เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องเปลี่ยนบรรยากาศ โดยแฉลบจาก “แนวรบยุโรปตะวันออก”มาแวะแถวๆ “แนวรบทะเลจีนใต้”เอาไว้มั่งนั่นแหละทั่น!!! เพราะแม้แทบไม่น่าเชื่อแต่คงต้องเชื่ออย่างมิอาจปฏิเสธได้เลย ว่าขนาดกำลังรุมเหยียบ รุมกระทืบ หมีขาวรัสเซียในกรณี “วิกฤตยูเครน”อย่างชนิดฝ่าตีน ส้นตีน ไม่น่าจะว่าง แต่คุณพ่ออเมริกาและนาโตยังดันมีเรี่ยว มีแรง ยังคงกระเหี้ยนกระหือรือ ที่จะหันมาสาดมือ สาดตีน ใส่พญามังกรจีน แบบชนิดตีนแล้ว ตีนเล่า กันจนได้...
คือถ้าลองไล่เรียงกันมาเป็นดอกๆ...ก็คงไล่ได้ตั้งแต่การที่รัฐบาล “โจ ซึมเซา” ตัดสินใจขายระบบป้องกันภัยทางอากาศ หรือจรวดแพทริออต (Patriot Air Defense System) มูลค่า 95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับเกาะไต้หวันไปเป็นที่เรียบร้อย แม้อาจถือเป็นการ “เซ็งลี้”หาเงิน-หาทอง ตามแบบฉบับพ่อค้าอาวุธอันดับหนึ่งของโลกโดยปกติทั่วไป แต่การขายอาวุธให้กับไต้หวันของรัฐบาล “โจ ซึมเซา”ชุดนี้ ต้องถือเป็นการขายเป็นครั้งที่ 3 เข้าไปแล้ว ทั้งๆ ที่เพิ่งขาก เพิ่งคาย บรรดาคำพูดหวานๆ ให้กับผู้นำจีน ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง”ระหว่างการพบปะทางวิดีโอ คอนเฟอเรนซ์ ไปเมื่อไม่กี่วันมานี้ ว่าจะยึดมั่นใน “นโยบายจีนเดียว” ไม่คิดจะสนับสนุนการ “แบ่งแยกดินแดน” หรือประกาศเอกราชของไต้หวัน แต่ในทางปฏิบัติกลับหันมา “ติดอาวุธ”ให้กับเกาะเล็กๆ อย่างไต้หวัน แบบชนิดคราวแล้ว คราวเล่า...
ส่วน “ดอกที่สอง”...ก็คือการออกข่าว ปล่อยข่าว ผ่านหนังสือพิมพ์ “Fuji” ของญี่ปุ่น ว่าหลังการเดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่น-ยุ่นปี่ ตั้งแต่ช่วงวันอาทิตย์ (3 เม.ย.) ที่ผ่านมา ประธานรัฐสภาอเมริกัน “นางแนนซี เพโลซี”อาจคิดแวะมาฉลองเพื่อรำลึกถึงกฎหมายความสัมพันธ์สหรัฐฯ-ไต้หวันตลอดช่วงระยะ 43 ปี อย่างเป็นทางการ โดยแม้ว่ารัฐบาลอเมริกันและพรรครัฐบาล “DDP” ของไต้หวันยังไม่คิดจะยืนยันข่าวนี้ แต่ก็เล่นเอาพญามังกรจีนหนวดกระดิกหงิกงอกันไปมิใช่น้อย เพราะถือเป็นรายการ “ยั่วยวนกวนส้นตีน”ที่หนักซะยิ่งกว่าครั้งอดีตประธานรัฐสภาอเมริกัน “นายนิวต์ กิงกริช”(Newt Gingrich) เคยเดินทางไปเยือนไต้หวันเมื่อปี ค.ศ. 1997 ประมาณ 3 เท่าหรือ 4 เท่าเห็นจะได้ คือครั้งนั้น...ประธานรัฐสภาอเมริกันเป็นรีพับลิกัน ขณะที่รัฐบาลอเมริกันยุค “บิล คลินตัน”เป็นเดโมแครต ก็เลยยังไม่ถึงกับต้องถือสา หาความ หยิบเอามาเป็นเรื่อง เป็นราว มากมายสักเท่าไหร่ แต่สำหรับประธานสภาอย่าง “นางเพโลซี” นั้น เป็นเดโมแครตทั้งแท่ง ทั้งด้าม ไม่ต่างไปจากผู้นำรัฐบาลอย่าง “ผู้เฒ่าโจ ซึมเซา”การคิดเดินทางมาเยือนไต้หวันจึงต้องถือเป็นความเห็นชอบ หรือการไม่คิดจะคัดค้าน ของผู้นำประเทศอเมริกา ที่เพิ่งขาก เพิ่งคาย “คำหวาน” ว่าไม่คิดทำอะไรให้จีนต้องเจ็บกระดองใจเรื่องไต้หวันโดยเด็ดขาด...
แต่ก็ไม่ใช่เพียงแค่ดอก-สองดอกเท่านั้น...เพราะสำหรับ “ดอกที่สาม” ออกจะเอาเรื่อง และเป็นเรื่อง-เป็นราวมิใช่น้อย นั่นก็คือภายหลังการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมของประเทศนาโต ที่กรุงบรัสเซลส์เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เลขาฯ นาโต อย่าง “พลเอกเจนส์ สโตลเตนเบิร์ก” (Jens Stoltenberg) ก็ได้ออกมาพูดจา ว่ากล่าว แถลงข่าวอย่างเป็นทางการ ว่าถือเป็นครั้งแรกที่บรรดารัฐมนตรีกลาโหมของนาโต ได้หยิบเอาเรื่องการแผ่อำนาจ อิทธิพล และการอาศัย “นโยบายข่มขู่”ของจีน ต่อภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก มาพูดจาหารือกันอย่างเป็นจริง-เป็นจัง จนอาจนำไปสู่การริเริ่มแนวคิดทางยุทธศาสตร์ ที่จะขยายบทบาทขององค์กรความร่วมมือทางทหารแห่งยุโรป หรือแห่งแอตแลนติกเหนือ เข้ามายุ่มย่าม ยั้วเยี้ย ในภูมิภาคแปซิฟิก อย่างเป็นงาน-เป็นการ หรืออาจนำไปสู่การแสวงหาพันธมิตรในเอเชีย เพื่อให้เกิด “Asian NATO”หรือ “Asian version of NATO” ขึ้นมาเพื่อถ่วง เพื่อรั้ง อิทธิพลพญามังกรจีนกันโดยเฉพาะ นี่...ต้องเรียกว่ายังไม่ทันหายเหม็นสาบหมีขาว ก็ดันคิดหันมากระตุกหนวดพญามังกรเอาดื้อๆ!!!
และก็ไม่ใช่แต่การแสดงออกถึงความกระเหี้ยนกระหือรือแบบเลื่อนๆ ลอยๆเท่านั้น ยังตามมาด้วย “ดอกที่สี่”นั่นคือการประกาศขยายความร่วมมือภายใต้องค์กรสนธิสัญญาทางทหารอย่าง “AUKUS”หรือความร่วมมือทางทหารระหว่างอเมริกา อังกฤษและออสเตรเลีย ที่ไม่เพียงแต่คิดจะถ่ายทอด หรือคิด “แพร่กระจาย” เทคโนโลยีนิวเคลียร์ ให้กับประเทศในภูมิภาคแปซิฟิกอย่างออสเตรเลีย ผ่านการจัดหาเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์แทนที่จะไปซื้อเรือดำน้ำธรรมดาๆ จากฝรั่งเศสช่วงก่อนหน้านี้ แต่ยังคิดจะถ่ายทอด หรือประกาศความร่วมมือที่จะพัฒนาขีปนาวุธระดับ “ไฮเปอร์โซนิก” ที่สามารถเอาไปติดตั้งใกล้ๆ หมู่เกาะโซโลมอน หรือส่วนหนึ่ง-ส่วนใดของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก เพื่อเล่นงานพญามังกรจีนได้อย่างถึงน้ำ ถึงเนื้อ อีกด้วยต่างหาก!!!
คืออาวุธหรือขีปนาวุธอย่างที่เรียกว่า “ไฮเปอร์โซนิก” นั้น...คงต้องยอมรับว่า ได้กลายเป็น “ดัชนีชี้วัด” ขีดความสามารถของสงครามยุคใหม่ไปแล้วก็ว่าได้ ด้วยเหตุเพราะเป็นขีปนาวุธที่มีความเร็วสูงกว่า 5 Mach ขึ้นไป หรือเร็วกว่าเสียงประมาณ 5 เท่า แถมยังมีขีดความสามารถในการหลบหลีก สามารถบินต่ำในระดับเรดาร์ตรวจจับได้ยาก เลยทำให้วิถีโคจรแทบมิอาจคาดเดาได้เลย รวมทั้งยังมีความแม่นยำสูงเอามากๆ จนทำให้ขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นก่อนๆ ที่มีระดับความเร็วไม่เกิน 5 Mach อีกทั้งวิถีโคจรมักถูกกำหนดไว้ตายตัว กลายเป็นอะไรที่เชยซ์ซ์ซ์แสนเชยซ์ซ์ซ์ไปโดยฉับพลันทันที ดังนั้นการที่กองทัพพญามังกรจีนได้ประดิษฐ์คิดค้นขีปนาวุธชนิดนี้ ที่เรียกๆ กันว่า “ตงเฟิง-17”(DF-17) เอาไว้ติดไม้-ติดมือ ส่วนกองทัพหมีขาว มีจรวด “Kinzhal”ติดปลายนวม ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็น “ไฮเปอร์โซนิก”ไปด้วยกันทั้งคู่ เลยทำให้คุณพ่ออเมริกาต้องเร่งพัฒนาอาวุธชนิดนี้ และว่ากันว่า...ได้ทดสอบเป็นผลสำเร็จไปในช่วงเดือนมีนาคมนี่เอง แต่กลับรีบถ่ายทอด หรือรีบแพร่กระจายให้กับประเทศผู้ช่วยนายอำเภออย่างออสเตรเลีย ก็เพื่อเอาไว้เล่นงานคุณพี่จีนกันโดยเฉพาะ...
การรุมเหยียบ รุมกระทืบหมีขาว แบบยังไม่แล้วตีน ยังไม่แล้วเสร็จ...แต่กระนั้นก็กลับหันมาเงื้อง่าส้นตีนใส่พญามังกรจีนอย่างไม่คิดจะลดละ จึงเป็นอะไรที่น่าสยดสนอง น่าขนลุก-ขนพองเอามากๆ หรือเป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดในการ “เผชิญศึก 2 ด้านภายในช่วงเวลาเดียวกัน”หรืออย่างที่ประธานคณะเสนาธิการร่วมกองทัพสหรัฐฯ “พลเอกมาร์ค มิลลีย์” (Mark Milley) ได้สรุปเอาไว้ระหว่างร่วมแถลงข่าวกับรัฐมนตรีกลาโหม “พลเอกลอยด์ ออสติน” (Lloyd Austin) เมื่อช่วงวัน-สองวันมานี้นี่นั่นแหละว่า... “ขณะที่เรา(อเมริกา)ต้องเจอกับ 2 มหาอำนาจแห่งโลก คือจีนและรัสเซีย โดยแต่ละรายต่างมีความสำคัญและมีความสามารถทางทหารด้วยกันทั้งคู่ และต่างมีเจตนาโดยพื้นฐานที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงระเบียบโลกที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้น...เรากำลังก้าวเข้าสู่โลกที่ไร้เสถียรภาพมากขึ้นๆ ความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้นๆ ไม่ใช่ลดลง” พูดง่ายๆว่า...โอกาสที่จะ “อยู่-เย็น-เป็นสุข”นับจากนี้เป็นต้นไปแทบเป็นไปไม่ได้เอาเลย นอกเสียจากต้องยอมศิโรราบ ยอมปล่อยให้คุณพ่ออเมริกาเป็นผู้กำหนดระเบียบโลก หรือยอมให้เป็นจ้าวโลก เป็นประมุขโลกสืบต่อไปตลอดชั่วนิรันดร์กาล...
แต่ก็นั่นแหละ...ด้วยเหตุที่ “เครื่องจักรสังหาร”อย่างกองทัพสหรัฐฯ ดูจะยังไม่ได้ถึงกับคิด “เผชิญหน้าโดยตรง”ไม่ว่ากับหมีขาวรัสเซียหรือพญามังกรจีนก็แล้วแต่ แต่หันไปเน้นหนักในการ “ยั่วยวนกวนส้นตีน” หรือหันไปใช้ “ตัวแทน”อย่างยูเครนเป็น “เครื่องมือ” ซะมากกว่า ไปจนกระทั่งไต้หวัน เป็นต้น โดยถ้าใครน็อตหลุด น็อตหลวมขึ้นมา ก็มีอันต้องเจอกับการ “แซงชั่น” ระดับสุดโหด มหาโหด หรือระดับที่ผู้นำอเมริกันอย่าง “ผู้เฒ่าโจ ซึมเซา”ถึงกับกล้าประกาศว่า จะทำให้เศรษฐกิจรัสเซียถอยหลังไปอีก 15 ปี ทำให้อัตราการเติบโตเศรษฐกิจตลอด 15 ปีหายวับไปกับตา หรือทำให้จีดีพีรัสเซียต้องหดหายไปถึง 15 เปอร์เซ็นต์ภายในปีนี้ให้จงได้!!! จริง-ไม่จริง เป็นไปได้-เป็นไปไม่ได้ อันนี้...คงต้องรอดูกันไปอีกที แต่ไม่ว่าคุณพ่ออเมริกาท่านคิดจะเผชิญหน้าโดยตรง-หรือไม่โดยตรงก็แล้วแต่ ภายใต้บรรยากาศทำนองนี้ โลกทั้งโลก...ย่อมหนีไม่พ้นมีแต่ต้อง “ฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย” ไปอีกตราบนานเท่านาน...