xs
xsm
sm
md
lg

นิรโทษกรรม คือความระยำของฝ่ายรัฐบาลชั่วสุดซอย

เผยแพร่:   โดย: ดร.ป. เพชรอริยะ

ยืนยันคัดค้านร่างกฎหมายนิรโทษกรรมทุกฉบับ ที่จะทำให้ผู้ร้ายกลายเป็นผู้ดี ทุกคดีต้องสิ้นสุดที่ศาล ไม่ใช่จบลงด้วยมืออันธพาลสุดเลวของนักการเมืองเพียงหยิบมือเดียว

ความขัดแย้งที่แท้จริงภายในชาติ คือผลของการปกครองเผด็จการทุกชนิดยาวนานกว่า 81 ปีสาเหตุมันไม่มีหลักการปกครองโดยธรรมฯ แสดงให้เห็น มันมีแต่กฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นเพียงวิธีการปกครองเท่านั้น เอาไว้หลอกชาวบ้าน ชาวเมืองว่านี่คือเป็นระบอบประชาธิปไตย

ทั้งๆ ที่ความจริงมันเป็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ โดยก่อให้เกิดผลของมันคือระบอบเผด็จการรัฐสภาและระบอบทักษิณ ทั้งสองนี้ ดุจดังเงาของระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญอันเป็นเหตุที่แท้จริงของความเลวร้ายทั้งปวงในแผ่นดินความขัดแย้งภายใต้ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญขยายความได้ ดังนี้

1. ความการขัดแย้งทางการเมือง คู่ขัดแย้งคือ ผู้ปกครองด้วยกันเอง ส่วนประชาชนตกเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่ไพร่กับอำมาตย์ อันเป็นวาทกรรมลวงโลก

1.1 ความขัดแย้งรอง เป็นความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับรัฐบาล

2. ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจ คู่ขัดแย้ง คือ นายทุนข้ามชาติ นายทุนผูกขาด นายทุนกับกรรมกร เพราะรัฐบาลภายใต้ระบอบเผด็จการ มันเป็นรัฐบาลของนายทุนทั้งสาม ดังกล่าว เช่น นโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ นายทุนต่างชาติ นายทุนผูกขาดได้ประโยชน์เต็ม ส่วนนายทุนชาติล่มจม

นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ กรรมกร ลูกจ้าง ได้ประโยชน์ไม่เกิน 4 ล้านคนทั่วประเทศ แต่ราคาสินค้าสูงขึ้น ใครเสียประโยชน์ คน 90% ของประเทศต้องจนลง เพราะเงินเฟ้อ สินค้าราคาแพงขึ้น แม้แต่คนที่ได้ค่าแรงขั้นต่ำไปแล้ว 300 บาท แต่พวกเขาก็ยังจนลง เพราะราคาสินค้ามันสูงขึ้น แล้วคนไม่มีเงินเดือนละ ต้องจนลงอย่างแรงทั่วประเทศใช่ไหม

นโยบายรถยนต์คันแรก ใครได้ประโยชน์เห็นชัด นายทุนข้ามชาติ นายทุนพรรคการเมือง

แต่พวกนักการเมืองสัตว์นรก มันหลอกว่า คู่ขัดแย้งคือ ไพร่กับอำมาตย์ นี่คือ การบิดเบือนคู่ขัดแย้งเบี่ยงเบนด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ ด้วยอำนาจสื่อที่รับใช้ ยอมตัวเป็นทาสเพื่อเงินสกปรกที่โกงภาษีประชาชนมา เพื่ออะไร ก็เพื่อประโยชน์ทางการเมือง เพื่อแสดงให้เห็นว่า ตนเองนั้นอยู่ข้างประชาชน แต่หารู้ไม่ว่า ขบวนการทักษิณ เป็นขบวนการที่หลอกประชาชนอย่างได้ผล หลอกให้กรรมกร ชาวนา ตกอยู่ในความฝัน ลืมกำพืดที่แท้จริงของตนเอง แท้จริงขบวนการทักษิณและพรรคเพื่อไทย คือพวกที่หลอกทั้งกรรมกร และชาวนา ให้ไปรับใช้เขาเยี่ยงทาสการเมือง วันหนึ่งมีคนมาเล่าพูดกันในหมู่ญาติพี่น้องลูกเมีย “เห็นไหม พ่อฉลาดสุดๆ ทั้งๆ พวกเราเอาเปรียบพวกมันมาตลอด แต่พ่อก็หลอกให้พวกมันมาสนับสนุนพรรคของเราได้”

ความขัดแย้งทางการเมืองในระบอบเผด็จการ “จงจำไว้เลยเป็นเรื่องระหว่างผู้ปกครองกับผู้ปกครอง ส่วนประชาชนตกเป็นเครื่องมือ”

ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจ “จงจำไว้เถิดว่า เป็นความขัดแย้งระหว่างนายทุน (ทุนข้ามชาติ ทุนผูกขาด ทุนการเมือง) กับกรรมกร ชาวนา

นี่คือภาพในเชิงซ้อนของความขัดแย้งทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ ภายใต้ระบอบเผด็จการ

ดังนั้น การที่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลจะออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อลดความขัดแย้งทางการเมือง จึงเป็นเรื่องโกหก และแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองไม่ได้เลย และจะเกิดความขัดแย้งยิ่งทวีคูณมากขึ้นๆ จนนำไปสู่การจลาจล ฟันธง

เรามาดูเนื้อหาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่ฝ่ายรัฐบาลผลักดันจะให้ออกมาบังคับใช้เป็นกฎหมาย ดังนี้

มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. ...”

          มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

          มาตรา 3 ให้บรรดาการกระทำใดๆ ของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมืองหรือการแสดงออกทางการเมือง หรือบุคคลซึ่งไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมทางการเมือง แต่กระทำการนั้นมีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง โดยการกล่าวด้วยวาจาหรือโฆษณาด้วยวิธีการใด เพื่อเรียกร้องหรือให้มีการต่อต้านรัฐ การป้องกันตน การต่อสู้ขัดขืนการดำเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐ หรือการชุมนุม การประท้วงหรือการแสดงออกด้วยวิธีการใดๆ อันอาจเป็นการกระทบต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดของบุคคลอื่น ซึ่งเป็นเหตุการณ์สืบเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง หรือการแสดงออกทางการเมือง ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ถึงวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ไม่เป็นความผิดต่อไปและให้ผู้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง

          การกระทำในวรรคหนึ่ง ไม่รวมถึงการกระทำใด ๆ ของบรรดาผู้ซึ่งมีอำนาจในการตัดสินใจ หรือสั่งการให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองในห้วงระยะเวลาดังกล่าว

          มาตรา 4 เมื่อพระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับแล้ว ถ้าผู้กระทำการตามมาตรา 3 วรรคหนึ่งยังมิได้ถูกฟ้องต่อศาลหรืออยู่ในระหว่างการสอบสวน ให้พนักงานสอบสวนผู้ซึ่งมีอำนาจสอบสวน หรือพนักงานอัยการระงับการสอบสวนหรือการฟ้องร้อง หากถูกฟ้องต่อศาลแล้วให้พนักงานอัยการ หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องระงับการฟ้องหรือให้ถอนฟ้อง ถ้าผู้นั้นอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีไม่ว่าจำเลยร้องขอหรือศาลเห็นเอง ให้ศาลพิพากษายกฟ้องหรือมีคำสั่งจำหน่ายคดี ในกรณีที่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษบุคคลใดก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ ให้ถือว่าบุคคลนั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิด ถ้าผู้นั้นอยู่ระหว่างการรับโทษให้การลงโทษนั้นสิ้นสุดลงและปล่อยตัวผู้นั้น

          มาตรา 5 การนิรโทษกรรมตามพระราชบัญญัตินี้ ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้ได้รับนิรโทษกรรมในอันที่จะเรียกร้องสิทธิ หรือประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น

         มาตรา 6 การดำเนินการใดๆ ตามพระราชบัญญัตินี้ ไม่เป็นการตัดสิทธิของบุคคลซึ่งไม่ใช่องค์กรหรือหน่วยงานของรัฐในการเรียกร้องค่าเสียหายในทางแพ่ง จากการกระทำของบุคคลใดซึ่งพ้นจากความรับผิดตามพระราชบัญญัตินี้ และทำให้ตนต้องได้รับความเสียหาย

          มาตรา 7 ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

จากข้อความสีแดง จะเห็นได้ว่า ฝ่ายรัฐบาล และส.ส.ฝ่ายรัฐบาลกำลังข่มขืนความยุติธรรมที่มีต่อประชาชน เป็นความเห็นแก่ตัวที่ร้ายกาจที่สุด พวกเขาทำไปเพื่อพวกตน เพื่อพวกพ้อง โดยการยกมือตัดสินว่า บุคคลผู้กระทำผิดต่ออาญาบ้านเมือง ซึ่งเป็นพวกเขาทั้งสิ้น “ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ถึงวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ไม่เป็นความผิดต่อไปและให้ผู้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง”

แสดงให้เห็นถึงความหน้าด้าน ไม่คำนึงถึงความยุติธรรมสากล ไม่คำนึงถึงสถาบันแห่งความยุติธรรมทั้งหลายนับแต่สถาบันหลักของชาติ อัยการ ศาล เป็นต้น

มันเป็นกฎหมายที่ช่วยอภิสิทธิชนอย่างทักษิณ คนที่กระทำความผิดต่อสถาบัน และความผิดทางอาญา เป็นต้น เป็นการช่วยพวกพ้องให้พ้นผิด และทำลายความรู้สึกของประชาชนทั้งฝ่ายที่รักความยุติธรรม ทำลายประชาชนที่ถูกศาลว่ากระทำผิดไปแล้ว

มันจึงเป็นการยกมือให้พวกพ้องพ้นผิด เป็นการยกมือตัดสินจากผิดให้เป็นถูก และที่ร้ายที่สุด ยอมือให้พ้นผิดในกรณีที่ศาลได้ตัดสินไปแล้ว เสมือนว่ามิได้กระทำความผิดใดๆ เลย

มันจึงเป็นกฎหมายที่อัปรีย์จัญไรที่สุด สาธุชนคนดีทั้งหลาย ไม่มีใครรับได้ มันได้อำนาจไปจากประชาชน แล้วก็นำไปทำประโยชน์เพื่อคนเพียงหยิบมือเดียว

ถามว่าไทยเฉยทั้งหลายยังจะยอมรับได้อยู่อีกเหรอ

มันจึงเป็นการล่มสลายความยุติธรรมของชาติ

ตุลาการไม่มีความหมาย ใครใหญ่ใครอยู่ มันจะเกิดสภาพอนาธิปไตย บ้านเมืองไร้ขื่อแป คนอ่อนแอจะอยู่ไม่ได้ โจรร้ายทางการเมืองจะเป็นใหญ่ ดังตัวอย่างที่ว่า ทักษิณทำอะไรไม่ผิด ปู ยิ่งลักษณ์ทำอะไรไม่ผิด สมาชิกพรรคเพื่อไทยทำผิดก็ไม่ผิด

ก็ขอให้ช่วยกันนำไปพิจารณาขยายความเถิด

เหตุวิกฤตชาติที่แท้จริง คือ “ลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ” ของคณะราษฎร ที่ครอบงำนักการเมืองทั้งหมด ข้าราชการทั้งหมดโดยเฉพาะคือกองทัพ ดูได้จาก “กองทัพทำรัฐประหารแล้วร่างรัฐธรรมนูญใหม่” หากต่อไป “กองทัพทำรัฐประหารรัฐบาล “ปู” ภายใต้ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญลง แล้วก็ร่วมใจกันขอพระราชทาน “สถาปนาหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยธรรมหรือหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9” กล่าวโดยย่อคือ (1) หลักธรรมาธิปไตย (2) หลักพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ (3) หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน (4) หลักเสรีภาพบริบูรณ์ (5) หลักความเสมอภาคทางโอกาส (6) หลักภราดรภาพ (7) หลักเอกภาพ (8) หลักดุลยภาพ (9) หลักนิติธรรม

จากนั้นจึงค่อยแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 50 อันเป็นวิธีการปกครองให้สอดคล้องกับระบอบหรือหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 นี่คือความเห็นถูก ยิ่งใหญ่ที่สุดทางเดียวเท่านั้นเป็นก้าวแรกที่จะนำไปสู่การแก้ไขเหตุวิกฤตชาติอย่างแท้จริง เรียกว่า การปฏิวัติที่แท้จริง คือเปลี่ยนระบอบเผด็จการเป็นระบอบประชาธิปไตยโดยธรรมอย่างแท้จริง

ส่วนการปฏิรูป หากปฏิรูปในระบอบเผด็จการจะยิ่งทำให้เป็นเผด็จการยิ่งขึ้น นั่นเอง อย่าหลงทางที่พูดๆ กันว่าปฏิรูปๆ แต่ไม่ยอมโค่นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ คิดโค่นแต่ระบอบทักษิณ ซึ่งเป็นปัญหาปลายแหตุ เป็นเพียงเงาของระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญเท่านั้น ประชาชนจะไม่ได้อะไร

ดังนั้นฝ่ายปฏิวัติต้องชูธง หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือการนำไปสู่การปฏิวัติทางการเมืองอย่างแท้จริง
กำลังโหลดความคิดเห็น