นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วงบทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
“---เป็นไงมั่ง”
มาตาฮาจิวิ่งเข้ามาหา
“ฆ่ามันตายไปแล้ว เอ็งล่ะ”
“ข้าก็เหมือนกัน---“
มาตาฮาจิยกดาบโชกเลือดเปื้อนไปถึงเชือกที่พันด้ามให้ดู
“คนอื่นมันหนีเตลิดไป ไอ้พวกโจรป่าพวกนี้ขี้ขลาดเต็มที”
มาตาฮาจิยืดอกอวดตัวอย่างผึ่งผาย
สองสหายที่ได้เลือดโจรมาสังเวยดาบกอดคอกันหัวเราะด้วยความอิ่มเอิบใจ คนหนึ่งถือดาบไม่สีดำโชกเลือดและอีกคนถือดาบอาบเลือดเดินคุยกันอย่างคึกคะนอง ไปทางเรือนใหญ่ที่มีแสงไฟวิบวับอยู่ทางโน้น
4
ม้าป่ายื่นหัวเข้ามาทางหน้าต่าง มองไปรอบ ๆ บ้าน ทำเสียงในจมูกแล้วหายใจเสียงดัง ปลุกให้เจ้าหนุ่มสองคนที่นอนอยู่ตรงนั้นตกใจตื่นขึ้นมาเอ็ดตะโร
“เฮ้ย มาทำอะไรวะ
ทาเกโซยื่นมือออกไปตบหน้าม้าเบา ๆ ส่วนมาตาฮาจิชูกำปั้นขึ้นไปที่เพดาน บิดขี้เกียจพลางร้องว่า
“โหย นอนหลับสบายจัง”
“นอนเสียสายตะวันโด่งเลยเรา”
“ข้าว่าใกล้ค่ำมากกว่ามั๊ง”
“บ้าน่า”
ทาเกโซกับมาตาฮาจิลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า แค่ได้นอนหลับเต็มอิ่มตลอดคืนเรื่องการต่อสู้อย่างเผ็ดร้อนถึงชีวิตเมื่อคืนก่อนก็ไม่หลงเหลืออยู่ในหัว ชีวิตของหนุ่มทั้งสองมีแต่วันนี้กับพรุ่งนี้เท่านั้น พอลุกขึ้นได้ทาเกโซก็กระโจนออกไปหลังบ้านทันที เปลือยกายครึ่งท่อนแล้วใช้ผ้าชุบน้ำใสเย็นเยียบในลำธารขึ้นมาเช็ดเนื้อตัวและวักน้ำล้างหน้า เสร็จแล้วแหงนหน้าขึ้นไปรับแสงแดดและสูดอากาศเข้าไปลึก ๆ อย่างสบายอารมณ์
มาตาฮาจิชูลุกขึ้นเนหน้าตางัวเงียเข้าไปที่ห้องเตาผิง ร้องทักแม่ม่ายโอโคกับอาเกมิที่นั่งผิงไฟกันอยู่ตรงนั้น ด้วยเสียงที่พยายามทำให้แจ่มใส
“แต่เอ คุณนายทำไมทำหน้าเศร้าอย่างนั้นล่ะ”
“จริงรึ”
“ก็ใช่น่ะซี เป็นอะไรไปรึเปล่า เมื่อคืนทาเกโซก็ปราบไอ้โจรป่าเท็มมะที่ฆ่าผัวคุณนายสิ้นชื่อไปแล้ว ฆ่าเองก็จัดการสมุน ของมันสิ้นฤทธิ์ไปแล้วด้วยคนหนึ่ง ไม่น่ามีอะไรต้องกังวลอีก”
ก็จะไม่ให้เจ้าหนุ่มสงสัยได้ยังไง เพราะแทนที่จะได้เห็นแม่ลูกดีใจที่ตนกับเพื่อนแก้แค้นแทนผัวนางได้สำเร็จกลับมานั่งหน้าเศร้า เมื่อคืนนี้ก็เหมือนกันอาเกมิตบมือดีใจเมื่อรู้ว่าศัตรูถูกปราบสิ้นฤทธิ์ แต่แม่ม่ายกลับทำหน้าไม่เสบย จนวันนี้แล้วก็ยังไม่ดีขึ้น มาตาฮาจิอยากรู้นักว่าทำไม จึงเซ้าซี้ถาม
“คุณนาย...บอกมาซิว่าทำไม มีอะไรต้องห่วงอีกฮึ”
มาตาฮาจิชูทรุดตัวลงนั่นขัดสมาธิริมเตาผิง รับถ้วยชาที่อาเกมิรินให้มาถือไว้ แม่ม่ายโอโคฝืนยิ้ม นึกอิจฉาคนหนุ่มสาวที่ความอ่อนโลกทำให้ไม่กลัวเกรงอะไร
“มาตาฮาจิ...เจ้าไม่รู้อะไร แม้ว่าโจรป่าเท็มมะจะสิ้นชื่อไปแล้ว แต่มันยังมีสมุนตัวร้าย ๆ อยู่อีกไม่รู้ว่ากี่ร้อยคน”
“โธ่เอ๋ย ที่แท้คุณนายก็กลัวว่าไอ้พวกนั้นมันจะมาแก้แค้นแทนลูกพี่นั่นเอง มันก็ไอ้พวกโจรป่าชั้นเลวทั้งนั้น ข้ากับ ทาเกโซอยู่ด้วยอย่างนี้จะกลัวไปทำไม”
“ไม่ได้ ไม่ได้”
แม่ม่ายโอโคโบกมือห้าม มาตาฮาจิยักไหล่
“ทำไมจะไม่ได้ ได้พวกมดปลวก ดาหน้ากันเข้ามาเลย หรือคุณนายคิดว่าเราสองคนไม่มีฝีมือ ถึงได้ดูกังวลนัก”
“ถ้ามองจากสายตาข้า พวกเจ้ายังไม่รู้ประสีประสาไม่ผิดอะไรกับเด็กทารก โจรป่าเท็มมะมันมีน้องชายชื่อโคเฮ ถ้ามันมาย่ำยีข้า ต่อให้เจ้าสองคนช่วยกันรุมต่อกรก็ไม่มีทางเอาชนะมันได้”
มาตาฮาจิไม่คาดว่าจะได้ยินเช่นนั้น และเมื่อฟังแม่ม่ายโอโคและเมื่อได้ฟังนางเล่าละเอียดขึ้น เจ้าหนุ่มก็ชักหวั่นใจตามไปด้วย สึจิคาเซะโคเฮนั้นนอกจากจะมีสมุนมากมายเป็นกองโจรใหญ่โตน่าเกรงขาม ครองความเป็นเจ้าถิ่นอยู่ในบริเวณ ยาซุงาวะแห่งแคว้นคิโซะแล้ว ตัวมันเองยังเป็นนักรบมือดีที่รู้กลยุทธ์การต่อสู้เป็นเอก และเก่งกาจด้านวิทยายุทธ์การแฝงกายสอดแนมของนินจาอย่างหาตัวจับได้ยาก ที่ผ่านมาไม่มีใครก็ตามที่โจรป่าผู้นี้พุ่งเป้าเอาชีวิต ใครคนนั้นก็จะไม่มีโอกาสมีชีวิตตามที่สวรรค์ประทานมาได้อีกต่อไป
มาตาฮาจิฟังแล้วลูบคางพลางคิดตริตรอง ถ้าถูกไอ้โจรป่าคนนี้จู่โจมเอาซึ่ง ๆ หน้าก็คงจะพอป้องกันตัวได้ แต่ถ้ามายามหลับสนิทก็สงสัยว่าจะต้องตกเป็นเครื่องสังเวยคมดาบของมัน
“คนขี้เซาอย่างข้า คงจะรับมือกับมันไม่ไหวถ้าเกิดบุกเข้ามากลางดึก”
แม่ม่ายโอโคจึงว่าเมื่อเรื่องมันล่วงเลยมาเป็นเช่นนี้แล้ว นางก็ไม่มีทางเลือกนอกจากปิดบ้านแล้วย้ายไปอยู่แคว้นอื่น
“แล้วเจ้าทั้งสองล่ะจะทำยังไง”
“ข้าคงต้องปรึกษากับทาเกโซ ว่าแต่หายหัวไปไหนล่ะนี่”
มาตาฮาจิออกไปดูที่หน้าบ้านก็ไม่เห็น จึงเอามือป้องหน้าผากมองไกลออกไป ก็เห็นทาเกโซอยู่บนหลังม้าป่าตัวที่ป้วนเปี้ยนอยู่รอบ ๆ บ้าน ควบวนเวียนไปมาอยู่ไกลออกไปตรงเชิงเขาอิบุกิ
“สบายใจจริงนะเพื่อนเรา”
เจ้าหนุ่มพูดกับตัวเองแล้วป้องปากเรียกเพื่อน
“วู้ กลับมาได้แล้ว”
5
สองสหายนอนกลิ้งอยู่บนพื้นหญ้าแห้ง ไม่มีอะไรจะวิเศษไปกว่าเพื่อนอีกแล้ว จะนั่งจะนอนปรึกษากันยังไงก็ได้
“ถ้างั้นเรากลับบ้านกันดีไหม”
“เออ กลับกันดีกว่า จะมาติดอยู่กับสองแม่ลูกตลอดไปได้ยังไง”
“จริง”
“ข้าเกลียดพวกผู้หญิง”
พอทาเกโซบอกอย่างนั้น มาตาฮาจิก็พลิกตัวขึ้นนอนหงายมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
“---พอตัดสินใจกลับ ข้าก็อยากเห็นหน้าโอซือขึ้นมาทันทีเลย”
ว่าแล้วก็ยกขาทั้งสองซอยขึ้นลงอยู่กับพื้น
“ให้ตายเถอะ เอ็งดูเมฆก้อนนั้นซี เหมือนเวลาโอซือสระผมไม่มีผิด”
เจ้าหนุ่มชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า
ทาเกโซมองตามก้นม้าที่เขาขี่เมื่อครู่ก่อนและเพิ่งปล่อยมันไป คนเราแม้เป็นคนเถื่อนที่อาศัยอยู่ตามป่าก็ย่อมมีคนนิสัยดีอยู่ฉันใด ม้าก็เช่นกันม้าป่ามันดีตรงที่พอใช้งานเสร็จ มันก็จะไปตามใจของมันไม่ต้องการอะไรตอบแทน
“มากินข้าวเร้ว”
เสียงอาเกมิร้องเรียกดังแว่วมา
“ไปกินข้าวกัน”
ทาเกโซกับมาตาฮาจิลุกขึ้นพร้อมกัน
“เฮ้ย มาวิ่งแข่งกัน”
“ท้ารึ ข้าไม่อ่อนข้อให้นะเว้ย”
อาเกมิยืนตบมืออย่างสนุก ต้อนรับสองสหายที่วิ่งแข่งกันเศษหญ้ากระจายฟุ้งเข้ามา
----ทว่าหลังเที่ยง อาเกมิเงียบซึมไปทันทีเมื่อได้ยินว่าสองสหายตกลงใจเดินทางกลับบ้านเกิด ตั้งแต่ทาเกโซกับมาตาฮาจิเข้ามาอยู่ร่วมกับครอบครัว ชีวิตของเด็กสาวมีความสุขสนุกสนานอย่างไม่เคยมีมาก่อน และคงคิดว่าจะเป็นเช่นนั้นต่อไปอีกนาน
“เจ้าจะบ้าหรือไง มานั่งสำออยอยู่ได้”
แม่ม่ายโอโคดุลูกสาวพลางแต่งหน้างดงามยามเย็นตามเคยของนาง และจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าทาเกโซซึ่งสะท้อนอยู่ในกระจกเงา
ทาเกโซนั่งอยู่ริมเตาผิง พอนึกถึงคืนก่อนตอนที่นางมากระซิบที่ข้างหมอน และกลิ่นหวานเจือเปรี้ยวของผมนางขึ้นมา เจ้าหนุ่มก็เบือนหน้าไปทางหนึ่งทันที มาตาฮาจิอยู่ตรงนั้นพอดี กำลังไปหยิบไหเหล้าสาเกจากชั้นเอามากรอกใส่กระปุกเตรียมดื่ม ทำราวกับว่าบ้านนี้เป็นบ้านของตัวเอง คืนนี้เป็นค่ำคืนแห่งการลาจาก เพื่อนคงจะตั้งใจดื่มส่งท้ายให้เต็มคราบ ส่วนแม่ม่ายโอโคก็ผัดแป้งแต่งหน้าประณีตกว่าเคย
“เรามาดื่มกันให้เกลี้ยงบ้านไปเลย เหลือเอาไว้ทำไมให้เปล่าประโยชน์”
ไหเหล้าเกลี้ยงกลิ้งไปแล้วสามไห
แม่ม่ายโอโคเอนพิงมาตาฮาจิ ทาเกโซเบือนหน้าเป็นเชิงว่าไม่อยากมอง
“ข้า...เดินไม่ไหวแล้วเจ้า”
แม่ม่ายอ้อนมาตาฮาจิเสียงหวาน ขอเกาะไหล่เจ้าหนุ่มพยุงตัวเข้าไปถึงที่นอน และหันมาทำกระชดกระช้อยกับทาเกโซ
“ทาเกโซนอนตรงนั้นก็แล้วกัน---ชอบนอนคนเดียวไม่ใช่รึ”
ทาเกโซล้มตัวลงนอนอย่างว่าง่าย แล้วก็ผล็อยหลับไปเพราะความเมามายทั้งยังดึกแล้วด้วย มารู้สึกตัวตื่นในวันรุ่งขึ้นเมื่อสายมากแล้ว
---พอตื่นขึ้นมา ทาเกโซก็รู้สึกทันทีว่าบ้านทั้งบ้านว่างเปล่า
หีบห่อสัมภาระที่อาเกมิกับแม่ม่ายเก็บเตรียมเอาไว้หายไป เสื้อผ้าและรองเท้าก็ไม่มีเหลือ ที่สำคัญคือนอกจากจะไม่เห็นสองแม่ลูกแล้ว มาตาฮาจิก็หายไปด้วย
“มาตาฮาจิ...วู้”
หลังบ้านก็ไม่มีที่กระท่อมก็ไม่อยู่ เรือนใหญ่ว่างเปล่า มีแต่หวีสีแดงแสนสวยที่แม่ม่ายใช้เสียบผมเพียงอันเดียว ตกอยู่ข้างธรณีประตูห้องน้ำที่เปิดอยู่
“...ไอ้เพื่อนบ้า...เอ๊ะ”
ทาเกโซทรุดตัวลงหยิบหวีสับขึ้นดม กลิ่นที่ติดอยู่ทำให้นึกถึงคืนวานซืนเมื่อถูกแม่ม่ายโอโคเข้ามายั่วยวนถึงเนื้อถึงตัว เจ้าหนุ่มขนลุกเกรียวขึ้นมาอีกครั้งด้วยความสยอง อนิจจา...หวีสับเล่มนี้เองที่ทำให้มาตาฮาจิพ่ายแพ้ พอคิดขึ้นมาความว้าเหว่อ้างว้างก็ซ่านขึ้นมาอัดอั้นอยู่ในอกอย่างบอกไม่ถูก
“มาตาฮาจิ เอ็งบ้าไปแล้ว ไม่ได้คิดถึงโอซือเลยหรือไงวะ”
ทาเกโซฟาดหวีสับเล่มนั้นลงกับพื้นสุดแรง โกรธมาตาฮาจิเหลือเกินแล้ว แต่ก็ยังไม่เท่าความสงสารโอซือที่เฝ้าคอยอยู่ที่บ้านจนอยากร้องไห้แทน---
ม้าป่าตัวเมื่อวานเห็นทาเกโซนั่งหน้าสลดอยู่ที่ห้องครัวจึงยื่นหน้าเข้ามาจากทางชายคา แต่เมื่อเจ้าหนุ่มไม่ลูบจมูกมันเช่นเคยก็เลยหันไปสนใจกับเศษข้าวสุกที่อ่างล้างจาน แล้วแลบเลียกินจนเกลี้ยง
“---เป็นไงมั่ง”
มาตาฮาจิวิ่งเข้ามาหา
“ฆ่ามันตายไปแล้ว เอ็งล่ะ”
“ข้าก็เหมือนกัน---“
มาตาฮาจิยกดาบโชกเลือดเปื้อนไปถึงเชือกที่พันด้ามให้ดู
“คนอื่นมันหนีเตลิดไป ไอ้พวกโจรป่าพวกนี้ขี้ขลาดเต็มที”
มาตาฮาจิยืดอกอวดตัวอย่างผึ่งผาย
สองสหายที่ได้เลือดโจรมาสังเวยดาบกอดคอกันหัวเราะด้วยความอิ่มเอิบใจ คนหนึ่งถือดาบไม่สีดำโชกเลือดและอีกคนถือดาบอาบเลือดเดินคุยกันอย่างคึกคะนอง ไปทางเรือนใหญ่ที่มีแสงไฟวิบวับอยู่ทางโน้น
4
ม้าป่ายื่นหัวเข้ามาทางหน้าต่าง มองไปรอบ ๆ บ้าน ทำเสียงในจมูกแล้วหายใจเสียงดัง ปลุกให้เจ้าหนุ่มสองคนที่นอนอยู่ตรงนั้นตกใจตื่นขึ้นมาเอ็ดตะโร
“เฮ้ย มาทำอะไรวะ
ทาเกโซยื่นมือออกไปตบหน้าม้าเบา ๆ ส่วนมาตาฮาจิชูกำปั้นขึ้นไปที่เพดาน บิดขี้เกียจพลางร้องว่า
“โหย นอนหลับสบายจัง”
“นอนเสียสายตะวันโด่งเลยเรา”
“ข้าว่าใกล้ค่ำมากกว่ามั๊ง”
“บ้าน่า”
ทาเกโซกับมาตาฮาจิลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า แค่ได้นอนหลับเต็มอิ่มตลอดคืนเรื่องการต่อสู้อย่างเผ็ดร้อนถึงชีวิตเมื่อคืนก่อนก็ไม่หลงเหลืออยู่ในหัว ชีวิตของหนุ่มทั้งสองมีแต่วันนี้กับพรุ่งนี้เท่านั้น พอลุกขึ้นได้ทาเกโซก็กระโจนออกไปหลังบ้านทันที เปลือยกายครึ่งท่อนแล้วใช้ผ้าชุบน้ำใสเย็นเยียบในลำธารขึ้นมาเช็ดเนื้อตัวและวักน้ำล้างหน้า เสร็จแล้วแหงนหน้าขึ้นไปรับแสงแดดและสูดอากาศเข้าไปลึก ๆ อย่างสบายอารมณ์
มาตาฮาจิชูลุกขึ้นเนหน้าตางัวเงียเข้าไปที่ห้องเตาผิง ร้องทักแม่ม่ายโอโคกับอาเกมิที่นั่งผิงไฟกันอยู่ตรงนั้น ด้วยเสียงที่พยายามทำให้แจ่มใส
“แต่เอ คุณนายทำไมทำหน้าเศร้าอย่างนั้นล่ะ”
“จริงรึ”
“ก็ใช่น่ะซี เป็นอะไรไปรึเปล่า เมื่อคืนทาเกโซก็ปราบไอ้โจรป่าเท็มมะที่ฆ่าผัวคุณนายสิ้นชื่อไปแล้ว ฆ่าเองก็จัดการสมุน ของมันสิ้นฤทธิ์ไปแล้วด้วยคนหนึ่ง ไม่น่ามีอะไรต้องกังวลอีก”
ก็จะไม่ให้เจ้าหนุ่มสงสัยได้ยังไง เพราะแทนที่จะได้เห็นแม่ลูกดีใจที่ตนกับเพื่อนแก้แค้นแทนผัวนางได้สำเร็จกลับมานั่งหน้าเศร้า เมื่อคืนนี้ก็เหมือนกันอาเกมิตบมือดีใจเมื่อรู้ว่าศัตรูถูกปราบสิ้นฤทธิ์ แต่แม่ม่ายกลับทำหน้าไม่เสบย จนวันนี้แล้วก็ยังไม่ดีขึ้น มาตาฮาจิอยากรู้นักว่าทำไม จึงเซ้าซี้ถาม
“คุณนาย...บอกมาซิว่าทำไม มีอะไรต้องห่วงอีกฮึ”
มาตาฮาจิชูทรุดตัวลงนั่นขัดสมาธิริมเตาผิง รับถ้วยชาที่อาเกมิรินให้มาถือไว้ แม่ม่ายโอโคฝืนยิ้ม นึกอิจฉาคนหนุ่มสาวที่ความอ่อนโลกทำให้ไม่กลัวเกรงอะไร
“มาตาฮาจิ...เจ้าไม่รู้อะไร แม้ว่าโจรป่าเท็มมะจะสิ้นชื่อไปแล้ว แต่มันยังมีสมุนตัวร้าย ๆ อยู่อีกไม่รู้ว่ากี่ร้อยคน”
“โธ่เอ๋ย ที่แท้คุณนายก็กลัวว่าไอ้พวกนั้นมันจะมาแก้แค้นแทนลูกพี่นั่นเอง มันก็ไอ้พวกโจรป่าชั้นเลวทั้งนั้น ข้ากับ ทาเกโซอยู่ด้วยอย่างนี้จะกลัวไปทำไม”
“ไม่ได้ ไม่ได้”
แม่ม่ายโอโคโบกมือห้าม มาตาฮาจิยักไหล่
“ทำไมจะไม่ได้ ได้พวกมดปลวก ดาหน้ากันเข้ามาเลย หรือคุณนายคิดว่าเราสองคนไม่มีฝีมือ ถึงได้ดูกังวลนัก”
“ถ้ามองจากสายตาข้า พวกเจ้ายังไม่รู้ประสีประสาไม่ผิดอะไรกับเด็กทารก โจรป่าเท็มมะมันมีน้องชายชื่อโคเฮ ถ้ามันมาย่ำยีข้า ต่อให้เจ้าสองคนช่วยกันรุมต่อกรก็ไม่มีทางเอาชนะมันได้”
มาตาฮาจิไม่คาดว่าจะได้ยินเช่นนั้น และเมื่อฟังแม่ม่ายโอโคและเมื่อได้ฟังนางเล่าละเอียดขึ้น เจ้าหนุ่มก็ชักหวั่นใจตามไปด้วย สึจิคาเซะโคเฮนั้นนอกจากจะมีสมุนมากมายเป็นกองโจรใหญ่โตน่าเกรงขาม ครองความเป็นเจ้าถิ่นอยู่ในบริเวณ ยาซุงาวะแห่งแคว้นคิโซะแล้ว ตัวมันเองยังเป็นนักรบมือดีที่รู้กลยุทธ์การต่อสู้เป็นเอก และเก่งกาจด้านวิทยายุทธ์การแฝงกายสอดแนมของนินจาอย่างหาตัวจับได้ยาก ที่ผ่านมาไม่มีใครก็ตามที่โจรป่าผู้นี้พุ่งเป้าเอาชีวิต ใครคนนั้นก็จะไม่มีโอกาสมีชีวิตตามที่สวรรค์ประทานมาได้อีกต่อไป
มาตาฮาจิฟังแล้วลูบคางพลางคิดตริตรอง ถ้าถูกไอ้โจรป่าคนนี้จู่โจมเอาซึ่ง ๆ หน้าก็คงจะพอป้องกันตัวได้ แต่ถ้ามายามหลับสนิทก็สงสัยว่าจะต้องตกเป็นเครื่องสังเวยคมดาบของมัน
“คนขี้เซาอย่างข้า คงจะรับมือกับมันไม่ไหวถ้าเกิดบุกเข้ามากลางดึก”
แม่ม่ายโอโคจึงว่าเมื่อเรื่องมันล่วงเลยมาเป็นเช่นนี้แล้ว นางก็ไม่มีทางเลือกนอกจากปิดบ้านแล้วย้ายไปอยู่แคว้นอื่น
“แล้วเจ้าทั้งสองล่ะจะทำยังไง”
“ข้าคงต้องปรึกษากับทาเกโซ ว่าแต่หายหัวไปไหนล่ะนี่”
มาตาฮาจิออกไปดูที่หน้าบ้านก็ไม่เห็น จึงเอามือป้องหน้าผากมองไกลออกไป ก็เห็นทาเกโซอยู่บนหลังม้าป่าตัวที่ป้วนเปี้ยนอยู่รอบ ๆ บ้าน ควบวนเวียนไปมาอยู่ไกลออกไปตรงเชิงเขาอิบุกิ
“สบายใจจริงนะเพื่อนเรา”
เจ้าหนุ่มพูดกับตัวเองแล้วป้องปากเรียกเพื่อน
“วู้ กลับมาได้แล้ว”
5
สองสหายนอนกลิ้งอยู่บนพื้นหญ้าแห้ง ไม่มีอะไรจะวิเศษไปกว่าเพื่อนอีกแล้ว จะนั่งจะนอนปรึกษากันยังไงก็ได้
“ถ้างั้นเรากลับบ้านกันดีไหม”
“เออ กลับกันดีกว่า จะมาติดอยู่กับสองแม่ลูกตลอดไปได้ยังไง”
“จริง”
“ข้าเกลียดพวกผู้หญิง”
พอทาเกโซบอกอย่างนั้น มาตาฮาจิก็พลิกตัวขึ้นนอนหงายมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
“---พอตัดสินใจกลับ ข้าก็อยากเห็นหน้าโอซือขึ้นมาทันทีเลย”
ว่าแล้วก็ยกขาทั้งสองซอยขึ้นลงอยู่กับพื้น
“ให้ตายเถอะ เอ็งดูเมฆก้อนนั้นซี เหมือนเวลาโอซือสระผมไม่มีผิด”
เจ้าหนุ่มชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า
ทาเกโซมองตามก้นม้าที่เขาขี่เมื่อครู่ก่อนและเพิ่งปล่อยมันไป คนเราแม้เป็นคนเถื่อนที่อาศัยอยู่ตามป่าก็ย่อมมีคนนิสัยดีอยู่ฉันใด ม้าก็เช่นกันม้าป่ามันดีตรงที่พอใช้งานเสร็จ มันก็จะไปตามใจของมันไม่ต้องการอะไรตอบแทน
“มากินข้าวเร้ว”
เสียงอาเกมิร้องเรียกดังแว่วมา
“ไปกินข้าวกัน”
ทาเกโซกับมาตาฮาจิลุกขึ้นพร้อมกัน
“เฮ้ย มาวิ่งแข่งกัน”
“ท้ารึ ข้าไม่อ่อนข้อให้นะเว้ย”
อาเกมิยืนตบมืออย่างสนุก ต้อนรับสองสหายที่วิ่งแข่งกันเศษหญ้ากระจายฟุ้งเข้ามา
----ทว่าหลังเที่ยง อาเกมิเงียบซึมไปทันทีเมื่อได้ยินว่าสองสหายตกลงใจเดินทางกลับบ้านเกิด ตั้งแต่ทาเกโซกับมาตาฮาจิเข้ามาอยู่ร่วมกับครอบครัว ชีวิตของเด็กสาวมีความสุขสนุกสนานอย่างไม่เคยมีมาก่อน และคงคิดว่าจะเป็นเช่นนั้นต่อไปอีกนาน
“เจ้าจะบ้าหรือไง มานั่งสำออยอยู่ได้”
แม่ม่ายโอโคดุลูกสาวพลางแต่งหน้างดงามยามเย็นตามเคยของนาง และจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าทาเกโซซึ่งสะท้อนอยู่ในกระจกเงา
ทาเกโซนั่งอยู่ริมเตาผิง พอนึกถึงคืนก่อนตอนที่นางมากระซิบที่ข้างหมอน และกลิ่นหวานเจือเปรี้ยวของผมนางขึ้นมา เจ้าหนุ่มก็เบือนหน้าไปทางหนึ่งทันที มาตาฮาจิอยู่ตรงนั้นพอดี กำลังไปหยิบไหเหล้าสาเกจากชั้นเอามากรอกใส่กระปุกเตรียมดื่ม ทำราวกับว่าบ้านนี้เป็นบ้านของตัวเอง คืนนี้เป็นค่ำคืนแห่งการลาจาก เพื่อนคงจะตั้งใจดื่มส่งท้ายให้เต็มคราบ ส่วนแม่ม่ายโอโคก็ผัดแป้งแต่งหน้าประณีตกว่าเคย
“เรามาดื่มกันให้เกลี้ยงบ้านไปเลย เหลือเอาไว้ทำไมให้เปล่าประโยชน์”
ไหเหล้าเกลี้ยงกลิ้งไปแล้วสามไห
แม่ม่ายโอโคเอนพิงมาตาฮาจิ ทาเกโซเบือนหน้าเป็นเชิงว่าไม่อยากมอง
“ข้า...เดินไม่ไหวแล้วเจ้า”
แม่ม่ายอ้อนมาตาฮาจิเสียงหวาน ขอเกาะไหล่เจ้าหนุ่มพยุงตัวเข้าไปถึงที่นอน และหันมาทำกระชดกระช้อยกับทาเกโซ
“ทาเกโซนอนตรงนั้นก็แล้วกัน---ชอบนอนคนเดียวไม่ใช่รึ”
ทาเกโซล้มตัวลงนอนอย่างว่าง่าย แล้วก็ผล็อยหลับไปเพราะความเมามายทั้งยังดึกแล้วด้วย มารู้สึกตัวตื่นในวันรุ่งขึ้นเมื่อสายมากแล้ว
---พอตื่นขึ้นมา ทาเกโซก็รู้สึกทันทีว่าบ้านทั้งบ้านว่างเปล่า
หีบห่อสัมภาระที่อาเกมิกับแม่ม่ายเก็บเตรียมเอาไว้หายไป เสื้อผ้าและรองเท้าก็ไม่มีเหลือ ที่สำคัญคือนอกจากจะไม่เห็นสองแม่ลูกแล้ว มาตาฮาจิก็หายไปด้วย
“มาตาฮาจิ...วู้”
หลังบ้านก็ไม่มีที่กระท่อมก็ไม่อยู่ เรือนใหญ่ว่างเปล่า มีแต่หวีสีแดงแสนสวยที่แม่ม่ายใช้เสียบผมเพียงอันเดียว ตกอยู่ข้างธรณีประตูห้องน้ำที่เปิดอยู่
“...ไอ้เพื่อนบ้า...เอ๊ะ”
ทาเกโซทรุดตัวลงหยิบหวีสับขึ้นดม กลิ่นที่ติดอยู่ทำให้นึกถึงคืนวานซืนเมื่อถูกแม่ม่ายโอโคเข้ามายั่วยวนถึงเนื้อถึงตัว เจ้าหนุ่มขนลุกเกรียวขึ้นมาอีกครั้งด้วยความสยอง อนิจจา...หวีสับเล่มนี้เองที่ทำให้มาตาฮาจิพ่ายแพ้ พอคิดขึ้นมาความว้าเหว่อ้างว้างก็ซ่านขึ้นมาอัดอั้นอยู่ในอกอย่างบอกไม่ถูก
“มาตาฮาจิ เอ็งบ้าไปแล้ว ไม่ได้คิดถึงโอซือเลยหรือไงวะ”
ทาเกโซฟาดหวีสับเล่มนั้นลงกับพื้นสุดแรง โกรธมาตาฮาจิเหลือเกินแล้ว แต่ก็ยังไม่เท่าความสงสารโอซือที่เฝ้าคอยอยู่ที่บ้านจนอยากร้องไห้แทน---
ม้าป่าตัวเมื่อวานเห็นทาเกโซนั่งหน้าสลดอยู่ที่ห้องครัวจึงยื่นหน้าเข้ามาจากทางชายคา แต่เมื่อเจ้าหนุ่มไม่ลูบจมูกมันเช่นเคยก็เลยหันไปสนใจกับเศษข้าวสุกที่อ่างล้างจาน แล้วแลบเลียกินจนเกลี้ยง