นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ความเดิม
“ชาวบ้านทั้งหลาย อาตมาขอความเห็นหลายครั้งหลายหนแต่ก็ตกลงใจไม่ได้เสียที จะฟันทีเดียวให้ตายก็มีแม่เฒ่ามาคัดค้าน อาตมามีข้อเสนอที่คิดว่าเหมาะสม คือแขวนทาเกโซไว้กับกิ่งต้นสนพันปีมัดมือมัดเท้าไว้กับลำต้น ทิ้งตากลมตากฝนไว้สักสี่ห้าวันให้อีกามาเจาะลูกตา จะว่ายังไง”
“... ... ...”
คงจะเห็นว่าทารุณเกินไปละมัง จึงไม่มีใครตอบสักคน เห็นดังนั้นแม่เฒ่าโอซุงิที่ยืนคุมเชิงอยู่จึงร้องขึ้นว่า
“หลวงพี่ทากุอันเจ้าคะ ความคิดของหลวงพี่ดีมาก แต่สี่ห้าวันข้าว่ามันน้อยไป แขวนทรมานมันไว้กับต้นสนพันปีสักสิบวันยี่สิบวัน และสุดท้ายข้าจะเป็นคนลงดาบสังหารมันเอง”
“ได้ ตกลงตามนั้น”
พระทากุอันบอกอย่างไม่มีพิธีรีตอง ลุกขึ้นจับปลายเชือกที่มัดทาเกโซมาถือไว้ ทาเกโซนิ่งเงียบเดินก้มหน้าตามพระทากุอันไปที่ต้นสนพันปี
ชาวบ้านเดินตามกันไปเป็นขบวน พอไปถึงต้นสนพันปีบางคนที่ฮึกเหิมและบางคนที่ยังโกรธไม่หายต่างกรูเข้าไปช่วยกันจับตัวทาเกโซขึ้นแขวนบนกิ่งสูงลิ่วขึ้นไปจากพื้นดินมองขึ้นไปเหมือนตุ๊กตาฟางห้อยอยู่
กล่าวถึงโอซือ วันที่ลงมาจากภูเขากลับมาที่วัด สาวน้อยรู้สึกเหงาขึ้นมาอย่างจับใจทันทีที่เข้าไปอยู่คนเดียวในห้อง จนต้องถามตัวเองว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่นี่ไม่ใช่เป็นครั้งแรกที่อยู่คนเดียวในห้องสักหน่อย ข้างนอกภายในวัดก็มีคนอยู่กันคึกคัก ไฟฟืนสว่างไสวต้อนรับการกลับมาของนางด้วยความยินดีแต่ทำไมถึงได้ใจคออ้างว้างอย่างนี้ สามวันที่อยู่กันตามลำพังกับหลวงพี่ทากูอันที่กลางป่าลึกยังไม่เคยรู้สึกเหงาอย่างนี้
สาวน้อยวัยสิบเจ็ดนั่งเท้าคางอยู่ที่โต๊ะเล็กข้างหน้าต่างนั่งถามตอบสำรวจความรู้สึกของตัวเองอยู่นานเป็นครึ่งค่อนวัน จนในที่สุด โอซือก็เริ่มเข้าใจความรู้สึกของตนเองขึ้นมาลาง ๆ ใจเหงาที่นางรู้สึกนั้นเหมือนความหิวอยู่ภายใน เมื่อรู้สึกขาดหายก็จะโหยหาให้ได้มาเติมเต็ม นั่นคือความเหงาที่กำลังรุมเร้าสาวน้อยผู้นี้อยู่
แต่สิ่งที่จะมาเติมเต็มให้โอซือหายเหงาใจนั้น ไม่ใช่ความครึกครื้นของผู้คนในวัดที่ทำนั่นทำนี่อยู่ด้วยกัน ไม่ใช่แสงไฟสว่างและอบอุ่น ไม่ใช่สิ่งอื่นใดที่แตะต้องได้อยู่ภายนอก
ระหว่างสามวันกลางป่าลึกบนภูเขา ใจของโอซือไม่อ้างว้างไม่เคยต้องการสิ่งเติมเต็ม แม้ว่ารอบกายจะมีแต่เพียงหมู่ไม้ที่ยืนต้นเงียบเฉย น้ำค้างและความมืด แต่ใช่ซิ...หลวงพี่ทากูอันที่อยู่ด้วยกันคนนั้นไงเล่าที่คอยเติมเต็มใจของโอซืออยู่ตลอด ไม่ปล่อยให้รู้สึกหิวโหย ด้วยคำพูดที่สื่อสัมผัสเข้าไปถึงหัวใจและซ่านไปทั่วกาย อบอุ่นและประเทืองปัญญากว่าไฟในกองเพลิง ไฟตะเกียง ไฟที่เชิงเทียน และทุกแห่งที่เกิดเปลวไฟ และเมื่อหัวใจไม่หิวโหยความเหงาก็หาช่องทางที่ไหนเข้ามาคุกคามได้
หลวงพี่ทากูอันไปไหน
โอซือผลุดลุกขึ้นทันทีเมื่อคิดได้
แต่ตั้งแต่ลงมาจากภูเขาและจัดการลงโทษทาเกโซแล้ว หลวงพี่ทากูอันก็ยุ่งอยู่กับการหารือกับบรรดาบริวารของผู้ครองนครฮิเมจิอยู่ในห้องรับรองแขกของวัดทั้งวัน นางคงหาโอกาสเข้าไปชวนคุยอย่างเมื่อตอนอยู่บนภูเขาไม่ได้แน่
โอซือจึงทรุดตัวลงนั่งตามเดิม อารมณ์เหงาทำให้สาวน้อยอยากมีเพื่อนแค่คนเดียวก็พอไม่ต้องการมากคน อยากมีเพื่อนสักคนที่รู้จักและเข้าใจนางดี คอยช่วยเหลือเป็นกำลังใจ เพื่อนที่นางจะเชื่อถือไว้วางใจได้...ตอนนี้โอซืออยากได้เพื่อนแสนดีเช่นนั้นสักคนเหลือเกินจนแทนจะทนไม่ได้
ขลุ่ย...ขลุ่ยที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้แทนตัวเพียงชิ้นเดียวนั้นเคยเป็นเพื่อนที่ดีตลอดมา แต่เมื่อเจริญวัยเป็นสาวน้อยวัยสิบเจ็ดปีและได้ออกไปเผชิญกับโลกภายนอก โอซือก็มีคำถามมากมายตามมาซึ่งเกินกำลังที่ขลุ่ย อันเป็นเพียงไม้ไผ่เยียบเย็นท่อนเดียวนั้นจะให้คำตอบเป็นที่พอใจของเจ้าของมันได้
“เจ็บใจนัก”
โอซืออดไม่ได้ที่จะพาลโกรธความใจดำของฮนอิเด็น มาตาฮาจิชายที่เคยเป็นคู่หมั้นหมาย น้ำตาร่วงเผาะลงบนโต๊ะ เลือดที่พลุ่งพล่านด้วยความโกรธแล่นขึ้นไปเต้นตุบอยู่ที่ขมับทำให้ปวดหนึบ
เสียงประตูด้านหลังถูกเลื่อนเปิดออกเบา ๆ
พลบค่ำแล้ว แสงไฟแดง ๆ วอมแวมอยู่ในเรือนครัว
“อ้อ หลบมาอยู่ที่นี่เองรึโอซือ ข้าเสียเวลาทั้งวันเลยวันนี้”
แม่เฒ่าโอซุงิเดินพูดพลางไอพลางเข้ามาในห้อง
“คุณป้ามา เชิญเจ้าค่ะ”
โอซือรีบเลื่อนเบาะรองนั่งไปให้ แม่เฒ่าทรุดตัวลงนั่งอย่างไม่มีพิธีรีตอง
“เป็นยังไง แม่ว่าที่ลูกสะใภ้”
นางทำซุ้มเสียงวางอำนาจเป็นแม่ผัว
“เจ้าค่ะ”
โอซือจดมือลงกับพื้นเสื่อศีรษะทำความเคารพด้วยกิริยาเรียบร้อยสมเป็นกุลสตรี
“เจ้าก็รู้ตัวดีอยู่แล้วว่าเรามีความสัมพันธ์กันยังไง และที่เข้ามาหาเจ้าที่นี่ก็เพราะอยากพูดเรื่องนี้แหละ แต่ไปเอาน้ำชามาให้สักถ้วยหนึ่งก่อน คุยอยู่กับพระทากูอันและบริวารผู้ครองแคว้นฮิเมจิทั้งวัน จะหาใครมีแก่ใจเอาน้ำชามาให้ดื่มก็ไม่มี จนคอแห้งไปหมดแล้ว
4
“ก็ไม่มีเรื่องอื่นหรอก...”
แม่เฒ่ายกถ้วยชาที่โอซือขึ้นดื่ม แล้วเริ่มเรื่องโดยไม่พูดพล่ามทำเพลง
“เรื่องที่ทาเกโซเล่า ข้าก็ไม่เชื่อทั้งหมดหรอกนะ แต่ดูเหมือนว่ามาตาฮาจิจะไปอยู่ที่แคว้นอื่นจริง ๆ”
“อย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
โอซือถามเสียงเย็นชา
“ข้าก็ไม่แน่ใจนัก แต่ถึงมาตาฮาจิจะตายไป เจ้าก็เป็นหญิงที่ตระกูลฮนอิเด็นรับมาเป็นเจ้าสาวแล้ว โดยได้สู่ขอจากเจ้าอาวาสวัดชิปโปจิแห่งนี้ซึ่งทำหน้าที่เป็นบิดาของเจ้า และไม่ว่าเหตุการณ์ภายหน้าจะเป็นอย่างไรข้าก็มั่นใจว่าจะไม่มีอะไรทำให้เจ้ากลับคำ”
“คือ...”
“ไม่น่าจะมีนะ”
“เจ้าค่ะ”
“ถ้างั้นก็สบายใจไปอย่างหนึ่ง แต่ข้าอยากให้เจ้าย้ายไปอยู่ที่บ้านตระกูลฮนอิเด็น เพราะตอนนี้ชาวบ้านก็นินทากันหนาหูแล้วว่าว่าที่สะใภ้บ้านนี้ถึงยังต้องอยู่กับเจ้าอาวาสที่วัด อีกทั้งมาตาฮาจิก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไร ข้าแก่แล้วไม่มีใครดูแล ถ้าเจ้าย้ายเข้ามาก็จะได้อาศัยไหว้วานกันบ้าง ตอนนี้ที่บ้านก็มีแต่พวกผู้หญิง ลูกสาวข้าแยกเรือนออกไปแล้วก็อาศัยอะไรไม่ได้เพราะต่างคนต่างก็งานเต็มมือไปหมด”
“คือ หนู...”
“ในเมื่อข้ามีแต่มาตาฮาจิเป็นลูกชายคนเดียว แล้วใครล่ะจะเข้ามาอยู่ในบ้านตระกูลฮนอิเด็นในฐานะเจ้าสาวของทายาทได้ยอกจากเจ้า...โอซือ”
“แต่ คุณป้าเจ้าขา”
“อ้อ เจ้ากำลังจะบอกว่าไม่อยากอยู่กับข้าอย่างนั้นรึ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะเจ้าคะ”
“งั้นก็เตรียมตัวเก็บข้าวเก็บของเดี๋ยวนี้เลย”
“คอยให้มาตาฮาจิ กลับมาก่อนไม่ได้หรือเจ้าคะ”
“ไม่ได้” แม่เฒ่าซุงิยื่นคำขาดเสียงแข็ง
“ข้ามีหน้าที่ต้องดูแลเจ้าสาวของตระกูลให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ลิ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมจนกว่าลูกชายจะกลับมา ระหว่างนั้นข้าจะสอนเจ้าทั้งหมดไม่ว่าจะงานในไร่ในนา งานเพาะเลี้ยงตัวไหม งานเย็บปักถักร้อย และกิริยามารยากของกุลสตรี จนกว่ามาตาฮาจิจะกลับมา”
“จะ...เจ้าค่ะ”
โอซือฝืนใจตอบอย่างไม่มีทางเลี่ยง ได้ยินเสียงตัวเองสั่นเครือราวกับร้องไห้ด้วยความเวทนาตัวเอง
“และ...”
คราวนี้แม่เฒ่าโอซุงิสั่งเสียงแข็ง
“ข้ายังไม่เข้าใจว่าพระทากูอันตั้งใจจะทำยังไงกันแน่กับเจ้าทาเกโซเด็กเหลือขอคนนั้น ดีที่เจ้าอยู่ทางนี้ ข้าจึงอยากให้เจ้าเฝ้าระวังทาเกโซอย่าให้คลาดสายตาจนกว่ามันจะตาย โดยเฉพาะตอนกลางดึกถ้าไม่ระวังให้ดี พระทากูอันอาจทำอะไรตามอำเภอใจขึ้นมาก็จะยุ่งกันใหญ่อีก”
“งั้นหนูก็ไม่ต้องไปอยู่บ้านคุณป้าในวันนี้พรุ่งนี้ซีนะเจ้าคะ”
“ข้ารู้ว่าเจ้าทำสองอย่างในเวลาเดียวกันไม่ได้ วันที่เจ้าจะหอบผ้าหอบผ่อนจากที่นี่มาที่บ้านของตระกูลฮนอิเด็น ก็คือวันที่หัวของเจ้าทาเกโซกระเด็นออกจากบ่า เข้าใจนะโอซือ”
“เจ้าค่ะ”
“แน่ใจนะว่าจะไม่ลืมคำพูดของข้าวันนี้”
แม่เฒ่าโอซุงิสำทับแล้วทำตาวาวก่อนออกไปจากห้อง
เงาของใครคนหนึ่งวูบผ่านหน้าต่างเหมือนกำลังคอยโอกาสนี้
“โอซือ โอซือ”
คน ๆ นั้นเรียกเบา ๆ โอซือแปลกใจจึงชะโงกหน้าต่างออกไปดูก็พบซามูไรหนวดปลาดุกยืนอยู่ตรงนั้น และเอื้อมมือขึ้นมาฉวยมือโอซือไว้แน่นทันทีที่เห็น
“โอซือ ข้ามาขอบใจที่นางช่วยดูแลตลอดเวลาที่ข้าพักอยู่ที่นี่ วันนี้คนจากแคว้นฮิเมจินำมาหมายมาแจ้งให้ข้ากลับไปที่ฮิเมจิโดนด่วน”
“อย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
โอซือชักมือกลับแต่ไม่สำเร็จ เพราะซามูไรหนวดปลาดุกจับเอาไว้แน่น
“เรื่องมีอยู่ว่าผู้ครองแคว้นได้ข่าวความวุ่นวายที่เกิดขึ้นที่นี่และได้ให้บริวารสืบเรื่องราวจนได้ความจริง และบอกว่าถ้าข้าได้หัวของเจ้าทาเกโซกลับไปข้าจะได้บำเหน็จรางวัลมากมายอีกทั้งยศถาบันดาศักดิ์ แต่พระทากูอันดื้อดึง ไม่ว่าจะพูดจาหว่านล้อมยังไงก็ไม่ยอมให้ข้าได้หัวของทาเกโซ ข้าไม่รู้จะพึ่งใครนอกจากเจ้า และมาหาเจ้าเพราะคิดว่าจะเห็นใจและเข้าข้างข้าบ้าง นี่คือจดหมายของข้า ไม่ต้องอ่านเดี๋ยวนี้ก็ได้ แต่เวลาอ่านอย่าให้ใครเห็นนะ”
โอซือรู้สึกเหมือนมีอะไรถูกยัดเข้าในอุ้งมือ แล้วซามูไรหนวดปลาดุกก็รีบเร่งฝีเท้าออกไปจากที่นั้น
5
ของที่ซามูไรหนวดปลาดุกยัดใส่มือโอซือนั้นไม่ได้มีแค่จดหมาย แต่กระดาษแผ่นนั้นห่ออะไรหนัก ๆ อย่างหนึ่งมาด้วย
โอซือรู้ดีว่าซามูไรหนวดปลาดุกมีความทะเยอทะยานในยศถาบันดาศักดิ์เพียงใด แต่ก็เดาไม่ออกว่าจะมาไม้ไหนกันแน่ สาวน้อยค่อย ๆ คลี่กระดาษแผนนั้นออกอย่างกลัว ๆ กล้า ๆ ก็พบทองแผ่นใหญ่สีเหลืองสะท้อนแสงสุกสกาวสูงค่าอยู่ในนั้นอันหนึ่ง จดหมายที่แนบมามีข้อความตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมว่า
ดังที่ได้เกริ่นไว้ด้วยวาจาแล้วว่าข้าต้องการหัวของทาเกโซ ดังนั้นจึงขอให้เจ้าตัดหัวทาเกโซแล้วลอบนำมาให้ข้าที่ปราสาท ฮิเมจิภายสองสามวันนี้ ถ้าทำได้เช่นนั้นท่านอิเคดะแห่งแคว้นฮิเมจิก็จะปูนบำเหน็จรางวัลและเลื่อนขั้นให้ข้าได้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้นในกองทัพมีทรัพย์ศฤงคารและบริวารมากมาย ข้าจะตกแต่งเจ้าเป็นศรีภรรยาและเจ้าก็จะได้มีชีวิตสุขสบายไปตลอดชาติ ขอให้เก็บจดหมายฉบับนี้ไว้เป็นเสมือนหนังสือสัญญาระหว่างกัน ลงชื่อ อาโอกิ ทันซาเอมอน
“โอซือ กินข้าวรึยัง”
เสียงหลวงพี่ทากูอันเรียกอยู่ข้างนอก โอซือสวมรองเท้าแตะฟางออกไปหาพลางส่งเสียงบอกไปว่า
“คืนนี้ปวดหัวนิดหน่อยไม่อยากกินอะไร”
“เอ๊ะ นั่นมีอะไรอยู่ในมือ”
“จดหมายเจ้าค่ะ”
“ของใคร”
“อ่านไหมเจ้าคะ”
“ถ้าไม่คิดอะไร”
“ไม่เลยเจ้าค่ะ”
พระทากูอันรับจดหมายที่โอซือส่งให้ไปอ่านแล้วหัวเราะเสียงลั่น
“น่าเวทนา ซามูไรหนวดปลาดุกพยายามซื้อโอซือด้วยเสน่ห์และเงิน อาตมาเพิ่งรู้จากจดหมายฉบับนี้ว่าซามูไรหนวดมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอาโอกิ ทันซาเอมอน น่าขำที่โลกเรานี้ก็มีนักรบแปลก ๆ อย่างนี้เหมือนกัน น่ายินดีด้วยจริง ๆ กับแคว้น ฮิเมจิ”
“อะไร ๆ ก็ดีหรอกหลวงพี่ แต่ท่านเอาแผ่นทองนี่ห่อมาในจดหมายนี่ซี จะทำยังไงดี”
“โอ้โฮ มีค่ามากเสียด้วย”
“แต่หลวงพี่ ฉันไม่รู้จะทำยังไงดีจริง ๆ”
“เรื่องเงินเรื่องทองนี่จัดการไม่ยาก”
พระทากูอันเดินถือแผ่นทองไปที่หน้าโบสถ์ ทำท่าจะเอาไปใส่ลงไปในกล่องทำบุญ แต่หลังจากยกขึ้นจบที่หน้าผากและ ภาวนาเสร็จล้าก็เปลี่ยนใจ
“อาตมาว่าโอซือเก็บเอาไว้ดีกว่า มันก็ไม่ได้เกะกะอะไร”
“ไม่ดีละมังหลวงพี่ เดี๋ยวเขาเกิดมาทวงถามอะไรภายหลัง ฉันไม่อยากยุ่งยาก”
“ทองแผนนี้ไม่ใช่ของนายซามูไรหนวดปลาดุกคนนั้นแล้ว แต่เป็นทองที่ทำบุญถวายพระโพธิสัตว์ไปแล้ว และโอซือก็ได้รับจากพระโพธิสัตว์อีกที เอาเก็บไว้เป็นเครื่องรางประจำตัวเถิด”
โอซือรับแผ่นทองมาเหน็บไว้ที่ผ้าคาดกิโมโนอย่างว่าง่าย
“คืนนี้ลมพัดแรงจริง"
พระทากูอันแหงนมองขึ้นฟ้า
“ฝนไม่ตกมาหลายวันแล้ว”
“กำลังจะสิ้นฤดูใบไม้ผลิ ฝนตกลงมาบ้างก็ดีจะได้ชะล้างกลีบดอกไม้ที่ทับถมบนพื้นดิน และจะได้ใคร ๆ หายเบื่อและกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาบ้าง”
“ถ้าฝนเกิดตกหนัก ทาเกโซมิแย่หรือหลวงพี่”
“อือม์ ทาเกโซ นะ”
ท้องสองมองไปที่ต้นสนร้อยปีพร้อมกัน เสียงคนตะโกนฝ่าเสียงลมแรงลงมาจากกิ่งไม้สูงลิ่ว
“ทากูอัน ทากูอัน”
“โอ...ทาเกโซรึ”
พระทากูอันขยี้ตามองขึ้นไปที่คาคบ
“ไอ้พระบ้า ไอ้ทากูอันพระขี้เรื้อน ข้ามีเรื่องจะพูดด้วย มาตรงนี้เดี๋ยวนี้”
เสียงลมแรงที่พัดกิ่งสนจนไหวลู่ ยิ่งทำให้เสียงตะโกนนั้นยิ่งก้องกังวานไกลออกไปอีก ใบสนหล่นเกลื่อนลงมาเต็มพื้นดินและบนใบหน้าของพระทากูอันที่แหงนขึ้นไปมองทาเกโซซึ่งถูกแขวนห้อยเหมือนตุ๊กตาฟางลงมาจากกิ่งสนสูงลิ่ว
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ความเดิม
“ชาวบ้านทั้งหลาย อาตมาขอความเห็นหลายครั้งหลายหนแต่ก็ตกลงใจไม่ได้เสียที จะฟันทีเดียวให้ตายก็มีแม่เฒ่ามาคัดค้าน อาตมามีข้อเสนอที่คิดว่าเหมาะสม คือแขวนทาเกโซไว้กับกิ่งต้นสนพันปีมัดมือมัดเท้าไว้กับลำต้น ทิ้งตากลมตากฝนไว้สักสี่ห้าวันให้อีกามาเจาะลูกตา จะว่ายังไง”
“... ... ...”
คงจะเห็นว่าทารุณเกินไปละมัง จึงไม่มีใครตอบสักคน เห็นดังนั้นแม่เฒ่าโอซุงิที่ยืนคุมเชิงอยู่จึงร้องขึ้นว่า
“หลวงพี่ทากุอันเจ้าคะ ความคิดของหลวงพี่ดีมาก แต่สี่ห้าวันข้าว่ามันน้อยไป แขวนทรมานมันไว้กับต้นสนพันปีสักสิบวันยี่สิบวัน และสุดท้ายข้าจะเป็นคนลงดาบสังหารมันเอง”
“ได้ ตกลงตามนั้น”
พระทากุอันบอกอย่างไม่มีพิธีรีตอง ลุกขึ้นจับปลายเชือกที่มัดทาเกโซมาถือไว้ ทาเกโซนิ่งเงียบเดินก้มหน้าตามพระทากุอันไปที่ต้นสนพันปี
ชาวบ้านเดินตามกันไปเป็นขบวน พอไปถึงต้นสนพันปีบางคนที่ฮึกเหิมและบางคนที่ยังโกรธไม่หายต่างกรูเข้าไปช่วยกันจับตัวทาเกโซขึ้นแขวนบนกิ่งสูงลิ่วขึ้นไปจากพื้นดินมองขึ้นไปเหมือนตุ๊กตาฟางห้อยอยู่
กล่าวถึงโอซือ วันที่ลงมาจากภูเขากลับมาที่วัด สาวน้อยรู้สึกเหงาขึ้นมาอย่างจับใจทันทีที่เข้าไปอยู่คนเดียวในห้อง จนต้องถามตัวเองว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่นี่ไม่ใช่เป็นครั้งแรกที่อยู่คนเดียวในห้องสักหน่อย ข้างนอกภายในวัดก็มีคนอยู่กันคึกคัก ไฟฟืนสว่างไสวต้อนรับการกลับมาของนางด้วยความยินดีแต่ทำไมถึงได้ใจคออ้างว้างอย่างนี้ สามวันที่อยู่กันตามลำพังกับหลวงพี่ทากูอันที่กลางป่าลึกยังไม่เคยรู้สึกเหงาอย่างนี้
สาวน้อยวัยสิบเจ็ดนั่งเท้าคางอยู่ที่โต๊ะเล็กข้างหน้าต่างนั่งถามตอบสำรวจความรู้สึกของตัวเองอยู่นานเป็นครึ่งค่อนวัน จนในที่สุด โอซือก็เริ่มเข้าใจความรู้สึกของตนเองขึ้นมาลาง ๆ ใจเหงาที่นางรู้สึกนั้นเหมือนความหิวอยู่ภายใน เมื่อรู้สึกขาดหายก็จะโหยหาให้ได้มาเติมเต็ม นั่นคือความเหงาที่กำลังรุมเร้าสาวน้อยผู้นี้อยู่
แต่สิ่งที่จะมาเติมเต็มให้โอซือหายเหงาใจนั้น ไม่ใช่ความครึกครื้นของผู้คนในวัดที่ทำนั่นทำนี่อยู่ด้วยกัน ไม่ใช่แสงไฟสว่างและอบอุ่น ไม่ใช่สิ่งอื่นใดที่แตะต้องได้อยู่ภายนอก
ระหว่างสามวันกลางป่าลึกบนภูเขา ใจของโอซือไม่อ้างว้างไม่เคยต้องการสิ่งเติมเต็ม แม้ว่ารอบกายจะมีแต่เพียงหมู่ไม้ที่ยืนต้นเงียบเฉย น้ำค้างและความมืด แต่ใช่ซิ...หลวงพี่ทากูอันที่อยู่ด้วยกันคนนั้นไงเล่าที่คอยเติมเต็มใจของโอซืออยู่ตลอด ไม่ปล่อยให้รู้สึกหิวโหย ด้วยคำพูดที่สื่อสัมผัสเข้าไปถึงหัวใจและซ่านไปทั่วกาย อบอุ่นและประเทืองปัญญากว่าไฟในกองเพลิง ไฟตะเกียง ไฟที่เชิงเทียน และทุกแห่งที่เกิดเปลวไฟ และเมื่อหัวใจไม่หิวโหยความเหงาก็หาช่องทางที่ไหนเข้ามาคุกคามได้
หลวงพี่ทากูอันไปไหน
โอซือผลุดลุกขึ้นทันทีเมื่อคิดได้
แต่ตั้งแต่ลงมาจากภูเขาและจัดการลงโทษทาเกโซแล้ว หลวงพี่ทากูอันก็ยุ่งอยู่กับการหารือกับบรรดาบริวารของผู้ครองนครฮิเมจิอยู่ในห้องรับรองแขกของวัดทั้งวัน นางคงหาโอกาสเข้าไปชวนคุยอย่างเมื่อตอนอยู่บนภูเขาไม่ได้แน่
โอซือจึงทรุดตัวลงนั่งตามเดิม อารมณ์เหงาทำให้สาวน้อยอยากมีเพื่อนแค่คนเดียวก็พอไม่ต้องการมากคน อยากมีเพื่อนสักคนที่รู้จักและเข้าใจนางดี คอยช่วยเหลือเป็นกำลังใจ เพื่อนที่นางจะเชื่อถือไว้วางใจได้...ตอนนี้โอซืออยากได้เพื่อนแสนดีเช่นนั้นสักคนเหลือเกินจนแทนจะทนไม่ได้
ขลุ่ย...ขลุ่ยที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้แทนตัวเพียงชิ้นเดียวนั้นเคยเป็นเพื่อนที่ดีตลอดมา แต่เมื่อเจริญวัยเป็นสาวน้อยวัยสิบเจ็ดปีและได้ออกไปเผชิญกับโลกภายนอก โอซือก็มีคำถามมากมายตามมาซึ่งเกินกำลังที่ขลุ่ย อันเป็นเพียงไม้ไผ่เยียบเย็นท่อนเดียวนั้นจะให้คำตอบเป็นที่พอใจของเจ้าของมันได้
“เจ็บใจนัก”
โอซืออดไม่ได้ที่จะพาลโกรธความใจดำของฮนอิเด็น มาตาฮาจิชายที่เคยเป็นคู่หมั้นหมาย น้ำตาร่วงเผาะลงบนโต๊ะ เลือดที่พลุ่งพล่านด้วยความโกรธแล่นขึ้นไปเต้นตุบอยู่ที่ขมับทำให้ปวดหนึบ
เสียงประตูด้านหลังถูกเลื่อนเปิดออกเบา ๆ
พลบค่ำแล้ว แสงไฟแดง ๆ วอมแวมอยู่ในเรือนครัว
“อ้อ หลบมาอยู่ที่นี่เองรึโอซือ ข้าเสียเวลาทั้งวันเลยวันนี้”
แม่เฒ่าโอซุงิเดินพูดพลางไอพลางเข้ามาในห้อง
“คุณป้ามา เชิญเจ้าค่ะ”
โอซือรีบเลื่อนเบาะรองนั่งไปให้ แม่เฒ่าทรุดตัวลงนั่งอย่างไม่มีพิธีรีตอง
“เป็นยังไง แม่ว่าที่ลูกสะใภ้”
นางทำซุ้มเสียงวางอำนาจเป็นแม่ผัว
“เจ้าค่ะ”
โอซือจดมือลงกับพื้นเสื่อศีรษะทำความเคารพด้วยกิริยาเรียบร้อยสมเป็นกุลสตรี
“เจ้าก็รู้ตัวดีอยู่แล้วว่าเรามีความสัมพันธ์กันยังไง และที่เข้ามาหาเจ้าที่นี่ก็เพราะอยากพูดเรื่องนี้แหละ แต่ไปเอาน้ำชามาให้สักถ้วยหนึ่งก่อน คุยอยู่กับพระทากูอันและบริวารผู้ครองแคว้นฮิเมจิทั้งวัน จะหาใครมีแก่ใจเอาน้ำชามาให้ดื่มก็ไม่มี จนคอแห้งไปหมดแล้ว
4
“ก็ไม่มีเรื่องอื่นหรอก...”
แม่เฒ่ายกถ้วยชาที่โอซือขึ้นดื่ม แล้วเริ่มเรื่องโดยไม่พูดพล่ามทำเพลง
“เรื่องที่ทาเกโซเล่า ข้าก็ไม่เชื่อทั้งหมดหรอกนะ แต่ดูเหมือนว่ามาตาฮาจิจะไปอยู่ที่แคว้นอื่นจริง ๆ”
“อย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
โอซือถามเสียงเย็นชา
“ข้าก็ไม่แน่ใจนัก แต่ถึงมาตาฮาจิจะตายไป เจ้าก็เป็นหญิงที่ตระกูลฮนอิเด็นรับมาเป็นเจ้าสาวแล้ว โดยได้สู่ขอจากเจ้าอาวาสวัดชิปโปจิแห่งนี้ซึ่งทำหน้าที่เป็นบิดาของเจ้า และไม่ว่าเหตุการณ์ภายหน้าจะเป็นอย่างไรข้าก็มั่นใจว่าจะไม่มีอะไรทำให้เจ้ากลับคำ”
“คือ...”
“ไม่น่าจะมีนะ”
“เจ้าค่ะ”
“ถ้างั้นก็สบายใจไปอย่างหนึ่ง แต่ข้าอยากให้เจ้าย้ายไปอยู่ที่บ้านตระกูลฮนอิเด็น เพราะตอนนี้ชาวบ้านก็นินทากันหนาหูแล้วว่าว่าที่สะใภ้บ้านนี้ถึงยังต้องอยู่กับเจ้าอาวาสที่วัด อีกทั้งมาตาฮาจิก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไร ข้าแก่แล้วไม่มีใครดูแล ถ้าเจ้าย้ายเข้ามาก็จะได้อาศัยไหว้วานกันบ้าง ตอนนี้ที่บ้านก็มีแต่พวกผู้หญิง ลูกสาวข้าแยกเรือนออกไปแล้วก็อาศัยอะไรไม่ได้เพราะต่างคนต่างก็งานเต็มมือไปหมด”
“คือ หนู...”
“ในเมื่อข้ามีแต่มาตาฮาจิเป็นลูกชายคนเดียว แล้วใครล่ะจะเข้ามาอยู่ในบ้านตระกูลฮนอิเด็นในฐานะเจ้าสาวของทายาทได้ยอกจากเจ้า...โอซือ”
“แต่ คุณป้าเจ้าขา”
“อ้อ เจ้ากำลังจะบอกว่าไม่อยากอยู่กับข้าอย่างนั้นรึ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะเจ้าคะ”
“งั้นก็เตรียมตัวเก็บข้าวเก็บของเดี๋ยวนี้เลย”
“คอยให้มาตาฮาจิ กลับมาก่อนไม่ได้หรือเจ้าคะ”
“ไม่ได้” แม่เฒ่าซุงิยื่นคำขาดเสียงแข็ง
“ข้ามีหน้าที่ต้องดูแลเจ้าสาวของตระกูลให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ลิ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมจนกว่าลูกชายจะกลับมา ระหว่างนั้นข้าจะสอนเจ้าทั้งหมดไม่ว่าจะงานในไร่ในนา งานเพาะเลี้ยงตัวไหม งานเย็บปักถักร้อย และกิริยามารยากของกุลสตรี จนกว่ามาตาฮาจิจะกลับมา”
“จะ...เจ้าค่ะ”
โอซือฝืนใจตอบอย่างไม่มีทางเลี่ยง ได้ยินเสียงตัวเองสั่นเครือราวกับร้องไห้ด้วยความเวทนาตัวเอง
“และ...”
คราวนี้แม่เฒ่าโอซุงิสั่งเสียงแข็ง
“ข้ายังไม่เข้าใจว่าพระทากูอันตั้งใจจะทำยังไงกันแน่กับเจ้าทาเกโซเด็กเหลือขอคนนั้น ดีที่เจ้าอยู่ทางนี้ ข้าจึงอยากให้เจ้าเฝ้าระวังทาเกโซอย่าให้คลาดสายตาจนกว่ามันจะตาย โดยเฉพาะตอนกลางดึกถ้าไม่ระวังให้ดี พระทากูอันอาจทำอะไรตามอำเภอใจขึ้นมาก็จะยุ่งกันใหญ่อีก”
“งั้นหนูก็ไม่ต้องไปอยู่บ้านคุณป้าในวันนี้พรุ่งนี้ซีนะเจ้าคะ”
“ข้ารู้ว่าเจ้าทำสองอย่างในเวลาเดียวกันไม่ได้ วันที่เจ้าจะหอบผ้าหอบผ่อนจากที่นี่มาที่บ้านของตระกูลฮนอิเด็น ก็คือวันที่หัวของเจ้าทาเกโซกระเด็นออกจากบ่า เข้าใจนะโอซือ”
“เจ้าค่ะ”
“แน่ใจนะว่าจะไม่ลืมคำพูดของข้าวันนี้”
แม่เฒ่าโอซุงิสำทับแล้วทำตาวาวก่อนออกไปจากห้อง
เงาของใครคนหนึ่งวูบผ่านหน้าต่างเหมือนกำลังคอยโอกาสนี้
“โอซือ โอซือ”
คน ๆ นั้นเรียกเบา ๆ โอซือแปลกใจจึงชะโงกหน้าต่างออกไปดูก็พบซามูไรหนวดปลาดุกยืนอยู่ตรงนั้น และเอื้อมมือขึ้นมาฉวยมือโอซือไว้แน่นทันทีที่เห็น
“โอซือ ข้ามาขอบใจที่นางช่วยดูแลตลอดเวลาที่ข้าพักอยู่ที่นี่ วันนี้คนจากแคว้นฮิเมจินำมาหมายมาแจ้งให้ข้ากลับไปที่ฮิเมจิโดนด่วน”
“อย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
โอซือชักมือกลับแต่ไม่สำเร็จ เพราะซามูไรหนวดปลาดุกจับเอาไว้แน่น
“เรื่องมีอยู่ว่าผู้ครองแคว้นได้ข่าวความวุ่นวายที่เกิดขึ้นที่นี่และได้ให้บริวารสืบเรื่องราวจนได้ความจริง และบอกว่าถ้าข้าได้หัวของเจ้าทาเกโซกลับไปข้าจะได้บำเหน็จรางวัลมากมายอีกทั้งยศถาบันดาศักดิ์ แต่พระทากูอันดื้อดึง ไม่ว่าจะพูดจาหว่านล้อมยังไงก็ไม่ยอมให้ข้าได้หัวของทาเกโซ ข้าไม่รู้จะพึ่งใครนอกจากเจ้า และมาหาเจ้าเพราะคิดว่าจะเห็นใจและเข้าข้างข้าบ้าง นี่คือจดหมายของข้า ไม่ต้องอ่านเดี๋ยวนี้ก็ได้ แต่เวลาอ่านอย่าให้ใครเห็นนะ”
โอซือรู้สึกเหมือนมีอะไรถูกยัดเข้าในอุ้งมือ แล้วซามูไรหนวดปลาดุกก็รีบเร่งฝีเท้าออกไปจากที่นั้น
5
ของที่ซามูไรหนวดปลาดุกยัดใส่มือโอซือนั้นไม่ได้มีแค่จดหมาย แต่กระดาษแผ่นนั้นห่ออะไรหนัก ๆ อย่างหนึ่งมาด้วย
โอซือรู้ดีว่าซามูไรหนวดปลาดุกมีความทะเยอทะยานในยศถาบันดาศักดิ์เพียงใด แต่ก็เดาไม่ออกว่าจะมาไม้ไหนกันแน่ สาวน้อยค่อย ๆ คลี่กระดาษแผนนั้นออกอย่างกลัว ๆ กล้า ๆ ก็พบทองแผ่นใหญ่สีเหลืองสะท้อนแสงสุกสกาวสูงค่าอยู่ในนั้นอันหนึ่ง จดหมายที่แนบมามีข้อความตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมว่า
ดังที่ได้เกริ่นไว้ด้วยวาจาแล้วว่าข้าต้องการหัวของทาเกโซ ดังนั้นจึงขอให้เจ้าตัดหัวทาเกโซแล้วลอบนำมาให้ข้าที่ปราสาท ฮิเมจิภายสองสามวันนี้ ถ้าทำได้เช่นนั้นท่านอิเคดะแห่งแคว้นฮิเมจิก็จะปูนบำเหน็จรางวัลและเลื่อนขั้นให้ข้าได้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้นในกองทัพมีทรัพย์ศฤงคารและบริวารมากมาย ข้าจะตกแต่งเจ้าเป็นศรีภรรยาและเจ้าก็จะได้มีชีวิตสุขสบายไปตลอดชาติ ขอให้เก็บจดหมายฉบับนี้ไว้เป็นเสมือนหนังสือสัญญาระหว่างกัน ลงชื่อ อาโอกิ ทันซาเอมอน
“โอซือ กินข้าวรึยัง”
เสียงหลวงพี่ทากูอันเรียกอยู่ข้างนอก โอซือสวมรองเท้าแตะฟางออกไปหาพลางส่งเสียงบอกไปว่า
“คืนนี้ปวดหัวนิดหน่อยไม่อยากกินอะไร”
“เอ๊ะ นั่นมีอะไรอยู่ในมือ”
“จดหมายเจ้าค่ะ”
“ของใคร”
“อ่านไหมเจ้าคะ”
“ถ้าไม่คิดอะไร”
“ไม่เลยเจ้าค่ะ”
พระทากูอันรับจดหมายที่โอซือส่งให้ไปอ่านแล้วหัวเราะเสียงลั่น
“น่าเวทนา ซามูไรหนวดปลาดุกพยายามซื้อโอซือด้วยเสน่ห์และเงิน อาตมาเพิ่งรู้จากจดหมายฉบับนี้ว่าซามูไรหนวดมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอาโอกิ ทันซาเอมอน น่าขำที่โลกเรานี้ก็มีนักรบแปลก ๆ อย่างนี้เหมือนกัน น่ายินดีด้วยจริง ๆ กับแคว้น ฮิเมจิ”
“อะไร ๆ ก็ดีหรอกหลวงพี่ แต่ท่านเอาแผ่นทองนี่ห่อมาในจดหมายนี่ซี จะทำยังไงดี”
“โอ้โฮ มีค่ามากเสียด้วย”
“แต่หลวงพี่ ฉันไม่รู้จะทำยังไงดีจริง ๆ”
“เรื่องเงินเรื่องทองนี่จัดการไม่ยาก”
พระทากูอันเดินถือแผ่นทองไปที่หน้าโบสถ์ ทำท่าจะเอาไปใส่ลงไปในกล่องทำบุญ แต่หลังจากยกขึ้นจบที่หน้าผากและ ภาวนาเสร็จล้าก็เปลี่ยนใจ
“อาตมาว่าโอซือเก็บเอาไว้ดีกว่า มันก็ไม่ได้เกะกะอะไร”
“ไม่ดีละมังหลวงพี่ เดี๋ยวเขาเกิดมาทวงถามอะไรภายหลัง ฉันไม่อยากยุ่งยาก”
“ทองแผนนี้ไม่ใช่ของนายซามูไรหนวดปลาดุกคนนั้นแล้ว แต่เป็นทองที่ทำบุญถวายพระโพธิสัตว์ไปแล้ว และโอซือก็ได้รับจากพระโพธิสัตว์อีกที เอาเก็บไว้เป็นเครื่องรางประจำตัวเถิด”
โอซือรับแผ่นทองมาเหน็บไว้ที่ผ้าคาดกิโมโนอย่างว่าง่าย
“คืนนี้ลมพัดแรงจริง"
พระทากูอันแหงนมองขึ้นฟ้า
“ฝนไม่ตกมาหลายวันแล้ว”
“กำลังจะสิ้นฤดูใบไม้ผลิ ฝนตกลงมาบ้างก็ดีจะได้ชะล้างกลีบดอกไม้ที่ทับถมบนพื้นดิน และจะได้ใคร ๆ หายเบื่อและกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาบ้าง”
“ถ้าฝนเกิดตกหนัก ทาเกโซมิแย่หรือหลวงพี่”
“อือม์ ทาเกโซ นะ”
ท้องสองมองไปที่ต้นสนร้อยปีพร้อมกัน เสียงคนตะโกนฝ่าเสียงลมแรงลงมาจากกิ่งไม้สูงลิ่ว
“ทากูอัน ทากูอัน”
“โอ...ทาเกโซรึ”
พระทากูอันขยี้ตามองขึ้นไปที่คาคบ
“ไอ้พระบ้า ไอ้ทากูอันพระขี้เรื้อน ข้ามีเรื่องจะพูดด้วย มาตรงนี้เดี๋ยวนี้”
เสียงลมแรงที่พัดกิ่งสนจนไหวลู่ ยิ่งทำให้เสียงตะโกนนั้นยิ่งก้องกังวานไกลออกไปอีก ใบสนหล่นเกลื่อนลงมาเต็มพื้นดินและบนใบหน้าของพระทากูอันที่แหงนขึ้นไปมองทาเกโซซึ่งถูกแขวนห้อยเหมือนตุ๊กตาฟางลงมาจากกิ่งสนสูงลิ่ว