อุตส่าห์ “ทะลุมิติ” ไปยังโลกอนาคตมาแล้ว 2 วันติดๆ...แต่วันนี้ สงสัยคงหนีไม่พ้นต้องย้อนกลับไปดูรายการ “จุดไฟในนาคร” หรือการประท้วง ที่ยังคงลุกลามบานปลาย แผ่ซ่านไปแทบทั่วทั้งโลก ชนิดนับวันชักออกอาการคล้ายๆ “สงครามในอีกรูปแบบ” ไปแล้วก็ไม่แน่!!! โดยเฉพาะที่เกาะฮ่องกง ที่แม้ฝ่าย “โปรประชาธิปไตย” จะได้รับชัยชนะแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กวาดเก้าอี้ในสภาเขตมาได้แบบถล่มทลาย แต่กลับไม่ได้ช่วยให้เกิดการเลิกรา ผ่อนคลายหรือยุติการประท้วงลงไปเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม...กลับส่งผลให้บรรดา “นักประชาธิปไตย” ในฮ่องกงทั้งหลาย ออกอาการดุขึ้น เหี้ยมขึ้น และโง่ขึ้นไปตามลำดับ...
เรียกว่า...ใครที่เผลอไปดู “คลิปวิดีโอ” ที่นักประชาธิปไตยผู้สวมหน้ากาก คว้าเอาเหล็กปิดท่อระบายน้ำ ทุบหัวชายชาวฮ่องกงวัย 53 ปี ผู้เพียงแค่พยายามออกมารื้อสิ่งกีดขวาง ซึ่งบรรดาผู้ประท้วงกองระเกะระกะเอาไว้กลางถนน เพื่อก่อม็อบ หรือเพื่อจุดไฟในนาครกันต่อ ตั้งแต่ช่วงวันอาทิตย์ (1 ธ.ค.) ที่ผ่านมา ถ้ายังเป็นผู้ที่หลงเหลือ “ความเป็นมนุษย์” ติดตัวเอาไว้บ้าง ยังไงๆ...คง “รับไม่ได้” โดยเด็ดขาด เพราะอะไรมันจะเหี้ยมโหด อำมหิตผิดมนุษย์มนาไปได้ถึงขั้นนั้น!!! ยิ่งมองเข้าไปแววตาของ “เหยื่อ” ที่พยายามเบิกตาขึ้นมาหลังจากหมดสติ ขณะเลือดไหลโกรกออกจากรูหู เล่นเอาคนแก่ คนชรา อย่าง “ทับทิม พญาไท” อดที่จะรู้สึกสยดสยองพองขน ต่อสิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” ถึงขั้น “หลับไม่ลง” เอาเลยถึงขั้นนั้น...
ส่วนที่ออกอาการ “โง่” อย่างเห็นได้ชัด...ก็คือการนำพาขบวนผู้ประท้วง หรือพวกนักประชาธิปไตยทั้งหลาย แห่ไปขอบพระคุณ “ทรัมป์บ้า” ผู้นำอเมริกาและสภาคองเกรส ถึงหน้าที่ทำการสถานกงสุลใหญ่อเมริกาประจำเกาะฮ่องกง ในฐานะที่ได้ตัดสินใจออกกฎหมาย “สิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยฮ่องกง” (Hong Kong Human Rights and Democracy Act 2019) ไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา อันเป็นกฎหมายที่ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า ความพยายามอาศัยฮ่องกงเป็น “เบี้ย” ในการปิดล้อม หรือเล่นงานรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่เท่านั้นเอง โดยที่การเดินเบี้ยตัวนี้...ก็น่าจะเป็นไปอย่างที่สื่อทางการจีน อย่าง “Global Times” เขาได้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้นั่นแหละว่า ไม่เพียงแต่จะต้องแลกมาด้วยการทำลายผลประโยชน์ของเกาะฮ่องกง รวมทั้งผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ด้วยแล้ว ยังไงๆ...ก็คงไม่อาจปิดล้อม หรือปิดกั้นการผงาดขึ้นมาของจีนได้โดยเด็ดขาด...
เพราะด้วยตัวเลขสถิติที่ “Global Times” เขาไปนำมาจากหน่วยวิจัยของสภาคองเกรสสหรัฐฯ (Congressional Research Service) เอง ก็สรุปเอาไว้ชัดว่า ภายใต้ความเป็น “หนึ่งประเทศ-สองระบบ” ของเกาะฮ่องกงนั้น สหรัฐฯ นั่นแหละที่เป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้าฮ่องกงอยู่ถึง 31.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ บริษัทธุรกิจอเมริกันถึง 290 บริษัทที่มีฐานบัญชาการอยู่ที่เกาะฮ่องกง และอีก 434 บริษัท มีสำนักงานตัวแทนอยู่ที่เกาะแห่งนี้ การคิดจะอาศัยข้ออ้างของสิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” หรือ “สิทธิมนุษยชน” ก็แล้วแต่ มาเป็นตัวกดดัน เล่นงานรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ ก็จึงไม่ต่างอะไรไปจากการ “ทุบหม้อข้าว” ตัวเอง และทำลายผลประโยชน์ของชาวฮ่องกงควบคู่ไปด้วย ในขณะที่จีนแผ่นดินใหญ่ยุคนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่เกาะฮ่องกงเอาไว้เป็นประตูเชื่อมโยงกับโลกแบบเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว แต่ยังมีเซี่ยงไฮ้ เซินเจิ้น ฯลฯ ที่สามารถเข้าๆ-ออกๆ ไปสู่ระบบโลก หรือที่ไหนๆ ได้เสมอๆ อีกทั้งระบบเศรษฐกิจของจีนขณะนี้ ก็มีขนาดใหญ่โตเกินกว่าที่สหรัฐฯ จะ “ปิดล้อม” ใดๆ ได้อีกแล้ว ดังนั้น... “ถ้าหากสหรัฐฯ ยังคิดจะใช้ลัทธิตามอำเภอใจ เพื่อนำไปสู่การต่อสู้แข่งขันกันแบบ zero-sum game อเมริกาเองนั่นแหละ ที่จะเป็นฝ่ายทำลายตัวเองไปในท้ายที่สุด” นั่นคือสิ่งที่สื่อทางการจีนเขาได้ “เตือนสติ” เอาไว้ก่อนล่วงหน้า...
แต่ก็นั่นแหละ...การเตือนสติในลักษณะทำนองนี้ ไม่ว่าจริง-ไม่จริง เป็นไปได้-เป็นไปไม่ได้ หรือไม่ว่าจะเข้าหูซ้าย สุดท้ายคงร่วงออกไปทางหูขวาอยู่แล้วแน่ๆ สำหรับบรรดาผู้มีอำนาจในอเมริกายุคนี้ ที่ออกจะ “ไร้สติ” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และออกจะทำอะไรในแบบ “ลัทธิตามอำเภอใจ” หนักยิ่งเข้าไปทุกที ความพยายามที่จะฉกฉวยประโยชน์จากการประท้วง จากการลุกฮือของประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ประเทศต่างๆ มาใช้เป็น “เบี้ย” ในการเดินหมากทางการเมืองของสหรัฐฯ ในเวทีโลก มันจึงเป็นอะไรที่โจ่งแจ้ง แดงแจ๋ ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แต่เฉพาะที่เกาะฮ่องกงเท่านั้น ใน “สวนหลังบ้าน” ของอเมริกา หรือในประเทศแถบละตินอเมริกาทุกวันนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ “นายไมค์ ปอมเปโอ” ก็เพิ่งออกมาป่าวประกาศ ขณะพูดจาปราศรัยที่มหาวิทยาลัยหลุยส์วิลล์ เมื่อช่วงจันทร์ (2 ธ.ค.) ที่ผ่านมา ประมาณว่า...อเมริกาพร้อมช่วยเหลือรัฐบาลที่ “มีความชอบธรรม” (ตามมาตรฐานอเมริกา) ในการป้องกันการประท้วง ไม่ให้เปลี่ยนรูป เปลี่ยนร่าง ไปเป็นการจลาจล หรือการก่อความรุนแรง เช่น รัฐบาลชิลี เอกวาดอร์ โคลัมเบีย ฯลฯ เป็นต้น แต่สำหรับรัฐบาลอย่าง โบลิเวีย เวเนซุเอลา ฯลฯ ที่ไม่ได้มีความชอบธรรมตามมาตรฐานอเมริกาแล้ว โอกาสต้องเจอกับการประท้วง ที่เปลี่ยนรูป เปลี่ยนร่าง ไปเป็นการจลาจล การก่อความรุนแรง ไปจนถึง “การรัฐประหารสมบูรณ์แบบ” ย่อมเป็นไปได้เสมอๆ หรือเป็นไปตาม “ลัทธิตามอำเภอใจ” ของอเมริกานั่นเอง ที่จะตัดสินเอาเองว่าอะไรชอบธรรม-ไม่ชอบธรรม...
บรรดาการลุกฮือ การจุดไฟในนาคร หรือการก่อการประท้วงทั้งหลายในช่วงนี้...จึงเป็นอะไรที่คงต้องเฝ้าติดตามกันโดยละเอียดและประณีตเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่เฉพาะการประท้วงฮ่องกง ที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องกฎหมายผู้ร้ายข้ามแดนแบบตอนต้นๆ อีกต่อไปแล้ว และแทบไม่ได้เกี่ยวกับความเป็นประชาธิปไตย หรือสิทธิมนุษยชนใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะเมื่อบรรดานักประชาธิปไตยทั้งหลาย พร้อมที่จะรุมเหยียบ รุมกระทืบ ผู้ที่เห็นแตกต่างไปจากตัวเอง พร้อมที่จะละเมิดสิทธิความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น ระดับจุดไฟเผา เอาก้อนหินปาหัว เอาเหล็กฟาดหัว ฯลฯ อย่างที่เห็นๆ กันมาโดยตลอด แต่กำลังกลายเป็นการประท้วงเพื่อ “ต่อต้านจีน” กันโดยเฉพาะ ไม่ว่าสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็แล้วแต่ เช่นเดียวกับการประท้วงที่โบลิเวีย ที่กลายสภาพเป็นการรัฐประหารโดยเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ หรือการประท้วงในอิรักที่กลายเป็นการ “ต่อต้านอิหร่าน” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน และมีผลให้นายกรัฐมนตรี “Adil Abdul-Mahdi” ที่เคยอาสาเป็น “ตัวกลาง” ในการเจรจาสันติภาพระหว่างซาอุดีอาระเบียกับอิหร่าน ถึงกับต้องถอนยวง ลาออกไปเรียบร้อยแล้ว ฯลฯ...
สิ่งเหล่านี้นี่แหละ...ที่คงต้องจับตาเอาไว้ให้จงหนัก และอาจต้องสวดมนต์ภาวนา เอาไว้ก่อนล่วงหน้า ว่าอย่าให้มีโอกาสได้อุบัติขึ้นมาในประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาด้วยเลย ยิ่งหลังๆ นี้...บรรดาพวก “นักประชาธิปไตย” ทั้งหลาย ท่านชักออกอาการหมดความสนใจต่อ “วิถีทางรัฐสภา” อันเป็นวิถีทางตามระบอบและครรลองประชาธิปไตยลงไปทุกที ถึงมีตำแหน่งแห่งที่อยู่ในคณะกรรมาธิการโน่น คณะกรรมาธิการนี่ ท่านดันลาออกซะดื้อๆ!!! หันมามองหาวิธี “เดินลงถนน” กันมั่งแล้ว หันมาเรียกร้องให้ใครต่อใครลุกขึ้นต่อต้าน “อภิสิทธิชน” กันตั้งแต่เริ่มแรก ส่วนสุดท้าย...จะลงท้ายแบบเดียวกับฮ่องกง หรือโบลิเวีย หรือเวเนซุเอลา หรืออิรัก ฯลฯ หรือไม่ อย่างไร อันนี้นี่แหละ...คงต้องจับตาแบบชนิดมิอาจกะพริบตาได้เลย...