จะมีสักกี่คนหนอ ที่เห็นถูกว่า เผด็จการกว่า 81 ปี เมื่อระบอบเป็นเผด็จการรัฐธรรมนูญ การเลือกตั้งก็เป็นเผด็จการ
การเลือกตั้งเผด็จการ คือการซื้อสิทธิ ขายเสียง ไม่ฟรีโหวต บังคับให้ไปเลือกตั้ง และแบ่งเขตเลือกตั้ง “เขตเดียวคนเดียว” ประชาชนตกเป็นทาสทางการเมืองกาบัตรเลือกตั้งเสร็จก็จบกัน มันทำให้ประชาชนขาดจิตสำนึกทางการเมือง เช่น ชาวนาไปเลือกพรรคนายทุน เพราะเห็นแก่เงิน หรือเห็นแก่หน้าตา ทั้งๆ ที่จ่าฝูงลิงคือลิง จ่าฝูงช้างคือช้าง แต่กลับกลายเป็นว่าจ่าฝูงชาวนาคือนายทุน จ่าฝูงกรรมกรคือนายทุน เป็นต้น
การเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย เกิดจากระบอบประชาธิปไตย ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง และทุกฝ่ายต่างก็ขึ้นตรงต่อหลักการปกครองโดยธรรม หรือระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ดุจดัง ดาวเคราะห์ขึ้นตรงต่อดวงอาทิตย์ หรือชาวพุทธแท้ขึ้นตรงต่อพระรัตนตรัย หรือชาวคริสต์แท้ขึ้นตรงต่อพระเจ้า (พระยะโฮวาห์) และชาวมุสลิมแท้ขึ้นตรงต่อพระฮัลเลาะห์ เป็นต้น
ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง สำหรับประเทศไทย อันเป็นแก่นแท้ของชาติ
ก็จะยกตัวอย่าง ให้ เข้าใจง่ายๆ ว่า หลักการปกครองโดยธรรม อุปมาดุจ ดังวัดพระแก้ว
วัดพระแก้วมีอยู่ก่อน ให้โอกาสแก่คนที่จะไปทั่วสารทิศ ไม่เลือกชั้น วรรณะ พวกเราจึงไปได้ เข้าถึงได้ ไปแล้วได้ประโยชน์ ก็เช่นเดียวกันกับหลักการปกครองโดยธรรม หรือระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ดังภาพ ช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้น
หากไม่มีหลักการปกครองโดยธรรมหรือระบอบ มีแต่เพียงกฎหมายรัฐธรรมนูญ มันก็หลอกประชาชนมายาวนานที่สุด มันก็เป็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา
ใครที่อยากได้ระบอบประชาธิปไตย ก็ช่วยกันเสนอหลักการนี้ ใครที่อยากจะได้รู้อย่างถูกต้องว่า การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ก็ต้องช่วยกันเสนอเรียกร้องหลักการปกครองโดยธรรมหรือธรรมาธิปไตย 9 นี้ จึงจะได้ชื่อว่าท่านมีความเห็นถูกและท่านจะไม่ถูกหลอกจากนักการเมือง จากสื่อมวลชน ที่เชื่อหรือเห็นผิดตามนักการเมืองหรือนักวิชาการ จึงทำสื่อ ข่าวสารออกมาผิดๆ ให้ชาวบ้านบริโภคและเข้าใจผิดตามๆ กันมาอย่างยาวนาน
เคยกล่าวแล้วว่า “บาปอันใหญ่หลวงของชาติ คือความเห็นผิดว่าการเลือกตั้งคือระบอบประชาธิปไตย”
มีนายกฯ ปู ยิ่งลักษณ์ พรรคการเมืองต่างๆ และกลุ่มชนบางกลุ่มที่ร่วมกันหลงผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติว่า “การเลือกตั้งคือระบอบประชาธิปไตย” หรือ “ไปเลือกตั้งเพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตย” มันเป็นความหลงผิดอย่างลึก อย่างร้ายแรงต่อชาติ เป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวง ในการที่จะให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่พวกเขาได้ น่าสงสารจัง
การเลือกตั้ง เป็นวิธีการ เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการคัดคน เพื่อเข้าไปทำหน้าที่นั้นๆ เช่น เลือกตั้งเพื่อคัดคนเข้าไปทำหน้าที่ทางการเมือง เป็นต้น
การเลือกตั้ง จึงเป็นวิธีการ เป็นเครื่องมือกลางๆ ที่ระบอบอะไรๆ ก็นำไปใช้ได้ เพียงแต่แตกต่างกันไปตามระบอบนั้นๆ ในโลกปัจจุบัน ทุกระบอบการเมืองมีการเลือกตั้งกันหมด
การเลือกตั้งจึงไม่จำเป็นว่าต้องเป็นระบอบประชาธิปไตยเสมอไป
การเลือกตั้ง ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่า เหตุของการเลือกตั้งคือระบอบ ศึกษาให้ถี่ถ้วนว่ามันเป็นระบอบอะไร หากเป็นระบอบเผด็จการ การเลือกตั้งมันก็เป็นระบอบเผด็จการ
สำหรับประเทศไทย สอนกันอย่างอุบาทว์จัญไรว่า “รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย” รัฐธรรมนูญกับระบอบประชาธิปไตยเป็นสิ่งเดียวกัน” นี่คือความเชื่ออันโสมม จัญไรที่สุด ที่ครอบงำประชาชนและเยาวชน ผู้ไม่รู้เท่าทัน
ความเข้าใจเยี่ยงนี้ สะท้อนให้เห็นในกลุ่มของพวก “2 เอา 2 ไม่เอา” มี ดร. เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ศ.ดร.เสถียร เตชะพีระ เป็นต้น ซึ่งเป็นกลุ่มนักวิชาการฝ่ายซ้าย สืบทอดแนวทางการเมืองของท่านปรีดี พนมยงค์ ก็ไม่แตกต่างจาก ศ.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ก็ความเห็นและสอนทั่วไปว่า “รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย”
เราบอกได้เลยว่า นักวิชาการเหล่านี้มีความเห็นผิด รัฐบาลเห็นผิด และการจุดเทียนเพื่อระบอบประชาธิปไตย จึงเป็นความเห็นผิดที่น่าเสียดาย ทำให้ชาติของเรามีความเห็นผิดยาวนานออกไป มีความมืดครอบงำให้ยาวเนิ่นนานออกไปเป็น 100 ปี กระนั้นหรือ
ขอย้ำว่า ระบอบเผด็จการทุกชนิด จะไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม แต่จะอาศัยกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือในการปกครอง แล้วก็บอกว่านี่คือระบอบประชาธิปไตย โดยมีรูปการปกครอง เช่น ระบบรัฐสภา (Parliamentary System) อันเป็นองค์กรในการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนอย่างคานอำนาจกันอย่างสมดุล ขององค์กรทั้ง 3 คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ ซึ่งไม่เกี่ยวว่าเป็นระบอบอะไร เช่น ระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา หรือระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา ทั้งนี้ ก็ต้องดูที่หลักการปกครอง หากไม่มีหลักการปกครองก็เป็นระบอบเผด็จการก็จะไม่มีการถ่วงดุลกัน เพราะอำนาจที่แท้จริงจะอยู่ที่รัฐบาล โดยรัฐบาลจะทำอะไรก็ที่เป็นผลประโยชน์ของฝ่ายรัฐบาล ก็เห็นๆ กันอยู่มีแต่กู้กับคอร์รัปชัน
หากใครอ่านแล้วก็เข้าใจ ก็จะรู้ได้ทันทีว่า การเลือกตั้งที่มีขึ้นในวันที่ 2 ก.พ. 57 นี้ เป็นการเลือกตั้งเพื่อสืบอายุระบอบเผด็จการให้ยาวนานออกไป และสร้างความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชน โดยนักวิชาเกินในหลายๆ จังหวัด และเป็นการเลือกตั้งทำลายความมั่นคงแห่งชาติอีกครั้งหนึ่ง
ดังนั้น เพื่อต่อสู้กับความเห็นผิดโดยสันติ ขอให้ช่วยกันพิจารณาเสนอ สัญญาประชาคม คือชัยชนะของมวลมหาประชาชนที่แท้จริง
สัญญาประชาคม (Social contracts) คืออะไร สัญญาประชาคมคือสัญญาร่วมกันของปวงชนในชาติ ว่าเราจะกระทำต่อชาติของเรา ต่อพี่น้องประชาชนด้วยกัน ต่อข้าราชการทั้งปวง ด้วยการเสนอหลักในการอยู่ร่วมกันทางการเมือง
โดยเริ่มจากการสนับสนุน ให้กำนันสุเทพ และกปปส. ให้ประกาศหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ดังกล่าวแล้วนั้น โดยเร่งด่วนที่สุด ก่อนที่จะเพลี่ยงพล้ำพ่ายแพ้ทางการเมืองและตกเป็นฝ่ายรับทางการเมือง
ประกาศเร็วก็ชนะเร็ว ประกาศช้าก็ชนะช้า ไม่ประกาศ มวลมหาประชาชนก็ไม่ชนะ กลับบ้านมือเปล่า “ขอให้การนำที่แท้จริงตลอดไปชั่วกัลปาวสาน คือหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9”
หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 อันเป็นจุดยุทธศาสตร์ร่วมของพี่น้องมวลมหาประชาชน เป็นจุดหมายร่วมของปวงชน เป็นอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นระบอบการเมืองโดยธรรมของปวงชน เป็นหลักนิติธรรมของปวงชน เป็นกฎหมายความมั่นคงสูงสุดของชาติ (Supreme Law) สมดังหลักการสากลทั่วไปที่ว่า “ความมั่นคงของชาติเป็นกฎหมายสูงสุด” เป็นบ่อเกิดความดีทั้งปวงของชาติ ฯลฯ
การมีกฎหมายรัฐธรรมนูญเพียงด้านเดียว ปราศจากหลักการปกครองโดยธรรม ย่อมเป็นบ่อเกิดหรือเหตุแห่งความอัปรีย์ทั้งปวง ทั้งของชาติและประชาชน “คนโง่ย่อมหลงผิดว่าการเลือกตั้งคือรักษาระบอบประชาธิปไตย”
“คนฉลาดย่อมเข้าใจว่า การสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เป็นความสำคัญ ยิ่งใหญ่ยิ่งยวดของชาติและของทุกคน ทุกคนเป็นเจ้าของ”
การเลือกตั้งเผด็จการ คือการซื้อสิทธิ ขายเสียง ไม่ฟรีโหวต บังคับให้ไปเลือกตั้ง และแบ่งเขตเลือกตั้ง “เขตเดียวคนเดียว” ประชาชนตกเป็นทาสทางการเมืองกาบัตรเลือกตั้งเสร็จก็จบกัน มันทำให้ประชาชนขาดจิตสำนึกทางการเมือง เช่น ชาวนาไปเลือกพรรคนายทุน เพราะเห็นแก่เงิน หรือเห็นแก่หน้าตา ทั้งๆ ที่จ่าฝูงลิงคือลิง จ่าฝูงช้างคือช้าง แต่กลับกลายเป็นว่าจ่าฝูงชาวนาคือนายทุน จ่าฝูงกรรมกรคือนายทุน เป็นต้น
การเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย เกิดจากระบอบประชาธิปไตย ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง และทุกฝ่ายต่างก็ขึ้นตรงต่อหลักการปกครองโดยธรรม หรือระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ดุจดัง ดาวเคราะห์ขึ้นตรงต่อดวงอาทิตย์ หรือชาวพุทธแท้ขึ้นตรงต่อพระรัตนตรัย หรือชาวคริสต์แท้ขึ้นตรงต่อพระเจ้า (พระยะโฮวาห์) และชาวมุสลิมแท้ขึ้นตรงต่อพระฮัลเลาะห์ เป็นต้น
ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง สำหรับประเทศไทย อันเป็นแก่นแท้ของชาติ
ก็จะยกตัวอย่าง ให้ เข้าใจง่ายๆ ว่า หลักการปกครองโดยธรรม อุปมาดุจ ดังวัดพระแก้ว
วัดพระแก้วมีอยู่ก่อน ให้โอกาสแก่คนที่จะไปทั่วสารทิศ ไม่เลือกชั้น วรรณะ พวกเราจึงไปได้ เข้าถึงได้ ไปแล้วได้ประโยชน์ ก็เช่นเดียวกันกับหลักการปกครองโดยธรรม หรือระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ดังภาพ ช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้น
หากไม่มีหลักการปกครองโดยธรรมหรือระบอบ มีแต่เพียงกฎหมายรัฐธรรมนูญ มันก็หลอกประชาชนมายาวนานที่สุด มันก็เป็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา
ใครที่อยากได้ระบอบประชาธิปไตย ก็ช่วยกันเสนอหลักการนี้ ใครที่อยากจะได้รู้อย่างถูกต้องว่า การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ก็ต้องช่วยกันเสนอเรียกร้องหลักการปกครองโดยธรรมหรือธรรมาธิปไตย 9 นี้ จึงจะได้ชื่อว่าท่านมีความเห็นถูกและท่านจะไม่ถูกหลอกจากนักการเมือง จากสื่อมวลชน ที่เชื่อหรือเห็นผิดตามนักการเมืองหรือนักวิชาการ จึงทำสื่อ ข่าวสารออกมาผิดๆ ให้ชาวบ้านบริโภคและเข้าใจผิดตามๆ กันมาอย่างยาวนาน
เคยกล่าวแล้วว่า “บาปอันใหญ่หลวงของชาติ คือความเห็นผิดว่าการเลือกตั้งคือระบอบประชาธิปไตย”
มีนายกฯ ปู ยิ่งลักษณ์ พรรคการเมืองต่างๆ และกลุ่มชนบางกลุ่มที่ร่วมกันหลงผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติว่า “การเลือกตั้งคือระบอบประชาธิปไตย” หรือ “ไปเลือกตั้งเพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตย” มันเป็นความหลงผิดอย่างลึก อย่างร้ายแรงต่อชาติ เป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวง ในการที่จะให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่พวกเขาได้ น่าสงสารจัง
การเลือกตั้ง เป็นวิธีการ เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการคัดคน เพื่อเข้าไปทำหน้าที่นั้นๆ เช่น เลือกตั้งเพื่อคัดคนเข้าไปทำหน้าที่ทางการเมือง เป็นต้น
การเลือกตั้ง จึงเป็นวิธีการ เป็นเครื่องมือกลางๆ ที่ระบอบอะไรๆ ก็นำไปใช้ได้ เพียงแต่แตกต่างกันไปตามระบอบนั้นๆ ในโลกปัจจุบัน ทุกระบอบการเมืองมีการเลือกตั้งกันหมด
การเลือกตั้งจึงไม่จำเป็นว่าต้องเป็นระบอบประชาธิปไตยเสมอไป
การเลือกตั้ง ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่า เหตุของการเลือกตั้งคือระบอบ ศึกษาให้ถี่ถ้วนว่ามันเป็นระบอบอะไร หากเป็นระบอบเผด็จการ การเลือกตั้งมันก็เป็นระบอบเผด็จการ
สำหรับประเทศไทย สอนกันอย่างอุบาทว์จัญไรว่า “รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย” รัฐธรรมนูญกับระบอบประชาธิปไตยเป็นสิ่งเดียวกัน” นี่คือความเชื่ออันโสมม จัญไรที่สุด ที่ครอบงำประชาชนและเยาวชน ผู้ไม่รู้เท่าทัน
ความเข้าใจเยี่ยงนี้ สะท้อนให้เห็นในกลุ่มของพวก “2 เอา 2 ไม่เอา” มี ดร. เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ศ.ดร.เสถียร เตชะพีระ เป็นต้น ซึ่งเป็นกลุ่มนักวิชาการฝ่ายซ้าย สืบทอดแนวทางการเมืองของท่านปรีดี พนมยงค์ ก็ไม่แตกต่างจาก ศ.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ก็ความเห็นและสอนทั่วไปว่า “รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย”
เราบอกได้เลยว่า นักวิชาการเหล่านี้มีความเห็นผิด รัฐบาลเห็นผิด และการจุดเทียนเพื่อระบอบประชาธิปไตย จึงเป็นความเห็นผิดที่น่าเสียดาย ทำให้ชาติของเรามีความเห็นผิดยาวนานออกไป มีความมืดครอบงำให้ยาวเนิ่นนานออกไปเป็น 100 ปี กระนั้นหรือ
ขอย้ำว่า ระบอบเผด็จการทุกชนิด จะไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม แต่จะอาศัยกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือในการปกครอง แล้วก็บอกว่านี่คือระบอบประชาธิปไตย โดยมีรูปการปกครอง เช่น ระบบรัฐสภา (Parliamentary System) อันเป็นองค์กรในการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนอย่างคานอำนาจกันอย่างสมดุล ขององค์กรทั้ง 3 คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ ซึ่งไม่เกี่ยวว่าเป็นระบอบอะไร เช่น ระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา หรือระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา ทั้งนี้ ก็ต้องดูที่หลักการปกครอง หากไม่มีหลักการปกครองก็เป็นระบอบเผด็จการก็จะไม่มีการถ่วงดุลกัน เพราะอำนาจที่แท้จริงจะอยู่ที่รัฐบาล โดยรัฐบาลจะทำอะไรก็ที่เป็นผลประโยชน์ของฝ่ายรัฐบาล ก็เห็นๆ กันอยู่มีแต่กู้กับคอร์รัปชัน
หากใครอ่านแล้วก็เข้าใจ ก็จะรู้ได้ทันทีว่า การเลือกตั้งที่มีขึ้นในวันที่ 2 ก.พ. 57 นี้ เป็นการเลือกตั้งเพื่อสืบอายุระบอบเผด็จการให้ยาวนานออกไป และสร้างความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชน โดยนักวิชาเกินในหลายๆ จังหวัด และเป็นการเลือกตั้งทำลายความมั่นคงแห่งชาติอีกครั้งหนึ่ง
ดังนั้น เพื่อต่อสู้กับความเห็นผิดโดยสันติ ขอให้ช่วยกันพิจารณาเสนอ สัญญาประชาคม คือชัยชนะของมวลมหาประชาชนที่แท้จริง
สัญญาประชาคม (Social contracts) คืออะไร สัญญาประชาคมคือสัญญาร่วมกันของปวงชนในชาติ ว่าเราจะกระทำต่อชาติของเรา ต่อพี่น้องประชาชนด้วยกัน ต่อข้าราชการทั้งปวง ด้วยการเสนอหลักในการอยู่ร่วมกันทางการเมือง
โดยเริ่มจากการสนับสนุน ให้กำนันสุเทพ และกปปส. ให้ประกาศหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ดังกล่าวแล้วนั้น โดยเร่งด่วนที่สุด ก่อนที่จะเพลี่ยงพล้ำพ่ายแพ้ทางการเมืองและตกเป็นฝ่ายรับทางการเมือง
ประกาศเร็วก็ชนะเร็ว ประกาศช้าก็ชนะช้า ไม่ประกาศ มวลมหาประชาชนก็ไม่ชนะ กลับบ้านมือเปล่า “ขอให้การนำที่แท้จริงตลอดไปชั่วกัลปาวสาน คือหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9”
หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 อันเป็นจุดยุทธศาสตร์ร่วมของพี่น้องมวลมหาประชาชน เป็นจุดหมายร่วมของปวงชน เป็นอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นระบอบการเมืองโดยธรรมของปวงชน เป็นหลักนิติธรรมของปวงชน เป็นกฎหมายความมั่นคงสูงสุดของชาติ (Supreme Law) สมดังหลักการสากลทั่วไปที่ว่า “ความมั่นคงของชาติเป็นกฎหมายสูงสุด” เป็นบ่อเกิดความดีทั้งปวงของชาติ ฯลฯ
การมีกฎหมายรัฐธรรมนูญเพียงด้านเดียว ปราศจากหลักการปกครองโดยธรรม ย่อมเป็นบ่อเกิดหรือเหตุแห่งความอัปรีย์ทั้งปวง ทั้งของชาติและประชาชน “คนโง่ย่อมหลงผิดว่าการเลือกตั้งคือรักษาระบอบประชาธิปไตย”
“คนฉลาดย่อมเข้าใจว่า การสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เป็นความสำคัญ ยิ่งใหญ่ยิ่งยวดของชาติและของทุกคน ทุกคนเป็นเจ้าของ”