xs
xsm
sm
md
lg

บทความ

x

หากินกับ “เพศแม่” แย่กว่ากะหรี่

เผยแพร่:   โดย: ทวิช จิตรสมบูรณ์

เนื้อหาการปราศรัยของนายกฯ ปูที่มองโกเลีย นอกจากจะถล่มประเทศตนเองยับเยินแล้ว ยังยกยอตนเองว่าเป็น ปชต.นำสมัย ถึงกับตั้งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีไทย

ทำให้ผมมาคิดว่า ประเด็นนี้น่าเข้าข่ายเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็น ปชต. และผิด รธน.ตาม ม. ๓๐ ไหม

มาตรา ๓๐...ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน....การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิดเชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ (ฯลฯ)... จะกระทำมิได้

ดังนั้น การเอาเงินภาษี (ที่มาจากทั้งชายและหญิงเท่าเทียมกัน) ไปตั้งกองทุนนี้เท่ากับว่าเป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่

จะมาอ้างว่าเพศหญิงถูกกดขี่ก็ฟังไม่ขึ้น เพราะวันนี้เพศหญิงในไทย ได้รับการจัดอันดับโดยองค์กรนานาชาติว่าเป็นประเทศที่มีเพศหญิงเป็นผู้บริหาร “มากที่สุดในโลก” โดยเฉพาะในบางอาชีพ เช่น การธนาคาร การเงิน ประกันภัย เพศหญิงครองอำนาจแทบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

และยังเป็นที่รู้กันว่าผู้หญิงเป็นใหญ่ในบ้าน ทำให้ผู้ชายไทยเรานั้นส่วนใหญ่ “กลัวเมีย” จนมีคำศัพท์ล้อเลียนว่า ผบ.ทบ. = ผบ.ที่บ้าน

อาชีพสำคัญๆ หมอ เภสัช บัญชี เศรษฐศาสตร์ อาจารย์มหา’ลัย ก็เป็นผู้หญิงเสียมาก (ในขณะที่ฝรั่งมีน้อยกว่าเรามาก)

ลึกๆ แล้วสังคมไทยเป็นสังคมที่ “หญิงเป็นใหญ่” มานานแล้วแต่โบราณกาลที่นักการเมือง นักวิชาการ ไม่รู้คิด จึงได้แต่อ้างคำวิจารณ์นักวิชาการฝรั่งว่าไทยเรา “กดขี่ทางเพศ” (ไม่เจริญแล้วเหมือนฝรั่ง) ...จริงๆ แล้วมันตรงกันข้ามเลย เพราะหญิงฝรั่ง แม้วันนี้เป็นผู้บริหารหน่วยงานน้อยมาก จนรัฐต้องออกกฎหมายโควตาเพื่อยกระดับ

คนเราจะโง่ปานใด ก็น่าพอคิดออกหรอกว่า หญิงมีเสียงเลือกตั้งครึ่งประเทศ ถ้าเจียดเงินสักเล็กน้อยไปเอาใจ เช่น ตั้งกองทุนพัฒนาสตรี ก็คงได้เสียงเป็นกอบกำ (อย่างน้อยจากพวกหญิงโง่ๆ) ก็จะทำให้ชนะการเลือกตั้งตลอดกาล

นอกจาก ม. ๓๐ แล้ว ยังน่าผิด รธน.ม. ๖๘ อีกด้วย ข้อหาซื้อเสียง(ทางอ้อม) ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐโดยมิชอบ?

มาตรา ๖๘...บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ...เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ มิได้

ขอพักยกเรื่องกองทุนฯ สตรีไว้เพียงเท่านี้ก่อน ขอเปลี่ยนเกียร์มาเรื่อง “กะหรี่” บ้าง

ประเด็นที่นายกฯ ปูปราศรัยที่มองโกเลียจะจริงหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญนัก สำคัญคือ แม้ต่อให้เป็นเรื่องจริงก็เถอะ แล้วมันควรพูดไหมตามมารยาทของการเมืองระหว่างประเทศในบริบทแห่งการประชุมร่วมกันในลักษณะนั้น

เปรียบเทียบกับ นางอองซาน ซูจี แห่งพม่า เห็นเธอปราศรัยหลายเที่ยวในหลายเวที แต่เธอพูดแบบใช้ภาษาทางการทูตแบบอ้อมๆ แบบผู้ดีที่มีจริยธรรมทางการเมือง ในการวิจารณ์รัฐบาลทหารพม่าที่เป็นเผด็จการล้าหลังมานาน แถมจับเธอติดคุกทรมานอีก ๑๗ ปี

ความเดือดแค้นต่อการปราศรัยทำให้คนไทยหลายคนออกมาประณาม รวมทั้งคุณ ชัย ราชวัตร ที่เสียดสีแบบอ้อมๆ โดยไม่ระบุชื่อว่า ต่ำยิ่งกว่า “กะหรี่” ซะอีก

คำว่าโสเภณี/กะหรี่ทางการเมือง เป็นคำที่สื่อการเมืองไทยเราได้ใช้มานานแล้วในการเสียดสีนักการเมืองที่เขาคิดว่า “ขายตัว” ดังนั้น คนเป็นนักการเมืองก็คงต้องรับความเสี่ยงในการถูกกล่าวหาจากสื่อทำนองนี้โดยปริยาย ถ้าไม่อยากได้รับความเสี่ยงนี้ก็ควรไปประกอบอาชีพอื่น

คำนี้เป็นคำศัพท์สากลที่แปลมาจากศัพท์ฝรั่งที่ว่า Political prostitute และหรือ Political Whore แม้แต่ประธานาธิบดีแห่ง USA (นายโอบามา) ก็ถูกเรียกบ่อยๆ เช่นตามลิงก์ข้างล่างhttp://www.informationclearinghouse.info/article29229.htm
แม้นางมาร์กาเรต แทตเชอร์ นายกฯ อังกฤษก็ได้รับการด่าขรมว่า เป็น Political Whore (Prostitute เป็นคำสุภาพ = โสเภณี แต่ Whore =กะหรี่) http://www.iol.co.za/news/politics/numsa-slates-thatcher-1.1502658#.UYUaf6ImT7Y

ดังนั้น คำว่า กะหรี่การเมืองนี้ไม่มีเพศ ไม่ว่าเพศแม่หรือเพศพ่อก็ตามที เพราะนายโอบามา และนางแทตเชอร์ ต่างก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นกะหรี่เหมือนกันว่ากันว่า กะหรี่ คืออาชีพแรกของโลก แต่วันนี้ผมว่าน่าทบทวน อาจเป็นอาชีพธุรกิจการเมือง ที่มาก่อนกะหรี่เสียอีกนะ

ประดานักการเมืองที่ยกมือโหวตในรัฐสภา โดยไม่ใช้วิจารณญาณตามข้อเท็จจริง แต่โหวตตามเสียงสั่งจากหัวหน้าพรรคเท่านั้นก็อุปมาว่า ขายตัว ก็คือโสเภณีการเมือง ดังนั้น หัวหน้าพรรคของพวกนักการเมืองเหล่านี้ถ้าเป็นผู้ชายก็อุปมาดั่งพ่อเล้า ถ้าเป็นผู้หญิงก็อุปมาดั่งแม่เล้า นั่นเอง

บัดนี้ฝ่ายเชียร์รัฐบาลจัดหนัก เอาประเด็น “กะหรี่” นี้มาหาเสียงด้วยวาทกรรม “เหยียดเพศแม่” ถือว่ารสนิยมต่ำมาก ....กระทั่งเพศแม่ก็ยังเอามาหากิน หาเสียง เชียวหรือ

หากินกับ “เพศแม่” ผมว่าแย่ยิ่งกว่ากะหรี่นะ แล้วยังจะมีหน้ามาพัฒนาสตรีไทยอีกหรือ
กำลังโหลดความคิดเห็น