นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วงบทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ภูเขา ภูเขา แล้วก็ภูเขา ไม่มีคำใดที่จะเหมาะสมกับแว่นแคว้นนี้มากไปกว่าคำนี้อีกแล้ว จากบันชูทัตสึโนะขึ้นไปเป็นทางเดินซากุชูที่ลดเลี้ยวไปตามแนวเทือกเขาสลับซับซ้อน หลักปักแบ่งเขตแดนแคว้นก็อยู่บนหนึ่งในสันเขานั้นเอง นักเดินทางที่เดินผ่านมาทางลาดเขาซูงิซากะและข้ามช่องเขานากายามะนั้น ไม่นานก็จะมาถึงตรงที่มองลงไปเห็นแม่น้ำไอดะไหลผ่านหุบเขา ซึ่งไม่ว่าใครเป็นต้องอุทานออกมาว่า
เอ๊ะ แถวนี้ก็มีบ้านคนด้วยรึ
แล้วก็มีหลายหลังเสียด้วย เหมือนจะเป็นหมู่บ้านแต่ก็ไม่ใช่ เพราะกระจัดกระจายออกไปอยู่แถวริมแม่น้ำบ้าง ที่ช่องเขา และที่ไร่นาก็มี ก่อนเกิดศึกที่เซกิงาฮาระเมื่อปีที่แล้ว เหนือขึ้นไปทางต้นแม่น้ำสายนี้ราวยี่สิบห้าเส้นมีปราสาทหลังเล็กอันเป็นที่ตั้งมั่นของตระกูลชินเม็นแห่งอิงะ และเหนือขึ้นไปเป็นเหมืองเงินชิโดซากะที่อยู่ติดชายแดนเชื่อมต่อกับแคว้นอินชู แม้จนทุกวันนี้ก็ยังมีพวกนักแสวงโชคดั้นด้นขึ้นไปขุดเงิน
---นักเดินทางต่างถิ่นไม่ว่าจะมาจากทดโทริไปยังฮิเมจิ หรือจากทาจิมะข้ามเขาไปยังบิเซ็น จะต้องผ่านชุมชนในหุบเขาแห่งนี้ และถึงจะอยู่ลึกเข้าไปในเทือกเขาอันสลับซับซ้อน แต่ก็มีทั้งโรงเตี๊ยม และร้านขายเสื้อผ้า ยามค่ำคืนจะมีผู้หญิงบริการผัดหน้าขาวราวนางแมงมุมชักใยอยู่ใต้ชายคาคอยต้อนรับ
ที่นี่คือหมู่บ้านมิยาโมโตะ
โอซือยืนอยู่บนระเบียงวัดชิปโปจิที่มองลงมาเห็นหลังคาบ้านเรือนที่หลังคาทับไว้ด้วยก้อนหินกันลมพายุพัดกระเจิง
“เฮ้อ อีกไม่นานก็จะครบปีแล้ว”
สาวน้อยคิดพลางเหม่อมองหมู่เมฆ
การที่โอซือเป็นลูกกำพร้าและเติบโตขึ้นในวัด อาจเป็นเหตุที่ทำให้สาวพรหมจรรย์ผู้นี้มีความเยือกเย็นและยิ้มยาก ราวกับผงเถ้าในโถอบธูปหอม
โอซืออ่อนกว่ามาตาฮาจิคู่หมั้นที่อายุครบสิบหกเมื่อปีที่แล้ว หนึ่งปี
มาตาฮาจิตัดสินใจออกจากหมู่บ้านไปสนามรบกับทาเกโซเพื่อนคู่หูตั้งแต่ฤดูร้อนปีที่แล้ว จนสิ้นปีก็ไม่มีใครได้ข่าวคราว
โอซือเฝ้าคอยอยู่ คิดว่าพอขึ้นปีใหม่หรือขึ้นเดือนสองคงจะได้ข่าวบ้างแต่ก็คอยหาย สาวน้อยจึงคิดว่าจะเลิกคอยเสียทีเพราะนี่ก็ถึงฤดูใบไม้ผลิย่างเข้าเดือนสี่แล้ว
“ทางบ้านของทาเกโซก็เงียบ ไม่ได้ข่าวอะไรเลย...คงจะตายเสียแล้วทั้งสองคน”
พอโอซือไประบายความห่วงกังวลกับคนใกล้ตัว ใคร ๆ ก็บอกนางว่า...คงจะตายทั้งคู่นั่นแหละ โอซือ...มันก็น่าที่จะให้พวกเขาคิดเช่นนั้น เพราะคนในตระกูลชินเม็นเองก็ไม่มีใครรอดกลับมาเลยสักคนเดียว หลังจากที่สงครามสิ้นสุดลงเห็นมีแต่นักรบแปลกหน้าจากกองทัพฝ่ายโทกุงาวะเท่านั้น ที่พากันเข้าไปในปราสาทของตระกูล
“ทำไมพวกผู้ชายถึงอยากไปรบกันนัก ห้ามเท่าไรก็ไม่ฟัง”
โอซือคิดพลางทรุดตัวลงนั่งบนชานระเบียง สาวน้อยชอบนั่งคิดอะไรเงียบ ๆ อยู่คนเดียว และจะอยู่เช่นนี้ได้นาน ๆ บางทีถึงครึ่งวัน วันนี้ก็เช่นกัน
“โอซือ โอซือ”
เสียงใครคนหนึ่งร้องเรียกดังมาจากทางโรงครัว
โอซือมองไปก็เห็นชายผิวดำคล้ำราวรูปพระโพธิสัตว์เก่าแก่ที่โดนควันรม ขนหน้าอกเป็นแผง เดินเปลือยกายมาจากบ่อน้ำทั้งตัวมีผ้าเตี่ยวผืนเดียว พระหนุ่มนิกายเซ็นอายุราวสามสิบผู้นี้เดินทางจากอุนซุยแคว้นทาจิมะมาพักอยู่ที่วัดนี้ได้สามหรือสี่ปีแล้ว
“---ฤดูใบไม้ผลิ สดชื่นจัง”
พระหนุ่มพูดอยู่คนเดียวด้วยท่าทางเป็นสุข
“ฤดูใบไม้ผลิก็ดีอยู่หรอก แต่ไอ้พวกเห็บเหานี่ซีมันพยายามจะครองโลกเหมือนกับท่านฟูจิวาระ-โนะ-มิจินางะ อาตมาก็เลยต้องถอดจีวรออกซัก...แต่ไม่รู้ว่าจะตากจีวรขาด ๆ ที่ไหนดี จะตากที่ต้นชาก็ยาก จะตากที่ต้นท้อมันก็กำลังออกดอก อาตมาเป็นคนมีรสนิยมก็เลยลำบากหน่อย นี่แน่ะ โอซือ เจ้ามีไม้ตากผ้าบ้างไหม”
โอซือหน้าแดงเรื่อ
“ตายจริง หลวงพี่ทากูอัน เปลือยกายอย่างนี้แล้วจะทำยังไงระหว่างตากจีวรให้แห้ง”
“ก็จำวัดน่ะซี”
“หลวงพี่นี่เหลือทนจริง ๆ”
“เสียดาย นี่ถ้าเป็นพรุ่งนี้ก็จะเหมาะมาก วันที่แปดเดือนสี่ วันประสูติของพระพุทธเจ้า อาตมาจะได้ไปยืนให้เขาสรงน้ำด้วยน้ำชาหวาน”
ว่าแล้วพระทากูอันก็ยืนชิดเท้าตรง ทำหน้าเคร่งขรึม ชี้มือข้างหนึ่งขึ้นไปบนสวรรค์และชี้อีกข้างหนึ่งลงพื้นดิน เหมือนพระพุทธรูปปางประสูติที่นำออกมาทำพิธีสรงน้ำพระ
2
“เบื้องบนคือสวรรค์ เบื้องล่างคือพื้นพิภพ เราเป็นเลิศที่สุดในโลก ประเสริฐที่สุดในโลก”
พระทากูอันทำท่าเลียนแบบพระพุทธรูปปางประสูติ ด้วยท่าทางเอาจริงเอาจังมาก โอซือหัวเราะอย่างขบขัน
“เข้าทีมากเลยหลวงพี่ทากูอัน”
“เหมือนมากใช่ไหม โอซือคงไม่รู้ละซีว่า อาตมาคือเจ้าชายสิทธัตถกลับชาติมาเกิด”
“รอเดี๋ยว ฉันจะไปเอาน้ำชาหวานมาสรงหลวงพี่ตั้งแต่ศีรษะลงมาเลยทีเดียว”
“ไม่ต้อง ๆ อย่าดีกว่า”
ผึ้งจากไหนจากไหนไม่รู้บินเข้ามาจะต่อยศีรษะพระทากูอัน พระพุทธรูปจำลองยกมือทั้งสองข้างโบกไล่ผึ้งเป็นพัลวัน แต่พอเห็นพระทำท่าจะถอดผ้าเตี่ยวออก ผึ้งก็พากันบินหนีไป
โอซือหัวเราะงอหายกลิ้งอยู่บนระเบียงนั้นเอง
“โอ๊ย ปวดท้อง”
สาวน้อยหัวเราะไม่หยุด
ระหว่างที่มาพักอยู่ที่วัดนี้ พระหนุ่มนิกายเซ็นชื่อชูโฮ ทากูอัน เกิดที่แคว้นทาจิมะผู้นี้ มีเรื่องให้โอซือที่ปกติเป็นคนยิ้มยาก ได้หัวเราะทุกวัน
“เพิ่งจะขึ้นนึกได้ ฉันจะมัวมานั่งเล่นอยู่อย่างนี้ไม่ได้แล้วละหลวงพี่”
โอซือยื่นเท้าขาวผ่องไปที่รองเท้าแตะฟาง
“อ้าว โอซือจะไปไหน”
“พรุ่งนี้วันที่แปดเดือนสี่ใช่ไหม ลืมสนิทเลยว่าหลวงพ่อเจ้าอาวาสสั่งให้เตรียมจัดพิธีสรงน้ำพระ ฉันต้องไปเก็บดอกไม้มาประดับปะรำพระพุทธรูปอย่างที่ทำเป็นประจำทุกปี คืนนี้ต้องเตรียมน้ำชาหวานสำหรับสรงพระด้วย”
“โอซือจะไปเก็บดอกไม้รึ ไปที่ไหนถึงจะมีดอกไม้”
“ฉันจะลงไปที่ทุ่งหญ้าชายน้ำ”
“อาตมาไปเป็นเพื่อนไหม”
“ไม่ต้องเลย”
“ดอกไม้ประดับปะรำสรงน้ำพระนี่คนเดียวเก็บไม่ไหวหรอก อาตมาจะไปช่วยเก็บ”
“ไปทั้ง ๆ ที่เปลือยกายอย่างนี้น่ะรึ อุจาดตา”
“คนเราเกิดมาตัวล่อนจ้อนกันทั้งนั้น ใครจะว่ายังไงอาตมาไม่สนใจ”
“ไม่เอานะ อย่าตามมา”
โอซือวิ่งหนีไปทางหลังวัด หยิบกระบุงขึ้นสะพายหลังมือหนึ่งถือเคียวลอบออกไปทางประตูหลังวัด โอซือนึกว่าหนีพ้นแล้วแต่ที่ไหนได้พระทากูอันไม่รู้ไปหาผ้าผืนใหญ่เหมือนผ้าห่อที่นอนมาจากไหน เอามาห่มแทนจีวรเดินตามมาข้างหลัง
“ตายจริง...”
“อย่างนี้เจ้าคงไม่ว่า”
“ชาวบ้านจะได้หัวเราะกันใหญ่ละซี”
“หัวเราะอะไร”
“เอาเถอะน่า เดินห่าง ๆ ฉันก็แล้วกัน”
“อย่างเลย เห็นเจ้าชอบเดินเคียงคู่กับผู้ชายออกจะตาย”
“ไม่รู้ละ ฉันไม่พูดกับหลวงพี่แล้ว”
โอซือวิ่งหนีไปข้างหน้า พระทากูอันหัวเราะชอบใจแล้วเดินตามไปติด ๆ ชายจีวรปลิวตามลมดูเผิน ๆ ราวเจ้าชายสิทธัตถเสด็จลงมาจากภูเขาหิมาลัย
“โกรธรึโอซือ อย่าโกรธไปเลยแม่สาวน้อย ทำหน้าบูดบึ้งอย่างนั้นเดี๋ยวคู่รักเขาจะเกลียดเอานะ”
เดินจากหมู่บ้านลงไปตามลำน้ำไอดะราวสิบกว่าเส้น ก็ถึงทุ่งหญ้าริมแม่น้ำที่ดอกไม้นานาชนิดกำลังบานแข่งกันงดงาม โอซือวางกระบุงที่สะพายหลังมาลงกับพื้น แล้วเริ่มใช้ปลายเคียวตัดดอกไม้ที่โคนก้านท่ามกลางฝูงผีเสื้อที่บินว่อน
“สงบสุขอะไรเช่นนี้”
พระทากูอันยืนอยู่ข้าง ๆ รำพึงรำพันด้วยความรู้สึกของชายหนุ่ม---และนักปฏิบัติธรรม ไม่มีทีท่าว่าจะเข้าช่วยโอซือที่กำลังตั้งอกตั้งใจตัดดอกไม้ใส่กระบุง
“...โอซือ ตัวตนของเจ้า ณ เวลานี้คือความสงบสุขที่แท้จริง มนุษย์เราสามารถมีชีวิตอย่างสุขสงบราวอยู่บนวิมานที่ดารดาษไปด้วยดอกไม้ด้วยกันทั้งนั้น แต่ทำไมถึงได้ชอบที่จะร้องไห้ ทุกข์ทรมาน ชอบที่จะตกจมลงไปในวังวนของกิเลศ ตัณหา ชอบที่จะเข่นฆ่ากัน ทรมานตนเองอยู่ในไฟนรก อาตมาไม่อยากให้ โอซือเป็นเช่นนั้น”
ภูเขา ภูเขา แล้วก็ภูเขา ไม่มีคำใดที่จะเหมาะสมกับแว่นแคว้นนี้มากไปกว่าคำนี้อีกแล้ว จากบันชูทัตสึโนะขึ้นไปเป็นทางเดินซากุชูที่ลดเลี้ยวไปตามแนวเทือกเขาสลับซับซ้อน หลักปักแบ่งเขตแดนแคว้นก็อยู่บนหนึ่งในสันเขานั้นเอง นักเดินทางที่เดินผ่านมาทางลาดเขาซูงิซากะและข้ามช่องเขานากายามะนั้น ไม่นานก็จะมาถึงตรงที่มองลงไปเห็นแม่น้ำไอดะไหลผ่านหุบเขา ซึ่งไม่ว่าใครเป็นต้องอุทานออกมาว่า
เอ๊ะ แถวนี้ก็มีบ้านคนด้วยรึ
แล้วก็มีหลายหลังเสียด้วย เหมือนจะเป็นหมู่บ้านแต่ก็ไม่ใช่ เพราะกระจัดกระจายออกไปอยู่แถวริมแม่น้ำบ้าง ที่ช่องเขา และที่ไร่นาก็มี ก่อนเกิดศึกที่เซกิงาฮาระเมื่อปีที่แล้ว เหนือขึ้นไปทางต้นแม่น้ำสายนี้ราวยี่สิบห้าเส้นมีปราสาทหลังเล็กอันเป็นที่ตั้งมั่นของตระกูลชินเม็นแห่งอิงะ และเหนือขึ้นไปเป็นเหมืองเงินชิโดซากะที่อยู่ติดชายแดนเชื่อมต่อกับแคว้นอินชู แม้จนทุกวันนี้ก็ยังมีพวกนักแสวงโชคดั้นด้นขึ้นไปขุดเงิน
---นักเดินทางต่างถิ่นไม่ว่าจะมาจากทดโทริไปยังฮิเมจิ หรือจากทาจิมะข้ามเขาไปยังบิเซ็น จะต้องผ่านชุมชนในหุบเขาแห่งนี้ และถึงจะอยู่ลึกเข้าไปในเทือกเขาอันสลับซับซ้อน แต่ก็มีทั้งโรงเตี๊ยม และร้านขายเสื้อผ้า ยามค่ำคืนจะมีผู้หญิงบริการผัดหน้าขาวราวนางแมงมุมชักใยอยู่ใต้ชายคาคอยต้อนรับ
ที่นี่คือหมู่บ้านมิยาโมโตะ
โอซือยืนอยู่บนระเบียงวัดชิปโปจิที่มองลงมาเห็นหลังคาบ้านเรือนที่หลังคาทับไว้ด้วยก้อนหินกันลมพายุพัดกระเจิง
“เฮ้อ อีกไม่นานก็จะครบปีแล้ว”
สาวน้อยคิดพลางเหม่อมองหมู่เมฆ
การที่โอซือเป็นลูกกำพร้าและเติบโตขึ้นในวัด อาจเป็นเหตุที่ทำให้สาวพรหมจรรย์ผู้นี้มีความเยือกเย็นและยิ้มยาก ราวกับผงเถ้าในโถอบธูปหอม
โอซืออ่อนกว่ามาตาฮาจิคู่หมั้นที่อายุครบสิบหกเมื่อปีที่แล้ว หนึ่งปี
มาตาฮาจิตัดสินใจออกจากหมู่บ้านไปสนามรบกับทาเกโซเพื่อนคู่หูตั้งแต่ฤดูร้อนปีที่แล้ว จนสิ้นปีก็ไม่มีใครได้ข่าวคราว
โอซือเฝ้าคอยอยู่ คิดว่าพอขึ้นปีใหม่หรือขึ้นเดือนสองคงจะได้ข่าวบ้างแต่ก็คอยหาย สาวน้อยจึงคิดว่าจะเลิกคอยเสียทีเพราะนี่ก็ถึงฤดูใบไม้ผลิย่างเข้าเดือนสี่แล้ว
“ทางบ้านของทาเกโซก็เงียบ ไม่ได้ข่าวอะไรเลย...คงจะตายเสียแล้วทั้งสองคน”
พอโอซือไประบายความห่วงกังวลกับคนใกล้ตัว ใคร ๆ ก็บอกนางว่า...คงจะตายทั้งคู่นั่นแหละ โอซือ...มันก็น่าที่จะให้พวกเขาคิดเช่นนั้น เพราะคนในตระกูลชินเม็นเองก็ไม่มีใครรอดกลับมาเลยสักคนเดียว หลังจากที่สงครามสิ้นสุดลงเห็นมีแต่นักรบแปลกหน้าจากกองทัพฝ่ายโทกุงาวะเท่านั้น ที่พากันเข้าไปในปราสาทของตระกูล
“ทำไมพวกผู้ชายถึงอยากไปรบกันนัก ห้ามเท่าไรก็ไม่ฟัง”
โอซือคิดพลางทรุดตัวลงนั่งบนชานระเบียง สาวน้อยชอบนั่งคิดอะไรเงียบ ๆ อยู่คนเดียว และจะอยู่เช่นนี้ได้นาน ๆ บางทีถึงครึ่งวัน วันนี้ก็เช่นกัน
“โอซือ โอซือ”
เสียงใครคนหนึ่งร้องเรียกดังมาจากทางโรงครัว
โอซือมองไปก็เห็นชายผิวดำคล้ำราวรูปพระโพธิสัตว์เก่าแก่ที่โดนควันรม ขนหน้าอกเป็นแผง เดินเปลือยกายมาจากบ่อน้ำทั้งตัวมีผ้าเตี่ยวผืนเดียว พระหนุ่มนิกายเซ็นอายุราวสามสิบผู้นี้เดินทางจากอุนซุยแคว้นทาจิมะมาพักอยู่ที่วัดนี้ได้สามหรือสี่ปีแล้ว
“---ฤดูใบไม้ผลิ สดชื่นจัง”
พระหนุ่มพูดอยู่คนเดียวด้วยท่าทางเป็นสุข
“ฤดูใบไม้ผลิก็ดีอยู่หรอก แต่ไอ้พวกเห็บเหานี่ซีมันพยายามจะครองโลกเหมือนกับท่านฟูจิวาระ-โนะ-มิจินางะ อาตมาก็เลยต้องถอดจีวรออกซัก...แต่ไม่รู้ว่าจะตากจีวรขาด ๆ ที่ไหนดี จะตากที่ต้นชาก็ยาก จะตากที่ต้นท้อมันก็กำลังออกดอก อาตมาเป็นคนมีรสนิยมก็เลยลำบากหน่อย นี่แน่ะ โอซือ เจ้ามีไม้ตากผ้าบ้างไหม”
โอซือหน้าแดงเรื่อ
“ตายจริง หลวงพี่ทากูอัน เปลือยกายอย่างนี้แล้วจะทำยังไงระหว่างตากจีวรให้แห้ง”
“ก็จำวัดน่ะซี”
“หลวงพี่นี่เหลือทนจริง ๆ”
“เสียดาย นี่ถ้าเป็นพรุ่งนี้ก็จะเหมาะมาก วันที่แปดเดือนสี่ วันประสูติของพระพุทธเจ้า อาตมาจะได้ไปยืนให้เขาสรงน้ำด้วยน้ำชาหวาน”
ว่าแล้วพระทากูอันก็ยืนชิดเท้าตรง ทำหน้าเคร่งขรึม ชี้มือข้างหนึ่งขึ้นไปบนสวรรค์และชี้อีกข้างหนึ่งลงพื้นดิน เหมือนพระพุทธรูปปางประสูติที่นำออกมาทำพิธีสรงน้ำพระ
2
“เบื้องบนคือสวรรค์ เบื้องล่างคือพื้นพิภพ เราเป็นเลิศที่สุดในโลก ประเสริฐที่สุดในโลก”
พระทากูอันทำท่าเลียนแบบพระพุทธรูปปางประสูติ ด้วยท่าทางเอาจริงเอาจังมาก โอซือหัวเราะอย่างขบขัน
“เข้าทีมากเลยหลวงพี่ทากูอัน”
“เหมือนมากใช่ไหม โอซือคงไม่รู้ละซีว่า อาตมาคือเจ้าชายสิทธัตถกลับชาติมาเกิด”
“รอเดี๋ยว ฉันจะไปเอาน้ำชาหวานมาสรงหลวงพี่ตั้งแต่ศีรษะลงมาเลยทีเดียว”
“ไม่ต้อง ๆ อย่าดีกว่า”
ผึ้งจากไหนจากไหนไม่รู้บินเข้ามาจะต่อยศีรษะพระทากูอัน พระพุทธรูปจำลองยกมือทั้งสองข้างโบกไล่ผึ้งเป็นพัลวัน แต่พอเห็นพระทำท่าจะถอดผ้าเตี่ยวออก ผึ้งก็พากันบินหนีไป
โอซือหัวเราะงอหายกลิ้งอยู่บนระเบียงนั้นเอง
“โอ๊ย ปวดท้อง”
สาวน้อยหัวเราะไม่หยุด
ระหว่างที่มาพักอยู่ที่วัดนี้ พระหนุ่มนิกายเซ็นชื่อชูโฮ ทากูอัน เกิดที่แคว้นทาจิมะผู้นี้ มีเรื่องให้โอซือที่ปกติเป็นคนยิ้มยาก ได้หัวเราะทุกวัน
“เพิ่งจะขึ้นนึกได้ ฉันจะมัวมานั่งเล่นอยู่อย่างนี้ไม่ได้แล้วละหลวงพี่”
โอซือยื่นเท้าขาวผ่องไปที่รองเท้าแตะฟาง
“อ้าว โอซือจะไปไหน”
“พรุ่งนี้วันที่แปดเดือนสี่ใช่ไหม ลืมสนิทเลยว่าหลวงพ่อเจ้าอาวาสสั่งให้เตรียมจัดพิธีสรงน้ำพระ ฉันต้องไปเก็บดอกไม้มาประดับปะรำพระพุทธรูปอย่างที่ทำเป็นประจำทุกปี คืนนี้ต้องเตรียมน้ำชาหวานสำหรับสรงพระด้วย”
“โอซือจะไปเก็บดอกไม้รึ ไปที่ไหนถึงจะมีดอกไม้”
“ฉันจะลงไปที่ทุ่งหญ้าชายน้ำ”
“อาตมาไปเป็นเพื่อนไหม”
“ไม่ต้องเลย”
“ดอกไม้ประดับปะรำสรงน้ำพระนี่คนเดียวเก็บไม่ไหวหรอก อาตมาจะไปช่วยเก็บ”
“ไปทั้ง ๆ ที่เปลือยกายอย่างนี้น่ะรึ อุจาดตา”
“คนเราเกิดมาตัวล่อนจ้อนกันทั้งนั้น ใครจะว่ายังไงอาตมาไม่สนใจ”
“ไม่เอานะ อย่าตามมา”
โอซือวิ่งหนีไปทางหลังวัด หยิบกระบุงขึ้นสะพายหลังมือหนึ่งถือเคียวลอบออกไปทางประตูหลังวัด โอซือนึกว่าหนีพ้นแล้วแต่ที่ไหนได้พระทากูอันไม่รู้ไปหาผ้าผืนใหญ่เหมือนผ้าห่อที่นอนมาจากไหน เอามาห่มแทนจีวรเดินตามมาข้างหลัง
“ตายจริง...”
“อย่างนี้เจ้าคงไม่ว่า”
“ชาวบ้านจะได้หัวเราะกันใหญ่ละซี”
“หัวเราะอะไร”
“เอาเถอะน่า เดินห่าง ๆ ฉันก็แล้วกัน”
“อย่างเลย เห็นเจ้าชอบเดินเคียงคู่กับผู้ชายออกจะตาย”
“ไม่รู้ละ ฉันไม่พูดกับหลวงพี่แล้ว”
โอซือวิ่งหนีไปข้างหน้า พระทากูอันหัวเราะชอบใจแล้วเดินตามไปติด ๆ ชายจีวรปลิวตามลมดูเผิน ๆ ราวเจ้าชายสิทธัตถเสด็จลงมาจากภูเขาหิมาลัย
“โกรธรึโอซือ อย่าโกรธไปเลยแม่สาวน้อย ทำหน้าบูดบึ้งอย่างนั้นเดี๋ยวคู่รักเขาจะเกลียดเอานะ”
เดินจากหมู่บ้านลงไปตามลำน้ำไอดะราวสิบกว่าเส้น ก็ถึงทุ่งหญ้าริมแม่น้ำที่ดอกไม้นานาชนิดกำลังบานแข่งกันงดงาม โอซือวางกระบุงที่สะพายหลังมาลงกับพื้น แล้วเริ่มใช้ปลายเคียวตัดดอกไม้ที่โคนก้านท่ามกลางฝูงผีเสื้อที่บินว่อน
“สงบสุขอะไรเช่นนี้”
พระทากูอันยืนอยู่ข้าง ๆ รำพึงรำพันด้วยความรู้สึกของชายหนุ่ม---และนักปฏิบัติธรรม ไม่มีทีท่าว่าจะเข้าช่วยโอซือที่กำลังตั้งอกตั้งใจตัดดอกไม้ใส่กระบุง
“...โอซือ ตัวตนของเจ้า ณ เวลานี้คือความสงบสุขที่แท้จริง มนุษย์เราสามารถมีชีวิตอย่างสุขสงบราวอยู่บนวิมานที่ดารดาษไปด้วยดอกไม้ด้วยกันทั้งนั้น แต่ทำไมถึงได้ชอบที่จะร้องไห้ ทุกข์ทรมาน ชอบที่จะตกจมลงไปในวังวนของกิเลศ ตัณหา ชอบที่จะเข่นฆ่ากัน ทรมานตนเองอยู่ในไฟนรก อาตมาไม่อยากให้ โอซือเป็นเช่นนั้น”