รศ. ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
รศ.ดร. เดือนเพ็ญ ธีรวรรณวิวัฒน์
ผศ. ดร. ดารารัตน์ อานันทนสุวงศ์
รศ.ดร. พาชิตชนัต ศิริพานิช
ผศ. ดร. ปรีชา วิจิตรธรรมรส
ผศ. ดร. รติพร ถึงฝั่ง
รศ. ดร.อุดมศักดิ์ ศีลประชาวงศ์
ไพลิน เชื้อหยก
ดนุพล ทองคำ
วศิน แก้วชาญค้า
ศูนย์วิจัยสังคมสูงอายุ
ศูนย์คลังปัญญาและสารสนเทศ
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
ในบทความที่แล้ว “แก่แต่จน : ประชากรไทยจะแก่สักแค่ไหน จะเกิดปัญหาอะไร แก้ไขได้หรือไม่ ?” https://mgronline.com/daily/detail/9680000106311 เรามีผลการฉายภาพประชากรของไทยว่าจะเกิดปัญหาสังคมสูงอายุ (Aging society) และปัญหาสังคมสูงอายุขั้นสุด (Superaged society) ในอีกไม่นาน ประเทศไทยจะเผชิญปัญหาขาดแคลนแรงงาน กำลังซื้อและการบริโภคหดหายอย่างรุนแรง จะเกิดปัญหาภาระบำนาญและค่ารักษาพยาบาลที่สูงลิ่ว จนเกิดปัญหาภาระทางการคลังและหนี้สาธารณะ เพราะความจำเริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยไม่ได้สูงเท่าทันกับการเข้าสู่สังคมสูงอายุขั้นสุด ทำให้เราอยู่ในภาวะแก่แต่จน
ในบทความนี้ เราจะมาลองพิจารณากันว่าแก่แต่จนจะส่งผลให้กองทุนต่างๆ ของไทยล้มละลายไปไม่รอดอย่างไร และจะส่งผลอย่างไรกับคนหนุ่มสาวในวันนี้ที่กำลังจะเป็นคนชราในอนาคตทีละกองทุนสำคัญ
กองทุนแรกที่จะมีปัญหาจากแก่แต่จนและสังคมสูงอายุขั้นสุด คือ กองทุนประกันสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาจากการจ่ายบำนาญให้กับผู้ประกันตนเนื่องจากเกษียณอายุ เพราะสัดส่วนของจำนวนประชากรของไทยที่อายุเกินกว่า 60 ปี จะเพิ่มขึ้นสูงอย่างรวดเร็วและจะเป็นปัญหาอย่างยิ่ง
ทั้งนี้นักวิชาการคนแรกที่ได้วิจัยและเตือนกองทุนประกันสังคมไว้ถึงปัญหาการจ่ายบำนาญคือผู้ช่วยศาสตราจารย์ วีณา ฉายศิลปรุ่งเรือง ผู้ล่วงลับ อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ดังในงานวิจัย วีณา ฉายศิลปรุ่งเรือง. (2541). เสถียรภาพของกองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพของประเทศไทย. วารสารพัฒนบริหารศาสตร์, 171-201.
เช่นเดียวกันกับที่สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ได้เคยทักท้วงเอาไว้เช่นกัน ดังปรากฎในบทความทีดีอาร์ไอเตือน ‘สปส.’ เสี่ยงล้ม เงินไหลออก แนะปรับจ่ายบำนาญ
https://tdri.or.th/2014/01/bangkokbiz-2014-01-16/
แม้สำนักงานประกันสังคมเอง ก็กังวลเช่นกัน ได้ดำเนินการจ้างที่ปรึกษาคือองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International labor organization: ILO) เพื่อประเมินทางคณิตศาสตร์ประกันภัย (Actuarial valuation) ว่ากองทุนประกันสังคมจะไปรอดหรือไม่ เงินกองทุนจะติดลบหรือไม่ เพราะกองทุนประกันสังคมคือกองทุนที่มีขนาดใหญ่สุดของประเทศไทยและมีจำนวนสมาชิกเกือบยี่สิบล้านคน หากกองทุนประกันสังคมล้มละลายแล้วจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกันตนจำนวนมหาศาลและเกิดภาระทางการคลังก่อให้เกิดหนี้สาธารณะอีกมากมายเป็นภาระกับประเทศไทยและลูกหลานไทย
ผลการประเมินทางคณิตศาสตร์ประกันภัยของ ILO ได้สรุปไว้ในสองบทความนี้
หนึ่ง เหตุใด “กองทุนประกันสังคม” จึงมีโอกาสล่มสลายสูงมาก?
https://mgronline.com/daily/detail/9580000135514
สอง “มะเร็ง” ที่ทำให้กองทุนประกันสังคมล้มละลาย สาเหตุและวิธีการรักษา
https://mgronline.com/daily/detail/9680000017649
ต้นเหตุที่กองทุนประกันสังคมจะหมดเงินกองทุนในอีกประมาณไม่เกิน 20 ปีข้างหน้า นั้นมีสาเหตุมาจากสังคมสูงอายุขั้นสุดของไทย ทำให้ต้องจ่ายบำนาญออกไปจนหมดเงิน ดังนั้นผู้ประกันตนที่อายุน้อยและเกษียณช้าจะไม่มีเงินกองทุนเหลือพอที่จะจ่ายบำนาญอีกต่อไป
ต้นเหตุอีกประการหนึ่งคือ อายุเกษียณ (Pensionable age) ของไทยคือ 55 ปี ทำให้ได้รับเงินบำนาญเร็วและหยุดส่งเงินสบทบเร็ว นี่คืออายุเกษียณที่ต่ำที่สุดในโลก ในขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วต้องขยายอายุเกษียณออกไปเรื่อย ๆ เพื่อให้กองทุนประกันสังคมไม่ล้มละลาย เช่น สหรัฐอเมริกากำหนดอายุเกษียณไว้ที่ 67 ปี หรือช้ากว่าประเทศไทย 12 ปี ก็ยังมีปัญหาและมีแนวโน้มต้องขยายอายุเกษียณออกไปอีกเพื่อให้กองทุนประกันสังคมของสหรัฐอเมริกาอยู่รอดได้
สาเหตุที่สองคือ อัตราการจ่ายเงินสมทบรวม (Total contribution rate) จากไตรภาคี คือ นายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐ สามฝ่ายรวมกันก็ต่ำที่สุดในโลกเช่นกัน และมีการหาเสียงโดยลดอัตราการจ่ายเงินสมทบรวมลงไปเรื่อย ๆ อัตราของไทยอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 7 % และเคยกำหนดเพดานไว้ว่าให้จ่ายสมทบได้สูงสุดโดยฝ่ายลูกจ้างเดือนละ 750 บาท จากฐานเงินเดือน 15000 บาทต่อเดือน ซึ่งเพิ่งได้มีการแก้ไขในจุดนี้ไป แต่ยังมิได้แก้ไขอัตราการจ่ายเงินสมทบรวมแต่อย่างใด เพียงแค่ไม่ได้ปิดเพดานดังเดิม โดยได้กำหนดให้ขยายฐานเงินเดือนเป็น 23000 และสมทบได้มากกว่า 750 บาทต่อเดือน แต่ไม่เกินกว่าที่คำนวณจากฐานเงินเดือนคูณกับอัตราการจ่ายเงินสมทบรวม (หารสาม เพราะเป็นไตรภาคี) ดังที่ บอร์ดประกันสังคมเห็นชอบ ปรับเพดานค่าจ้าง สูงสุด 23,000 บาท เริ่มปี’69... https://www.prachachat.net/prachachat-top-story/news-1739962
ในขณะที่กองทุนประกันสังคมของสาธารณรัฐประชาชนจีนมีการกำหนดอัตราการจ่ายเงินสมทบรวมไว้มากกว่าร้อยละ 20 หรือสูงกว่าของไทยประมาณ 3 เท่าเพื่อรองรับปัญหาสังคมสูงอายุขั้นสุดของจีนที่จีนกำลังเผชิญเช่นกันจากนโยบายควบคุมประชากรที่กำหนดให้มีลูกได้เพียงคนเดียวอยู่นานหลายสิบปี
ที่น่าเป็นห่วงคือยังมีความพยายามที่จะนำเงินในกองทุนประกันสังคมออกมาใช้ โดยให้กู้เงินที่ส่งสมทบไว้สำหรับบำนาญยามชราภาพมาใช้ก่อน เพื่อให้ผู้ประกันตนกู้เงินที่ส่งสมทบไว้พร้อมดอกผลมาใช้ได้ ซึ่ง รศ. ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ได้ทักท้วงและคัดค้าน เนื่องจากแค่ปัญหาสังคมผู้สูงอายุเต็มขั้น แก่แต่จน ก็ทำให้กองทุนประกันสังคมล้มละลายลงไปอยู่แล้ว หากทำเช่นนี้เพื่อประชานิยมหาเสียงทางการเมือง ทำลายวินัยในการออม ยิ่งทำให้กองทุนประกันสังคมล้มละลายรวดเร็วยิ่งขึ้น
ชี้นำ “เงินชราภาพ” ออกมาใช้คือหายนะของ “ประกันสังคม”
https://mgronline.com/specialscoop/detail/9650000015770
หากพิจารณาจากข้อมูลนี้ ประเทศไทยไม่สามารถหลีกเลี่ยงการขยายอายุเกษียณออกไปได้เลย จำเป็นต้องขยายอายุเกษียณออกไปเพื่อเพิ่มระยะเวลาในการจ่ายเงินสมทบและลดระยะเวลาในการจ่ายเงินบำนาญสุด แต่การขยับอายุเกษียณเพิ่มขึ้นนั้นจะได้รับแรงต้านจากฝ่ายแรงงานและลูกจ้างอย่างรุนแรง จำเป็นต้องทำและอาจจะค่อย ๆ ขยายแบบขั้นบันได ขายอายุเกษียณเพิ่มขึ้นครั้งละหนึ่งปี สลับปีเว้นปี เช่น หากต้องการขยายอายุเกษียณของไทยจาก 55 ปี ให้เป็น 67 ปี เท่าสหรัฐอเมริกา ก็จะใช้เวลาทั้งสิ้น 24 ปี ซึ่งอาจจะเป็นระยะเวลายาวนานเกินไปและอาจจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาเงินกองทุนประกันสังคมติดลบได้ทัน วิธีการนี้มีข้อดีคือแรงต่อต้านจากภาคแรงงานไม่มากนัก แต่อาจจะแก้ไขปัญหาได้ไม่ทันเวลา ซึ่งควรมีการศึกษาวิจัยต่อไปเพิ่มเติม
หรือสอง เพิ่มอัตราการจ่ายเงินสมทบรวม และแน่นอนต้องทำเป็นแบบขั้นบันไดเช่นกัน เพื่อลดแรงต่อต้าน
แต่ถึงอย่างไรก็ต้องทำ ไม่มีทางเลือก หากไม่ต้องการเห็นกองทุนขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศล้มละลาย นี่คือระเบิดเวลาลูกใหญ่ของเศรษฐกิจไทยในอนาคตอย่างแน่นอน
กองทุนที่สอง ที่จะมีปัญหาจากสังคมสูงอายุขั้นสุดของไทย แก่แต่จน คือ กองทุนบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค ที่บริหารเงินโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช) ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้ก็มีปัญหาอยู่แล้ว
ดังที่ สปสช. ชักดาบไม่จ่ายหนี้โรงพยาบาลต่าง ๆ ทั้งเอกชนและของภาครัฐ ทำให้ขาดทุนกันบักโกรก ถึงกับขนาดมีการเลื่อนคนไข้ที่ต้องผ่าตัดหัวใจขยายหลอดเลือดออกไปก่อน เพราะโรงพยาบาลของรัฐไม่มีเงิน ไม่มีเครดิตพอที่จะซื้อขดลวดหัวใจจากบริษัทยามารักษาคนไข้ เราต้องรอให้มีคนไข้บัตรทองตายกันให้มากๆ ก่อนใช่หรือไม่
เรื่องนี้ ผู้เขียนคนแรกได้ศึกษาไว้ในบทความ ทำไมกองทุนสุขภาพสามกองทุนจะเจ๊งหมดภายใน 30 ปี และจะแก้ไขได้อย่างไร? https://mgronline.com/daily/detail/9610000018789
และได้พยากรณ์ไว้เมื่อสิบปีก่อนว่า ในปีนี้ค่าใช้จ่ายของบัตรทองจะอยู่ที่ 300,000 ล้านบาท แต่ข้อเท็จจริงคือปัจจุบันอยู่ที่ 270,000 ล้านบาทในปีนี้ แต่ไม่เพียงพอ โรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชนที่รับคนไข้บัตรทองต่างขาดทุนบักโกรก โปรดอ่านได้จากบทความ 1.3% หรือ 4% ของ GDP สำหรับหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าไม่เป็นภาระทางการคลังจริงหรือ? https://mgronline.com/daily/detail/9580000058739 ที่ได้พยากรณ์เอาไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อน ยังคงเป็นความจริงอยู่
ปัญหาการชักดาบไม่จ่ายหนี้โรงพยาบาลของ สปสช ต่อโครงการบัตรทอง แม้สิบปีผ่านไป ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข และสร้างปัญหาให้กับระบบสาธารณสุขไทยอย่างหนัก โปรดอ่านจากบทความของผู้เขียนคนที่หนึ่งเมื่อสิบปีก่อน สปสช ทำให้โรงพยาบาลขาดทุนได้อย่างไร : จริยธรรมวิบัติแห่งการไม่มี? ไม่หนี ไม่จ่าย ไม่รับผิดชอบ ของลูกหนี้จอมกร่าง https://mgronline.com/daily/detail/9580000060004
และจากเดิมที่ชักดาบด้วย global budget เฉพาะผู้ป่วยในที่ใช้การจ่ายตาม Disease related group หรือ DRG ที่กำหนดการจ่ายตามน้ำหนักสัมพัทธ์ มาเป็นการชักดาบด้วย Global budget ของการจ่ายให้การรักษาผู้ป่วยนอกใน เขตสุขภาพที่ 13 กรุงเทพมหานคร โดยกำหนด point ในการจ่ายไว้เดิม 1 point คือ 1 บาท ปัจจุบันกดลงมาเหลือ 51 สตางค์ ทำให้โรงพยาบาลในกรุงเทพมหานคร เจ๊งกันบักโกรกถ้วนหน้า
กองทุนที่สามที่จะประสบปัญหาจากสังคมสูงอายุเต็มขั้น คือ สิทธิรักษาพยาบาลข้าราชการ โดยกรมบัญชีกลาง ปัญหาของกองทุนสิทธิรักษาพยาบาลข้าราชการนั้นค่อนข้างจะหนักหน่วงกว่าทุกกองทุน เพราะสมาชิกในกองทุนแก่กว่าทุกกองทุน ที่แก่กว่าทุกกองทุนนั้น เพราะประเทศไทยเคยประสบวิกฤติพลังงาน และทำให้เงินคงคลังของประเทศแทบไม่มี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในเวลานั้นต้องปิดการรับข้าราชการใหม่ไปกว่า 10 ปี เพื่อแก้ไขปัญหาการคลังของประเทศ ทำให้ข้าราชการไทยแก่มาก ผู้เขียนหลายคนได้ร่วมกันวิจัยโดยการฉายภาพประชากรข้าราชการไป 30 ปีข้างหน้า แล้วพบว่าปิรามิดประชากรข้าราชการไทย หัวโต มีแต่ข้าราชการสูงอายุและข้าราชการเกษียณมากเหลือเกิน ดังบทความ สังคมข้าราชการสูงอายุเต็มวัย : ประเทศไทยในมือข้าราชการแก่มากๆ https://mgronline.com/daily/detail/9620000036670
เมื่อคนเราแก่ตัวลง ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลจะพุ่งสูงขึ้นมาก ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของเพศชายมีแนวโน้มจะสูงกว่าเพศหญิงเล็กน้อย อันเป็นสิ่งที่รับทราบกันโดยทั่วไป และก็เป็นความจริงสำหรับข้าราชการด้วยเช่นกัน ดังงานวิจัยของมัณฑนา จาดสอน. & อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์. (2563). ความแตกต่างระหว่างเพศ โค้งพัฒนาการตามอายุ และแนวโน้มของค่าใช้จ่ายประเภทผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอกของสิทธิรักษาพยาบาลข้าราชการ. วารสารการเมืองการปกครอง. 10(1). 253-267.
ทั้งนี้ผู้เขียนคนที่หนึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ของมัณฑนา จาดสอน ที่ศึกษาเรื่อง การประเมินทางคณิตศาสตร์ (Actuarial Valuation) ของค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของข้าราชการและผู้อาศัยสิทธิในอีก 30 ปีข้างหน้า วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สถิติประยุกต์ สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
ปัญหานี้เริ่มหนักหน่วง กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลสิทธิรักษาพยาบาลข้าราชการได้ทั้งหมดอีกต่อไป ทำให้ต้องเกิดการร่วมจ่ายแล้ว ในโรคที่ต้นทุนสูงเช่น โรคมะเร็งซึ่งมียาบางรายการมีราคาสูงมาก และกรมบัญชีกลางไม่สามารถจ่ายได้ไหวแล้ว https://www.hfocus.org/content/2025/09/35416
ทั้งหมดนี่คือปัญหาแก่แต่จน ทำให้กองทุนต่าง ๆ ของไทย ไปไม่รอด เข้าใกล้ภาวะล้มละลาย และจะสร้างปัญหาภาระทางการคลังและหนี้สาธารณะให้กับลูกหลานไทยต่อไปในอนาคต หากยังไม่รีบแก้ไขปัญหาที่สาเหตุในวันนี้
รศ.ดร. เดือนเพ็ญ ธีรวรรณวิวัฒน์
ผศ. ดร. ดารารัตน์ อานันทนสุวงศ์
รศ.ดร. พาชิตชนัต ศิริพานิช
ผศ. ดร. ปรีชา วิจิตรธรรมรส
ผศ. ดร. รติพร ถึงฝั่ง
รศ. ดร.อุดมศักดิ์ ศีลประชาวงศ์
ไพลิน เชื้อหยก
ดนุพล ทองคำ
วศิน แก้วชาญค้า
ศูนย์วิจัยสังคมสูงอายุ
ศูนย์คลังปัญญาและสารสนเทศ
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
ในบทความที่แล้ว “แก่แต่จน : ประชากรไทยจะแก่สักแค่ไหน จะเกิดปัญหาอะไร แก้ไขได้หรือไม่ ?” https://mgronline.com/daily/detail/9680000106311 เรามีผลการฉายภาพประชากรของไทยว่าจะเกิดปัญหาสังคมสูงอายุ (Aging society) และปัญหาสังคมสูงอายุขั้นสุด (Superaged society) ในอีกไม่นาน ประเทศไทยจะเผชิญปัญหาขาดแคลนแรงงาน กำลังซื้อและการบริโภคหดหายอย่างรุนแรง จะเกิดปัญหาภาระบำนาญและค่ารักษาพยาบาลที่สูงลิ่ว จนเกิดปัญหาภาระทางการคลังและหนี้สาธารณะ เพราะความจำเริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยไม่ได้สูงเท่าทันกับการเข้าสู่สังคมสูงอายุขั้นสุด ทำให้เราอยู่ในภาวะแก่แต่จน
ในบทความนี้ เราจะมาลองพิจารณากันว่าแก่แต่จนจะส่งผลให้กองทุนต่างๆ ของไทยล้มละลายไปไม่รอดอย่างไร และจะส่งผลอย่างไรกับคนหนุ่มสาวในวันนี้ที่กำลังจะเป็นคนชราในอนาคตทีละกองทุนสำคัญ
กองทุนแรกที่จะมีปัญหาจากแก่แต่จนและสังคมสูงอายุขั้นสุด คือ กองทุนประกันสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาจากการจ่ายบำนาญให้กับผู้ประกันตนเนื่องจากเกษียณอายุ เพราะสัดส่วนของจำนวนประชากรของไทยที่อายุเกินกว่า 60 ปี จะเพิ่มขึ้นสูงอย่างรวดเร็วและจะเป็นปัญหาอย่างยิ่ง
ทั้งนี้นักวิชาการคนแรกที่ได้วิจัยและเตือนกองทุนประกันสังคมไว้ถึงปัญหาการจ่ายบำนาญคือผู้ช่วยศาสตราจารย์ วีณา ฉายศิลปรุ่งเรือง ผู้ล่วงลับ อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ดังในงานวิจัย วีณา ฉายศิลปรุ่งเรือง. (2541). เสถียรภาพของกองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพของประเทศไทย. วารสารพัฒนบริหารศาสตร์, 171-201.
เช่นเดียวกันกับที่สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ได้เคยทักท้วงเอาไว้เช่นกัน ดังปรากฎในบทความทีดีอาร์ไอเตือน ‘สปส.’ เสี่ยงล้ม เงินไหลออก แนะปรับจ่ายบำนาญ
https://tdri.or.th/2014/01/bangkokbiz-2014-01-16/
แม้สำนักงานประกันสังคมเอง ก็กังวลเช่นกัน ได้ดำเนินการจ้างที่ปรึกษาคือองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International labor organization: ILO) เพื่อประเมินทางคณิตศาสตร์ประกันภัย (Actuarial valuation) ว่ากองทุนประกันสังคมจะไปรอดหรือไม่ เงินกองทุนจะติดลบหรือไม่ เพราะกองทุนประกันสังคมคือกองทุนที่มีขนาดใหญ่สุดของประเทศไทยและมีจำนวนสมาชิกเกือบยี่สิบล้านคน หากกองทุนประกันสังคมล้มละลายแล้วจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกันตนจำนวนมหาศาลและเกิดภาระทางการคลังก่อให้เกิดหนี้สาธารณะอีกมากมายเป็นภาระกับประเทศไทยและลูกหลานไทย
ผลการประเมินทางคณิตศาสตร์ประกันภัยของ ILO ได้สรุปไว้ในสองบทความนี้
หนึ่ง เหตุใด “กองทุนประกันสังคม” จึงมีโอกาสล่มสลายสูงมาก?
https://mgronline.com/daily/detail/9580000135514
สอง “มะเร็ง” ที่ทำให้กองทุนประกันสังคมล้มละลาย สาเหตุและวิธีการรักษา
https://mgronline.com/daily/detail/9680000017649
ต้นเหตุที่กองทุนประกันสังคมจะหมดเงินกองทุนในอีกประมาณไม่เกิน 20 ปีข้างหน้า นั้นมีสาเหตุมาจากสังคมสูงอายุขั้นสุดของไทย ทำให้ต้องจ่ายบำนาญออกไปจนหมดเงิน ดังนั้นผู้ประกันตนที่อายุน้อยและเกษียณช้าจะไม่มีเงินกองทุนเหลือพอที่จะจ่ายบำนาญอีกต่อไป
ต้นเหตุอีกประการหนึ่งคือ อายุเกษียณ (Pensionable age) ของไทยคือ 55 ปี ทำให้ได้รับเงินบำนาญเร็วและหยุดส่งเงินสบทบเร็ว นี่คืออายุเกษียณที่ต่ำที่สุดในโลก ในขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วต้องขยายอายุเกษียณออกไปเรื่อย ๆ เพื่อให้กองทุนประกันสังคมไม่ล้มละลาย เช่น สหรัฐอเมริกากำหนดอายุเกษียณไว้ที่ 67 ปี หรือช้ากว่าประเทศไทย 12 ปี ก็ยังมีปัญหาและมีแนวโน้มต้องขยายอายุเกษียณออกไปอีกเพื่อให้กองทุนประกันสังคมของสหรัฐอเมริกาอยู่รอดได้
สาเหตุที่สองคือ อัตราการจ่ายเงินสมทบรวม (Total contribution rate) จากไตรภาคี คือ นายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐ สามฝ่ายรวมกันก็ต่ำที่สุดในโลกเช่นกัน และมีการหาเสียงโดยลดอัตราการจ่ายเงินสมทบรวมลงไปเรื่อย ๆ อัตราของไทยอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 7 % และเคยกำหนดเพดานไว้ว่าให้จ่ายสมทบได้สูงสุดโดยฝ่ายลูกจ้างเดือนละ 750 บาท จากฐานเงินเดือน 15000 บาทต่อเดือน ซึ่งเพิ่งได้มีการแก้ไขในจุดนี้ไป แต่ยังมิได้แก้ไขอัตราการจ่ายเงินสมทบรวมแต่อย่างใด เพียงแค่ไม่ได้ปิดเพดานดังเดิม โดยได้กำหนดให้ขยายฐานเงินเดือนเป็น 23000 และสมทบได้มากกว่า 750 บาทต่อเดือน แต่ไม่เกินกว่าที่คำนวณจากฐานเงินเดือนคูณกับอัตราการจ่ายเงินสมทบรวม (หารสาม เพราะเป็นไตรภาคี) ดังที่ บอร์ดประกันสังคมเห็นชอบ ปรับเพดานค่าจ้าง สูงสุด 23,000 บาท เริ่มปี’69... https://www.prachachat.net/prachachat-top-story/news-1739962
ในขณะที่กองทุนประกันสังคมของสาธารณรัฐประชาชนจีนมีการกำหนดอัตราการจ่ายเงินสมทบรวมไว้มากกว่าร้อยละ 20 หรือสูงกว่าของไทยประมาณ 3 เท่าเพื่อรองรับปัญหาสังคมสูงอายุขั้นสุดของจีนที่จีนกำลังเผชิญเช่นกันจากนโยบายควบคุมประชากรที่กำหนดให้มีลูกได้เพียงคนเดียวอยู่นานหลายสิบปี
ที่น่าเป็นห่วงคือยังมีความพยายามที่จะนำเงินในกองทุนประกันสังคมออกมาใช้ โดยให้กู้เงินที่ส่งสมทบไว้สำหรับบำนาญยามชราภาพมาใช้ก่อน เพื่อให้ผู้ประกันตนกู้เงินที่ส่งสมทบไว้พร้อมดอกผลมาใช้ได้ ซึ่ง รศ. ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ได้ทักท้วงและคัดค้าน เนื่องจากแค่ปัญหาสังคมผู้สูงอายุเต็มขั้น แก่แต่จน ก็ทำให้กองทุนประกันสังคมล้มละลายลงไปอยู่แล้ว หากทำเช่นนี้เพื่อประชานิยมหาเสียงทางการเมือง ทำลายวินัยในการออม ยิ่งทำให้กองทุนประกันสังคมล้มละลายรวดเร็วยิ่งขึ้น
ชี้นำ “เงินชราภาพ” ออกมาใช้คือหายนะของ “ประกันสังคม”
https://mgronline.com/specialscoop/detail/9650000015770
หากพิจารณาจากข้อมูลนี้ ประเทศไทยไม่สามารถหลีกเลี่ยงการขยายอายุเกษียณออกไปได้เลย จำเป็นต้องขยายอายุเกษียณออกไปเพื่อเพิ่มระยะเวลาในการจ่ายเงินสมทบและลดระยะเวลาในการจ่ายเงินบำนาญสุด แต่การขยับอายุเกษียณเพิ่มขึ้นนั้นจะได้รับแรงต้านจากฝ่ายแรงงานและลูกจ้างอย่างรุนแรง จำเป็นต้องทำและอาจจะค่อย ๆ ขยายแบบขั้นบันได ขายอายุเกษียณเพิ่มขึ้นครั้งละหนึ่งปี สลับปีเว้นปี เช่น หากต้องการขยายอายุเกษียณของไทยจาก 55 ปี ให้เป็น 67 ปี เท่าสหรัฐอเมริกา ก็จะใช้เวลาทั้งสิ้น 24 ปี ซึ่งอาจจะเป็นระยะเวลายาวนานเกินไปและอาจจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาเงินกองทุนประกันสังคมติดลบได้ทัน วิธีการนี้มีข้อดีคือแรงต่อต้านจากภาคแรงงานไม่มากนัก แต่อาจจะแก้ไขปัญหาได้ไม่ทันเวลา ซึ่งควรมีการศึกษาวิจัยต่อไปเพิ่มเติม
หรือสอง เพิ่มอัตราการจ่ายเงินสมทบรวม และแน่นอนต้องทำเป็นแบบขั้นบันไดเช่นกัน เพื่อลดแรงต่อต้าน
แต่ถึงอย่างไรก็ต้องทำ ไม่มีทางเลือก หากไม่ต้องการเห็นกองทุนขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศล้มละลาย นี่คือระเบิดเวลาลูกใหญ่ของเศรษฐกิจไทยในอนาคตอย่างแน่นอน
กองทุนที่สอง ที่จะมีปัญหาจากสังคมสูงอายุขั้นสุดของไทย แก่แต่จน คือ กองทุนบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค ที่บริหารเงินโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช) ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้ก็มีปัญหาอยู่แล้ว
ดังที่ สปสช. ชักดาบไม่จ่ายหนี้โรงพยาบาลต่าง ๆ ทั้งเอกชนและของภาครัฐ ทำให้ขาดทุนกันบักโกรก ถึงกับขนาดมีการเลื่อนคนไข้ที่ต้องผ่าตัดหัวใจขยายหลอดเลือดออกไปก่อน เพราะโรงพยาบาลของรัฐไม่มีเงิน ไม่มีเครดิตพอที่จะซื้อขดลวดหัวใจจากบริษัทยามารักษาคนไข้ เราต้องรอให้มีคนไข้บัตรทองตายกันให้มากๆ ก่อนใช่หรือไม่
เรื่องนี้ ผู้เขียนคนแรกได้ศึกษาไว้ในบทความ ทำไมกองทุนสุขภาพสามกองทุนจะเจ๊งหมดภายใน 30 ปี และจะแก้ไขได้อย่างไร? https://mgronline.com/daily/detail/9610000018789
และได้พยากรณ์ไว้เมื่อสิบปีก่อนว่า ในปีนี้ค่าใช้จ่ายของบัตรทองจะอยู่ที่ 300,000 ล้านบาท แต่ข้อเท็จจริงคือปัจจุบันอยู่ที่ 270,000 ล้านบาทในปีนี้ แต่ไม่เพียงพอ โรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชนที่รับคนไข้บัตรทองต่างขาดทุนบักโกรก โปรดอ่านได้จากบทความ 1.3% หรือ 4% ของ GDP สำหรับหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าไม่เป็นภาระทางการคลังจริงหรือ? https://mgronline.com/daily/detail/9580000058739 ที่ได้พยากรณ์เอาไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อน ยังคงเป็นความจริงอยู่
ปัญหาการชักดาบไม่จ่ายหนี้โรงพยาบาลของ สปสช ต่อโครงการบัตรทอง แม้สิบปีผ่านไป ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข และสร้างปัญหาให้กับระบบสาธารณสุขไทยอย่างหนัก โปรดอ่านจากบทความของผู้เขียนคนที่หนึ่งเมื่อสิบปีก่อน สปสช ทำให้โรงพยาบาลขาดทุนได้อย่างไร : จริยธรรมวิบัติแห่งการไม่มี? ไม่หนี ไม่จ่าย ไม่รับผิดชอบ ของลูกหนี้จอมกร่าง https://mgronline.com/daily/detail/9580000060004
และจากเดิมที่ชักดาบด้วย global budget เฉพาะผู้ป่วยในที่ใช้การจ่ายตาม Disease related group หรือ DRG ที่กำหนดการจ่ายตามน้ำหนักสัมพัทธ์ มาเป็นการชักดาบด้วย Global budget ของการจ่ายให้การรักษาผู้ป่วยนอกใน เขตสุขภาพที่ 13 กรุงเทพมหานคร โดยกำหนด point ในการจ่ายไว้เดิม 1 point คือ 1 บาท ปัจจุบันกดลงมาเหลือ 51 สตางค์ ทำให้โรงพยาบาลในกรุงเทพมหานคร เจ๊งกันบักโกรกถ้วนหน้า
กองทุนที่สามที่จะประสบปัญหาจากสังคมสูงอายุเต็มขั้น คือ สิทธิรักษาพยาบาลข้าราชการ โดยกรมบัญชีกลาง ปัญหาของกองทุนสิทธิรักษาพยาบาลข้าราชการนั้นค่อนข้างจะหนักหน่วงกว่าทุกกองทุน เพราะสมาชิกในกองทุนแก่กว่าทุกกองทุน ที่แก่กว่าทุกกองทุนนั้น เพราะประเทศไทยเคยประสบวิกฤติพลังงาน และทำให้เงินคงคลังของประเทศแทบไม่มี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในเวลานั้นต้องปิดการรับข้าราชการใหม่ไปกว่า 10 ปี เพื่อแก้ไขปัญหาการคลังของประเทศ ทำให้ข้าราชการไทยแก่มาก ผู้เขียนหลายคนได้ร่วมกันวิจัยโดยการฉายภาพประชากรข้าราชการไป 30 ปีข้างหน้า แล้วพบว่าปิรามิดประชากรข้าราชการไทย หัวโต มีแต่ข้าราชการสูงอายุและข้าราชการเกษียณมากเหลือเกิน ดังบทความ สังคมข้าราชการสูงอายุเต็มวัย : ประเทศไทยในมือข้าราชการแก่มากๆ https://mgronline.com/daily/detail/9620000036670
เมื่อคนเราแก่ตัวลง ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลจะพุ่งสูงขึ้นมาก ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของเพศชายมีแนวโน้มจะสูงกว่าเพศหญิงเล็กน้อย อันเป็นสิ่งที่รับทราบกันโดยทั่วไป และก็เป็นความจริงสำหรับข้าราชการด้วยเช่นกัน ดังงานวิจัยของมัณฑนา จาดสอน. & อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์. (2563). ความแตกต่างระหว่างเพศ โค้งพัฒนาการตามอายุ และแนวโน้มของค่าใช้จ่ายประเภทผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอกของสิทธิรักษาพยาบาลข้าราชการ. วารสารการเมืองการปกครอง. 10(1). 253-267.
ทั้งนี้ผู้เขียนคนที่หนึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ของมัณฑนา จาดสอน ที่ศึกษาเรื่อง การประเมินทางคณิตศาสตร์ (Actuarial Valuation) ของค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของข้าราชการและผู้อาศัยสิทธิในอีก 30 ปีข้างหน้า วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สถิติประยุกต์ สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
ปัญหานี้เริ่มหนักหน่วง กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลสิทธิรักษาพยาบาลข้าราชการได้ทั้งหมดอีกต่อไป ทำให้ต้องเกิดการร่วมจ่ายแล้ว ในโรคที่ต้นทุนสูงเช่น โรคมะเร็งซึ่งมียาบางรายการมีราคาสูงมาก และกรมบัญชีกลางไม่สามารถจ่ายได้ไหวแล้ว https://www.hfocus.org/content/2025/09/35416
ทั้งหมดนี่คือปัญหาแก่แต่จน ทำให้กองทุนต่าง ๆ ของไทย ไปไม่รอด เข้าใกล้ภาวะล้มละลาย และจะสร้างปัญหาภาระทางการคลังและหนี้สาธารณะให้กับลูกหลานไทยต่อไปในอนาคต หากยังไม่รีบแก้ไขปัญหาที่สาเหตุในวันนี้


