นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
พื้นดินชุ่มชื้นด้วยไออุ่นจากต้นไม้ใบหญ้าที่อ่อนละมุนราวลมหายใจของสาวแรกรุ่น หยาดเหงื่อบนใบหน้าของเจ้าหนุ่มเป็นประกายวิบวับเมื่อต้องแสงแห่งตะวันยามเที่ยงในฤดูใบไม้ผลิอันเงียบสงบ
ทาเกโซเดินดุ่มไปข้างหน้าคนเดียวในป่าที่ไม่มีใครสักคนหรืออะไรสักตัวออกมาแสดงตน ดวงตาโตดำเข้มคมทั้งคู่เหลือบซ้ายแลขวาสอดส่ายไม่อยู่สุข มือกำดาบไม้สีดำคู่มือไว้มั่นใช้แทนไม้ยันยามก้าวเดินพยุงตัว แม้จะเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียเป็นที่สุดแต่ดวงตายังไหววาบ จ้องจับทุกความเคลื่อนไหวได้ฉับพลันไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นแค่นกตัวจ้อย สัญชาตญาณและความดุร้ายเยี่ยงสัตว์ป่ายังขึงขังอยู่ทั่วตัวที่มอมแมมไปด้วยดินโคลนและหยาดน้ำค้าง
“สัตว์นรก...”
ทาเกโซสบถเสียงกร้าวราวคำราม
“โธ่โว้ย !”
ทาเกโซตวัดดาบไม้ในมือระบายอารมณ์แค้นเข้าใส่กิ่งไม้กิ่งใหญ่สุดแรงจนหักสะบั้น
ยางไม้ขาวขุ่นไหลออกมาจากบาดแผลบนลำต้น เจ้าหนุ่มเลือดเดือดจ้องมองนิ่งอยู่...หรือว่าจะคิดถึงหยาดน้ำนมของมารดา บ้านเกิดเมืองนอนที่ไม่มีแม่อยู่เป็นขวัญเรือน มันช่างเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวนักไม่ว่าจะไปที่ภูเขาหรือว่าแม่น้ำ
“คนในหมู่บ้านทำไมถึงเห็นข้าเป็นศัตรูเยี่ยงนั้น---ซุบซิบกันว่าถ้าเห็นหน้าข้าเมื่อไรจะไปแจ้งด่านตรวจคนเดินทางบนภูเขาให้มาจับทันที บางคนแค่เห็นเงาข้าก็พากันวิ่งหนีราวกับเจอกับหมาป่า”
ทาเกโซซ่อนตัวอยู่ในภูเขาซานุโมะนี้มาได้สี่วันแล้ว มองผ่านสายหมอกยามเที่ยงวันลงไปเห็นเรือนหลังใหญ่ของตระกูลที่พี่สาวอาศัยอยู่คนเดียวตามลำพัง และหลังคาวัดชิปโปจิที่ซ่อนตัวอยู่ในหมู่ไม้ตรงเชิงเขาแค่นี้เอง---
ใกล้แค่เอื้อมแต่ก็ไม่อาจเข้าไปใกล้ได้ทั้งสองแห่ง เมื่อวันสรงน้ำพระทาเกโซแฝงตัวเข้าไปดูหน้าโอซือ แต่โอซือเรียกชื่อตนเสียงดังเข้าไปในกลุ่มคน จึงต้องรีบหนีออกมาจากวัดโดยเร็ว เพราะถ้าใครเห็นเข้าตนจะต้องถูกจับทั้งยังจะทำให้โอซือ พลอยตกที่นั่งลำบากไปด้วย
คืนวันเดียวกันนั้น ทาเกโซลอบเข้าไปที่เรือนหวังว่าจะได้พบกับโอกินพี่สาว แต่โชคร้ายที่พอดีแม่ของมาตาฮาจิมาถามไถ่ข่าวคราวของลูกชายอยู่ที่นั่น เจ้าหนุ่มไม่กล้าเข้าไปในเรือนเพราะไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี หากถูกแม่เฒ่าถามว่าทำไมกลับมาคนเดียวและมาตาฮาจิหายไปไหน ขณะที่แอบอยู่นอกบ้านและกำลังลอบมองพี่สาวผ่านรอยแยกของบานประตูนั้นเอง ซามูไรจากปราสาทฮิเมจิที่มีล้อมบ้านคอยจับตนอยู่ก็มาพบเข้า เจ้าหนุ่มจึงต้องหนีออกมาจากเรือนของพี่สาวทั้ง ๆ ที่ไม่ได้พูดจากันแม้แต่คำเดียว
ตั้งแต่นั้นมา ทาเกโซมองลงไปจากภูเขาซานุโมะลูกนี้เห็นซามูไรจากปราสาทฮิเมจิเดินหาตนกันให้ควั่กไปรอบหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านก็ร่วมมือร่วมแรงด้วยพากันขึ้นไปตามล่าตนบนเขาลูกนั้นลูกนี้ไม่เว้นแต่ละวัน
“แล้วอย่างนี้ โอซือจะคิดยังไงกับข้ามั่งก็ไม่รู้”
ทาเกโซเริ่มแคลงใจแม้แต่โอซือ ว่าใคร ๆ ในหมู่บ้านอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของตนตั้งตัวเป็นศัตรู และพยายามตีวงล้อมทั้งสี่ด้านเพื่อต้อนตนให้จนมุม
“ทำไมเจ้ามาตาฮาจิถึงไม่กลับมากับข้าอย่างนั้นรึ...ฮึ...มันง่ายนักหรอกที่จะบอกให้โอซือรู้ความจริงทั้งอย่างนั้น”
ทาเกโซคิดอยู่ไม่นานก็ได้คำตอบ
“รู้แล้ว...ข้าไปบอกความจริงกับแม่ของมาตาฮาจิดีกว่า และพอหมดหน้าที่นี้แล้วข้าก็ไม่ขออยู่หมู่บ้านนี้อีกต่อไป”
เจ้าหนุ่มตัดใจได้แล้วจึงออกเดินต่อไป แต่มาฉุกคิดได้ว่าจะลงไปที่หมู่บ้านตอนกลางวันแสก ๆ อย่างนี้คงไม่ได้ คิดได้ดังนั้นจึงฉวยก้อนหินขึ้นมาปาไปที่นกเคราะห์ร้ายตัวหนึ่งที่เผอิญบินผ่านหน้า พอมันร่วงผล็อยลงมาก็เข้าไปเก็บขึ้นมาถอนขนแล้วเดินแทะเนื้อดิบ ๆ ที่ยังอุ่นอยู่กินอย่างสบายใจ
“เฮ้ย”
ทาเกโซประสานงากับใครคนหนึ่งเข้าเต็มรัก และพอใครคนนั้นเห็นว่าตนเดินไปชนเข้ากับใครเข้า ก็ออกวิ่งหน้าตั้งหนีเข้าไปในแมกไม้ ทาเกโซเดือดดาลขึ้นมาทันทีที่ถูกรังเกียจอย่างไร้เหตุผล และกระโจนตามด้วยพลังแรงและเร็วราวกับเสือดาว
2
เจ้าคนเผาถ่านที่ขึ้นลงภูเขาลูกนี้ คนคุ้นหน้ากันดีนั่นเอง มาตาฮาจิกระชากคอเสื้อมันกลับมาแล้วตะคอกใส่หน้าว่า
“หนีทำไม ลืมแล้วรึว่าข้าคือชินเม็น ทาเกโซแห่งหมู่บ้านมิยาโมโตะ อวดดียังไงถึงไม่ทักทายปราศรัย พอเห็นหน้าก็วิ่งแจ้น ราวกับข้าเป็นตัวอะไรที่คอยจับคนกิน”
“แฮะ ๆ”
“นั่งลง”
พอปล่อยมือเจ้าคนเผาถ่านก็ทำท่าจะหนีอีก ทาเกโซจึงเตะมันเข้าที่สีข้างและแกล้งทำท่าจะหวดด้วยดาบไม้
“อย่า”
เจ้าคนเผาถ่านเอามือกุมหัวร้องลั่น แล้วก็เลยทรุดลงกองอยู่ตรงนั้นด้วยความกลัวเกรงไม่กล้าขัดขืนอีก
“อย่าทำข้าเลย”
ทาเกโซไม่เข้าใจว่าตนไปทำอะไรให้ คนในหมู่บ้านถึงได้กลัวขนาดนี้
“ข้าจะถามและเอ็งต้องตอบข้าความตามตรง”
“ข้าจะตอบทุกอย่าง ขอแต่อย่าเอาชีวิตข้าเลย”
“ใครบอกล่ะว่าจะฆ่าเอ็ง ตอบมาเสียดี ๆ ว่าที่เชิงเขานี่มีพวกซามูไรนักล่าอยู่ใช่ไหม”
“ใช่”
“ล้อมวัดชิปโปจิอยู่ด้วยใช่ไหม”
“ก็เห็นล้อมอยู่”
“พวกชาวบ้าน วันนี้ก็ขึ้นมาตามล่าข้าบนภูเขาด้วยใช่ไหม”
“... ... ...”
“เอ็ง...ไอ้ตัวดี เอ็งต้องเป็นหนึ่งในพวกนั้นแน่”
เจ้าคนเผาถ่านทะลึ่งตัวลุกขึ้นยืน สั่นหัวร้องไม่เป็นภาษาเหมือนคนใบ้ แล้วตั้งท่าจะวิ่งหนีอีกดีที่ทาเกโซฉวยคอเสื้อไว้ได้ทัน
“คุณพี่ของข้าเป็นไงมั่ง”
“คุณพี่บ้านไหน ?”
“คุณพี่ของข้า---โอกินแห่งตระกูลชินเม็นยังไงล่ะ ข้าไม่โกรธพวกชาวบ้านนักหรอกที่ออกตามล่าตัวข้า เพราะคงจะถูกนักรบซามูไรพวกนั้นบีบบังคับ แต่อย่าให้รู้ก็แล้วกันว่ามีใครบังอาจทำร้ายคุณพี่ของข้า ข้าไม่เอามันไว้แน่”
“ข้าไม่รู้ ไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
“ไอ้นี่ ถ้าจะวอนเสียแล้ว”
ทาเกโซแกว่งดาบไม้ด้วยท่าทีเอาจริง
“เอ็งทำท่าน่าสงสัยมาก ต้องรู้อะไรแน่ บอกมาเสียดี ๆ ไม่งั้นหัวแบะแน่”
“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยว อย่าทำข้าเลย”
เจ้าคนเผาถ่านยกมือไหว้ปลก ๆ แล้วคายความจริงออกมาจนหมดว่า โอกินถูกนักรบซามูไรพวกนั้นจับตัวไป แล้วเอาประกาศไปติดไว้ให้เห็นกันทั่วหมู่บ้านว่า ใครก็ตามที่ให้อาหารให้ที่หลับนอนแก่ทาเกโซจะต้องถูกลงโทษทุกคน พร้อมทั้งเกณฑ์ชายหนุ่มบ้านละคนวันเว้นวันออกไปตามล่าทาเกโซบนภูเขาโดยมีซามูไรจากปราสาทฮิเมจิเป็นคนนำขบวน
ทาเกโซเลือดพล่านไปทั้งตัวด้วยความโกรธสุดขีด
“จริงรึ”
ทาเกโซคาดคั้นเอากับเจ้าคนเผาถ่าน
“คุณพี่ของข้าทำผิดอะไร”
เจ้าหนุ่มน้ำตาคลอทั้ง ๆ ที่ตาทั้งคู่ยังวาวโรจน์
“พวกเราชาวบ้านไม่รู้เรื่องรู้ราว ทำอะไรไปก็เพราะความกลัวเจ้าผู้ครองแคว้น”
“พวกนั้นจับคุณพี่ของข้าไปไหน---ไปที่คุกไหน”
“ได้ยินชาวบ้านลือกันว่าไปที่ด่านฮินางุจิ”
“ฮินางุจิ...”
ดวงตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้ายเขม้นมองนิ่งนานไปที่แนวเขาซึ่งกั้นแบ่งอาณาเขตของแว่นแคว้น เมฆสีเทายามเย็นที่เริ่มก่อตัวเป็นหย่อม ๆ บนฟากฟ้ากำลังฉายเงาลงจับสันเขา
“ข้าจะต้องชิงตัวคุณพี่กลับมาให้ได้”
ทาเกโซกระซิบบอกตัวเองเสียงกร้าว ยืดตัวผงาดขึ้นแล้วเดินอาด ๆ บุกเดี่ยวลงไปทางธารน้ำ
3
ทาเกโซมาถึงวัดชิปโปจิเมื่อสิ้นเสียงย่ำระฆังบอกเวลาทำวัตรเย็น เจ้าอาวาสเพิ่งกลับวัดหลังออกเดินทางธุดงค์เมื่อวานหรือไม่ก็วันนี้
ด้านนอกมืดสนิทแทบไม่เห็นปลายจมูกตัวเอง แต่ภายในบริเวณวัดมีแสงวอมแวมของดวงไฟลอดออกมาตามกุฏิ แสง แดง ๆ ของเตาไฟจากเรือนครัว แสงจากตะเกียงเทียนในห้องเจ้าอาวาสฉายให้เห็นเงาจาง ๆ เคลื่อนไหวอยู่
“โอซือ ออกมาก็จะดีหรอก”
ทาเกโซหมอบนิ่งอยู่ใต้ชานระเบียงทางเดินที่เชื่อมระหว่างตัวโบสถ์กับห้องเจ้าอาวาส กลิ่นอุ่น ๆ ของอาหารต้มปรุงมื้อเย็นโชยมาชวนให้เจ้าหนุ่มวาดภาพข้าวสวยและน้ำแกงร้อน ๆ มีไอขึ้นเป็นสายอยู่ในใจ กระเพาะที่ไม่ได้อาหารอะไรเป็นชิ้นเป็นอันนอกจากนกดิบบ้างผักหญ้าตามภูเขาบ้างเริ่มปวดมวน น้ำย่อยถูกดันขึ้นมาจุกอยู่ที่ยอดอก
ทาเกโซอาเจียนออกมา เสียงคงจะดังพอดูเพราะมีเสียงคนในห้องเจ้าอาวาสถามขึ้น
“เอ๊ะ อะไร”
“แมวละมังเจ้าคะ”
โอซือตอบพลาง เก็บถ้วยชามใส่ถาดแล้วเดินผ่านระเบียงที่ทาเกโซซ่อนตัวอยู่ไปทางด้านโน้น
---โอซือ จริง ๆ ด้วย
ทาเกโซขยับปากจะร้องเรียกแต่ไม่มีแรง ซึ่งก็นับว่าเป็นโชคดีเพราะมีคนเดินตามนางมาติด ๆ ถามว่า
“ห้องอาบน้ำอยู่ทางไหนรึ”
ชายคนนั้นใส่เสื้อผ้าที่คงยืมของวัดคาดเอวด้วยผ้าแถบผืนแคบ ๆ มีผ้าถูตัวคล้องคอ ทาเกโซแหงนหน้าขึ้นไปมองก็จำหน้าได้ว่าเป็นนักรบจากปราสาทฮิเมจิ
เจ้านี่เองที่เป็นเจ้าใหญ่นายโตวัน ๆ ไม่ทำอะไร ได้แต่บัญชาให้บริวารและชาวบ้านออกตามหาล่าตัวทาเกโซบนภูเขาทั้งวันทั้งคืน พอตกค่ำก็เข้ามาพักในวัดได้รับการเลี้ยงดูอิ่มหนำสำราญทั้งอาหารและสุรา
“ห้องอาบน้ำหรือเจ้าคะ”
โอซือวางของในมือลงบนพื้นระเบียงแล้วบอกว่า
“ทางนี้เจ้าค่ะ”
โอซือว่าพลางออกเดินนำไปและพอจะอ้อมไปทางด้านหลัง จู่ ๆ ซามูไรที่มีหนวดหรอมแหรมใต้จมูกก็รวบตัวสาวน้อยจากข้างหลังเข้ามากระชับไว้ในวงแขน
“ว่าไง อาบน้ำด้วยกันไหมจ้ะ”
“ว้าย”
โอซือร้องและผลักใบหน้าที่ก้มลงมาสุดแรง
“เป็นไรไปล่ะแม่คนสวย”
ว่าแล้วก็จดริมฝีปากลงบนแก้มนาง
“หยุดนะ ปล่อย”
โอซือสุดที่จะดิ้นรนทัดทานด้วยแรงอันน้อยนิด ที่ไม่มีเสียงกรีดร้องเพราะคงถูกจูบปิดปาก
---ทาเกโซลืมตัวว่ากำลังอยู่ในอันตราย
“เฮ้ย ไอ้ชั่ว”
เจ้าหนุ่มเลือดร้อนเผ่นขึ้นไปบนระเบียงด้วยความเร็วราวจักรผัน ประเคนกำปั้นเข้าที่ต้นคอซามูไรผู้บังอาจสุดแรงเกิดเสียงดังน่ากลัว ซามูไรเสียหลักล้มครืนลงไปทั้ง ๆ ที่ยังกอดโอซืออยู่ แล้วกลิ้งตกจากระเบียง
โอซือกรีดร้องเสียงแหลม ฝ่ายซามูไรพอหายตกตะลึงก็ตะโกนก้องราวคนเสียสติ
“แก...แกมันทาเกโซ---ทาเกโซจริงด้วย เฮ้ย...มันออกมาแล้ว ทาเกโซออกมาแล้ว”
ทันใดนั้นเองวัดทั้งวัดก็สะเทือนเรือนลั่นไปด้วยเสียงฝีเท้าและเสียงกู่ตะโกนถามกันเป็นโกลาหล...ใครเห็นทาเกโซบ้าง ทาเกโซหนีไปทางไหน มีคนขึ้นไปตีระฆังเป็นสัญญาณแจ้งข่าวฉุกเฉินและเรียกระดมพลไล่ล่า ก้องกังวานไปทั่วทั้งหมู่บ้าน
ไม่กี่นาทีต่อมานักไล่ล่าตัวทาเกโซก็มารวมตัวกันพร้อมหน้าที่วัดชิปโปจิ
แต่ไม่มีใครรู้ว่า ขณะที่เริ่มแยกย้ายกันขึ้นไปค้นหาบนภูเขาซานุโมะโดยไม่รั้งรอนั้นเอง ทาเกโซได้ไปยืนเรียกแม่เฒ่าโอซุงิอยู่หน้าประตูเรือนของตระกูลฮนอิเด็นที่มีแสงไฟวอมแวมอยู่แล้ว
“ป้า ป้า”
...ไม่รู้ว่าวิ่งไปยังไงและวิ่งมาทางไหนเหมือนกัน
4
“ใครน่ะ”
โอซุงิร้องถามพร้อมกับถือคบไฟเดินออกมาจากห้องด้านใน และพอเห็นว่าผู้มาเยือนคือใคร ใบหน้ายับย่นที่ถูกแสงไฟส่องย้อนขึ้นมาจากใต้คางก็ซีดเผือดลงทันใด
“แก...แก”
“ป้า ข้าขอบอกป้าคำเดียวเลยนะว่า มาตาฮาจิไม่ได้ตายในสนามรบ แต่ตามผู้หญิงคนหนึ่งไปอยู่ที่แคว้นอื่น แล้วป้าช่วยบอกโอซือด้วย”
พูดจบเจ้าหนุ่มก็ถอนใจยืดยาวบอกว่า“เท่านี้ก็สิ้นเรื่อง” แล้วเดินถือดาบไม้กลับไปทางประตูรั้ว
“ทาเกโซ”
แม่เฒ่าเรียกเอาไว้
“แล้วนี่เจ้าจะไปไหน”
“ข้าน่ะรึ”
เจ้าหนุ่มหยุดนิดหนึ่ง ก่อนพูดด้วยเสียงเศร้าสร้อยว่า
“ข้าจะไปทะลายด่านฮินางุจิชิงตัวคุณพี่กลับคืนมา และจากนั้นก็จะหนีไปอยู่แคว้นอื่น คงจะไม่ได้พบกับป้าอีกแล้ว...ที่มาที่นี่วันนี้ก็แค่มาบอกให้ทุกคนที่บ้านนี้และโอซือรู้ไว้ว่า ข้าไม่ได้พามาตาฮาจิไปตายในสงครามแล้วเอาตัวรอดกลับมาคนเดียว ข้าหมดเยื่อใยกับหมู่บ้านนี้แล้ว ลาก่อน”
“อย่างนี้นี่เอง...”
แม่เฒ่าเปลี่ยนมือที่ถือคบไฟ แล้วกวักมือเรียก
“เจ้าคงจะหิว”
“ข้าไม่ได้กินข้าวมาหลายวันเต็มที”
“น่าเวทนา...งั้นข้าขอเลี้ยงส่งเจ้าก็แล้วกัน ของต้มปรุงร้อน ๆ กำลังจะได้ที่พอดี ไปอาบน้ำอาบท่าเสียก่อน ข้าจะได้เตรียมอาหารการกินไว้ให้พร้อม”
“... ... ...”
“ทาเกโซ บ้านเจ้ากับบ้านข้าเป็นตระกูลเก่าสืบเชื้อสายมาตั้งแต่สมัยท่านอากามัตสึด้วยกันทั้งคู่ เมื่อจะจากกันก็อาลัย ทำอย่างที่ข้าบอกเถิด”
“... ... ...”
เจ้าหนุ่มยกท่อนแขนขึ้นเช็ดน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาด้วยความตื้นตันใจ เมื่อได้สัมผัสกับความอบอุ่นอ่อนโยนของมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อและน้ำใจ หลังจากที่ประสาททุกส่วนตึงเครียดกับการต้องระแวงระวังภัยมาตลอด
“เร็วเถิด รีบอ้อมไปหลังบ้านเดี๋ยวใครผ่านมาจะเห็นเข้า เดี๋ยวข้าจะเอาผ้าถูตัวไปให้ และระหว่างที่เจ้าอาบน้ำข้าจะเตรียมเสื้อผ้าของมาตาฮาจิเอาไว้ให้เปลี่ยน แล้วก็จะเตรียมอาหารไว้ด้วย แช่น้ำอุ่น ๆ ให้สบายเถิดนะเจ้า”
แม่เฒ่าส่งคบไฟให้แล้วเข้าไปหลบอยู่ในบ้าน และทันทีนั้นลูกสาวที่แยกครัวไปอยู่บ้านข้างกันก็วิ่งผ่านสวนออกไป
ประตูห้องอาบน้ำส่งเสียงดังเอียดอาด ปนกับเสียงตักน้ำอาบ เปลวไฟไหววูบวาบ
แม่เฒ่าร้องถามออกมาจากเรือนใหญ่
“น้ำในถังแช่ ร้อนพอรึยัง”
“กำลังดีเลยป้า สบายจังเหมือนเกิดใหม่ไม่มีผิด”
“แช่นาน ๆ เถิดตัวนะจะได้อุ่นสบาย ข้าวยังไม่สุกเลย”
“ขอบใจนะป้า รู้งี้มาเสียนานแล้ว ข้านึกว่าป้าคงโกรธเกลียดข้ามากเลยไม่กล้ามา”
เจ้าหนุ่มพูดด้วยเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความสุข จากนั้นก็พูดแทรกเสียงตักรดตัวออกไปอีกสองสามคำแต่ไม่มีคำตอบจากแม่เฒ่า
ไม่นาน ลูกสาวแม่เฒ่าก็วิ่งกลับมายืนหอบที่หน้าประตูรั้ว---มีนักรบซามูไรและชาวบ้านนักไล่ล่าบนภูเขาตามหลังมาด้วยเกือบยี่สิบคน
แม่เฒ่าออกไปรับหน้าแล้วกระซิบกระซาบอะไรสักอย่างกับคนกลุ่มนั้น
“อะไรนะ ล่อเอาเข้าไปไว้ในห้องอาบน้ำงั้นรึ เยี่ยมมาก...คืนนี้ต้องไม่รอดมือแน่”
ว่าแล้วก็แยกกันออกเป็นสองกลุ่มคืบคลานเข้าไปใกล้ห้องอาบน้ำราวกับหนอนตัวโต
ไฟในช่องใส่ฟืนต้มน้ำกำลังคุแดงจัดอยู่ในความมืด
5
อะไรเหรอ...อะไรวะ อยู่ ๆ สัมผัสที่หกของทาเกโซก็ตื่นตัวขึ้นมา
และทันทีที่มองลอดช่องว่างระหว่างประตูที่งับกันเข้ามาไม่สนิท ก็ต้องเย็นวาบจนขนลุกไปทั้งตัว และตะโกนออกมาว่า
“เฮ้ย หลอกกันนี่หว่า”
กว่าจะรู้สึกตัวก็สายเกินไปมากแล้ว
ทาเกโซอยู่ในสภาพเปลือยกายล่อนจ้อนแช่อยู่ในถังแคบ ๆ เฉพาะตัว กระดิกกระเดี้ยไปไหนไม่ได้ ส่วนด้านนอกบานประตูไม้ เงาคนถืออาวุธครบมือมีทั้งไม้กระบอง หอก และตะบองเหล็กของผู้รักษากฎหมายกลุ่มใหญ่กำลังดาหน้ากันเข้ามา จริง ๆ แล้วน่าจะไม่เกินสิบสี่สิบห้าคน แต่ทาเกโซมองเห็นเป็นไม่รู้ว่ากี่เท่า
ไม่มีทางหนี...เสื้อผ้าจะใส่ก็ไม่มีสักชิ้น แต่คนอย่างทาเกโซไม่มีวันคอยจนรู้สึกกลัว ความเคียดแค้นแทบใจสลายที่ถูกแม่เฒ่าหลอกเอาอย่างโหดร้าย ปลดปล่อยวิญญาณสัตว์ป่าในตัวเจ้าหนุ่มให้เผ่นโผนออกมาด้วยพลังมหาศาล
กล้าดีก็เข้ามาเลย จะได้รู้กัน
เมื่อจะเล่นกันอย่างนี้ก็เอาเลย...ทาเกโซไม่คิดที่จะป้องกันตัวเองใด ๆ ทั้งสิ้น ในสถานการณ์เช่นนี้ทำได้อย่างเดียวคือบุกทะลวงออกไปจากวงล้อมของศัตรู
ระหว่างที่ฝ่ายรุกกำลังสาระวนอยู่กับจัดแบ่งกำลังให้คนนั้นไปทางโน้นคนโน้นมาทางนี้ ทาเกโซก็ถีบประตูห้องอาบน้ำกระเด็นไปทางหนึ่งแผดเสียงกึกก้อง “อะไรกันวะ” พร้อมกับเผ่นออกไปยืนจังก้าตัวเปลือยเปล่า ผมที่สยายออกสะยังยุ่งเหยิงและเปียกชื้น
ทาเกโซกัดฟังดังกรอด เบี่ยงตัวหลบปลายหอกที่ศัตรูพุ่งเข้ามาหมายแทงทะลุหน้าอก เอี้ยวกลับมาคว้าด้ามหอกแย่งเอามาเป็นของตนแล้วสะบัดเจ้าของหอกกระเด็นไปทางหนึ่ง
“เข้ามาซิวะ”
ทาเกโซควงหอกเป็นวงรอบตัวซึ่งเป็นวิธีต่อสู้ที่ได้ผลเมื่อถูกรุม คือไม่ว่าศัตรูจะเข้ามาทางซ้ายทางขวาล่างหรือบนเป็นถูก ตีกระเจิงออกไป ศิลปะการต่อสู้ด้วยหอกแบบใช้ด้ามแทนคมมีดนี้ เป็นวิชาที่ทาเกโซเรียนรู้มาจากสงครามที่เซกิงาฮาระ
บ้าบัดซบ ซามูไรฝ่ายจู่โจมหันหน้าด่ากันโทษกันด้วยขัดเคืองที่มัวแต่เชื่องช้าไม่ทันการทั้งที่เป็นต่ออยู่หลายเท่า น่าจะมีใครสักสามสี่คนบุกเข้าไปในห้องอาบน้ำก่อนที่เหยื่อจะทันรู้ตัว
หอกเล่มนั้นถูกฟาดลงดินราวสิบครั้งก็หัก คราวนี้ทาเกโซตรงรี่เข้าไปที่ถังผักดองที่วางอยู่ใต้ชายคา ยกหินก้อนใหญ่ที่ใช้ทับฝาถังขึ้นทุ่มเข้าไปในกลุ่มซามูไรไล่ล่าเพื่อถ่วงเวลาเอาไว้
“เฮ้ย เผ่นเข้าไปในเรือนใหญ่แล้ว”
พอได้ยินเสียงคนข้างนอกตะโกนบอกกันเสียงขรม แม่เฒ่าโอซุงิกับลูกสาวก็รีบพากันหนีลงไปในสวนทั้งเท้าเปล่า
ทาเกโซเดินกระทืบเท้าเข้ามาในบ้านราวกับเทพแห่งสายฟ้าที่กำลังพิโรธจนเรือนสะเทือน
“เสื้อผ้าของข้าอยู่ที่ไหน เอาคืนมาเดี๋ยวนี้”
เสื้อผ้าสำหรับคนทำงานในไร่วางกองอยู่ตรงนั้นและถ้าเปิดตู้เสื้อผ้าก็คงพบเสื้อผ้าดี ๆ แต่ทาเกโซไม่สนใจ เจ้าหนุ่มกวาดสายตาหาไปทั่วจนพบเสื้อผ้าของตนซุกอยู่ตรงมุมห้องครัวจึงคว้าขึ้นมาถือไว้ แล้วปีนเตาหุงข้าวออกไปทางหน้าต่างที่เปิดขึ้นไปบนหลังเรือนใหญ่ ข้างล่างพวกซามูไรไล่ล่ายังถกเถียงกันขรมโทษกันไปเกี่ยงกันมาจนสับสนไปหมด ทาเกโซคลานไปจนถึงกลางหลังคาแล้วลุกขึ้นแต่งตัวตามสบาย ใช้ฟันฉีกแบ่งผ้าคาดเอวออกมาแถบหนึ่ง รวบผมที่กระเซอะกระเซิงและยังเปียกชื้นเข้ามารวมกัน แล้วใช้แถบผ้านั้นมัดเสียแน่นเขม็งติดโคนผมจนดึงเอาหางตาและปลายคิ้วตึงตามไปด้วย
ท้องฟ้ายามฤดูใบไม้ผลิคืนนั้นพร่างพราวไปด้วยดวงดาว
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
พื้นดินชุ่มชื้นด้วยไออุ่นจากต้นไม้ใบหญ้าที่อ่อนละมุนราวลมหายใจของสาวแรกรุ่น หยาดเหงื่อบนใบหน้าของเจ้าหนุ่มเป็นประกายวิบวับเมื่อต้องแสงแห่งตะวันยามเที่ยงในฤดูใบไม้ผลิอันเงียบสงบ
ทาเกโซเดินดุ่มไปข้างหน้าคนเดียวในป่าที่ไม่มีใครสักคนหรืออะไรสักตัวออกมาแสดงตน ดวงตาโตดำเข้มคมทั้งคู่เหลือบซ้ายแลขวาสอดส่ายไม่อยู่สุข มือกำดาบไม้สีดำคู่มือไว้มั่นใช้แทนไม้ยันยามก้าวเดินพยุงตัว แม้จะเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียเป็นที่สุดแต่ดวงตายังไหววาบ จ้องจับทุกความเคลื่อนไหวได้ฉับพลันไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นแค่นกตัวจ้อย สัญชาตญาณและความดุร้ายเยี่ยงสัตว์ป่ายังขึงขังอยู่ทั่วตัวที่มอมแมมไปด้วยดินโคลนและหยาดน้ำค้าง
“สัตว์นรก...”
ทาเกโซสบถเสียงกร้าวราวคำราม
“โธ่โว้ย !”
ทาเกโซตวัดดาบไม้ในมือระบายอารมณ์แค้นเข้าใส่กิ่งไม้กิ่งใหญ่สุดแรงจนหักสะบั้น
ยางไม้ขาวขุ่นไหลออกมาจากบาดแผลบนลำต้น เจ้าหนุ่มเลือดเดือดจ้องมองนิ่งอยู่...หรือว่าจะคิดถึงหยาดน้ำนมของมารดา บ้านเกิดเมืองนอนที่ไม่มีแม่อยู่เป็นขวัญเรือน มันช่างเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวนักไม่ว่าจะไปที่ภูเขาหรือว่าแม่น้ำ
“คนในหมู่บ้านทำไมถึงเห็นข้าเป็นศัตรูเยี่ยงนั้น---ซุบซิบกันว่าถ้าเห็นหน้าข้าเมื่อไรจะไปแจ้งด่านตรวจคนเดินทางบนภูเขาให้มาจับทันที บางคนแค่เห็นเงาข้าก็พากันวิ่งหนีราวกับเจอกับหมาป่า”
ทาเกโซซ่อนตัวอยู่ในภูเขาซานุโมะนี้มาได้สี่วันแล้ว มองผ่านสายหมอกยามเที่ยงวันลงไปเห็นเรือนหลังใหญ่ของตระกูลที่พี่สาวอาศัยอยู่คนเดียวตามลำพัง และหลังคาวัดชิปโปจิที่ซ่อนตัวอยู่ในหมู่ไม้ตรงเชิงเขาแค่นี้เอง---
ใกล้แค่เอื้อมแต่ก็ไม่อาจเข้าไปใกล้ได้ทั้งสองแห่ง เมื่อวันสรงน้ำพระทาเกโซแฝงตัวเข้าไปดูหน้าโอซือ แต่โอซือเรียกชื่อตนเสียงดังเข้าไปในกลุ่มคน จึงต้องรีบหนีออกมาจากวัดโดยเร็ว เพราะถ้าใครเห็นเข้าตนจะต้องถูกจับทั้งยังจะทำให้โอซือ พลอยตกที่นั่งลำบากไปด้วย
คืนวันเดียวกันนั้น ทาเกโซลอบเข้าไปที่เรือนหวังว่าจะได้พบกับโอกินพี่สาว แต่โชคร้ายที่พอดีแม่ของมาตาฮาจิมาถามไถ่ข่าวคราวของลูกชายอยู่ที่นั่น เจ้าหนุ่มไม่กล้าเข้าไปในเรือนเพราะไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี หากถูกแม่เฒ่าถามว่าทำไมกลับมาคนเดียวและมาตาฮาจิหายไปไหน ขณะที่แอบอยู่นอกบ้านและกำลังลอบมองพี่สาวผ่านรอยแยกของบานประตูนั้นเอง ซามูไรจากปราสาทฮิเมจิที่มีล้อมบ้านคอยจับตนอยู่ก็มาพบเข้า เจ้าหนุ่มจึงต้องหนีออกมาจากเรือนของพี่สาวทั้ง ๆ ที่ไม่ได้พูดจากันแม้แต่คำเดียว
ตั้งแต่นั้นมา ทาเกโซมองลงไปจากภูเขาซานุโมะลูกนี้เห็นซามูไรจากปราสาทฮิเมจิเดินหาตนกันให้ควั่กไปรอบหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านก็ร่วมมือร่วมแรงด้วยพากันขึ้นไปตามล่าตนบนเขาลูกนั้นลูกนี้ไม่เว้นแต่ละวัน
“แล้วอย่างนี้ โอซือจะคิดยังไงกับข้ามั่งก็ไม่รู้”
ทาเกโซเริ่มแคลงใจแม้แต่โอซือ ว่าใคร ๆ ในหมู่บ้านอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของตนตั้งตัวเป็นศัตรู และพยายามตีวงล้อมทั้งสี่ด้านเพื่อต้อนตนให้จนมุม
“ทำไมเจ้ามาตาฮาจิถึงไม่กลับมากับข้าอย่างนั้นรึ...ฮึ...มันง่ายนักหรอกที่จะบอกให้โอซือรู้ความจริงทั้งอย่างนั้น”
ทาเกโซคิดอยู่ไม่นานก็ได้คำตอบ
“รู้แล้ว...ข้าไปบอกความจริงกับแม่ของมาตาฮาจิดีกว่า และพอหมดหน้าที่นี้แล้วข้าก็ไม่ขออยู่หมู่บ้านนี้อีกต่อไป”
เจ้าหนุ่มตัดใจได้แล้วจึงออกเดินต่อไป แต่มาฉุกคิดได้ว่าจะลงไปที่หมู่บ้านตอนกลางวันแสก ๆ อย่างนี้คงไม่ได้ คิดได้ดังนั้นจึงฉวยก้อนหินขึ้นมาปาไปที่นกเคราะห์ร้ายตัวหนึ่งที่เผอิญบินผ่านหน้า พอมันร่วงผล็อยลงมาก็เข้าไปเก็บขึ้นมาถอนขนแล้วเดินแทะเนื้อดิบ ๆ ที่ยังอุ่นอยู่กินอย่างสบายใจ
“เฮ้ย”
ทาเกโซประสานงากับใครคนหนึ่งเข้าเต็มรัก และพอใครคนนั้นเห็นว่าตนเดินไปชนเข้ากับใครเข้า ก็ออกวิ่งหน้าตั้งหนีเข้าไปในแมกไม้ ทาเกโซเดือดดาลขึ้นมาทันทีที่ถูกรังเกียจอย่างไร้เหตุผล และกระโจนตามด้วยพลังแรงและเร็วราวกับเสือดาว
2
เจ้าคนเผาถ่านที่ขึ้นลงภูเขาลูกนี้ คนคุ้นหน้ากันดีนั่นเอง มาตาฮาจิกระชากคอเสื้อมันกลับมาแล้วตะคอกใส่หน้าว่า
“หนีทำไม ลืมแล้วรึว่าข้าคือชินเม็น ทาเกโซแห่งหมู่บ้านมิยาโมโตะ อวดดียังไงถึงไม่ทักทายปราศรัย พอเห็นหน้าก็วิ่งแจ้น ราวกับข้าเป็นตัวอะไรที่คอยจับคนกิน”
“แฮะ ๆ”
“นั่งลง”
พอปล่อยมือเจ้าคนเผาถ่านก็ทำท่าจะหนีอีก ทาเกโซจึงเตะมันเข้าที่สีข้างและแกล้งทำท่าจะหวดด้วยดาบไม้
“อย่า”
เจ้าคนเผาถ่านเอามือกุมหัวร้องลั่น แล้วก็เลยทรุดลงกองอยู่ตรงนั้นด้วยความกลัวเกรงไม่กล้าขัดขืนอีก
“อย่าทำข้าเลย”
ทาเกโซไม่เข้าใจว่าตนไปทำอะไรให้ คนในหมู่บ้านถึงได้กลัวขนาดนี้
“ข้าจะถามและเอ็งต้องตอบข้าความตามตรง”
“ข้าจะตอบทุกอย่าง ขอแต่อย่าเอาชีวิตข้าเลย”
“ใครบอกล่ะว่าจะฆ่าเอ็ง ตอบมาเสียดี ๆ ว่าที่เชิงเขานี่มีพวกซามูไรนักล่าอยู่ใช่ไหม”
“ใช่”
“ล้อมวัดชิปโปจิอยู่ด้วยใช่ไหม”
“ก็เห็นล้อมอยู่”
“พวกชาวบ้าน วันนี้ก็ขึ้นมาตามล่าข้าบนภูเขาด้วยใช่ไหม”
“... ... ...”
“เอ็ง...ไอ้ตัวดี เอ็งต้องเป็นหนึ่งในพวกนั้นแน่”
เจ้าคนเผาถ่านทะลึ่งตัวลุกขึ้นยืน สั่นหัวร้องไม่เป็นภาษาเหมือนคนใบ้ แล้วตั้งท่าจะวิ่งหนีอีกดีที่ทาเกโซฉวยคอเสื้อไว้ได้ทัน
“คุณพี่ของข้าเป็นไงมั่ง”
“คุณพี่บ้านไหน ?”
“คุณพี่ของข้า---โอกินแห่งตระกูลชินเม็นยังไงล่ะ ข้าไม่โกรธพวกชาวบ้านนักหรอกที่ออกตามล่าตัวข้า เพราะคงจะถูกนักรบซามูไรพวกนั้นบีบบังคับ แต่อย่าให้รู้ก็แล้วกันว่ามีใครบังอาจทำร้ายคุณพี่ของข้า ข้าไม่เอามันไว้แน่”
“ข้าไม่รู้ ไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
“ไอ้นี่ ถ้าจะวอนเสียแล้ว”
ทาเกโซแกว่งดาบไม้ด้วยท่าทีเอาจริง
“เอ็งทำท่าน่าสงสัยมาก ต้องรู้อะไรแน่ บอกมาเสียดี ๆ ไม่งั้นหัวแบะแน่”
“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยว อย่าทำข้าเลย”
เจ้าคนเผาถ่านยกมือไหว้ปลก ๆ แล้วคายความจริงออกมาจนหมดว่า โอกินถูกนักรบซามูไรพวกนั้นจับตัวไป แล้วเอาประกาศไปติดไว้ให้เห็นกันทั่วหมู่บ้านว่า ใครก็ตามที่ให้อาหารให้ที่หลับนอนแก่ทาเกโซจะต้องถูกลงโทษทุกคน พร้อมทั้งเกณฑ์ชายหนุ่มบ้านละคนวันเว้นวันออกไปตามล่าทาเกโซบนภูเขาโดยมีซามูไรจากปราสาทฮิเมจิเป็นคนนำขบวน
ทาเกโซเลือดพล่านไปทั้งตัวด้วยความโกรธสุดขีด
“จริงรึ”
ทาเกโซคาดคั้นเอากับเจ้าคนเผาถ่าน
“คุณพี่ของข้าทำผิดอะไร”
เจ้าหนุ่มน้ำตาคลอทั้ง ๆ ที่ตาทั้งคู่ยังวาวโรจน์
“พวกเราชาวบ้านไม่รู้เรื่องรู้ราว ทำอะไรไปก็เพราะความกลัวเจ้าผู้ครองแคว้น”
“พวกนั้นจับคุณพี่ของข้าไปไหน---ไปที่คุกไหน”
“ได้ยินชาวบ้านลือกันว่าไปที่ด่านฮินางุจิ”
“ฮินางุจิ...”
ดวงตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้ายเขม้นมองนิ่งนานไปที่แนวเขาซึ่งกั้นแบ่งอาณาเขตของแว่นแคว้น เมฆสีเทายามเย็นที่เริ่มก่อตัวเป็นหย่อม ๆ บนฟากฟ้ากำลังฉายเงาลงจับสันเขา
“ข้าจะต้องชิงตัวคุณพี่กลับมาให้ได้”
ทาเกโซกระซิบบอกตัวเองเสียงกร้าว ยืดตัวผงาดขึ้นแล้วเดินอาด ๆ บุกเดี่ยวลงไปทางธารน้ำ
3
ทาเกโซมาถึงวัดชิปโปจิเมื่อสิ้นเสียงย่ำระฆังบอกเวลาทำวัตรเย็น เจ้าอาวาสเพิ่งกลับวัดหลังออกเดินทางธุดงค์เมื่อวานหรือไม่ก็วันนี้
ด้านนอกมืดสนิทแทบไม่เห็นปลายจมูกตัวเอง แต่ภายในบริเวณวัดมีแสงวอมแวมของดวงไฟลอดออกมาตามกุฏิ แสง แดง ๆ ของเตาไฟจากเรือนครัว แสงจากตะเกียงเทียนในห้องเจ้าอาวาสฉายให้เห็นเงาจาง ๆ เคลื่อนไหวอยู่
“โอซือ ออกมาก็จะดีหรอก”
ทาเกโซหมอบนิ่งอยู่ใต้ชานระเบียงทางเดินที่เชื่อมระหว่างตัวโบสถ์กับห้องเจ้าอาวาส กลิ่นอุ่น ๆ ของอาหารต้มปรุงมื้อเย็นโชยมาชวนให้เจ้าหนุ่มวาดภาพข้าวสวยและน้ำแกงร้อน ๆ มีไอขึ้นเป็นสายอยู่ในใจ กระเพาะที่ไม่ได้อาหารอะไรเป็นชิ้นเป็นอันนอกจากนกดิบบ้างผักหญ้าตามภูเขาบ้างเริ่มปวดมวน น้ำย่อยถูกดันขึ้นมาจุกอยู่ที่ยอดอก
ทาเกโซอาเจียนออกมา เสียงคงจะดังพอดูเพราะมีเสียงคนในห้องเจ้าอาวาสถามขึ้น
“เอ๊ะ อะไร”
“แมวละมังเจ้าคะ”
โอซือตอบพลาง เก็บถ้วยชามใส่ถาดแล้วเดินผ่านระเบียงที่ทาเกโซซ่อนตัวอยู่ไปทางด้านโน้น
---โอซือ จริง ๆ ด้วย
ทาเกโซขยับปากจะร้องเรียกแต่ไม่มีแรง ซึ่งก็นับว่าเป็นโชคดีเพราะมีคนเดินตามนางมาติด ๆ ถามว่า
“ห้องอาบน้ำอยู่ทางไหนรึ”
ชายคนนั้นใส่เสื้อผ้าที่คงยืมของวัดคาดเอวด้วยผ้าแถบผืนแคบ ๆ มีผ้าถูตัวคล้องคอ ทาเกโซแหงนหน้าขึ้นไปมองก็จำหน้าได้ว่าเป็นนักรบจากปราสาทฮิเมจิ
เจ้านี่เองที่เป็นเจ้าใหญ่นายโตวัน ๆ ไม่ทำอะไร ได้แต่บัญชาให้บริวารและชาวบ้านออกตามหาล่าตัวทาเกโซบนภูเขาทั้งวันทั้งคืน พอตกค่ำก็เข้ามาพักในวัดได้รับการเลี้ยงดูอิ่มหนำสำราญทั้งอาหารและสุรา
“ห้องอาบน้ำหรือเจ้าคะ”
โอซือวางของในมือลงบนพื้นระเบียงแล้วบอกว่า
“ทางนี้เจ้าค่ะ”
โอซือว่าพลางออกเดินนำไปและพอจะอ้อมไปทางด้านหลัง จู่ ๆ ซามูไรที่มีหนวดหรอมแหรมใต้จมูกก็รวบตัวสาวน้อยจากข้างหลังเข้ามากระชับไว้ในวงแขน
“ว่าไง อาบน้ำด้วยกันไหมจ้ะ”
“ว้าย”
โอซือร้องและผลักใบหน้าที่ก้มลงมาสุดแรง
“เป็นไรไปล่ะแม่คนสวย”
ว่าแล้วก็จดริมฝีปากลงบนแก้มนาง
“หยุดนะ ปล่อย”
โอซือสุดที่จะดิ้นรนทัดทานด้วยแรงอันน้อยนิด ที่ไม่มีเสียงกรีดร้องเพราะคงถูกจูบปิดปาก
---ทาเกโซลืมตัวว่ากำลังอยู่ในอันตราย
“เฮ้ย ไอ้ชั่ว”
เจ้าหนุ่มเลือดร้อนเผ่นขึ้นไปบนระเบียงด้วยความเร็วราวจักรผัน ประเคนกำปั้นเข้าที่ต้นคอซามูไรผู้บังอาจสุดแรงเกิดเสียงดังน่ากลัว ซามูไรเสียหลักล้มครืนลงไปทั้ง ๆ ที่ยังกอดโอซืออยู่ แล้วกลิ้งตกจากระเบียง
โอซือกรีดร้องเสียงแหลม ฝ่ายซามูไรพอหายตกตะลึงก็ตะโกนก้องราวคนเสียสติ
“แก...แกมันทาเกโซ---ทาเกโซจริงด้วย เฮ้ย...มันออกมาแล้ว ทาเกโซออกมาแล้ว”
ทันใดนั้นเองวัดทั้งวัดก็สะเทือนเรือนลั่นไปด้วยเสียงฝีเท้าและเสียงกู่ตะโกนถามกันเป็นโกลาหล...ใครเห็นทาเกโซบ้าง ทาเกโซหนีไปทางไหน มีคนขึ้นไปตีระฆังเป็นสัญญาณแจ้งข่าวฉุกเฉินและเรียกระดมพลไล่ล่า ก้องกังวานไปทั่วทั้งหมู่บ้าน
ไม่กี่นาทีต่อมานักไล่ล่าตัวทาเกโซก็มารวมตัวกันพร้อมหน้าที่วัดชิปโปจิ
แต่ไม่มีใครรู้ว่า ขณะที่เริ่มแยกย้ายกันขึ้นไปค้นหาบนภูเขาซานุโมะโดยไม่รั้งรอนั้นเอง ทาเกโซได้ไปยืนเรียกแม่เฒ่าโอซุงิอยู่หน้าประตูเรือนของตระกูลฮนอิเด็นที่มีแสงไฟวอมแวมอยู่แล้ว
“ป้า ป้า”
...ไม่รู้ว่าวิ่งไปยังไงและวิ่งมาทางไหนเหมือนกัน
4
“ใครน่ะ”
โอซุงิร้องถามพร้อมกับถือคบไฟเดินออกมาจากห้องด้านใน และพอเห็นว่าผู้มาเยือนคือใคร ใบหน้ายับย่นที่ถูกแสงไฟส่องย้อนขึ้นมาจากใต้คางก็ซีดเผือดลงทันใด
“แก...แก”
“ป้า ข้าขอบอกป้าคำเดียวเลยนะว่า มาตาฮาจิไม่ได้ตายในสนามรบ แต่ตามผู้หญิงคนหนึ่งไปอยู่ที่แคว้นอื่น แล้วป้าช่วยบอกโอซือด้วย”
พูดจบเจ้าหนุ่มก็ถอนใจยืดยาวบอกว่า“เท่านี้ก็สิ้นเรื่อง” แล้วเดินถือดาบไม้กลับไปทางประตูรั้ว
“ทาเกโซ”
แม่เฒ่าเรียกเอาไว้
“แล้วนี่เจ้าจะไปไหน”
“ข้าน่ะรึ”
เจ้าหนุ่มหยุดนิดหนึ่ง ก่อนพูดด้วยเสียงเศร้าสร้อยว่า
“ข้าจะไปทะลายด่านฮินางุจิชิงตัวคุณพี่กลับคืนมา และจากนั้นก็จะหนีไปอยู่แคว้นอื่น คงจะไม่ได้พบกับป้าอีกแล้ว...ที่มาที่นี่วันนี้ก็แค่มาบอกให้ทุกคนที่บ้านนี้และโอซือรู้ไว้ว่า ข้าไม่ได้พามาตาฮาจิไปตายในสงครามแล้วเอาตัวรอดกลับมาคนเดียว ข้าหมดเยื่อใยกับหมู่บ้านนี้แล้ว ลาก่อน”
“อย่างนี้นี่เอง...”
แม่เฒ่าเปลี่ยนมือที่ถือคบไฟ แล้วกวักมือเรียก
“เจ้าคงจะหิว”
“ข้าไม่ได้กินข้าวมาหลายวันเต็มที”
“น่าเวทนา...งั้นข้าขอเลี้ยงส่งเจ้าก็แล้วกัน ของต้มปรุงร้อน ๆ กำลังจะได้ที่พอดี ไปอาบน้ำอาบท่าเสียก่อน ข้าจะได้เตรียมอาหารการกินไว้ให้พร้อม”
“... ... ...”
“ทาเกโซ บ้านเจ้ากับบ้านข้าเป็นตระกูลเก่าสืบเชื้อสายมาตั้งแต่สมัยท่านอากามัตสึด้วยกันทั้งคู่ เมื่อจะจากกันก็อาลัย ทำอย่างที่ข้าบอกเถิด”
“... ... ...”
เจ้าหนุ่มยกท่อนแขนขึ้นเช็ดน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาด้วยความตื้นตันใจ เมื่อได้สัมผัสกับความอบอุ่นอ่อนโยนของมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อและน้ำใจ หลังจากที่ประสาททุกส่วนตึงเครียดกับการต้องระแวงระวังภัยมาตลอด
“เร็วเถิด รีบอ้อมไปหลังบ้านเดี๋ยวใครผ่านมาจะเห็นเข้า เดี๋ยวข้าจะเอาผ้าถูตัวไปให้ และระหว่างที่เจ้าอาบน้ำข้าจะเตรียมเสื้อผ้าของมาตาฮาจิเอาไว้ให้เปลี่ยน แล้วก็จะเตรียมอาหารไว้ด้วย แช่น้ำอุ่น ๆ ให้สบายเถิดนะเจ้า”
แม่เฒ่าส่งคบไฟให้แล้วเข้าไปหลบอยู่ในบ้าน และทันทีนั้นลูกสาวที่แยกครัวไปอยู่บ้านข้างกันก็วิ่งผ่านสวนออกไป
ประตูห้องอาบน้ำส่งเสียงดังเอียดอาด ปนกับเสียงตักน้ำอาบ เปลวไฟไหววูบวาบ
แม่เฒ่าร้องถามออกมาจากเรือนใหญ่
“น้ำในถังแช่ ร้อนพอรึยัง”
“กำลังดีเลยป้า สบายจังเหมือนเกิดใหม่ไม่มีผิด”
“แช่นาน ๆ เถิดตัวนะจะได้อุ่นสบาย ข้าวยังไม่สุกเลย”
“ขอบใจนะป้า รู้งี้มาเสียนานแล้ว ข้านึกว่าป้าคงโกรธเกลียดข้ามากเลยไม่กล้ามา”
เจ้าหนุ่มพูดด้วยเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความสุข จากนั้นก็พูดแทรกเสียงตักรดตัวออกไปอีกสองสามคำแต่ไม่มีคำตอบจากแม่เฒ่า
ไม่นาน ลูกสาวแม่เฒ่าก็วิ่งกลับมายืนหอบที่หน้าประตูรั้ว---มีนักรบซามูไรและชาวบ้านนักไล่ล่าบนภูเขาตามหลังมาด้วยเกือบยี่สิบคน
แม่เฒ่าออกไปรับหน้าแล้วกระซิบกระซาบอะไรสักอย่างกับคนกลุ่มนั้น
“อะไรนะ ล่อเอาเข้าไปไว้ในห้องอาบน้ำงั้นรึ เยี่ยมมาก...คืนนี้ต้องไม่รอดมือแน่”
ว่าแล้วก็แยกกันออกเป็นสองกลุ่มคืบคลานเข้าไปใกล้ห้องอาบน้ำราวกับหนอนตัวโต
ไฟในช่องใส่ฟืนต้มน้ำกำลังคุแดงจัดอยู่ในความมืด
5
อะไรเหรอ...อะไรวะ อยู่ ๆ สัมผัสที่หกของทาเกโซก็ตื่นตัวขึ้นมา
และทันทีที่มองลอดช่องว่างระหว่างประตูที่งับกันเข้ามาไม่สนิท ก็ต้องเย็นวาบจนขนลุกไปทั้งตัว และตะโกนออกมาว่า
“เฮ้ย หลอกกันนี่หว่า”
กว่าจะรู้สึกตัวก็สายเกินไปมากแล้ว
ทาเกโซอยู่ในสภาพเปลือยกายล่อนจ้อนแช่อยู่ในถังแคบ ๆ เฉพาะตัว กระดิกกระเดี้ยไปไหนไม่ได้ ส่วนด้านนอกบานประตูไม้ เงาคนถืออาวุธครบมือมีทั้งไม้กระบอง หอก และตะบองเหล็กของผู้รักษากฎหมายกลุ่มใหญ่กำลังดาหน้ากันเข้ามา จริง ๆ แล้วน่าจะไม่เกินสิบสี่สิบห้าคน แต่ทาเกโซมองเห็นเป็นไม่รู้ว่ากี่เท่า
ไม่มีทางหนี...เสื้อผ้าจะใส่ก็ไม่มีสักชิ้น แต่คนอย่างทาเกโซไม่มีวันคอยจนรู้สึกกลัว ความเคียดแค้นแทบใจสลายที่ถูกแม่เฒ่าหลอกเอาอย่างโหดร้าย ปลดปล่อยวิญญาณสัตว์ป่าในตัวเจ้าหนุ่มให้เผ่นโผนออกมาด้วยพลังมหาศาล
กล้าดีก็เข้ามาเลย จะได้รู้กัน
เมื่อจะเล่นกันอย่างนี้ก็เอาเลย...ทาเกโซไม่คิดที่จะป้องกันตัวเองใด ๆ ทั้งสิ้น ในสถานการณ์เช่นนี้ทำได้อย่างเดียวคือบุกทะลวงออกไปจากวงล้อมของศัตรู
ระหว่างที่ฝ่ายรุกกำลังสาระวนอยู่กับจัดแบ่งกำลังให้คนนั้นไปทางโน้นคนโน้นมาทางนี้ ทาเกโซก็ถีบประตูห้องอาบน้ำกระเด็นไปทางหนึ่งแผดเสียงกึกก้อง “อะไรกันวะ” พร้อมกับเผ่นออกไปยืนจังก้าตัวเปลือยเปล่า ผมที่สยายออกสะยังยุ่งเหยิงและเปียกชื้น
ทาเกโซกัดฟังดังกรอด เบี่ยงตัวหลบปลายหอกที่ศัตรูพุ่งเข้ามาหมายแทงทะลุหน้าอก เอี้ยวกลับมาคว้าด้ามหอกแย่งเอามาเป็นของตนแล้วสะบัดเจ้าของหอกกระเด็นไปทางหนึ่ง
“เข้ามาซิวะ”
ทาเกโซควงหอกเป็นวงรอบตัวซึ่งเป็นวิธีต่อสู้ที่ได้ผลเมื่อถูกรุม คือไม่ว่าศัตรูจะเข้ามาทางซ้ายทางขวาล่างหรือบนเป็นถูก ตีกระเจิงออกไป ศิลปะการต่อสู้ด้วยหอกแบบใช้ด้ามแทนคมมีดนี้ เป็นวิชาที่ทาเกโซเรียนรู้มาจากสงครามที่เซกิงาฮาระ
บ้าบัดซบ ซามูไรฝ่ายจู่โจมหันหน้าด่ากันโทษกันด้วยขัดเคืองที่มัวแต่เชื่องช้าไม่ทันการทั้งที่เป็นต่ออยู่หลายเท่า น่าจะมีใครสักสามสี่คนบุกเข้าไปในห้องอาบน้ำก่อนที่เหยื่อจะทันรู้ตัว
หอกเล่มนั้นถูกฟาดลงดินราวสิบครั้งก็หัก คราวนี้ทาเกโซตรงรี่เข้าไปที่ถังผักดองที่วางอยู่ใต้ชายคา ยกหินก้อนใหญ่ที่ใช้ทับฝาถังขึ้นทุ่มเข้าไปในกลุ่มซามูไรไล่ล่าเพื่อถ่วงเวลาเอาไว้
“เฮ้ย เผ่นเข้าไปในเรือนใหญ่แล้ว”
พอได้ยินเสียงคนข้างนอกตะโกนบอกกันเสียงขรม แม่เฒ่าโอซุงิกับลูกสาวก็รีบพากันหนีลงไปในสวนทั้งเท้าเปล่า
ทาเกโซเดินกระทืบเท้าเข้ามาในบ้านราวกับเทพแห่งสายฟ้าที่กำลังพิโรธจนเรือนสะเทือน
“เสื้อผ้าของข้าอยู่ที่ไหน เอาคืนมาเดี๋ยวนี้”
เสื้อผ้าสำหรับคนทำงานในไร่วางกองอยู่ตรงนั้นและถ้าเปิดตู้เสื้อผ้าก็คงพบเสื้อผ้าดี ๆ แต่ทาเกโซไม่สนใจ เจ้าหนุ่มกวาดสายตาหาไปทั่วจนพบเสื้อผ้าของตนซุกอยู่ตรงมุมห้องครัวจึงคว้าขึ้นมาถือไว้ แล้วปีนเตาหุงข้าวออกไปทางหน้าต่างที่เปิดขึ้นไปบนหลังเรือนใหญ่ ข้างล่างพวกซามูไรไล่ล่ายังถกเถียงกันขรมโทษกันไปเกี่ยงกันมาจนสับสนไปหมด ทาเกโซคลานไปจนถึงกลางหลังคาแล้วลุกขึ้นแต่งตัวตามสบาย ใช้ฟันฉีกแบ่งผ้าคาดเอวออกมาแถบหนึ่ง รวบผมที่กระเซอะกระเซิงและยังเปียกชื้นเข้ามารวมกัน แล้วใช้แถบผ้านั้นมัดเสียแน่นเขม็งติดโคนผมจนดึงเอาหางตาและปลายคิ้วตึงตามไปด้วย
ท้องฟ้ายามฤดูใบไม้ผลิคืนนั้นพร่างพราวไปด้วยดวงดาว