นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ความเดิมมีอยู่ว่า...
“โอซือฝันถึงมาตาฮาจิบ้างหรือเปล่า”
“หลายครั้งเจ้าค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นมาตาฮาจิก็ตายแล้วละ เพราะฉันก็ฝันเห็นแต่ทาเกโซน้องชายที่ไปด้วยกันไม่เว้นวัน”
“ไม่เอา อย่าพูดอย่างนั้น กระดาษนี่ก็เป็นลางไม่ดีเลย ดิฉันแกะออกนะเจ้าคะ”
น้ำตาเอ่อขึ้นมาเต็มตาโอซือ ขณะลุกขึ้นไปเป่าดวงไฟที่แท่นบูชาพระจนดับ เท่านั้นยังไม่หายหม่นมองจึงฉวยถ้วยน้ำและดอกไม้บูชาออกไปที่ระเบียงห้องข้าง ๆ แล้วสาดน้ำทิ้งลงไป
พระทากูอันที่นั่งอยู่ที่มุมระเบียงสะดุ้งโหยง และร้องลั่น
“เฮ้ย ใครสาดน้ำ”
5
พระทากูอันเอาผ้าห่อของที่พันตัวมาแทนจีวร เช็ดหน้าเช็ดหัวที่เปียกน้ำพลางเอะอะเอากับโอซือ
“โอซือ นี่เจ้าเล่นอะไรฮึถึงไม่เห็นหัวหูอาตมาอย่างนี้ อาตมามาที่นี่ก็หวังว่าจะขอน้ำชาดื่มสักถ้วย ไม่ได้ขอสักคำว่าให้เอาน้ำมาสรงให้”
โอซือหัวเราะจนน้ำตาไหลเมื่อเห็นสารรูปของหลวงพี่
“ขอประทานโทษเจ้าค่ะหลวงพี่ทากูอัน ดิฉันขอโทษ”
โอซือขอโทษและพูดจาเอาใจ พอเห็นหายโกรธดีแล้วจึงเข้าไปรินน้ำชาใส่ถ้วยมาประเคนให้ตามต้องการ โอซือพูดเล่นเจรจากับพระทากูอันอยู่พักใหญ่จึงกลับเข้าไปข้างใน
“นั่นใครรึ”
โอกินถามพลางชะโงกออกไปดูทางระเบียง
“หลวงพี่ที่มาขอพักแรมอยู่ที่วัดเจ้าค่ะ คนที่โอกินเห็นนอนพังพาบเอามือท้าวคางอาบแดดอยู่ที่โบสถ์ตอนที่โอกินไปที่วัดครั้งนั้นไง และพอดิฉันถามว่าทำอะไรอยู่ก็ตอบว่ากำลังดูตัวเห็บปล้ำกัน พระตัวมอมแมมคนนั้นไง นึกออกรึยัง”
“อ๋อ หลวงพี่คนนั้นเอง”
“ใช่ ชื่อชูโฮ ทากูอัน”
“ดูแปลกพิกล”
“เจ้าค่ะ แปลกมาก ๆ ”
“จีวรก็ไม่ห่ม สายสะพายก็ไม่มี แล้วนุ่งอะไรมาล่ะนั่น”
“ผ้าห่อของเจ้าค่ะ”
“ตายจริง...ดูเหมือนจะยังหนุ่มอยู่”
“อายุสามสิบเอ็ด แต่เจ้าอาวาสบอกว่าเห็นสารรูปอย่างนี้ จริง ๆ แล้วเป็นพระที่มียศสูงสุดคนหนึ่งเจ้าค่ะ”
“เราจะไปมองว่าใครสารรูปอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้หรอกนะโอซือ คนเรามองแต่ภายนอกแยกไม่ออกหรอกว่าใครมีความยิ่งใหญ่ที่ควรแก่การยกย่องหรือไม่”
“หลวงพี่ทากูอันเกิดที่หมู่บ้านอิซุชิในทาจิมะ บวชเณรตอนสิบขวบ พออายุได้สิบสี่ก็เข้าไปปฏิบัติธรรมนิกายรินไซที่ วัดโชฟูกูจิและเจ้าอาวาสที่นั่นก็ได้บวชให้เป็นพระสงฆ์ หลังจากนั้นท่านก็ได้ติดตามพระผู้คงแก่เรียนที่สำเร็จการศึกษาพระธรรมมาจากวัดไดโทกูจิที่ยามาชิโระ เดินทางไปเกียวโตและนารา และได้เป็นลูกศิษย์ของเจ้าอาวาสกุโดแห่งวัดเมียวชินจิ พระอิตโตแห่งเซ็นนัน และใครต่อใครที่ล้วนแต่เป็นปรมาจารย์ของพุทธศาสนานิกายเซ็น เจ้าอาวาสของเราบอกว่าหลวงพี่คนนี้ได้ร่ำเรียนมามากมายทีเดียวเจ้าค่ะ”
“นั่นน่ะซี ดูมีอะไรสักอย่างที่ไม่ค่อยเหมือนพระธรรมดา”
“ต่อมาหลวงพี่ได้ไปประจำอยู่ที่วัดนันโซจิที่อิซูมิ และได้เลื่อนยศสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ จนได้เป็นเจ้าสำนักแห่งวัดไดโทกูจิ แต่เป็นอยู่ได้แค่สามวันเท่านั้นก็กระโจนจีวรปลิวออกมา เล่ากันว่าบรรดาผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินต่างเสียดายกันมากทั้งนั้น
ทางด้านขุนศึกอย่างท่านโทโยโทมิ ฮิเดโยชิ ท่านอาซาโนะ โยชินางะ ท่านโฮโซงาวะ ทาดาโอกิ และทางด้านราชวงศ์อย่างท่านคาราซุมารุ มิตสึฮิโระ ต่างก็เสนอว่าจะสร้างวัดและจัดหาเงินทองบริจาคให้เป็นค่าใช้จ่ายให้ ขอให้มาประจำอยู่เถิดแต่เจ้าตัวก็หาสนใจไม่ และไม่มีใครรู้ว่าทำไมถึงได้ออกเดินทางร่อนเร่ไปทั่วทุกหัวระแหง ทำตัวสกปรกมอมแมมเหมือนขอทานเป็นเพื่อนกับตัวเห็บอย่างนี้ เสียสติรึเปล่าก็ไม่รู้”
“แต่ถ้ามองจากสายตาของท่าน ฝ่ายเราอาจดูเป็นคนเสียสติก็ได้นำโอซือ”
“จริงเจ้าค่ะ หลวงพี่พูดอย่างนั้นตอนเห็นดิฉันแอบร้องไห้คิดถึงมาตาฮาจิอยู่คนเดียว”
“ตลกดีนะ”
“ตลกเกินไปเจ้าค่ะ”
“แล้วหลวงพี่จะอยู่ถึงเมื่อไร”
“ดิฉันไม่รู้หรอกเจ้าค่ะ เดี๋ยว ๆ ก็มาเดี๋ยว ๆ ก็หายไปไหนไม่รู้ ทำเหมือนกับว่าทุกบ้านในโลกนี้เป็นบ้านตัวเองไม่มีผิด”
พระทากูอันยื่นตัวเข้ามาจากระเบียงใต้ชายคาบ้าน
“อาตมาได้ยินนะ ได้ยินนะ”
“ไม่เห็นจะเป็นไร เราไม่ได้นินทาว่าร้ายท่านสักหน่อย”
“นินทาก็ได้ ว่าแต่เจ้าจะไม่ถวายอะไรหวาน ๆ สักหน่อยรึ”
“นี่แหละเขาละ หลวงพี่ทากูอัน”
“นี่แหละน่ะอะไร และเขาละน่ะใคร แหมแม่นางโอซือ ตีหน้าเป็นคนใจบุญสุนทาน ยุงไม่ตบมดไม่บี้ แต่ที่แท้ใจร้ายนัก”
“เอ๊ะหลวงพี่ ทำไมมาว่าฉันอย่างนั้น”
“จะไม่ให้ว่าได้ยังไง ไม่มีใครอีกแล้วที่เอาน้ำชามาถวายให้พระดื่มเปล่า ๆ แล้วไปนั่งพิรี้พิไรร้องไห้คิดถึงคู่รัก ขนมสักชิ้นก็ไม่คิดจะจัดเอามาให้ฉันอย่างนี้”
6
เสียงระฆังวัดไดโชจิดังกังวานขึ้นพร้อม ๆ กับระฆังของวัดชิปโปจิ
พระตีระฆังดังเหง่งหง่างครั้งหนึ่งแล้วเมื่อเช้าตรู่ และตีอีกครั้งเมื่อเวลาเที่ยงเศษ ๆ ชาวบ้านพากันเดินขึ้นเขามาที่วัดไม่ขาดสาย ทั้งพวกสาว ๆ คาดโอบิสีแดง พวกเมียพ่อค้า พ่อเฒ่าแม่เฒ่าจูงหลานตัวน้อยเดินตามกันมา
หนุ่ม ๆ ชวนกันมาชี้ชวนกันให้มองเข้าไปในตัวโบสถ์ที่แออัดไปด้วยผู้คนที่มาไหว้พระ แล้วกระซิบกันเมื่อเห็นโอซือ
“อยู่ว่ะ อยู่”
“วันนี้สวยเป็นพิเศษเสียด้วย”
วันนี้คือวันที่แปดเดือนสี่วันประสูติของพระพุทธเจ้า ทางวัดจัดพิธีสรงน้ำพระโดยจัดตั้งปะรำดอกไม้มุงหลังคาด้วยใบโพธิ์และประดับเสาทั้งสี่ด้วยดอกไม้นานาชนิดขึ้นภายในโบสถ์ แล้วอัญเชิญพระพุทธรูปปางประสูตรสีดำสูงยี่สิบสี่นิ้ว ชี้พระหัตถ์ข้างหนึ่งขึ้นไปบนสวรรค์และอีกข้างหนึ่งลงพื้นดิน มาประดิษฐานไว้ตรงกลางปะรำ ชาวบ้านที่มาสรงน้ำพระใช้กระบวยไม้ไผ่อันเล็ก ๆ ตักน้ำชาหวานที่ทางวัดเตรียมไว้รดลงที่พระเศียรของพระพุทธรูป พระทากูอันยืนอยู่ข้างปะรำคอยตักชาหวานใส่กระบอกไม้ไผ่ของผู้มาสักการะที่ต้องการนำกลับไปบ้าน
“วัดนี้ยากจนนัก ถ้าตั้งใจจะทำบุญกันละก็ไม่ต้องกลัวว่าเงินจะล้นกล่อง ท่านเศรษฐีผู้แต่งกายสง่างามยิ่งน่าทำบุญให้มาก ๆ เป็นค่าน้ำชาที่ใช้สรงพระ ท่านทำบุญหนักเพียงไรความทุกข์ของท่านก็จะเบาลงเพียงนั้น”
ส่วนโอซือแต่งชุดกิโมโนสวยงามคาดโอบิที่เพิ่งเย็บเสร็จใหม่ ๆ นั่งอยู่หน้าโต๊ะไม้ลงรักที่อยู่อีกด้านหนึ่งของปะรำดอกไม้ บนโต๊ะมีกล่องลงรักปิดทองใส่แท่นฝนหมึกดำพร้อมกระดาษหลากสี สำหรับเขียนบทกลอนคาถาตามคำขอของผู้มาสรงน้ำพระ
วันที่แปดเดือนสี่อันเป็นวันมงคล
ขอให้เหล่าแมลงที่มากัดกินพืชผล
จงพ่ายแพ้หนีหาย
หมดสิ้นไปโดยเร็วด้วยเถิด
ตามความเชื่อที่สืบทอดมาในท้องถิ่นนี้แต่โบราณว่า หากนำกลอนคาถานี้ไปติดไว้ที่บ้านจะช่วยป้องกันแมลงและโรคร้าย โอซือเขียนกลอนคาถาบทเดียวกันนี้หลายร้อนแผ่นแล้วจนเจ็บข้อมือไปหมด ตัวหนังสือที่งดงามอ่อนช้อยในช่วงแรก ๆ กำลังจะเริ่มเฉไฉ
“หลวงพี่ทากูอัน”
โอซือเรียกขึ้นเมื่อได้จังหวะ
“อะไรรึ”
“หลวงพี่เลิกเซ้าซี้ชาวบ้านเขาเสียทีเถิด ใครอยากทำบุญเขาก็ทำเองแหละ”
“อาตมาพูดกับพวกเศรษฐีต่างหาก การช่วยให้ภาระการเงินของพวกเขาลดลงบ้างด้วยการทำบุญ เป็นความดีเสียยิ่งกว่าดีอีกนะเจ้า”
“พูดอะไรอย่างนั้น อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าคืนนี้ขโมยขึ้นบ้านเศรษฐีจะยังว่าดีอีกไหม”
“ไหน...ไหน คิดว่าคนซาลงบ้างแล้ว นี่กลับแห่กันมาอีก อย่าผลักอย่าดันกันโยม...พ่อหนุ่มนั่น อย่าแซงซิ เดินตามกันเข้ามาตามลำดับให้เป็นระเบียบหน่อย”
“นี่แน่ะ หลวงพี่”
“เรียกอาตมารึ”
“ก็ใช่น่ะซี บอกให้เข้ามาตามลำดับเป็นระเบียบ แต่ข้าเห็นหลวงพี่ตักให้แต่พวกสาว ๆ”
“อาตมาก็ชอบสาว ๆ เหมือนกันนี่”
“พระอย่างหลวงพี่นี่หรือเปล่าที่เขาเรียกว่าพระอลัชชี”
“อย่ามาทำปากดีกับอาตมา หนุ่ม ๆ พวกนี้ก็เหมือนกันอาตมารู้นะว่าไม่ได้มาสรงน้ำพระหรือว่าอยากมาเอากลอนคาถาอะไรกับเขาหรอก มีอยู่สักครึ่งเดียวละมังที่มาพนมมือไหว้พระ แต่อีกครึ่งหนึ่งมาดูหน้าโอซือเหมือนพวกเจ้านี่แหละ---อ้าว อ้าว...แล้วจะกลับไปได้ไง ทำไมไม่ใส่เงินทำบุญลงไปในกล่องก่อน อย่างนี้ผู้หญิงเขาไม่ชอบนะจะบอกให้”
โอซือหน้าแดงจัด
“หลวงพี่พอได้แล้ว ถ้าไม่เลิกเดี๋ยวฉันโกรธขึ้นมาจริง ๆ นะ
โอซือละสายตาจากกลอนคาถาที่เขียนอยู่มองไปทางหมู่คนที่มาสรงน้ำพระหมายว่าจะพักสายตา ทันใดนั้นเองสายตาของนางก็สะดุดลงที่ใบหน้าของเจ้าหนุ่มคนหนึ่ง
“โอ๊ะ...”
โอซืออุทาน พู่กันหล่นจากมือ
ทันทีที่โอซือผลุดลุกขึ้น ใบหน้าที่นางเห็นก็หายแวบไปราวปลาที่ผลุบเข้าไปในกอไม้น้ำ โอซือลืมตัวร้องเรียกออกไป
“ทาเกโซ ทาเกโซ”
และออกวิ่งไปทางระเบียงโบสถ์”
7
ครอบครัวฮนอิเด็นไม่ใช่ชาวไร่ชาวนาธรรมดา แต่ทำการเพาะปลูกครึ่งหนึ่งและเป็นนักรบครึ่งหนึ่งอย่างที่เรียกว่าซามูไรชนบท โอซูงิแม่ของมาตาฮาจิเป็นหญิงสูงวัยจิตใจเข็มแข็งและดื้อดึง อายุเกือบหกสิบปีแล้วแต่ยังเดินนำหน้าบริวารหนุ่ม ๆ และชาวไร่นาที่มาเช่าที่ทำมาหากินออกไปทำไร่ไถนา ตำข้าวเจ้าข้าวสาลีตั้งแต่เช้าตรู่จนย่ำค่ำละเมื่อกลับบ้านก็ไม่ใช่ว่าจะกลับมามือเปล่า แม่จะแบกใบหม่อนขึ้นหลังที่คุ้มงอกลับมามากมายแทบมองไม่เห็นตัว เพื่อมาเลี้ยงตัวไหมเป็นงานตอนกลางคืน
“ยาย”
หลานวิ่งเท้าเปล่าขี้มูกโป่งมาจากไร่ด้านโน้น โอซุงิชะโงกตัวจากร่มเงาต้นหม่อนออกมาทักทาย
“เฮตะ เจ้าไปวัดมารึ”
เด็กชายเดินพลางเต้นเข้ามา
“ก็ไปมาน่ะซียาย”
“เจอโอซือรึเปล่าล่ะ”
“เจอซิยาย วันนี้หนูพบน้าโอซือที่งานสรงน้ำพระ คาดโอบิสวยมากเลย”
“แล้วเจ้าได้ชาหวานกับกลอนคาถากลับมาด้วยรึเปล่าฮึ”
“ไม่ได้หรอกยาย”
“อ้าว ทำไมไม่ขอมา”
“น้าโอซือบอกว่าไม่ต้องเอาหรอกของพวกนั้น เอ็งรีบกลับไปแจ้งข่าวสำคัญให้ยายรู้ดีกว่า”
“ข่าวอะไรฮึ”
“น้าบอกว่าเห็นทาเกโซที่อยู่บ้านฟากโน้นของแม่น้ำเดินอยู่ในงานสรงน้ำพระน่ะยาย”
“จริงรึ”
“ก็จริงน่ะซี”
“... ... ...”
โอซุงิน้ำตาซึมออกมาทันที มองไปรอบตัวราวด้วยความมาดหมายว่าจะได้เห็นมาตาฮาจิลูกชายของนางวิ่งเข้ามาหา
“เฮตะ เจ้ามาเก็บใบหม่อนแทนยายที”
“ยายจะไปไหนเหรอ”
“ข้าจะกลับไปดูที่บ่น หากว่าทาเกโซบ้านชินเม็นกลับมาจริง มาตาฮาจิก็จะต้องกลับมาด้วยแน่นอน”
“หนูไปด้วย”
“ไม่ต้อง เจ้าไม่ต้องมา”
บ้านของครอบครัวฮนอิเด็นเป็นเรือนหลังใหญ่ตั้งอยู่ในดงต้นโอ๊ก พอวิ่งไปถึงหน้าโรงเก็บของแม่เฒ่าโอซุงิก็ตะคอกถามลูกสาวกับลูกเขยที่กำลังทำงานอยู่ตรงนั้นทันที
“มาตาฮาจิกลับมาแล้วใช่ไหม”
ทั้งสองอ้าปากค้างด้วยความงงงวยแล้วสั่นหัว แม่เฒ่ากำลังตื่นเต้นจึงด่ากราดไปทั่ว...ทำไมไม่มีใครรู้ฮึ ลูกชายข้ากลับมาแล้วทั้งคน มีคนเห็นทาเกโซบ้านฝั่งโน้นเดินอยู่ในหมู่บ้านเราอย่างนี้ มาตาฮาจิก็จะต้องมาด้วยแน่นอน พวกเอ็งไปทำอะไรกันอยู่ถึงไม่มีใครเห็นสักคน แล้วก็ออกคำสั่งให้ทุกคนออกไปตามหาให้พบโดยเร็ว แล้วพาตัวกลับมาบ้านทันที
ฮนอิเด็นเป็นครอบครัวหนึ่งที่ถือว่าวันเผด็จศึกที่เซกิงาฮาระเป็นวันตายของลูกชายอันเป็นที่รัก แม่เฒ่าโอซุงิรักมาตาฮาจิเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของนางจนแทบจะกลืนกิน นางยกลูกสาวให้แก่ลูกชายของครอบครัวหนึ่งและรับลูกเขยเข้ามาเป็นผู้สืบสกุลฮนอิเด็น
“พบตัวรึยัง”
แม่เฒ่าอยู่ไม่สุข เดินเข้าออกบ้านอยู่อย่างนั้น และพร่ำถามทุกคนที่พบหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งเย็นค่ำจึงไปนั่งหน้าแท่นบูชาพระจุดเทียนบูชาแล้วนั่งพึมพำภาวนาอะไรอยู่คนเดียว
นางไม่ยอมกินอาหาร ในบ้านไม่มีใครเพราะถูกไล่ให้ออกไปตามหามาตาฮาจิ จนค่ำมากแล้วก็ยังไม่ได้รับข่าวดีจากใคร นางจึงออกไปยืนคอยอยู่ในเงามืดนอกประตูใหญ่
ดวงจันทร์ทอแสงแสนเศร้าผ่านกิ่งต้นโอ๊กที่ล้อมรอบเรือน ม่านหมอกขาวจาง ๆ ปกคลุมภูเขาทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ลมอ่อน ๆ โชยกลิ่นหอมหวานมาจากไร่สาลี่ที่กำลังออกดอกบานสะพรั่ง
แม่เฒ่าเห็นเงาใครคนหนึ่งเดินมาตามคันคูของไร่ต้นสาลี่ พอเห็นว่าเป็นหญิงคู่หมั้นของลูกชายนางก็ยกมือขึ้นพร้อมกับร้องทักออกไป
“โอซือรึ”
“ฉันเองจ้ะป้า”
เสียงฝีเท้าในรองเท้าแตะชุ่มน้ำของโอซือดังใกล้เข้ามา
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ความเดิมมีอยู่ว่า...
“โอซือฝันถึงมาตาฮาจิบ้างหรือเปล่า”
“หลายครั้งเจ้าค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นมาตาฮาจิก็ตายแล้วละ เพราะฉันก็ฝันเห็นแต่ทาเกโซน้องชายที่ไปด้วยกันไม่เว้นวัน”
“ไม่เอา อย่าพูดอย่างนั้น กระดาษนี่ก็เป็นลางไม่ดีเลย ดิฉันแกะออกนะเจ้าคะ”
น้ำตาเอ่อขึ้นมาเต็มตาโอซือ ขณะลุกขึ้นไปเป่าดวงไฟที่แท่นบูชาพระจนดับ เท่านั้นยังไม่หายหม่นมองจึงฉวยถ้วยน้ำและดอกไม้บูชาออกไปที่ระเบียงห้องข้าง ๆ แล้วสาดน้ำทิ้งลงไป
พระทากูอันที่นั่งอยู่ที่มุมระเบียงสะดุ้งโหยง และร้องลั่น
“เฮ้ย ใครสาดน้ำ”
5
พระทากูอันเอาผ้าห่อของที่พันตัวมาแทนจีวร เช็ดหน้าเช็ดหัวที่เปียกน้ำพลางเอะอะเอากับโอซือ
“โอซือ นี่เจ้าเล่นอะไรฮึถึงไม่เห็นหัวหูอาตมาอย่างนี้ อาตมามาที่นี่ก็หวังว่าจะขอน้ำชาดื่มสักถ้วย ไม่ได้ขอสักคำว่าให้เอาน้ำมาสรงให้”
โอซือหัวเราะจนน้ำตาไหลเมื่อเห็นสารรูปของหลวงพี่
“ขอประทานโทษเจ้าค่ะหลวงพี่ทากูอัน ดิฉันขอโทษ”
โอซือขอโทษและพูดจาเอาใจ พอเห็นหายโกรธดีแล้วจึงเข้าไปรินน้ำชาใส่ถ้วยมาประเคนให้ตามต้องการ โอซือพูดเล่นเจรจากับพระทากูอันอยู่พักใหญ่จึงกลับเข้าไปข้างใน
“นั่นใครรึ”
โอกินถามพลางชะโงกออกไปดูทางระเบียง
“หลวงพี่ที่มาขอพักแรมอยู่ที่วัดเจ้าค่ะ คนที่โอกินเห็นนอนพังพาบเอามือท้าวคางอาบแดดอยู่ที่โบสถ์ตอนที่โอกินไปที่วัดครั้งนั้นไง และพอดิฉันถามว่าทำอะไรอยู่ก็ตอบว่ากำลังดูตัวเห็บปล้ำกัน พระตัวมอมแมมคนนั้นไง นึกออกรึยัง”
“อ๋อ หลวงพี่คนนั้นเอง”
“ใช่ ชื่อชูโฮ ทากูอัน”
“ดูแปลกพิกล”
“เจ้าค่ะ แปลกมาก ๆ ”
“จีวรก็ไม่ห่ม สายสะพายก็ไม่มี แล้วนุ่งอะไรมาล่ะนั่น”
“ผ้าห่อของเจ้าค่ะ”
“ตายจริง...ดูเหมือนจะยังหนุ่มอยู่”
“อายุสามสิบเอ็ด แต่เจ้าอาวาสบอกว่าเห็นสารรูปอย่างนี้ จริง ๆ แล้วเป็นพระที่มียศสูงสุดคนหนึ่งเจ้าค่ะ”
“เราจะไปมองว่าใครสารรูปอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้หรอกนะโอซือ คนเรามองแต่ภายนอกแยกไม่ออกหรอกว่าใครมีความยิ่งใหญ่ที่ควรแก่การยกย่องหรือไม่”
“หลวงพี่ทากูอันเกิดที่หมู่บ้านอิซุชิในทาจิมะ บวชเณรตอนสิบขวบ พออายุได้สิบสี่ก็เข้าไปปฏิบัติธรรมนิกายรินไซที่ วัดโชฟูกูจิและเจ้าอาวาสที่นั่นก็ได้บวชให้เป็นพระสงฆ์ หลังจากนั้นท่านก็ได้ติดตามพระผู้คงแก่เรียนที่สำเร็จการศึกษาพระธรรมมาจากวัดไดโทกูจิที่ยามาชิโระ เดินทางไปเกียวโตและนารา และได้เป็นลูกศิษย์ของเจ้าอาวาสกุโดแห่งวัดเมียวชินจิ พระอิตโตแห่งเซ็นนัน และใครต่อใครที่ล้วนแต่เป็นปรมาจารย์ของพุทธศาสนานิกายเซ็น เจ้าอาวาสของเราบอกว่าหลวงพี่คนนี้ได้ร่ำเรียนมามากมายทีเดียวเจ้าค่ะ”
“นั่นน่ะซี ดูมีอะไรสักอย่างที่ไม่ค่อยเหมือนพระธรรมดา”
“ต่อมาหลวงพี่ได้ไปประจำอยู่ที่วัดนันโซจิที่อิซูมิ และได้เลื่อนยศสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ จนได้เป็นเจ้าสำนักแห่งวัดไดโทกูจิ แต่เป็นอยู่ได้แค่สามวันเท่านั้นก็กระโจนจีวรปลิวออกมา เล่ากันว่าบรรดาผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินต่างเสียดายกันมากทั้งนั้น
ทางด้านขุนศึกอย่างท่านโทโยโทมิ ฮิเดโยชิ ท่านอาซาโนะ โยชินางะ ท่านโฮโซงาวะ ทาดาโอกิ และทางด้านราชวงศ์อย่างท่านคาราซุมารุ มิตสึฮิโระ ต่างก็เสนอว่าจะสร้างวัดและจัดหาเงินทองบริจาคให้เป็นค่าใช้จ่ายให้ ขอให้มาประจำอยู่เถิดแต่เจ้าตัวก็หาสนใจไม่ และไม่มีใครรู้ว่าทำไมถึงได้ออกเดินทางร่อนเร่ไปทั่วทุกหัวระแหง ทำตัวสกปรกมอมแมมเหมือนขอทานเป็นเพื่อนกับตัวเห็บอย่างนี้ เสียสติรึเปล่าก็ไม่รู้”
“แต่ถ้ามองจากสายตาของท่าน ฝ่ายเราอาจดูเป็นคนเสียสติก็ได้นำโอซือ”
“จริงเจ้าค่ะ หลวงพี่พูดอย่างนั้นตอนเห็นดิฉันแอบร้องไห้คิดถึงมาตาฮาจิอยู่คนเดียว”
“ตลกดีนะ”
“ตลกเกินไปเจ้าค่ะ”
“แล้วหลวงพี่จะอยู่ถึงเมื่อไร”
“ดิฉันไม่รู้หรอกเจ้าค่ะ เดี๋ยว ๆ ก็มาเดี๋ยว ๆ ก็หายไปไหนไม่รู้ ทำเหมือนกับว่าทุกบ้านในโลกนี้เป็นบ้านตัวเองไม่มีผิด”
พระทากูอันยื่นตัวเข้ามาจากระเบียงใต้ชายคาบ้าน
“อาตมาได้ยินนะ ได้ยินนะ”
“ไม่เห็นจะเป็นไร เราไม่ได้นินทาว่าร้ายท่านสักหน่อย”
“นินทาก็ได้ ว่าแต่เจ้าจะไม่ถวายอะไรหวาน ๆ สักหน่อยรึ”
“นี่แหละเขาละ หลวงพี่ทากูอัน”
“นี่แหละน่ะอะไร และเขาละน่ะใคร แหมแม่นางโอซือ ตีหน้าเป็นคนใจบุญสุนทาน ยุงไม่ตบมดไม่บี้ แต่ที่แท้ใจร้ายนัก”
“เอ๊ะหลวงพี่ ทำไมมาว่าฉันอย่างนั้น”
“จะไม่ให้ว่าได้ยังไง ไม่มีใครอีกแล้วที่เอาน้ำชามาถวายให้พระดื่มเปล่า ๆ แล้วไปนั่งพิรี้พิไรร้องไห้คิดถึงคู่รัก ขนมสักชิ้นก็ไม่คิดจะจัดเอามาให้ฉันอย่างนี้”
6
เสียงระฆังวัดไดโชจิดังกังวานขึ้นพร้อม ๆ กับระฆังของวัดชิปโปจิ
พระตีระฆังดังเหง่งหง่างครั้งหนึ่งแล้วเมื่อเช้าตรู่ และตีอีกครั้งเมื่อเวลาเที่ยงเศษ ๆ ชาวบ้านพากันเดินขึ้นเขามาที่วัดไม่ขาดสาย ทั้งพวกสาว ๆ คาดโอบิสีแดง พวกเมียพ่อค้า พ่อเฒ่าแม่เฒ่าจูงหลานตัวน้อยเดินตามกันมา
หนุ่ม ๆ ชวนกันมาชี้ชวนกันให้มองเข้าไปในตัวโบสถ์ที่แออัดไปด้วยผู้คนที่มาไหว้พระ แล้วกระซิบกันเมื่อเห็นโอซือ
“อยู่ว่ะ อยู่”
“วันนี้สวยเป็นพิเศษเสียด้วย”
วันนี้คือวันที่แปดเดือนสี่วันประสูติของพระพุทธเจ้า ทางวัดจัดพิธีสรงน้ำพระโดยจัดตั้งปะรำดอกไม้มุงหลังคาด้วยใบโพธิ์และประดับเสาทั้งสี่ด้วยดอกไม้นานาชนิดขึ้นภายในโบสถ์ แล้วอัญเชิญพระพุทธรูปปางประสูตรสีดำสูงยี่สิบสี่นิ้ว ชี้พระหัตถ์ข้างหนึ่งขึ้นไปบนสวรรค์และอีกข้างหนึ่งลงพื้นดิน มาประดิษฐานไว้ตรงกลางปะรำ ชาวบ้านที่มาสรงน้ำพระใช้กระบวยไม้ไผ่อันเล็ก ๆ ตักน้ำชาหวานที่ทางวัดเตรียมไว้รดลงที่พระเศียรของพระพุทธรูป พระทากูอันยืนอยู่ข้างปะรำคอยตักชาหวานใส่กระบอกไม้ไผ่ของผู้มาสักการะที่ต้องการนำกลับไปบ้าน
“วัดนี้ยากจนนัก ถ้าตั้งใจจะทำบุญกันละก็ไม่ต้องกลัวว่าเงินจะล้นกล่อง ท่านเศรษฐีผู้แต่งกายสง่างามยิ่งน่าทำบุญให้มาก ๆ เป็นค่าน้ำชาที่ใช้สรงพระ ท่านทำบุญหนักเพียงไรความทุกข์ของท่านก็จะเบาลงเพียงนั้น”
ส่วนโอซือแต่งชุดกิโมโนสวยงามคาดโอบิที่เพิ่งเย็บเสร็จใหม่ ๆ นั่งอยู่หน้าโต๊ะไม้ลงรักที่อยู่อีกด้านหนึ่งของปะรำดอกไม้ บนโต๊ะมีกล่องลงรักปิดทองใส่แท่นฝนหมึกดำพร้อมกระดาษหลากสี สำหรับเขียนบทกลอนคาถาตามคำขอของผู้มาสรงน้ำพระ
วันที่แปดเดือนสี่อันเป็นวันมงคล
ขอให้เหล่าแมลงที่มากัดกินพืชผล
จงพ่ายแพ้หนีหาย
หมดสิ้นไปโดยเร็วด้วยเถิด
ตามความเชื่อที่สืบทอดมาในท้องถิ่นนี้แต่โบราณว่า หากนำกลอนคาถานี้ไปติดไว้ที่บ้านจะช่วยป้องกันแมลงและโรคร้าย โอซือเขียนกลอนคาถาบทเดียวกันนี้หลายร้อนแผ่นแล้วจนเจ็บข้อมือไปหมด ตัวหนังสือที่งดงามอ่อนช้อยในช่วงแรก ๆ กำลังจะเริ่มเฉไฉ
“หลวงพี่ทากูอัน”
โอซือเรียกขึ้นเมื่อได้จังหวะ
“อะไรรึ”
“หลวงพี่เลิกเซ้าซี้ชาวบ้านเขาเสียทีเถิด ใครอยากทำบุญเขาก็ทำเองแหละ”
“อาตมาพูดกับพวกเศรษฐีต่างหาก การช่วยให้ภาระการเงินของพวกเขาลดลงบ้างด้วยการทำบุญ เป็นความดีเสียยิ่งกว่าดีอีกนะเจ้า”
“พูดอะไรอย่างนั้น อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าคืนนี้ขโมยขึ้นบ้านเศรษฐีจะยังว่าดีอีกไหม”
“ไหน...ไหน คิดว่าคนซาลงบ้างแล้ว นี่กลับแห่กันมาอีก อย่าผลักอย่าดันกันโยม...พ่อหนุ่มนั่น อย่าแซงซิ เดินตามกันเข้ามาตามลำดับให้เป็นระเบียบหน่อย”
“นี่แน่ะ หลวงพี่”
“เรียกอาตมารึ”
“ก็ใช่น่ะซี บอกให้เข้ามาตามลำดับเป็นระเบียบ แต่ข้าเห็นหลวงพี่ตักให้แต่พวกสาว ๆ”
“อาตมาก็ชอบสาว ๆ เหมือนกันนี่”
“พระอย่างหลวงพี่นี่หรือเปล่าที่เขาเรียกว่าพระอลัชชี”
“อย่ามาทำปากดีกับอาตมา หนุ่ม ๆ พวกนี้ก็เหมือนกันอาตมารู้นะว่าไม่ได้มาสรงน้ำพระหรือว่าอยากมาเอากลอนคาถาอะไรกับเขาหรอก มีอยู่สักครึ่งเดียวละมังที่มาพนมมือไหว้พระ แต่อีกครึ่งหนึ่งมาดูหน้าโอซือเหมือนพวกเจ้านี่แหละ---อ้าว อ้าว...แล้วจะกลับไปได้ไง ทำไมไม่ใส่เงินทำบุญลงไปในกล่องก่อน อย่างนี้ผู้หญิงเขาไม่ชอบนะจะบอกให้”
โอซือหน้าแดงจัด
“หลวงพี่พอได้แล้ว ถ้าไม่เลิกเดี๋ยวฉันโกรธขึ้นมาจริง ๆ นะ
โอซือละสายตาจากกลอนคาถาที่เขียนอยู่มองไปทางหมู่คนที่มาสรงน้ำพระหมายว่าจะพักสายตา ทันใดนั้นเองสายตาของนางก็สะดุดลงที่ใบหน้าของเจ้าหนุ่มคนหนึ่ง
“โอ๊ะ...”
โอซืออุทาน พู่กันหล่นจากมือ
ทันทีที่โอซือผลุดลุกขึ้น ใบหน้าที่นางเห็นก็หายแวบไปราวปลาที่ผลุบเข้าไปในกอไม้น้ำ โอซือลืมตัวร้องเรียกออกไป
“ทาเกโซ ทาเกโซ”
และออกวิ่งไปทางระเบียงโบสถ์”
7
ครอบครัวฮนอิเด็นไม่ใช่ชาวไร่ชาวนาธรรมดา แต่ทำการเพาะปลูกครึ่งหนึ่งและเป็นนักรบครึ่งหนึ่งอย่างที่เรียกว่าซามูไรชนบท โอซูงิแม่ของมาตาฮาจิเป็นหญิงสูงวัยจิตใจเข็มแข็งและดื้อดึง อายุเกือบหกสิบปีแล้วแต่ยังเดินนำหน้าบริวารหนุ่ม ๆ และชาวไร่นาที่มาเช่าที่ทำมาหากินออกไปทำไร่ไถนา ตำข้าวเจ้าข้าวสาลีตั้งแต่เช้าตรู่จนย่ำค่ำละเมื่อกลับบ้านก็ไม่ใช่ว่าจะกลับมามือเปล่า แม่จะแบกใบหม่อนขึ้นหลังที่คุ้มงอกลับมามากมายแทบมองไม่เห็นตัว เพื่อมาเลี้ยงตัวไหมเป็นงานตอนกลางคืน
“ยาย”
หลานวิ่งเท้าเปล่าขี้มูกโป่งมาจากไร่ด้านโน้น โอซุงิชะโงกตัวจากร่มเงาต้นหม่อนออกมาทักทาย
“เฮตะ เจ้าไปวัดมารึ”
เด็กชายเดินพลางเต้นเข้ามา
“ก็ไปมาน่ะซียาย”
“เจอโอซือรึเปล่าล่ะ”
“เจอซิยาย วันนี้หนูพบน้าโอซือที่งานสรงน้ำพระ คาดโอบิสวยมากเลย”
“แล้วเจ้าได้ชาหวานกับกลอนคาถากลับมาด้วยรึเปล่าฮึ”
“ไม่ได้หรอกยาย”
“อ้าว ทำไมไม่ขอมา”
“น้าโอซือบอกว่าไม่ต้องเอาหรอกของพวกนั้น เอ็งรีบกลับไปแจ้งข่าวสำคัญให้ยายรู้ดีกว่า”
“ข่าวอะไรฮึ”
“น้าบอกว่าเห็นทาเกโซที่อยู่บ้านฟากโน้นของแม่น้ำเดินอยู่ในงานสรงน้ำพระน่ะยาย”
“จริงรึ”
“ก็จริงน่ะซี”
“... ... ...”
โอซุงิน้ำตาซึมออกมาทันที มองไปรอบตัวราวด้วยความมาดหมายว่าจะได้เห็นมาตาฮาจิลูกชายของนางวิ่งเข้ามาหา
“เฮตะ เจ้ามาเก็บใบหม่อนแทนยายที”
“ยายจะไปไหนเหรอ”
“ข้าจะกลับไปดูที่บ่น หากว่าทาเกโซบ้านชินเม็นกลับมาจริง มาตาฮาจิก็จะต้องกลับมาด้วยแน่นอน”
“หนูไปด้วย”
“ไม่ต้อง เจ้าไม่ต้องมา”
บ้านของครอบครัวฮนอิเด็นเป็นเรือนหลังใหญ่ตั้งอยู่ในดงต้นโอ๊ก พอวิ่งไปถึงหน้าโรงเก็บของแม่เฒ่าโอซุงิก็ตะคอกถามลูกสาวกับลูกเขยที่กำลังทำงานอยู่ตรงนั้นทันที
“มาตาฮาจิกลับมาแล้วใช่ไหม”
ทั้งสองอ้าปากค้างด้วยความงงงวยแล้วสั่นหัว แม่เฒ่ากำลังตื่นเต้นจึงด่ากราดไปทั่ว...ทำไมไม่มีใครรู้ฮึ ลูกชายข้ากลับมาแล้วทั้งคน มีคนเห็นทาเกโซบ้านฝั่งโน้นเดินอยู่ในหมู่บ้านเราอย่างนี้ มาตาฮาจิก็จะต้องมาด้วยแน่นอน พวกเอ็งไปทำอะไรกันอยู่ถึงไม่มีใครเห็นสักคน แล้วก็ออกคำสั่งให้ทุกคนออกไปตามหาให้พบโดยเร็ว แล้วพาตัวกลับมาบ้านทันที
ฮนอิเด็นเป็นครอบครัวหนึ่งที่ถือว่าวันเผด็จศึกที่เซกิงาฮาระเป็นวันตายของลูกชายอันเป็นที่รัก แม่เฒ่าโอซุงิรักมาตาฮาจิเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของนางจนแทบจะกลืนกิน นางยกลูกสาวให้แก่ลูกชายของครอบครัวหนึ่งและรับลูกเขยเข้ามาเป็นผู้สืบสกุลฮนอิเด็น
“พบตัวรึยัง”
แม่เฒ่าอยู่ไม่สุข เดินเข้าออกบ้านอยู่อย่างนั้น และพร่ำถามทุกคนที่พบหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งเย็นค่ำจึงไปนั่งหน้าแท่นบูชาพระจุดเทียนบูชาแล้วนั่งพึมพำภาวนาอะไรอยู่คนเดียว
นางไม่ยอมกินอาหาร ในบ้านไม่มีใครเพราะถูกไล่ให้ออกไปตามหามาตาฮาจิ จนค่ำมากแล้วก็ยังไม่ได้รับข่าวดีจากใคร นางจึงออกไปยืนคอยอยู่ในเงามืดนอกประตูใหญ่
ดวงจันทร์ทอแสงแสนเศร้าผ่านกิ่งต้นโอ๊กที่ล้อมรอบเรือน ม่านหมอกขาวจาง ๆ ปกคลุมภูเขาทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ลมอ่อน ๆ โชยกลิ่นหอมหวานมาจากไร่สาลี่ที่กำลังออกดอกบานสะพรั่ง
แม่เฒ่าเห็นเงาใครคนหนึ่งเดินมาตามคันคูของไร่ต้นสาลี่ พอเห็นว่าเป็นหญิงคู่หมั้นของลูกชายนางก็ยกมือขึ้นพร้อมกับร้องทักออกไป
“โอซือรึ”
“ฉันเองจ้ะป้า”
เสียงฝีเท้าในรองเท้าแตะชุ่มน้ำของโอซือดังใกล้เข้ามา