นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ความเดิม
“หลวงพี่ทากูอันโอบอ้อมอารีใจดีกับฉันเสมอ ไม่คิดว่าใจจริงจะแข็งกร้าวเกิดคาด”
“กร้าวซิ อาตมามาที่นี่ก็เพราะได้รับมอบอำนาจให้มาทำหน้าที่ลงโทษและให้รางวัลด้วยความถูกต้องเที่ยงธรรม”
“เอ๊ะ อะไร”
โอซือร้องด้วยความตกใจ ลุกขึ้นยืนตัวแข็งอยู่ข้างกองไฟนั้นเอง
“หลวงพี่ได้ยินเสียงเหมือนคนเดินอยู่ในหมู่ไม้ตรงโน้นไหมเจ้าคะ”
4
“อะไร...เสียงฝีเท้ารึ”
พระทากูอันเงี่ยหูฟังแล้วหัวเราะลั่น
“ฮะ ฮะ ฮะ ลิง ไอ้ลิงจ๋อ...โอซือดูนั่น แม่มันอุ้มลูกโหนกิ่งไม้หายไปทางนู้น”
“โธ่เอ๊ย ตกใจหมดเลย” โอซือพึมพำแล้วนั่งลงตามเดิม
ทั้งสองนั่งนิ่งเงียบมองเปลวไฟอยู่นานไม่รู้ว่ากี่โมงยามจนดึกดื่น ไม่มีใครพูดอะไรกับใคร
เมื่อเห็นไฟทำท่าจะมอด พระทากูอันก็หักกิ่งไม้แห้งโยนลงไปให้ไฟปะทุขึ้น
“โอซือคิดอะไรอยู่”
“ฉันน่ะรึ”
โอซือเบนสายตาขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ดารดาษไปด้วยดวงดาว รู้สึกเหมือนหนังตาจะบวมน้อย ๆ เพราะความร้อนจากกองไฟ
“ฉันกำลังคิดว่าโลกของเรานี้ช่างน่าประหลาดแท้ เมื่อนั่งนิ่ง ๆ ดูดวงดาวนับหมื่นนับแสนไม่มีวันนับได้ถ้วนอยู่บนท้องฟ้ายามราตรี...ท้องฟ้าที่โอบอุ้มทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ในความมืดมิด ฉันเห็นดวงดาวนั้นขยับเคลื่อนไปทีละนิด และรู้สึกด้วยว่าตัวฉันเองที่เป็นสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ก็กำลังเคลื่อนไหวไปเหมือนกันด้วยพลังของอะไรสักอย่างที่มองไม่เห็น ชีวิตจึงเปลี่ยนไปทุกโมงยามไม่มีวันหยุด”
“ไม่จริงมั้ง บางครั้งโอซืออาจคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาบ้าง แต่อาตมาคิดว่าโอซือมีเรื่องสำคัญที่จำเป็นต้องคิดจริงจังกว่าเรื่องนี้”
“... ... ...”
“ถ้าโอซือโกรธอาตมาก็ต้องขอโทษด้วย คืออาตมาได้อ่านจดหมายที่ส่งมาถึงเจ้า”
“จดหมายนั่นน่ะรึ”
“ใช่ ตอนเข้าไปในเรือนทอผ้า อาตมาเก็บจดหมายที่ตกอยู่กับพื้นให้เจ้า แต่เจ้าก็ไม่แตะต้องเอาแต่ร้องไห้ อาตมาก็เลยใส่เอาไว้ในแขนเสื้อ แต่ขอโทษเถอะนะ ตอนอาตมาเข้าไปถ่ายทุกข์ มันเบื่ออยู่ก็เลยหยิบออกมาอ่าน”
“ตายจริง แย่จัง”
“อาตมาก็เลยเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดระหว่างถ่ายทุกข์นั่นเอง โอซือ...โชคดีของเจ้าแล้ว”
“ทำไมหรือเจ้าคะ”
“ผู้ชายใจง่ายอย่างมาตาฮาจิ ถ้าเจ้าตกเป็นเมียเสียก่อนที่มันจะไปสงคราม คิดดูแล้วกันว่าจะต้องช้ำใจแค่ไหนที่ถูกทิ้งขว้างอย่างไม่ใยดี อาตมาว่าเป็นโชคดีด้วยกันทั้งโอซือกับมาตาฮาจินั่นแหละ ที่ยังไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“หลวงพี่คิดแบบผู้ชาย แต่ฉันเป็นผู้หญิงคิดอย่างนั้นไม่ได้ดอกเจ้าค่ะ”
“แล้วคิดยังไงล่ะ”
“ก็เจ็บใจน่ะซี”
ว่าแล้วก็ยกชายเสื้อขึ้นกัดกลั้นสะอื้น
“ฉันจะต้องเที่ยวตามหาตัวมาตาฮาจิจนพบให้ได้สักวันหนึ่งแน่ ๆ ผู้หญิงที่ชื่อโอโคด้วย เพราะถ้าฉันไม่ได้ระบายทุกอย่างที่อัดอั้นอยู่ในอกให้เขารับรู้จนหมดสิ้น ฉันก็คงจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขไม่ได้ “
พระทากูอันมองหน้าด้านข้างของโอซือที่พร่ำรำพันพลางสะอื้นอย่างน่าเวทนา พลางพึมพำว่า “เริ่มแล้ว...”
“อาตมาวาดหวังเอาไว้ว่า โอซือคนนี้จะเป็นผู้หญิงที่มีชีวิตอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ทุกข์ภัยแผ้วพานราวดอกอโศก เกิดมาและโตเป็นสาวโดยไม่ต้องล่วงรู้ถึงความเลวทราม ความมีเบื้องหน้าเบื้องหลังของมนุษย์ ได้แต่งงานมีครอบครัว และแก่เฒ่าไปในที่สุด แต่บัดนี้ดูเหมือนว่ากระแสลมแปรปรวนแห่งชีวิตปุถุชนกำลังโหมเข้าใส่นางอย่างไม่มีทางสู้”
“หลวงพี่ทากูอัน ฉันจะทำยังไงดี เจ็บใจ เจ็บใจเหลือเกิน”
โอซือซบลงกับแขนเสื้อกิโมโนที่ยกขึ้นปิดหน้าไว้ แล้วร้องไห้คร่ำครวญไม่หยุด
5
ตอนกลางวันพระทากูอันกับโอซือเข้าไปซ่อนตัวในถ้ำและนอนหลับกันจนเต็มอิ่ม
อาหารการกินไม่ต้องเป็นห่วงเพราะกวาดเอามาเพียบจากโรงครัว โอซือประหลาดใจนักเพราะพระทากูอันยังเฉยอยู่ ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจการไล่ล่าทาเกโซแม้แต่จะออกเดินตามหา
จนย่างเข้าคืนวันที่สาม
โอซือนั่งอยู่ข้างกองไฟเช่นเดียวกับเมื่อคืนวานและเมื่อคืนวานซืน
“หลวงพี่ทากูอันเจ้าขา คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เราสัญญากับเขาเอไว้แล้วนะเจ้าคะ”
“จริงทีเดียว”
“หลวงพี่คิดจะทำยังไง”
“ทำอะไรรึ”
“อ้าว ทำไมหลวงพี่ถามอย่างนั้นล่ะเจ้าคะ ที่เราต้องขึ้นมาบนนี้ก็เพราะหลวงพี่ไปทำสัญญาสำคัญกับท่านซามูไรหนวดปลาดุกไม่ใช่รึ”
“อือ”
“ถ้าเราจับตัวทาเกโซไม่ได้ภายในคืนนี้...”
พระทากูอันเสริมขึ้น
“อาตมารู้ ถ้าพลาดก็แค่แขวนคอกับคาคบของต้นสนพันปี แต่โอซือไม่ต้องห่วง อาตมาเองก็ยังไม่อยากตาย”
“ถ้าอย่างนั้น ออกออกเดินหากันหน่อยไม่ดีกว่ารึเจ้าคะ”
“ออกไปหาคิดว่าจะเจอหรือโอซือ---ในป่าใหญ่กลางภูเขาทึบทึมออกอย่างนี้”
“ฉันไม่เข้าใจหลวงพี่เลยจริง ๆ อยู่กับหลวงพี่ทำให้ฉันพลอยปล่อยวางไปหมด อะไรจะเป็นก็ให้มันเป็นถึงไหนถึงกันยังไงไม่รู้”
“นั่นแหละที่เรียกว่าใจกล้า”
“ถ้าอย่างนั้น ที่หลวงพี่รับอาสาท่านซามูไรออกไล่ล่าทาเกโซก็ด้วยใจกล้าอย่างเดียวเลยรึเจ้าคะ”
“ก็ประมาณนั้น”
“ได้ยินอย่างนี้ฉันใจแป้วเลยนะเจ้าคะ”
แต่แรกที่ตามมาก็โอซือพอจะมีความมั่นใจอยู่บ้าง และแอบคิดว่าหลวงพี่ทากูอันน่าจะเป็นที่พึ่งได้ แต่พอมาถึงตอนนี้รู้สึกจะใจเสีย---หรือว่าหลวงพี่สติวิปลาสไปเสียแล้ว
คนสติไม่ดีบางทีก็พูดจาหรือทำท่าอะไรให้ใคร ๆ เห็นว่ายิ่งใหญ่ โอซือชักสงสัยว่าหลวงพี่ทากูอันอาจเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น
พระทากูอันยังนั่งมองเปลวไฟเฉยอยู่
“ครึ่งคืนแล้วนี่นะ”
หลวงพี่พึมพำเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้
“ใช่เจ้าค่ะ อีกไม่นานก็จะสว่าง”
โอซือพูดเหมือนประชด
“เอ ยังไงกันล่ะนี่...”
“หลวงพี่ คิดอะไรอยู่”
“น่าจะออกมาได้แล้วนา”
“ทาเกโซหรือเจ้าคะ”
“ก็ใช่นะซี”
“หลวงพี่ ใครจะออกมาให้เราจับเองล่ะเจ้าคะ”
“ไม่นะโอซือ ใจของคนเรานั้นจริง ๆ แล้วอ่อนไหวนัก ความโดดเดี่ยวเดียวดายไม่ใช่ธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ โดยเฉพาะเมื่อถูกล้อมรอบด้วยคมมีดคมดาบของศัตรู และความเย็นชาของเพื่อนร่วมถิ่น แต่เอ...ทำไมถึงยังไม่มา แสงและสีของเปลวไฟอันอบอุ่นน่าจะจูงใจให้ต้องแวะมา”
“หลวงพี่ทากูอัน คิดเองเออเองรึเปล่า”
“ไม่ใช่”
พระทากูอันค้านอย่างมั่นใจและสั่นหัว ส่วนโอซือหน้าชื่นขึ้นด้วยความดีใจที่ถูกค้านเช่นนั้น
“อาตมาคิดว่า ชินเม็น ทาเกโซ เข้ามาอยู่ใกล้ ๆ เรานี้แล้วละโอซือ แต่ยังมองไม่ออกว่าเราเป็นมิตรหรือศัตรู เจ้าหนุ่มผู้น่าสงสารได้แฝงตัวอยู่ในเงาไม้ จ้องมองมาด้วยสายตากล้า ๆ กลัว ๆ จะร้องถามก็ไม่ได้จะถอยหนีไปก็ใช่ที...ใช่แล้ว โอซือ อาตนาขอยืมไอ้ที่เจ้าเหน็บไว้ที่โอบิหน่อยจะได้ไหม”
“ขลุ่ยเลานี้น่ะหรือเจ้าคะ”
“ใช่ ขอยืมอาตมาหน่อยเถิด”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ นี่เป็นอย่างเดียวที่ฉันให้ใครยืมไม่ได้”
6
“ทำไมถึงให้ยืมไม่ได้ล่ะโอซือ”
พระทากูอันยืนกรานจะเอาให้ได้อย่างที่ไม่เคยทำบ่อยนัก
“ไม่รู้ละ แต่ให้ยืมไม่ได้”
โอซือสั่นหัวแรง ๆ
“ขอยืมหน่อยไม่ได้รึ ขลุ่ยยิ่งเป่ายิ่งเสียงดี ไม่สึกไม่หรออะไรสักหน่อย”
“แต่ ฉัน...”
โอซือแตะขลุ่ยที่เสียบไว้ที่โอบิ ไม่มีทีท่าว่าจะตกปากยินยอมให้ขอยืม
ขลุ่ยเลานี้โอซือพกติดตัวไม่ยอมให้ห่างราวกับเป็นส่วนหนึ่งของเรือนกาย สาวน้อยเคยเล่าถึงเหตุผลว่าทำไมขลุ่ยเลานี้จึงมีความสำคัญต่อนางนักให้พระทากูอันฟังมาแล้ว เมื่อครั้งที่คุยกันถึงประวัติความเป็นมาของโอซือ และพระทากูอันก็เข้าใจดีแล้ว แต่ไม่นึกว่าโอซือจะหวงมากและไม่ยอมให้ตนยืมเช่นนี้
“อาตมาจะหยิบจับอย่างเบามือ ไหนขอดูหน่อย”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ”
“ยังไง ๆ ก็ไม่ได้รึ”
“เจ้าค่ะ...ยังไง ๆ ก็ไม่ได้”
“ดื้อจริง”
“ดื้อเจ้าค่ะ”
“ถ้างั้น” พระทากูอันยอมแพ้
“โอซือเป่าขลุ่ยเองก็แล้วกัน เพลงอะไรก็ได้สักเพลงนึง”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ”
“เป่าเองก็ไม่ได้ ?”
“เจ้าค่ะ”
“ทำไมล่ะ”
“เพราะพอเริ่มเป่าน้ำตาก็จะไหล และพอน้ำตาไหลก็เป่าไม่ได้”
“อือม์”
พระทากูอันนึกเวทนาเด็กกำพร้าหัวดื้อคนนี้ขึ้นมาจับใจ ท่านรู้ดีว่าลึกลงไปในใจที่ดื้อรั้นนั้นมีโพรงอันเยียบเย็นที่มีอะไรสักอย่างที่ชุ่มชื้นคลอคลองอยู่เสมอ เด็กกำพร้าโหยหาสิ่งหนึ่งที่ตนไม่เคยมีอย่างกระหายที่จะได้มา นั่นก็คือสายธารแห่งความรัก โอซือก็เช่นกันสาวน้อยมีแต่พ่อแม่ในจินตนาการ นางเรียกหาพ่อหาแม่และพ่อแม่ก็เรียกหานาง...แต่ทั้งสิ้นเป็นเพียงภาพลวงตา โอซือไม่รู้จักความรักที่เป็นเลือดเนื้อ
ขลุ่ยเลานี้คือสิ่งที่พ่อแม่ของโอซือทิ้งเอาไว้ให้เป็นมรดก ซึ่งโอซือถือว่าขลุ่ยเลานี้คือสิ่งเดียวที่เป็นตัวตนของพ่อแม่---โอซือถูกนำมาทิ้งเหมือนลูกแมวตัวหนึ่งที่ชายคาโบสถ์วัดชิปโปจิ ตั้งยังเป็นทารกแรกเกิดตายังมองเห็นแสงสว่างบนโลกไม่ชัดเจนดี และที่โอบิของกิโมโนทารกน้อยมีขลุ่ยเลานี้เสียบอยู่
สำหรับโอซือ ขลุ่ยเลานี้คือหลักฐานเพียงชิ้นเดียวที่จะช่วยในการสืบหาคนร่วมสายโลหิตเดียวกันต่อไปในอนาคต และปัจจุบันขลุ่ยคือตัวตนและเสียงของพ่อแม่
โอซือไม่อาจเป่าขลุ่ยได้เพราะพอเริ่มเป่าน้ำตาก็จะไหล
พระทากูอันเข้าใจความรู้สึกของโอซือว่าทำไมจึงไม่ยอมให้ยืมและไม่ยอมเป่า รู้สึกสงสารจับใจและนิ่งเงียบไป
“... ... ...”
คืนวันนี้ซึ่งเป็นคืนวันที่สามของสัญญา พระจันทร์สีไข่มุกเยี่ยมหน้าออกมาระหว่างละอองเมฆ ห่านป่าที่อพยพมาญี่ปุ่นตอนฤดูใบไม้ร่วงและบินกลับคืนถิ่นในฤดูใบไม้ผลิ ส่งเสียงร้องเป็นครั้งคราวขณะบินผ่านไปในหมู่เมฆ
“ไฟมอดลงไปอีกแล้ว โอซือช่วยหักกิ่งไม้เติมลงไปทีเถิด อ้าว...เป็นอะไรไปล่ะ”
“... ... ...”
“ร้องไห้รึ”
“... ... ...”
“ขอโทษนะที่ทำให้เจ้าคิดถึงความหลัง อาตมาไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกหลวงพี่ทากูอัน ฉันไม่ดีเองที่ดื้อรั้น นี่เจ้าค่ะขลุ่ย ฉันให้ยืม”
โอซือดึงขลุ่ยจากโอบิส่งให้พระทากูอัน
ขลุ่ยของโอซือใส่ไว้ในซองผ้าทอเส้นด้ายสีทอง เก่าแก่จนเส้นด้ายหลุดลุ่ยและสีซีด เชือกผูกปากซองก็เก่าเต็มทีแต่ก็ยังเหลือความงดงามทรงค่าของเมื่อครั้งยังใหม่เอี่ยมเอาไว้ให้ชื่นชม ตัวขลุ่ยก็ดูเก่าแก่และล้ำค่าพอกัน
“โอซือให้อาตมายืมจริงหรือ”
“เชิญตามสบายเจ้าค่ะ”
“ไหน ๆ ก็หยิบขลุ่ยออกมาแล้ว โอซือเป็นคนเป่าดีไหม อาตมาเป็นคนฟังก็ได้...จะนั่งฟังอยู่ตรงนี้แหละ”
พระทากูอันไม่แตะต้องขลุ่ย หันข้างให้โอซือแล้วชันเข่าขึ้นมากอดไว้
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ความเดิม
“หลวงพี่ทากูอันโอบอ้อมอารีใจดีกับฉันเสมอ ไม่คิดว่าใจจริงจะแข็งกร้าวเกิดคาด”
“กร้าวซิ อาตมามาที่นี่ก็เพราะได้รับมอบอำนาจให้มาทำหน้าที่ลงโทษและให้รางวัลด้วยความถูกต้องเที่ยงธรรม”
“เอ๊ะ อะไร”
โอซือร้องด้วยความตกใจ ลุกขึ้นยืนตัวแข็งอยู่ข้างกองไฟนั้นเอง
“หลวงพี่ได้ยินเสียงเหมือนคนเดินอยู่ในหมู่ไม้ตรงโน้นไหมเจ้าคะ”
4
“อะไร...เสียงฝีเท้ารึ”
พระทากูอันเงี่ยหูฟังแล้วหัวเราะลั่น
“ฮะ ฮะ ฮะ ลิง ไอ้ลิงจ๋อ...โอซือดูนั่น แม่มันอุ้มลูกโหนกิ่งไม้หายไปทางนู้น”
“โธ่เอ๊ย ตกใจหมดเลย” โอซือพึมพำแล้วนั่งลงตามเดิม
ทั้งสองนั่งนิ่งเงียบมองเปลวไฟอยู่นานไม่รู้ว่ากี่โมงยามจนดึกดื่น ไม่มีใครพูดอะไรกับใคร
เมื่อเห็นไฟทำท่าจะมอด พระทากูอันก็หักกิ่งไม้แห้งโยนลงไปให้ไฟปะทุขึ้น
“โอซือคิดอะไรอยู่”
“ฉันน่ะรึ”
โอซือเบนสายตาขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ดารดาษไปด้วยดวงดาว รู้สึกเหมือนหนังตาจะบวมน้อย ๆ เพราะความร้อนจากกองไฟ
“ฉันกำลังคิดว่าโลกของเรานี้ช่างน่าประหลาดแท้ เมื่อนั่งนิ่ง ๆ ดูดวงดาวนับหมื่นนับแสนไม่มีวันนับได้ถ้วนอยู่บนท้องฟ้ายามราตรี...ท้องฟ้าที่โอบอุ้มทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ในความมืดมิด ฉันเห็นดวงดาวนั้นขยับเคลื่อนไปทีละนิด และรู้สึกด้วยว่าตัวฉันเองที่เป็นสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ก็กำลังเคลื่อนไหวไปเหมือนกันด้วยพลังของอะไรสักอย่างที่มองไม่เห็น ชีวิตจึงเปลี่ยนไปทุกโมงยามไม่มีวันหยุด”
“ไม่จริงมั้ง บางครั้งโอซืออาจคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาบ้าง แต่อาตมาคิดว่าโอซือมีเรื่องสำคัญที่จำเป็นต้องคิดจริงจังกว่าเรื่องนี้”
“... ... ...”
“ถ้าโอซือโกรธอาตมาก็ต้องขอโทษด้วย คืออาตมาได้อ่านจดหมายที่ส่งมาถึงเจ้า”
“จดหมายนั่นน่ะรึ”
“ใช่ ตอนเข้าไปในเรือนทอผ้า อาตมาเก็บจดหมายที่ตกอยู่กับพื้นให้เจ้า แต่เจ้าก็ไม่แตะต้องเอาแต่ร้องไห้ อาตมาก็เลยใส่เอาไว้ในแขนเสื้อ แต่ขอโทษเถอะนะ ตอนอาตมาเข้าไปถ่ายทุกข์ มันเบื่ออยู่ก็เลยหยิบออกมาอ่าน”
“ตายจริง แย่จัง”
“อาตมาก็เลยเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดระหว่างถ่ายทุกข์นั่นเอง โอซือ...โชคดีของเจ้าแล้ว”
“ทำไมหรือเจ้าคะ”
“ผู้ชายใจง่ายอย่างมาตาฮาจิ ถ้าเจ้าตกเป็นเมียเสียก่อนที่มันจะไปสงคราม คิดดูแล้วกันว่าจะต้องช้ำใจแค่ไหนที่ถูกทิ้งขว้างอย่างไม่ใยดี อาตมาว่าเป็นโชคดีด้วยกันทั้งโอซือกับมาตาฮาจินั่นแหละ ที่ยังไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“หลวงพี่คิดแบบผู้ชาย แต่ฉันเป็นผู้หญิงคิดอย่างนั้นไม่ได้ดอกเจ้าค่ะ”
“แล้วคิดยังไงล่ะ”
“ก็เจ็บใจน่ะซี”
ว่าแล้วก็ยกชายเสื้อขึ้นกัดกลั้นสะอื้น
“ฉันจะต้องเที่ยวตามหาตัวมาตาฮาจิจนพบให้ได้สักวันหนึ่งแน่ ๆ ผู้หญิงที่ชื่อโอโคด้วย เพราะถ้าฉันไม่ได้ระบายทุกอย่างที่อัดอั้นอยู่ในอกให้เขารับรู้จนหมดสิ้น ฉันก็คงจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขไม่ได้ “
พระทากูอันมองหน้าด้านข้างของโอซือที่พร่ำรำพันพลางสะอื้นอย่างน่าเวทนา พลางพึมพำว่า “เริ่มแล้ว...”
“อาตมาวาดหวังเอาไว้ว่า โอซือคนนี้จะเป็นผู้หญิงที่มีชีวิตอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ทุกข์ภัยแผ้วพานราวดอกอโศก เกิดมาและโตเป็นสาวโดยไม่ต้องล่วงรู้ถึงความเลวทราม ความมีเบื้องหน้าเบื้องหลังของมนุษย์ ได้แต่งงานมีครอบครัว และแก่เฒ่าไปในที่สุด แต่บัดนี้ดูเหมือนว่ากระแสลมแปรปรวนแห่งชีวิตปุถุชนกำลังโหมเข้าใส่นางอย่างไม่มีทางสู้”
“หลวงพี่ทากูอัน ฉันจะทำยังไงดี เจ็บใจ เจ็บใจเหลือเกิน”
โอซือซบลงกับแขนเสื้อกิโมโนที่ยกขึ้นปิดหน้าไว้ แล้วร้องไห้คร่ำครวญไม่หยุด
5
ตอนกลางวันพระทากูอันกับโอซือเข้าไปซ่อนตัวในถ้ำและนอนหลับกันจนเต็มอิ่ม
อาหารการกินไม่ต้องเป็นห่วงเพราะกวาดเอามาเพียบจากโรงครัว โอซือประหลาดใจนักเพราะพระทากูอันยังเฉยอยู่ ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจการไล่ล่าทาเกโซแม้แต่จะออกเดินตามหา
จนย่างเข้าคืนวันที่สาม
โอซือนั่งอยู่ข้างกองไฟเช่นเดียวกับเมื่อคืนวานและเมื่อคืนวานซืน
“หลวงพี่ทากูอันเจ้าขา คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เราสัญญากับเขาเอไว้แล้วนะเจ้าคะ”
“จริงทีเดียว”
“หลวงพี่คิดจะทำยังไง”
“ทำอะไรรึ”
“อ้าว ทำไมหลวงพี่ถามอย่างนั้นล่ะเจ้าคะ ที่เราต้องขึ้นมาบนนี้ก็เพราะหลวงพี่ไปทำสัญญาสำคัญกับท่านซามูไรหนวดปลาดุกไม่ใช่รึ”
“อือ”
“ถ้าเราจับตัวทาเกโซไม่ได้ภายในคืนนี้...”
พระทากูอันเสริมขึ้น
“อาตมารู้ ถ้าพลาดก็แค่แขวนคอกับคาคบของต้นสนพันปี แต่โอซือไม่ต้องห่วง อาตมาเองก็ยังไม่อยากตาย”
“ถ้าอย่างนั้น ออกออกเดินหากันหน่อยไม่ดีกว่ารึเจ้าคะ”
“ออกไปหาคิดว่าจะเจอหรือโอซือ---ในป่าใหญ่กลางภูเขาทึบทึมออกอย่างนี้”
“ฉันไม่เข้าใจหลวงพี่เลยจริง ๆ อยู่กับหลวงพี่ทำให้ฉันพลอยปล่อยวางไปหมด อะไรจะเป็นก็ให้มันเป็นถึงไหนถึงกันยังไงไม่รู้”
“นั่นแหละที่เรียกว่าใจกล้า”
“ถ้าอย่างนั้น ที่หลวงพี่รับอาสาท่านซามูไรออกไล่ล่าทาเกโซก็ด้วยใจกล้าอย่างเดียวเลยรึเจ้าคะ”
“ก็ประมาณนั้น”
“ได้ยินอย่างนี้ฉันใจแป้วเลยนะเจ้าคะ”
แต่แรกที่ตามมาก็โอซือพอจะมีความมั่นใจอยู่บ้าง และแอบคิดว่าหลวงพี่ทากูอันน่าจะเป็นที่พึ่งได้ แต่พอมาถึงตอนนี้รู้สึกจะใจเสีย---หรือว่าหลวงพี่สติวิปลาสไปเสียแล้ว
คนสติไม่ดีบางทีก็พูดจาหรือทำท่าอะไรให้ใคร ๆ เห็นว่ายิ่งใหญ่ โอซือชักสงสัยว่าหลวงพี่ทากูอันอาจเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น
พระทากูอันยังนั่งมองเปลวไฟเฉยอยู่
“ครึ่งคืนแล้วนี่นะ”
หลวงพี่พึมพำเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้
“ใช่เจ้าค่ะ อีกไม่นานก็จะสว่าง”
โอซือพูดเหมือนประชด
“เอ ยังไงกันล่ะนี่...”
“หลวงพี่ คิดอะไรอยู่”
“น่าจะออกมาได้แล้วนา”
“ทาเกโซหรือเจ้าคะ”
“ก็ใช่นะซี”
“หลวงพี่ ใครจะออกมาให้เราจับเองล่ะเจ้าคะ”
“ไม่นะโอซือ ใจของคนเรานั้นจริง ๆ แล้วอ่อนไหวนัก ความโดดเดี่ยวเดียวดายไม่ใช่ธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ โดยเฉพาะเมื่อถูกล้อมรอบด้วยคมมีดคมดาบของศัตรู และความเย็นชาของเพื่อนร่วมถิ่น แต่เอ...ทำไมถึงยังไม่มา แสงและสีของเปลวไฟอันอบอุ่นน่าจะจูงใจให้ต้องแวะมา”
“หลวงพี่ทากูอัน คิดเองเออเองรึเปล่า”
“ไม่ใช่”
พระทากูอันค้านอย่างมั่นใจและสั่นหัว ส่วนโอซือหน้าชื่นขึ้นด้วยความดีใจที่ถูกค้านเช่นนั้น
“อาตมาคิดว่า ชินเม็น ทาเกโซ เข้ามาอยู่ใกล้ ๆ เรานี้แล้วละโอซือ แต่ยังมองไม่ออกว่าเราเป็นมิตรหรือศัตรู เจ้าหนุ่มผู้น่าสงสารได้แฝงตัวอยู่ในเงาไม้ จ้องมองมาด้วยสายตากล้า ๆ กลัว ๆ จะร้องถามก็ไม่ได้จะถอยหนีไปก็ใช่ที...ใช่แล้ว โอซือ อาตนาขอยืมไอ้ที่เจ้าเหน็บไว้ที่โอบิหน่อยจะได้ไหม”
“ขลุ่ยเลานี้น่ะหรือเจ้าคะ”
“ใช่ ขอยืมอาตมาหน่อยเถิด”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ นี่เป็นอย่างเดียวที่ฉันให้ใครยืมไม่ได้”
6
“ทำไมถึงให้ยืมไม่ได้ล่ะโอซือ”
พระทากูอันยืนกรานจะเอาให้ได้อย่างที่ไม่เคยทำบ่อยนัก
“ไม่รู้ละ แต่ให้ยืมไม่ได้”
โอซือสั่นหัวแรง ๆ
“ขอยืมหน่อยไม่ได้รึ ขลุ่ยยิ่งเป่ายิ่งเสียงดี ไม่สึกไม่หรออะไรสักหน่อย”
“แต่ ฉัน...”
โอซือแตะขลุ่ยที่เสียบไว้ที่โอบิ ไม่มีทีท่าว่าจะตกปากยินยอมให้ขอยืม
ขลุ่ยเลานี้โอซือพกติดตัวไม่ยอมให้ห่างราวกับเป็นส่วนหนึ่งของเรือนกาย สาวน้อยเคยเล่าถึงเหตุผลว่าทำไมขลุ่ยเลานี้จึงมีความสำคัญต่อนางนักให้พระทากูอันฟังมาแล้ว เมื่อครั้งที่คุยกันถึงประวัติความเป็นมาของโอซือ และพระทากูอันก็เข้าใจดีแล้ว แต่ไม่นึกว่าโอซือจะหวงมากและไม่ยอมให้ตนยืมเช่นนี้
“อาตมาจะหยิบจับอย่างเบามือ ไหนขอดูหน่อย”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ”
“ยังไง ๆ ก็ไม่ได้รึ”
“เจ้าค่ะ...ยังไง ๆ ก็ไม่ได้”
“ดื้อจริง”
“ดื้อเจ้าค่ะ”
“ถ้างั้น” พระทากูอันยอมแพ้
“โอซือเป่าขลุ่ยเองก็แล้วกัน เพลงอะไรก็ได้สักเพลงนึง”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ”
“เป่าเองก็ไม่ได้ ?”
“เจ้าค่ะ”
“ทำไมล่ะ”
“เพราะพอเริ่มเป่าน้ำตาก็จะไหล และพอน้ำตาไหลก็เป่าไม่ได้”
“อือม์”
พระทากูอันนึกเวทนาเด็กกำพร้าหัวดื้อคนนี้ขึ้นมาจับใจ ท่านรู้ดีว่าลึกลงไปในใจที่ดื้อรั้นนั้นมีโพรงอันเยียบเย็นที่มีอะไรสักอย่างที่ชุ่มชื้นคลอคลองอยู่เสมอ เด็กกำพร้าโหยหาสิ่งหนึ่งที่ตนไม่เคยมีอย่างกระหายที่จะได้มา นั่นก็คือสายธารแห่งความรัก โอซือก็เช่นกันสาวน้อยมีแต่พ่อแม่ในจินตนาการ นางเรียกหาพ่อหาแม่และพ่อแม่ก็เรียกหานาง...แต่ทั้งสิ้นเป็นเพียงภาพลวงตา โอซือไม่รู้จักความรักที่เป็นเลือดเนื้อ
ขลุ่ยเลานี้คือสิ่งที่พ่อแม่ของโอซือทิ้งเอาไว้ให้เป็นมรดก ซึ่งโอซือถือว่าขลุ่ยเลานี้คือสิ่งเดียวที่เป็นตัวตนของพ่อแม่---โอซือถูกนำมาทิ้งเหมือนลูกแมวตัวหนึ่งที่ชายคาโบสถ์วัดชิปโปจิ ตั้งยังเป็นทารกแรกเกิดตายังมองเห็นแสงสว่างบนโลกไม่ชัดเจนดี และที่โอบิของกิโมโนทารกน้อยมีขลุ่ยเลานี้เสียบอยู่
สำหรับโอซือ ขลุ่ยเลานี้คือหลักฐานเพียงชิ้นเดียวที่จะช่วยในการสืบหาคนร่วมสายโลหิตเดียวกันต่อไปในอนาคต และปัจจุบันขลุ่ยคือตัวตนและเสียงของพ่อแม่
โอซือไม่อาจเป่าขลุ่ยได้เพราะพอเริ่มเป่าน้ำตาก็จะไหล
พระทากูอันเข้าใจความรู้สึกของโอซือว่าทำไมจึงไม่ยอมให้ยืมและไม่ยอมเป่า รู้สึกสงสารจับใจและนิ่งเงียบไป
“... ... ...”
คืนวันนี้ซึ่งเป็นคืนวันที่สามของสัญญา พระจันทร์สีไข่มุกเยี่ยมหน้าออกมาระหว่างละอองเมฆ ห่านป่าที่อพยพมาญี่ปุ่นตอนฤดูใบไม้ร่วงและบินกลับคืนถิ่นในฤดูใบไม้ผลิ ส่งเสียงร้องเป็นครั้งคราวขณะบินผ่านไปในหมู่เมฆ
“ไฟมอดลงไปอีกแล้ว โอซือช่วยหักกิ่งไม้เติมลงไปทีเถิด อ้าว...เป็นอะไรไปล่ะ”
“... ... ...”
“ร้องไห้รึ”
“... ... ...”
“ขอโทษนะที่ทำให้เจ้าคิดถึงความหลัง อาตมาไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกหลวงพี่ทากูอัน ฉันไม่ดีเองที่ดื้อรั้น นี่เจ้าค่ะขลุ่ย ฉันให้ยืม”
โอซือดึงขลุ่ยจากโอบิส่งให้พระทากูอัน
ขลุ่ยของโอซือใส่ไว้ในซองผ้าทอเส้นด้ายสีทอง เก่าแก่จนเส้นด้ายหลุดลุ่ยและสีซีด เชือกผูกปากซองก็เก่าเต็มทีแต่ก็ยังเหลือความงดงามทรงค่าของเมื่อครั้งยังใหม่เอี่ยมเอาไว้ให้ชื่นชม ตัวขลุ่ยก็ดูเก่าแก่และล้ำค่าพอกัน
“โอซือให้อาตมายืมจริงหรือ”
“เชิญตามสบายเจ้าค่ะ”
“ไหน ๆ ก็หยิบขลุ่ยออกมาแล้ว โอซือเป็นคนเป่าดีไหม อาตมาเป็นคนฟังก็ได้...จะนั่งฟังอยู่ตรงนี้แหละ”
พระทากูอันไม่แตะต้องขลุ่ย หันข้างให้โอซือแล้วชันเข่าขึ้นมากอดไว้