้”
ว่าแล้วก็หยิบจดหมายใส่ไว้ในแขนเสื้อกิโมโนออกมาส่งให้
“หน้าตาไม่สบายเลย เป็นอะไรไปรึ”
“เมื่อกี้ไปเห็นศพคนที่ข้างทาง ก็เลยผะอืดผะอม”
“ไม่น่าไปดูนี่นา...แต่โลกเราทุกวันนี้ช่างน่าเวทนาเสียจริง ไปทางไหนเป็นต้องได้เห็นคนตายทั้งนั้น ไม่ว่าจะปิดตาหรือว่าเลี่ยงไปเดินทางอื่น อาตมาเคยคิดว่าหมู่บ้านแห่งนี้เป็นชั้นหนึ่งของสวรรค์ แต่ก็ไม่ใช่เสียแล้ว”
“ทำไมทาเกโซถึงต้องฆ่าคนอย่างนี้ก็ไม่รู้นะหลวงพี่”
“ถ้าไม่ฆ่าก่อนตนเองก็จะต้องถูกฆ่า ไม่มีใครที่ถูกฆ่าตายโดยไม่มีเหตุผลหรอกนะโอซือ”
“หลวงพี่...ฉันกลัว”
โอซือห่อไหล่ ตัวสั่นเทา
“ถ้าทาเกโซมาที่นี่จะทำยังไง”
เมฆดำบาง ๆ ลอยต่ำลงมาที่แนวเขา โอซือถือจดหมายเดินหลบเข้าไปที่เรือนทอผ้าที่อยู่ข้างครัว บนหูกมีผ้าสำหรับเย็บกิโมโนผู้ชายทอค้างอยู่ โอซือตั้งใจทอผ้าผืนนี้ทีละเล็กทีละน้อยทั้งเช้าทั้งเย็นมาตั้งแต่ปีที่แล้ว เพื่อให้มาตาฮาจิคู่หมั้นของนางได้ใส่เมื่อคืนถิ่น
โอซือนั่งลงตรงหน้าหูกทอผ้า มองจดหมายแล้วเอียงคอคิด
จดหมายจากใครกันนะ
นางเป็นลูกกำพร้าไม่น่ามีใครเขียนจดหมายมาหาและนางก็ไม่มีใครที่จะเขียนจดหมายถึง
หรือว่าส่งผิด
โอซือดูจ่าหน้าจดหมายซ้ำหลายครั้ง จดหมายฉบับนี้คงผ่านมือคนส่งสารมาหลายทอดกว่าจะมาถึงมือนาง เพราะดูยับเยินมีทั้งรอยมือหยิบจับและรอยเปียกน้ำเปียกฝน พอเปิดผนึกออกดูก็พบว่าภายในมีจดหมายอยู่สองฉบับ โอซือเปิดฉบับหนึ่งออกอ่านก่อน
ลายมือเป็นของผู้หญิงที่โอซือไม่เคยเห็นมาก่อน เส้นสายบ่งบอกว่าเป็นคนอายุมากกว่าตน
ถึงโอซือ...ฉันเขียนจดหมายฉบับนี้ก็เพื่อยืนยันว่าข้อความในจดหมายอีกฉบับเป็นความจริง และขอเพิ่มเติมให้ละเอียดขึ้น คือฉันได้แต่งงานกับมาตาฮาจิและรับเขาเข้ามาเป็นคนสืบตระกูลของฉัน แต่มาตาฮาจิยังเป็นห่วงกังวลเรื่องเธออยู่ ฉันจึงคิดว่าถ้าปล่อยเอาไว้เช่นนี้คงไม่ดีด้วยกันทุกฝ่าย จึงได้เขียนยืนยันมา และมาตาฮาจิก็ได้เขียนอธิบายมาด้วยแล้วในจดหมายอีกฉบับหนึ่ง ขอให้เธอลืมมาตาฮาจิเสียเถิด
ด้วยความหวังดี...โอโค
จดหมายอีกฉบับหนึ่งเธอจำลายมือได้ดีว่าเป็นของฮนอิเด็น มาตาฮาจิ เขียนถึงเหตุผลที่ทำให้ตนกลับบ้านเกิดไม่ได้วกไปวนมา สุดท้ายขอให้โอซือตัดใจจากตนเสียเถิด แล้วขอให้ได้แต่งงานกับผู้ชายที่ดีและเหมาะสม ส่วนแม่นั้น เขาคงเขียน จดหมายถึงได้ยาก หากโอซือพบแม่ขอให้ช่วยบอกด้วยว่าตนมีชีวิตสุขสบายดีอยู่ที่แคว้นอื่น
โอซือนิ่งอั้น เย็นยะเยือกไปทั้งตัวเหมือนถูกหล่อด้วยน้ำแข็ง ไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว เล็บที่กดจับริมกระดาษเอาไว้ขาวซีดเป็นสีเดียวกับเล็บของศพที่เห็นเมื่อครู่ก่อน
3
เหล่าบริวารทั้งกองทัพล้วนแต่ต้องนอนกลางดินกินกลางทราย เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าซอกซอนไล่ล่าอริศัตรูคนเดียวนั้นในป่าลึกทั้งเช้าค่ำ แต่แม่ทัพหนวดปลาดุกกลับอยู่สุขสบายราวกับพักตากอากาศอยู่ที่วัดชิปโปจิซึ่งเข้าไปวางอำนาจยึดเป็นฐานทัพ ทางวัดก็ต้องรับรองอย่างสมฐานะ ทุกวันพอตกเย็นเตรียมน้ำอุ่นให้อาบให้แช่ หาปลาแม่น้ำมาต้มปรุงรสให้กิน ไปหาเหล้าสาเกดี ๆ จากชาวบ้านมาปรนเปรอ
แต่วันนี้ เย็นแล้วแต่โอซือก็ยังไม่เข้าครัวมาเตรียมอาหารต้อนรับแขกเช่นเคย พระทากูอันรู้เข้าจึงออกเดินหาโอซือไปทั่วบริเวณวัดพลางร้องเรียกไปด้วยเหมือนหาเด็กหลงทาง ผ่านไปทางเรือนทอผ้าก็ไม่ได้ยินเสียงหูกและประตูก็ปิดอยู่ พระ ทากูอันเดินผ่านตรงนั้นหลายรอบแล้วแต่ก็ไม่ได้คิดที่จะเปิดเข้าไปดู
เจ้าอาวาสเองก็ชักอยู่ไม่สุข เดี๋ยว ๆ ก็เยี่ยมหน้าออกมาร้องถามที่ระเบียงทางเดินว่า โอซือ หายไปไหน” แล้วเร่งว่า
“โอซือรู้หน้าที่ดีคงไม่ไปไหน แต่ไม่น่าปล่อยให้แขกสำคัญต้องรออย่างนี้ ท่านแม่ทัพเรียกหาสุราแล้ว รีบไปหาตัวมาเร็ว”
พวกผู้ชายในวัดหากันจนทั่วแล้วไม่เจอ จึงชวนกันถือโคมไฟลงไปหาถึงเชิงบันไดขึ้นวัด ส่วนพระทากูอันก็หาจนอ่อนใจแล้วเหมือนกัน แต่คราวนี้พอเดินผ่านเรือนทอผ้าก็เกิดฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ไม่รู้ จึงเปิดประตูเข้าไป
โอซือนั่งซบหน้านิ่งอยู่กับหูกทอผ้าด้วยความระทมใจอยู่ในความมืด
“... .... ...”
พระทากูอันเห็นแล้วไม่อยากรบกวน จึงเงียบอยู่อึดใจหนึ่ง และพอดีเหลือบไปเห็นจดหมายสองฉบับถูกทิ้งอยู่แทบเท้าของโอซือในสภาพที่ถูกขย้ำทิ้งอย่างแรง และกระทืบซ้ำเหมือนตุ๊กตาฟางสาปแช่ง จึงเก็บมันขึ้นมา
“โอซือ จดหมายที่ได้รับเมื่อตอนกลางวันไม่ใช่รึ เก็บไว้ดีกว่าไหม”
“... ... ...”
โอซือส่ายหน้าน้อย ๆ และไม่ยื่นมือมารับ
“ใคร ๆ เขาหากันใหญ่แล้ว มาเถอะ...ถึงจะต้องฝืนใจก็ทนนิดนึงนะ ไปช่วยท่านเจ้าอาวาสรับมือกับแม่ทัพหนวดปลาดุกหน่อย ท่าทางท่านกำลังจะแย่อยู่แล้ว”
“แต่ฉันปวดหัว...หลวงพี่ทากูอัน ขอฉันสักวันหนึ่งเถิด”
“โอซือ อาตมาไม่ได้เห็นดีด้วยเลยที่เจ้าต้องไปคอยรินสุราให้แม่ทัพหนวดปลาดุกไม่ว่าคืนนี้หรือคืนไหน แต่เจ้าอาวาสวัดนี้ท่านเป็นคนที่เข้าใจโลก ท่านตระหนักดีว่าในเมื่อตนไม่สามารถจูงใจให้ผู้ครองแคว้นทำนุบำรุงวัดนี้ได้ด้วยทางธรรม ก็จำต้องใช้ทางโลกคือให้การต้อนรับขับสู้อย่างเต็มที่ อุทิศวัดให้ใช้เป็นฐานทัพและเลี้ยงข้าวปลาอาหารพร้อมสุราไม่อั้น เพื่อให้แม่ทัพหนวดปลาดุกอารมณ์ดีตลอดเวลา”
พระทากูอันพูดพลางลูบหลังปลอบโยนโอซือ
“โอซือเป็นเด็กที่เจ้าอาวาสเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ยามที่ท่านลำบากก็ต้องช่วยท่านหน่อย ได้ไหม...แค่ออกไปให้เห็นหน้านิดหนึ่งก็ยังดี”
“เจ้าค่ะ”
“งั้นไปกันเถอะ”
พระทากูอันเข้าไปประคอง โอซือเงยหน้าชื้นน้ำตาขึ้นบอกว่า
“หลวงพี่ทากูอันเจ้าขา ฉันไปก็ได้ แต่หลวงพี่ช่วยอยู่ด้วยได้ไหมเจ้าคะ”
“อาตมาไม่ขัดข้องหรอกนะ แต่แม่ทัพหนวดปลาดุกดูเหมือนจะเกลียดหน้าอาตมา และอาตมาเองก็อยากแกล้งอะไร เจ็บ ๆ ทุกครั้งที่เห็นหนวดหมอนั่น เจ้าคงคิดว่าโตแล้วยังทำอะไรเหมือนเด็ก ๆ แต่คนบางคนเห็นแล้วมันอดแกล้งไม่ได้”
“แต่หลวงพี่อยู่ด้วยเถิดนะ ฉันคนเดียวมันยังไงไม่รู้”
“เจ้าอาวาสก็อยู่ด้วยไง”
“หลวงพี่ไม่รู้อะไร พอเห็นฉันหลวงพ่อก็ลุกออกไปทุกทีเลย”
“เอ...อย่างนี้ก็น่าห่วงอยู่ เอา...อาตมาอยู่ด้วยก็ได้ อย่ามัวร่ำไรอยู่เลย รีบไปผัดหน้าทาแป้งเสียให้เรียบร้อยแล้วไปด้วยกัน”