เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องแวะไปดูเรื่อง “ม็อบๆ” กันอีกนั่นแหละทั่น ด้วยเหตุเพราะโดย “เงื่อนไข-เหตุปัจจัย” ทางการเมือง ภายในแต่ละประเทศ แต่ละสังคม สุดท้าย...มันอาจกลายเป็นตัว “พลิกเกม” พลิกหน้ามือเป็นหลังตีน หรือหน้าตีนเป็นหลังมือ ต่อทิศทางความเป็นไปของประเทศนั้นๆ สังคมนั้นๆ ได้เสมอๆ...
เรียกว่า...ขนาด “ม็อบเด็ก” บ้านเรา ที่แค่เริ่มๆ “สาดสี” ยังไม่ถึงกับ “ตีไข่” ใส่บรรดา “ตำรวจชั้นผู้น้อย” ผู้ต้องทำหน้าที่รักษาความสงบ-ปลอดภัย ให้กับการชุมนุมในแต่ละเรื่อง แต่ละกรณี อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ ชนิดเล่นเอาเละเทอะ เลอะเทะ กันไปเป็นแถบๆ เพียงเท่านี้ก็ต้องเจอกับ “ทัวร์ลง” ระดับอาจขยับเข้า-ขยับออกต่อไปแทบไม่ได้ หรือแม้แต่บรรดาพวกซีร้ง ซีไรต์ ที่ออกมาเห็นดี-เห็นงาม ถือเป็นศิลปะ เป็นอ๊ง เป็นอาร์ต อะไรต่อมิอะไรก็เถอะ หนีไม่พ้นต้องถูกตามไปถล่ม แม้จะออกอาการ “ช่างมันฉันไม่แคร์” เพียงใดก็ตามที แต่โอกาสที่จะฉุดกระชากลากถู กลุ่มการเมืองที่เรียกๆ ตัวเองว่า “Care” ให้ย่อยยับพังพินาศตามไปด้วย ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มตั้งไข่เอาเลยแม้แต่น้อย ย่อมมีสิทธิเป็นไปได้สูงเอามากๆ...
และโดยลักษณะอาการที่ว่านี้...คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้อีกเช่นกัน ว่ากำลังก่อกำเนิดเกิดขึ้นมาในสังคมอเมริกัน ในประเทศคุณพ่ออเมริกา แบบค่อนข้างชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที ด้วยเหตุเพราะความห้าว ความระห่ำ ความกระเหี้ยนกระหือรือ ของบรรดาม็อบๆ ทั้งหลาย ที่อุบัติขึ้นมานับแต่กรณีฆาตกรรม ทารุณกรรม เหยื่อชาวผิวสี อย่าง “นายจอร์จ ฟลอยด์” เป็นต้นมา ซึ่งนับวันไม่เพียงแต่แรงขึ้นๆ แต่ยังออกอาการทั้ง “สาดสี” ทั้ง “ตีไข่” ชนิดเละเป็นขี้เละเป็นโจ๊กไปทั่วทั้งอเมริกาหนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ คือทั้งเผาบ้าน เผาเมือง เผาอนุสาวรีย์ ข่มขู่ คุกคาม ปล้น ฆ่า ฟ้องร้องเป็นคดีความ รกโรง รกศาล ไม่รู้กี่เรื่อง กี่กรณีเข้าไปแล้ว ส่งผลให้คู่ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี อย่าง “ทรัมป์บ้า” ฉวยโอกาสหยิบมาใช้เป็นเครื่องมือหาเสียง หาคะแนนนิยม เข้าพก เข้าห่อได้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่คู่แข่งพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม อย่าง “โจซึมเซา” ซึ่งออกอาการง่วงเหงา หาวนอน ต่อการลุกฮือขึ้นมาของม็อบต่างๆ เลยกลายเป็นฝ่ายถูกเบียด ถูกชิง ถูกตามหายใจรดต้นคอ ทั้งที่เคยทำคะแนนเสียงทิ้งห่างคู่ต่อสู้แบบแทบไม่เห็นฝุ่น เห็นหาง เคยถึงขั้นคิดว่าตัวเองมาแน่ ชนะแน่ ชนิดถ้า “ทรัมป์บ้า” ไม่คิดยอมรับความพ่ายแพ้ ไม่คิดออกจากทำเนียบขาว อาจถึงขั้นต้องวานให้บรรดาทหารหาญ ช่วย “สิริยากร พุกกะเวส” หรือช่วย “อุ้ม” ออกจากทำเนียบเอาเลยถึงขั้นนั้น...
แต่อย่างที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการหาเสียงของพรรคเดโมแครต ชื่อว่า “นายDavid Shor” ได้ออกมา “ตั้งข้อสังเกต” เอาไว้นั่นแหละว่าน่าจะเป็นเพราะ “เหตุการณ์จลาจล” หลังการลอบสังหารอดีตผู้นำชาวผิวดำ อย่าง “นายมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์” เมื่อ 50 กว่าปีที่แล้วนั่นเอง ที่เป็นตัวส่งผลให้ผู้นำพรรครีพับลิกัน อย่าง “นายริชาร์ด นิกสัน” สามารถผงาดขึ้นเป็นประธานาธิบดีแบบคล่องคอ คล่องเนื้อ คล่องตัว เป็นอันมาก และดูเหมือนว่า...ผู้นำพรรคปัจจุบันอย่าง “ทรัมป์บ้า” ก็ดูจะเห็นช่อง เห็นโอกาส ในลักษณะที่ว่าเมื่อช่วงวันศุกร์ (28 ส.ค.) ที่ผ่านมา เลยถึงกับออกมา “ทวีต” ถึงนายกเทศมนตรีเมืองปอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน อันถือเป็นจุดศูนย์กลางการประท้วง การก่อม็อบ จุดสำคัญ ถึงขั้นว่า “ถ้านายกเทศมนตรีผู้ไร้ความสามารถแห่งเมืองปอร์ตแลนด์ อย่างนายTed Wheeler ยังไม่อาจควบคุม ดูแลเมืองของตัวเอง ไม่อาจหยุดยั้งพวกอนาธิปไตย พวกก่อกวน ผู้ก่อการจลาจล การปล้น อันนำมาซึ่งอันตรายต่อบรรดาผู้บริสุทธิ์ทั้งหลาย เราก็จำเป็นที่จะต้องเข้าไปดูแลสิ่งเหล่านี้ ให้กลับคืนมาสู่สภาพเท่าที่เคยเป็นอยู่เมื่อประมาณ 100 วันที่แล้ว...ให้จงได้” นี่...เรียกว่า ออกอาการ “อยากสงบ-ต้องจบที่ลุงตู่” กันเห็นๆ!!!
และถ้า “ทรัมป์บ้า” ดันพลิกหน้า-พลิกหลัง พลิกหน้ามือเป็นหลังตีนขึ้นมาได้จริงๆ??? อันนี้นี่แหละ...ที่อาจยุ่งขิง ยุ่งข่า ยุ่งตระไคร้ มิใช่น้อย โดยเฉพาะสำหรับผู้สังเกตการณ์รอบนอก อย่างคุณพี่จีนเป็นต้น ที่เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมานี่เอง ถ้าว่ากันตามข้อเขียน บทความของคอลัมนิสต์ “Global Times” สื่อทางการของจีน อย่าง “นายWei Zongyou” ที่ดูจะค่อนข้าง “มีลุ้น” อยู่กับการผงาดขึ้นเป็นประธานาธิบดีของ “โจซึมเซา” อยู่ตามสมควร คือถึงรู้สึกว่าไม่ว่ารีพับลิกัน หรือเดโมแครตก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็น “น้ำดำ” ไปด้วยกันทั้งคู่ หรือต่างปรารถนาและต้องการที่จะเห็น “จีนที่อ่อนแอ” ไม่ใช่ “จีนที่แข็งแกร่ง” ต่อไปโดยเด็ดขาด แต่ด้วยรายละเอียด ด้วย “สไตล์” ที่ออกจะผิดแผกแตกต่าง กันไปบ้าง เช่น การหันมาอาศัยประชาธิปไตย เสรีภาพ สิทธิมนุษยชน ในการทำแนวร่วมระดับโลก เป็นตัว “เล่นงานจีน” แทนที่จะอาศัย “ลูกบ้า” แบบ “ทรัมป์บ้า” อาศัย “การค้าเสรีและยุติธรรม” ตามแบบฉบับอเมริกา แทนที่จะอาศัยมาตรการทางภาษีแบบไม่มึง-ก็กูเป็นอันต้องเจ๊งไปข้าง และอะไรต่อมิอะไรที่ย่อยแยกออกมาเป็นข้อๆ จนอาจยังพอหลงเหลือหนทางที่จีนและอเมริกา อาจพอร่วมมือ ร่วมไม้กันได้มั่ง เช่น ร่วมกันแก้ปัญหาโลกร้อน ปัญหาการแพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ ไปจนถึงปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโรค ฯลฯ เป็นต้น...
แต่บรรดาสิ่งทั้งหลายทั้งปวง เหล่านี้...ไม่เพียงแต่อาจหายวับไปกับตา ถ้าหาก “ทรัมป์บ้า” สามารถอาศัย “เหยื่อ” ประเภทบรรดาพวกม็อบๆ ทั้งหลาย มาใช้เป็น “กุ้งฝอย” เพื่อตก “ปลากระพง” ตัวโตๆ ได้อย่างเป็นน้ำ เป็นเนื้อ หรืออาศัยความห้าว ความระห่ำ ความกระเหี้ยนกระหือรือ ไปจนถึง “ความโง่” ของม็อบแต่ละม็อบนั่นแหละ มาเป็นตัวยกระดับคะแนนนิยมของตัวเอง จนตราบวินาทีสุดท้าย เพราะมาถึงทุกวันนี้...คงต้องยอมรับว่า โดย “ลูกบ้า” ของ “ทรัมป์บ้า” นั่นเอง ที่ทำให้คุณพี่จีนชักเริ่มหายใจทางปาก หรือทางเหงือก ขึ้นมามั่งแล้ว หรือถึงขั้นต้องงัดเอาบ้องข้าวหลามยักษ์ งัดเอาจรวด “DF-26B” และ “DF-21D” ที่ได้ชื่อ ฉายา ว่า “นักฆ่าเรือบรรทุกเครื่องบิน” ออกมาสาดใส่น่านน้ำบริเวณด้านมณฑลไห่หนานและเกาะพาราเซล ไปถึง 2 บ้อง 2 ด้ามด้วยกัน เมื่อช่วงวันศุกร์ (28 ส.ค.) ที่ผ่านมา แม้ว่าจีนจะเคยยืนหยัด ยืนยัน ว่ายังไงๆ “จะไม่เป็นผู้ลั่นกระสุนนัดแรก” ก็ตาม!!!
คือพูดง่ายๆ ว่า...ปฏิบัติการยั่วยวน กวนส้นตีน ของ “ทรัมป์บ้า” นั้น ช่างเป็นอะไรที่เหลือรับประทาน หนักซะยิ่งกว่า “ดาวร้ายหนังไทย” นั่งรอพระเอกอยู่บริเวณหัวสะพาน พร้อมกับครวญครางบทเพลงประเภท “อยากจะชิมส้นตีนนัก...อยากจะชิมส้นตีนนัก” อะไรประมาณนั้น หรืออย่างที่ “Mike Wong” รองประธานองค์กร “The San Francisco chapter of Veterans for Peace” บอกกับสำนักข่าว “Sputnik” เอาไว้นั่นแหละว่า การอัดเรือพิฆาต เรือบรรทุกเครื่องบิน ไปจนเครื่องบินทิ้งระเบิด ฯลฯ เข้าไปน่านน้ำทะเลจีนใต้ ช่องแคบไต้หวัน อันเป็นเส้นทางลำเลียงน้ำมันกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ไปยังประเทศจีน และเส้นทางการค้าอีกไม่รู้กี่พันกี่หมื่นล้านดอลลาร์ จนทำให้คุณพี่จีนอดไม่ได้ต้องงัดบ้องข้าวหลามยักษ์ ออกมาอวด มาโชว์กันเห็นๆ โอกาสที่อาจนำไปสู่ “อุบัติเหตุทางทหาร” ย่อมมีความเป็นไปได้ ระดับเส้นยาแดงผ่าแปด ผ่าสิบหก เข้าไปทุกที เพราะถ้าบ้องข้าวหลามยักษ์ดังกล่าว เกิดไปเฉียดๆ ฉิวๆ เข้ากับเรือพิฆาต เรือบรรทุกเครื่องบินลำหนึ่ง ลำใด ของสหรัฐฯ จนเกิดความรู้สึก เกิด “สัญชาตญาณ” ขึ้นมาว่า ต้องตอบโต้กันในแบบฉับพลัน-ทันที โดยเฉพาะถ้าบ้องข้าวหลามยักษ์นั้นๆ เกิด “ติดหัวรบนิวเคลียร์” ขึ้นมาอีกต่างหาก โอกาสที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะ “ฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย” กันไปทั้งโลก ย่อมเป็นไปได้ไม่ยากส์ส์ส์ อันทำให้ฉากสถานการณ์ทะเลจีนใต้ เมื่อถึง ณ ขณะนี้ จึงถูกให้คำนิยามว่าไม่ต่างอะไรไปจาก “Game of Chicken” หรือเกมวัดใจว่าใครขี้ขลาด-ไม่ขี้ขลาด และนั่นย่อมขึ้นอยู่กับว่า จรวด “DF-26B” และ “DF-21D” จะเป็น “กระสุนนัดที่สอง” ของจีนหรือไม่ อย่างไร นั่นเอง...