เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องลองหันไปสนใจกับเรื่อง “แปลกๆ” ที่กำลังเป็นข่าวคราวระดับโลก ณ ช่วงระยะนี้เอาไว้มั่งเล็กๆ น้อยๆ ไม่ว่ามันอาจหนักไปทาง “แปลกแต่จริง” หรือ “แปลกเพื่อเอาไว้หลอกแ-ก” โดยเฉพาะสำหรับผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ หรือผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสาทั้งหลาย แต่ก็ต้องถือเป็นประโยชน์ ที่สามารถนำไปใช้เป็น “ภาพสะท้อน” อะไรต่อมิอะไรได้ตามสมควร...
เรื่องแรก...ก็คือเรื่องที่ผู้นำประเทศมหาอำนาจสูงสุดของโลก อย่างคุณปู่ “โจ ไบเดน” ได้ออกมาป่าวประกาศ หรือออกมา “ส่งสัญญาณ” ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ กำลังคิดจะ “ยกเลิกสิทธิบัตรวัคซีน” เพื่อให้บรรดาประเทศจนๆ ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายที่ยังคงมีความอ่อนด้อยในเรื่องเทคโนโลยี มีโอกาส “เข้าถึง” วัคซีน อันถือเป็นการช่วยชีวิตบรรดามวลมนุษยชาติจำนวนมหาศาล ที่กำลังตายโหง ตายห่า เพราะท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างชนิดหนักหนาสาหัส ไปทั่วทั้งโลกไปแล้วก็ว่าได้...
ส่วนเรื่องที่สอง...ก็คือเรื่องที่หัวหน้าคณะผู้แทนเจรจาเรื่อง “โครงการนิวเคลียร์” ของอิหร่านเอง ณ กรุงเวียนนาอยู่ในขณะนี้ คือ “นายAbbas Araghchi” ได้ออกมาเปิดเผยกับสำนักข่าว “Press TV” ไปเมื่อช่วงวันศุกร์ (7 พ.ค.) ที่ผ่านมา ว่าตัวแทนเจรจาฝ่ายสหรัฐฯ กำลังคิดจะยกเลิกมาตรการ “แซงชั่น” อิหร่าน ที่ออกจะดุเดือด รุนแรง เอามากๆ ในยุครัฐบาล “ทรัมป์บ้า” เพื่อกลับมาเป็นหนึ่งบรรดาประเทศที่ร่วมเซ็นสัญญาข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน หรือ “JCPOA” (Joint Comprehensive Plan for Action) ซึ่งอเมริกาได้เคยถอนตัวไปเมื่อหลายปีที่แล้ว...
นี่...ต้องถือเป็นเรื่อง “แปลก” ระดับชนิด “ตีลังกากลับ 360 องศา” เอาเลยก็ว่าได้ ถ้าหากทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปเช่นนั้นจริงๆ หรืออาจทำให้ประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกา เปลี่ยนจากประเทศที่ “เห็นแก่ตัว” แบบสุดๆ กลายมาเป็นประเทศที่มี “มาตรฐานทางศีลธรรม” อย่างชนิดสูงส่ง วิลิศมาหรา เอาเลยถึงขั้นนั้น เหมือนอย่างที่บทบรรณาธิการ “Global Times” สื่อทางการของจีน เขาได้ตั้งข้อสังเกตไว้ในข้อเขียน บทความ เรื่อง “US promise on vaccine patent waiver not remain only news headlines” หรือการสัญญาว่าจะยกเลิกสิทธิบัตรวัคซีนของสหรัฐฯ นั้น ไม่ควรที่จะเป็นเพียงแค่ “ข่าวพาดหัว” เอาไว้เฉยๆ แต่ควรตามไปค้นหาความจริง หรือ “ความเป็นไปได้” กันให้ลึกซึ้ง ถึงแก่น เพื่อที่อาจไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของการ “หลอกแ-ก” หรืออะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่จะว่ากันไป...
คือในเรื่องของการคิดจะยกเลิกสิทธิบัตรวัคซีนป้องกันเชื้อโควิดนั้น ผู้ที่ออกมา “ส่งสัญญาณ” ในเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้ว ก็คือหัวหน้าผู้แทนเจรจาการค้าของสหรัฐฯ ที่ว่ากันว่าค่อนข้างที่จะ “รู้ไส้-รู้พุง” มหาอำนาจคู่แข่งอย่างคุณพี่จีนแบบชนิดมองทะลุเข้าไปถึง “ดาก” อะไรประมาณนั้น นั่นคือ “นางแคทเธอรีน ไท่” หรือ “ไช่” (Katherine Tai) ก็แล้วแต่จะว่ากันไป และก็แน่ล่ะว่า...ทันทีที่รัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาส่งสัญญาณในแง่ “บวก” แบบสุดๆ เช่นนี้ ย่อมแทบไม่มีประเทศหนึ่ง ประเทศใด ที่คิดจะออกมาคัดค้าน ต่อต้าน แบบตรงไป-ตรงมา เอาเลยแม้แต่น้อย ระดับผู้อำนวยการองค์การ “WHO” ที่มีชื่อเรียกยากแบบสุดๆ คือ “นายเทดรอส” หรือ “ทีโดรส อัดฮานอม กี(เก)บรีเยซุส” (Tedros Adhanom Ghebreyesus) ถึงกับต้องออกมาเพ้อ รำพึง ถือว่าเป็น “การตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์” ของประเทศที่เคยได้ชื่อว่าเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัวมาโดยตลอด ตามแบบฉบับ “อเมริกัน ดรีม” อะไรทำนองนั้น...
ไม่ต่างไปจากประธานาธิบดีฝรั่งเศส ประธานาธิบดีรัสเซีย ไปจนถึงประธานสหภาพยุโรป ฯลฯ ที่ต่างออกมา “เห็นควรด้วย” กันไปเป็นแถบๆ หรือต่างเห็นว่า... “ช่วงเวลานี้ ไม่ใช่เป็นช่วงเวลาที่คิดจะทำกำไรสูงสุด แต่ถือเป็นช่วงเวลาที่ควรจะหาทางช่วยเหลือชีวิตมนุษย์ไว้ให้ได้มากที่สุด” ดังที่ผู้นำรัสเซีย “วลาดิมีร์ ปูติน” เน้นเอาไว้นั่นเอง แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ...การทำให้ “สัญญาณ” ที่ว่านี้เป็นจริง-เป็นจังขึ้นมาได้จริงๆ มันคงไม่ถึงกับ “ง่าย” กันสักเท่าไหร่นัก นอกจากจะต้องได้รับการเห็นพ้องต้องกันของบรรดาประเทศต่างๆ ที่ร่วมอยู่ใน “องค์การการค้าโลก” (WTO) จำนวน 164 ประเทศ ไม่มีประเทศหนึ่ง ประเทศใดจะหยิบเอาไป “ฟ้องร้อง” ให้เป็นเรื่อง-เป็นราวขึ้นมา ยังต้องหาทางทำให้บรรดา “บริษัทยา” ของพวกฝรั่งทั้งหลาย ที่ได้ชื่อว่าสุดแสนจะ “โค-ตะ-ระเห็นแก่ตัว” แบบสุดเดช สุดด้ามมาโดยตลอด พร้อมที่จะเปิดเผยข้อมูล แบ่งปันเทคโนโลยี รวมทั้งตัวของรัฐบาลสหรัฐฯ เอง จะต้องเริ่มแสดงให้เห็นถึงความเป็นจริง-เป็นจังเหล่านี้ ด้วยการยกเลิกการห้ามส่งออกวัตถุดิบสำหรับการผลิตวัคซีนเอาไว้เป็นเบื้องแรก...ฯลฯ ฯลฯ...
อันนี้นี่แหละ...ที่มันอาจทำให้เรื่อง “แปลก” กลายเป็นเรื่อง “หลอกแ-ก” ที่ยากจะเป็นจริง-เป็นจังขึ้นมาได้ง่ายๆ หรืออย่างที่ตัวแทนจากประเทศฝรั่งเศสซึ่งพร้อมสนับสนุนการยกเลิกสิทธิบัตรวัคซีนของสหรัฐฯ แต่อดไม่ได้ที่ต้อง “เตือนความจำ”ของใครต่อใครเอาไว้ก่อนล่วงหน้าประมาณว่า “เพราะว่าประเทศอเมริกาที่กำลังคุยใหญ่ คุยโต เรื่องการยกเลิกสิทธิบัตรวัคซีนเองนั่นแหละ คือประเทศที่ไม่คิดจะส่งออกวัคซีนให้ใครต่อใครแม้แต่โดสเดียว...” อีกทั้งรัฐบาลเยอรมนี และสวิส ที่ค่อนข้างต้องเอาอก-เอาใจบรรดา “บริษัทยา” ทั้งหลายอย่างเป็นพิเศษ ก็ทำท่าว่าไม่คิดจะ “ด้วน” หรือไม่เห็นควรด้วย แม้แต่ประเภทที่รวยๆ ระดับขี้แตก-ขี้แตน และเพิ่ง “หย่าเมีย” ไปเมื่อวัน-สองวันนี้ อย่าง “นายบิล เกตส์” ระหว่างออกรายการ “Sky News” เมื่อช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา ก็ได้ประกาศ “จุดยืน” ในเรื่องความเห็นแก่ตัวเอาไว้ชัดเจน คือไม่เห็นด้วยการยกเลิกสิทธิบัตรใดๆ โดยเด็ดขาด ยิ่งมีข่าวว่าบริษัทยาผู้ผลิตวัคซีนไฟเซอร์ช่วงนี้กำลังรวยเอาๆ ผลกำไรพุ่งขึ้นไปกว่าเดิมถึง 45 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่าการประกาศคิดยกเลิกสิทธิบัตรวัคซีนของรัฐบาลสหรัฐฯ จะทำให้ “หุ้นตก” ลงมามิใช่น้อย แต่สุดท้าย...ก็คงพร้อมที่จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เป็นไปตาม “คำสัญญา” ของ “ผู้เฒ่าโจ” อยู่แล้วแน่ๆ หรือให้เป็นแค่ “ข่าวพาดหัว” ไปวันๆ เท่านั้นเอง...
ซึ่งก็คงไม่ต่างไปจากการส่ง “สัญญาณ” ว่าตัวแทนเจรจาข้อตกลง “JCPOA” ของสหรัฐฯ กำลังคิดยกเลิก “แซงชั่น” อิหร่านแล้วกลับไปร่วมมือกับประชาคมระหว่างประเทศดังเดิม เพราะถ้าดูจากช่วงต้นเดือนที่ผ่านมานี้เอง (3 พ.ค.) ภายใต้การพบปะเจรจาระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ กับหัวหน้าหน่วยข่าวกรองมอสสาด “นายYossi Cohen” ตัว “ผู้เฒ่าโจ” เองนั่นแหละ ที่ออกมาปลอบอก-ปลอบใจรัฐบาลอิสราเอลเอาไว้ล่วงหน้า ว่าแนวโน้มการเจรจาที่กรุงเวียนนานั้น ยังไม่ได้มีอะไรเข้าใกล้กับการกลับไปสู่ข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านเอาเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งความเป็น “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” ระหว่างอเมริกากับอิสราเอล อันเป็นคำนิยามที่อดีตประธานาธิบดี “บารัค โอบามา” พูดเอาไว้เอง จึงทำให้ยากส์ส์ส์เอามากๆ หรือแทบเป็นไปไม่ได้เอาเลย ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยุคใหม่จะ “เห็นขี้-ดีกว่าไส้”...
อีกทั้งไม่ว่าตัวรัฐมนตรีต่างประเทศ ไปจนถึงที่ปรึกษาความมั่นคงประจำทำเนียบขาว ของรัฐบาล “ผู้เฒ่าโจ” นั้น ต่างก็เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายอิสราเอลไปด้วยกันทั้งสิ้น แถมยังเป็นผู้ที่เห็นควรด้วยที่จะให้ย้ายสถานทูตสหรัฐฯ ไปอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม รวมทั้งการยึดเอาที่ราบสูงโกลันของซีเรีย มาอยู่ในอำนาจอธิปไตยของอิสราเอล ตามแนวทางของ “ทรัมป์บ้า” อย่างมิอาจคิดเห็นไปเป็นอื่น ฯลฯ ดังนั้น...งานนี้ ใครก็ตามที่ดันหนักไปทาง “บริสุทธิ์-ไร้เดียงสา” จนเกินไป ก็อาจถูก “หลอกแ-ก” ด้วยเรื่อง “แปลกแต่จริง-ไม่จริง” ของรัฐบาลสหรัฐฯ เอาง่ายๆ เพราะอย่างว่านั่นแหละ...การที่จะหาทางดำรงรักษา ความเป็น “มหาอำนาจสูงสุด” เอาไว้ให้ได้ ภายใต้โลกแห่งความจริง ยังไงๆ...คงหนีไม่พ้นต้องเดินไปตามคำเพ้อ รำพึงของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยุคก่อนๆ อย่าง “นายแฮร์รี เอส ทรูแมน” (Harry S. Truman) ที่เคยพูดๆ เอาไว้นั่นแหละว่า... “The responsibility of the great states is to serve and not to dominate the world.” หรือ “ความรับผิดชอบของมหาประเทศก็คือ...การรับใช้โลก ไม่ใช่...การครองโลก” นั่นแล...