โดย...ทวิช จิตรสมบูรณ์
ผมได้ยินวาทกรรมที่ให้เหลืองแดงเลิกราต่อกัน หันกลับมาสามัคคีกันเหมือนเดิมอยู่บ่อย แต่ผมขอเห็นต่างว่า การแตกกันแบบนี้น่ะมันดีแล้ว เพียงแต่ว่าขอให้แตกกันแบบมีอารยธรรมสักหน่อย
หลายท่านบอกว่าแตกต่างได้แต่อย่าแตกแยก ซึ่งผมก็เห็นด้วย แต่ขอเสริมว่าแตกแยกก็ยังได้แต่อย่าแตกร้าว เพราะการแตกแยกมันเป็นเรื่องทางความคิดแต่การแตกร้าวมันเป็นเรื่องทางร่างกาย กล่าวคือ การใช้ความรุนแรงทางร่างกายต่อกัน และการใช้วิธีการอันต่ำช้าแบบที่บางฝ่ายได้ใช้อยู่บ่อยๆ เช่น ปาอึ ปาไข่ ปาระเบิด ยิงระเบิดใส่ฝ่ายตรงข้าม เป็นต้น
แต่ผมสังเกตว่าจริงๆ แล้วทุกวันนี้มันแตกร้าว แตกแยก แต่ไม่แตกต่างกันเลยสักหน่อย
ที่ว่าไม่แตกต่างคือ แนวคิดหลักๆ ในการบริหารบ้านเมืองของทั้งสองฝ่ายก็ยังเหมือนกัน คือยังนิยมระบบประชาธิปไตยที่ไปลอกฝรั่งมาทั้งดุ้นเหมือนกัน ไม่ค่อยมีใครคิดแตกต่างกันบ้างเลยว่าระบบนี้แหละคือรากฐานแห่งความวุ่นวาย ขืนใช้กันต่อไปจะบรรลัยแน่
บทความผมที่ได้ลง ผู้จัดการออนไลน์ เมื่อคราวก่อน (แก้รัฐธรรมนูญทั้งที..ควรปรับประชาธิปไตยฝรั่ง (ที่ลอกเขามาทั้งดุ้น) ให้เข้ากับสังคมไทย....24 ม.ค. 2553) ก็มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ผมเชื่อว่าถ้าเรายังใช้ระบบเดิมนี้ต่อไปเราก็จะได้ผู้นำแบบทักษิณเข้ามาอีกเป็นระลอก เพราะระบบนี้มันเอื้อต่อเงิน ใครใช้เงินมากก็เข้ามาได้มากแล้วพวกเขาจะไม่ถอนทุนหรอกหรือ ระบบตรวจสอบที่วางกันไว้มันก็ซื้อได้หรือหาทางหลบเลี่ยงกันจนได้แหละน่า
ส่วนระบบเศรษฐกิจนั้นทั้งเหลืองและแดงก็ไม่แตกต่างกัน กล่าวคือ ต่างก็นิยมการพึ่งพาทุนต่างชาติ (แทนที่จะพึ่งตนเอง) ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเป็นส่วนใหญ่ พอฝ่ายหนึ่งเดินขบวนอีกฝ่ายหนึ่งก็จะออกมาโจมตีว่าทำให้นักลงทุน (จากต่างชาติ) ขาดความเชื่อมั่น ส่วนผมนั้นอยากให้มันขาดความเชื่อมั่นมากๆ ให้ไปลงทุนที่อื่นให้หมดไปเลย
ที่ผ่านมา 70 กว่าปีตั้งแต่ปรับการปกครองมาเป็นประชาธิปไตย ยกเว้นบางช่วงสั้นๆ ส่วนใหญ่แล้วสังคมไทยเรานั้นมีจุดอ่อนมากที่สุดคือ คนในสังคมค่อนข้างจะไม่แตกกัน เพราะนิสัยคนไทยเราส่วนใหญ่มักทอดธุระในปัญหาสังคมการเมืองนั่นเอง เมื่อต่างคนต่างไม่ถือว่าเป็นธุระก็เลยไม่ต้องคิดเสียแต่แรก ก็เลยไม่มีเชื้อทางความคิดที่จะทำให้แตกต่างกันเสียแต่แรกนั่นเอง
ขอแทรกแนวคิดตรงนี้ว่าที่คนไทยเรา “ทอดธุระ” นั้นน่าจะมีต้นเหตุมาจากการที่กษัตริย์ไทยโบราณทรงทศพิธราชธรรมเป็นส่วนใหญ่ ไพร่ฟ้าหน้าใสเป็นส่วนใหญ่ จึงไม่สะสมนิสัย “เป็นธุระ” ส่วนในยุโรปกษัตริย์ส่วนใหญ่สะสมความร่ำรวยมหาศาลเช่นสร้างวังแวร์ซาย บัคกิงแฮมอันมโหฬารซึ่งก็ส่วนหนึ่งก็มาจากการขูดรีดภาษีราษฎรนั่นเอง ไพร่ฟ้าก็เลยหน้ามุ่ย ก็เลย “เป็นธุระ” กันมากจนติดนิสัยมาจนวันนี้
ใครว่าคนไทยทำงานเป็นทีมไม่ได้ ก็ทอดธุระกันเป็นทีมไงเล่า การโกงเป็นทีมเราก็เก่งในระดับต้นๆ ของโลก แต่ถ้าทำดีเป็นทีมนี้ยากที่สุด ดังจะเห็นว่าพรรคการเมืองดีๆ นั้นแตกกันไวมาก เช่น พลังใหม่ พลังธรรม เพราะคนดีไม่มีผลประโยชน์เป็นกาวสมานการกระทำนั่นเอง (หวังว่า “การเมืองใหม่” คงไม่เป็นเช่นนั้น)
นิสัยสามัคคีกันทอดธุระดังกล่าวทำให้พวกนักกินเมืองจำนวนมากสวาปามประเทศของเราได้อย่างสบายมือมานาน ทั้งทวนน้ำ ขวางน้ำ ตามน้ำ จนส่งผลให้ประเทศของเราด้อยพัฒนามาจนทุกวันนี้
การคอร์รัปชันนั้นโดยตัวของมันเองผมว่ามันไม่เท่าไรหรอก เช่น งบดำเนินการแต่ละปีประมาณ 30% ของงบทั้งหมด ถ้ามันสวาปามกันสัก 30% ก็เป็นเงินเพียง 9% ของงบประมาณเท่านั้นเอง และเงินพวกนี้ก็ไม่ได้หายไปไหนแต่วนเวียนกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่หลังฉากนั่นแหละ แต่ผลพวงโดยอ้อมนั้นมหาศาล โดยเฉพาะมันทำให้เราได้นักการเมืองคุณภาพต่ำ (โง่) เป็นส่วนใหญ่ อย่างมากก็ฉลาดเพียงแค่หลอกคนที่โง่ที่สุดให้ลงคะแนนให้ได้เท่านั้นเอง (คนเก่งดีที่เข้ามาก็พอมีแต่น้อยมาก เช่น นายชวน เป็นต้น จนต้านไอ้พวกนี้ที่เป็นส่วนใหญ่ไม่ไหว)
แทนที่จะใช้เวลาในการคิดค้นหาทางบริหารประเทศให้เจริญ คนพวกนี้ใช้เวลาทำงานส่วนใหญ่เพื่อคิดหากินส่วนตัวในคราบนักการเมืองเป็นหลัก จนไม่มีเวลาเหลือมาอุทิศให้กับการพัฒนาประเทศให้เจริญอย่างเหมาะสม ดังนั้นการบริหารประเทศของนักกินเมืองพวกนี้จึงทำกันอย่างชุ่ยๆ แบบขอไปที เช่น ไปยืมมือต่างชาติมาสร้างงานด้วยมาตรการลดแลกแจกแถมเพื่อให้ต่างชาติมาลงทุน (แล้วพวกมันคอยกินหัวคิวกันอีกต่างหาก) แล้วก็เอามาคุยโม้ว่าเป็นผลงานของพวกตนที่สร้างรายได้ประชาชาติ (GDP) ได้มากเท่าโน้นเท่านี้ ทั้งที่รายได้ส่วนใหญ่ (ประมาณ 70%) อยู่ในกระเป๋าของนายทุนต่างชาติไม่กี่คน
ส่วนสังคมไทยรับกรรมป่นปี้ เช่น คนไทยประมาณ 10 ล้านคน (หรือประมาณ 35% ของแรงงานทั้งหมด) ต้องทิ้งถิ่นฐานบ้างช่องเข้าไปใช้ชีวิตคุณภาพต่ำในนิคมอุตสาหกรรมเพื่อขายแรงงานราคาถูกเพื่อสร้างความร่ำรวยให้นายทุนต่างชาติ ปล่อยให้ลูกเต้าโตขึ้นมาโดยขาดไออุ่นจากพ่อแม่ จนทุกวันนี้เด็กวัยรุ่นไทยในต่างจังหวัดมีปัญหาหนักด้านการบ้ายาเสพติดและบ้ากามอีกด้วย คุณภาพการศึกษาก็ตกต่ำมาก คุณภาพของคนโดยรวมตกต่ำน่าใจหาย (เช่น ไอคิวเฉลี่ยไม่ถึง 80 ซึ่งไม่สูงกว่าลิงเท่าไรเลย)
นี่แหละผลพวงประการหนึ่งของการ “สามัคคี” กันทอดธุระปัญหาบ้างเมืองของคนไทย ผลพวงอื่นๆ ยังมีอีกมากมโหฬาร ท่านผู้อ่านลองคิดกันดูสิครับ
ดังนั้น ผมจึงอยากเห็นคนไทยมันแตกแยกกันบ้าง แบ่งเป็นเหลืองแดงแบบนี้แหละ ให้ความคิดต่างขั้วมันชนกันแรงๆ ให้กระจุยไปเลย สะเก็ดความคิดที่กระเด็นหลุดออกมาจากการชนกันนี้มันอาจจะส่งแรงไปขับเคลื่อนสังคมไทยให้เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นบ้างก็เป็นได้
ทั้งนี้ขอย้ำอีกทีว่า โดยมีข้อแม้ว่าต้องสันติ อย่ารุนแรง และอย่าใช้วิธีการต่ำช้า (เช่น ปาอุจาระ ปาไข่) และอีกประการคือต้องกระทำการโดยเจตนาบริสุทธิ์ ไม่มีวาระซ่อนเร้น (เช่น ล้มเจ้า) และไม่รับสินจ้างรางวัลใดๆ จากใคร
ที่น่าสังเกตคือ การแตกกันในครั้งนี้ของทั้งสองฝ่ายนั้นไ ม่มีเวทีให้โต้วาทีกันอย่างซึ่งหน้า ได้แต่โต้กันผ่านสื่อ ซึ่งทำให้บ่อยครั้งสื่อสารกันไม่ตรงความ ก็ยิ่งแตกกันเข้าไปอีก และการไม่เผชิญหน้ากันซึ่งหน้าก็เปิดโอกาสให้ใช้ภาษาแบบเสียดสี บ่อยครั้งก็หยาบคายเข้าใส่กัน ก็ยิ่งเป็นประเด็นให้บาดหมางกันมากขึ้นไปอีก กลายเป็นว่าสิ่งแวดล้อมทางอารมณ์เล็กน้อยมาปิดบังประเด็นหลักที่ถกเถียงกันเสียหมด ก็เลยทำให้เสียประโยชน์ต่อสังคมไป (ช้างเป็นทั้งตัว เอาใบบัวปิดได้มิดสนิท)
และนั่นก็เป็นจุดอ่อนที่สำคัญอีกประการของสังคมไทย คือไม่ชอบการโต้กันซึ่งหน้า (สังคมซุบซิบนินทาของเราก็มีมูลเหตุมาจากนิสัยนี้ รวมถึงการลอบทำร้ายกัน เช่น ลอบยิง ตีหัว) ผิดกับสังคมฝรั่งที่เขานิยมโต้กันซึ่งหน้า ถ้ามีกรณีเหลืองแดงเกิดในสหรัฐฯ รับรองได้เลยว่า คุณจตุพร กับ คุณสุริยะใส (และคู่อื่นๆ ที่สมน้ำสมเนื้อกัน) จะถูกนักข่าวเชิญมาโต้กันที่ห้องส่ง หรือไม่ก็โต้กันทางไกลสดๆ บ่อยมาก ในประเด็นต่างๆ โดยมีนักข่าวเป็นผู้ดำเนินรายการ (รวมทั้งห้ามทัพ) ใครถูกใครผิดประชาชนผู้ชมก็ตัดสินกันเอาเอง ถ้าเราทำแบบนี้ได้จะเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างทั้งสองฝ่าย และโดยเฉพาะประชาชนผู้ชมทุกสีเสื้อก็พลอยได้รับความรู้ไปด้วย
การแตกกันแบบนี้ในสังคมไทยไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เราควรช่วยกัน “อนุรักษ์” ไว้ให้ดี เลิกบอกเสียทีว่าให้ดีกัน ให้สมานฉันท์ เพียงแต่ต้องช่วยกันหาทางให้แตกกันอย่างอารยะ อย่าป่าเถื่อนอย่างที่ผ่านมา รัฐบาล (หรือองค์กรอิสระ) น่าจะหาเวทีให้ทั้งสองฝ่ายได้โต้วาทีกันซึ่งหน้าบ่อยๆ ยิ่งผ่านสื่อระดับชาติได้ยิ่งเป็นการดี
และต้องขอขอบคุณทักษิณฝ่ายหนึ่ง และคุณสนธิอีกฝ่ายหนึ่งที่เป็นต้นตอให้เกิดการแตกกันครั้งนี้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากรัฐบาลทักษิณนั้นไม่กี่แสนล้านบาท แต่ถ้าเราได้อะไรดีๆ จากการแตกกันครั้งนี้ เช่น ระบบการเมืองใหม่ที่ประกันได้ว่าจะได้คนเก่งคนดีเข้าไปบริหารบ้านเมืองให้ “แตกต่าง” ออกไปจากเดิมๆ ก็ถือว่าสังคมไทยได้กำไรมหาศาล
ผมได้ยินวาทกรรมที่ให้เหลืองแดงเลิกราต่อกัน หันกลับมาสามัคคีกันเหมือนเดิมอยู่บ่อย แต่ผมขอเห็นต่างว่า การแตกกันแบบนี้น่ะมันดีแล้ว เพียงแต่ว่าขอให้แตกกันแบบมีอารยธรรมสักหน่อย
หลายท่านบอกว่าแตกต่างได้แต่อย่าแตกแยก ซึ่งผมก็เห็นด้วย แต่ขอเสริมว่าแตกแยกก็ยังได้แต่อย่าแตกร้าว เพราะการแตกแยกมันเป็นเรื่องทางความคิดแต่การแตกร้าวมันเป็นเรื่องทางร่างกาย กล่าวคือ การใช้ความรุนแรงทางร่างกายต่อกัน และการใช้วิธีการอันต่ำช้าแบบที่บางฝ่ายได้ใช้อยู่บ่อยๆ เช่น ปาอึ ปาไข่ ปาระเบิด ยิงระเบิดใส่ฝ่ายตรงข้าม เป็นต้น
แต่ผมสังเกตว่าจริงๆ แล้วทุกวันนี้มันแตกร้าว แตกแยก แต่ไม่แตกต่างกันเลยสักหน่อย
ที่ว่าไม่แตกต่างคือ แนวคิดหลักๆ ในการบริหารบ้านเมืองของทั้งสองฝ่ายก็ยังเหมือนกัน คือยังนิยมระบบประชาธิปไตยที่ไปลอกฝรั่งมาทั้งดุ้นเหมือนกัน ไม่ค่อยมีใครคิดแตกต่างกันบ้างเลยว่าระบบนี้แหละคือรากฐานแห่งความวุ่นวาย ขืนใช้กันต่อไปจะบรรลัยแน่
บทความผมที่ได้ลง ผู้จัดการออนไลน์ เมื่อคราวก่อน (แก้รัฐธรรมนูญทั้งที..ควรปรับประชาธิปไตยฝรั่ง (ที่ลอกเขามาทั้งดุ้น) ให้เข้ากับสังคมไทย....24 ม.ค. 2553) ก็มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ผมเชื่อว่าถ้าเรายังใช้ระบบเดิมนี้ต่อไปเราก็จะได้ผู้นำแบบทักษิณเข้ามาอีกเป็นระลอก เพราะระบบนี้มันเอื้อต่อเงิน ใครใช้เงินมากก็เข้ามาได้มากแล้วพวกเขาจะไม่ถอนทุนหรอกหรือ ระบบตรวจสอบที่วางกันไว้มันก็ซื้อได้หรือหาทางหลบเลี่ยงกันจนได้แหละน่า
ส่วนระบบเศรษฐกิจนั้นทั้งเหลืองและแดงก็ไม่แตกต่างกัน กล่าวคือ ต่างก็นิยมการพึ่งพาทุนต่างชาติ (แทนที่จะพึ่งตนเอง) ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเป็นส่วนใหญ่ พอฝ่ายหนึ่งเดินขบวนอีกฝ่ายหนึ่งก็จะออกมาโจมตีว่าทำให้นักลงทุน (จากต่างชาติ) ขาดความเชื่อมั่น ส่วนผมนั้นอยากให้มันขาดความเชื่อมั่นมากๆ ให้ไปลงทุนที่อื่นให้หมดไปเลย
ที่ผ่านมา 70 กว่าปีตั้งแต่ปรับการปกครองมาเป็นประชาธิปไตย ยกเว้นบางช่วงสั้นๆ ส่วนใหญ่แล้วสังคมไทยเรานั้นมีจุดอ่อนมากที่สุดคือ คนในสังคมค่อนข้างจะไม่แตกกัน เพราะนิสัยคนไทยเราส่วนใหญ่มักทอดธุระในปัญหาสังคมการเมืองนั่นเอง เมื่อต่างคนต่างไม่ถือว่าเป็นธุระก็เลยไม่ต้องคิดเสียแต่แรก ก็เลยไม่มีเชื้อทางความคิดที่จะทำให้แตกต่างกันเสียแต่แรกนั่นเอง
ขอแทรกแนวคิดตรงนี้ว่าที่คนไทยเรา “ทอดธุระ” นั้นน่าจะมีต้นเหตุมาจากการที่กษัตริย์ไทยโบราณทรงทศพิธราชธรรมเป็นส่วนใหญ่ ไพร่ฟ้าหน้าใสเป็นส่วนใหญ่ จึงไม่สะสมนิสัย “เป็นธุระ” ส่วนในยุโรปกษัตริย์ส่วนใหญ่สะสมความร่ำรวยมหาศาลเช่นสร้างวังแวร์ซาย บัคกิงแฮมอันมโหฬารซึ่งก็ส่วนหนึ่งก็มาจากการขูดรีดภาษีราษฎรนั่นเอง ไพร่ฟ้าก็เลยหน้ามุ่ย ก็เลย “เป็นธุระ” กันมากจนติดนิสัยมาจนวันนี้
ใครว่าคนไทยทำงานเป็นทีมไม่ได้ ก็ทอดธุระกันเป็นทีมไงเล่า การโกงเป็นทีมเราก็เก่งในระดับต้นๆ ของโลก แต่ถ้าทำดีเป็นทีมนี้ยากที่สุด ดังจะเห็นว่าพรรคการเมืองดีๆ นั้นแตกกันไวมาก เช่น พลังใหม่ พลังธรรม เพราะคนดีไม่มีผลประโยชน์เป็นกาวสมานการกระทำนั่นเอง (หวังว่า “การเมืองใหม่” คงไม่เป็นเช่นนั้น)
นิสัยสามัคคีกันทอดธุระดังกล่าวทำให้พวกนักกินเมืองจำนวนมากสวาปามประเทศของเราได้อย่างสบายมือมานาน ทั้งทวนน้ำ ขวางน้ำ ตามน้ำ จนส่งผลให้ประเทศของเราด้อยพัฒนามาจนทุกวันนี้
การคอร์รัปชันนั้นโดยตัวของมันเองผมว่ามันไม่เท่าไรหรอก เช่น งบดำเนินการแต่ละปีประมาณ 30% ของงบทั้งหมด ถ้ามันสวาปามกันสัก 30% ก็เป็นเงินเพียง 9% ของงบประมาณเท่านั้นเอง และเงินพวกนี้ก็ไม่ได้หายไปไหนแต่วนเวียนกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่หลังฉากนั่นแหละ แต่ผลพวงโดยอ้อมนั้นมหาศาล โดยเฉพาะมันทำให้เราได้นักการเมืองคุณภาพต่ำ (โง่) เป็นส่วนใหญ่ อย่างมากก็ฉลาดเพียงแค่หลอกคนที่โง่ที่สุดให้ลงคะแนนให้ได้เท่านั้นเอง (คนเก่งดีที่เข้ามาก็พอมีแต่น้อยมาก เช่น นายชวน เป็นต้น จนต้านไอ้พวกนี้ที่เป็นส่วนใหญ่ไม่ไหว)
แทนที่จะใช้เวลาในการคิดค้นหาทางบริหารประเทศให้เจริญ คนพวกนี้ใช้เวลาทำงานส่วนใหญ่เพื่อคิดหากินส่วนตัวในคราบนักการเมืองเป็นหลัก จนไม่มีเวลาเหลือมาอุทิศให้กับการพัฒนาประเทศให้เจริญอย่างเหมาะสม ดังนั้นการบริหารประเทศของนักกินเมืองพวกนี้จึงทำกันอย่างชุ่ยๆ แบบขอไปที เช่น ไปยืมมือต่างชาติมาสร้างงานด้วยมาตรการลดแลกแจกแถมเพื่อให้ต่างชาติมาลงทุน (แล้วพวกมันคอยกินหัวคิวกันอีกต่างหาก) แล้วก็เอามาคุยโม้ว่าเป็นผลงานของพวกตนที่สร้างรายได้ประชาชาติ (GDP) ได้มากเท่าโน้นเท่านี้ ทั้งที่รายได้ส่วนใหญ่ (ประมาณ 70%) อยู่ในกระเป๋าของนายทุนต่างชาติไม่กี่คน
ส่วนสังคมไทยรับกรรมป่นปี้ เช่น คนไทยประมาณ 10 ล้านคน (หรือประมาณ 35% ของแรงงานทั้งหมด) ต้องทิ้งถิ่นฐานบ้างช่องเข้าไปใช้ชีวิตคุณภาพต่ำในนิคมอุตสาหกรรมเพื่อขายแรงงานราคาถูกเพื่อสร้างความร่ำรวยให้นายทุนต่างชาติ ปล่อยให้ลูกเต้าโตขึ้นมาโดยขาดไออุ่นจากพ่อแม่ จนทุกวันนี้เด็กวัยรุ่นไทยในต่างจังหวัดมีปัญหาหนักด้านการบ้ายาเสพติดและบ้ากามอีกด้วย คุณภาพการศึกษาก็ตกต่ำมาก คุณภาพของคนโดยรวมตกต่ำน่าใจหาย (เช่น ไอคิวเฉลี่ยไม่ถึง 80 ซึ่งไม่สูงกว่าลิงเท่าไรเลย)
นี่แหละผลพวงประการหนึ่งของการ “สามัคคี” กันทอดธุระปัญหาบ้างเมืองของคนไทย ผลพวงอื่นๆ ยังมีอีกมากมโหฬาร ท่านผู้อ่านลองคิดกันดูสิครับ
ดังนั้น ผมจึงอยากเห็นคนไทยมันแตกแยกกันบ้าง แบ่งเป็นเหลืองแดงแบบนี้แหละ ให้ความคิดต่างขั้วมันชนกันแรงๆ ให้กระจุยไปเลย สะเก็ดความคิดที่กระเด็นหลุดออกมาจากการชนกันนี้มันอาจจะส่งแรงไปขับเคลื่อนสังคมไทยให้เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นบ้างก็เป็นได้
ทั้งนี้ขอย้ำอีกทีว่า โดยมีข้อแม้ว่าต้องสันติ อย่ารุนแรง และอย่าใช้วิธีการต่ำช้า (เช่น ปาอุจาระ ปาไข่) และอีกประการคือต้องกระทำการโดยเจตนาบริสุทธิ์ ไม่มีวาระซ่อนเร้น (เช่น ล้มเจ้า) และไม่รับสินจ้างรางวัลใดๆ จากใคร
ที่น่าสังเกตคือ การแตกกันในครั้งนี้ของทั้งสองฝ่ายนั้นไ ม่มีเวทีให้โต้วาทีกันอย่างซึ่งหน้า ได้แต่โต้กันผ่านสื่อ ซึ่งทำให้บ่อยครั้งสื่อสารกันไม่ตรงความ ก็ยิ่งแตกกันเข้าไปอีก และการไม่เผชิญหน้ากันซึ่งหน้าก็เปิดโอกาสให้ใช้ภาษาแบบเสียดสี บ่อยครั้งก็หยาบคายเข้าใส่กัน ก็ยิ่งเป็นประเด็นให้บาดหมางกันมากขึ้นไปอีก กลายเป็นว่าสิ่งแวดล้อมทางอารมณ์เล็กน้อยมาปิดบังประเด็นหลักที่ถกเถียงกันเสียหมด ก็เลยทำให้เสียประโยชน์ต่อสังคมไป (ช้างเป็นทั้งตัว เอาใบบัวปิดได้มิดสนิท)
และนั่นก็เป็นจุดอ่อนที่สำคัญอีกประการของสังคมไทย คือไม่ชอบการโต้กันซึ่งหน้า (สังคมซุบซิบนินทาของเราก็มีมูลเหตุมาจากนิสัยนี้ รวมถึงการลอบทำร้ายกัน เช่น ลอบยิง ตีหัว) ผิดกับสังคมฝรั่งที่เขานิยมโต้กันซึ่งหน้า ถ้ามีกรณีเหลืองแดงเกิดในสหรัฐฯ รับรองได้เลยว่า คุณจตุพร กับ คุณสุริยะใส (และคู่อื่นๆ ที่สมน้ำสมเนื้อกัน) จะถูกนักข่าวเชิญมาโต้กันที่ห้องส่ง หรือไม่ก็โต้กันทางไกลสดๆ บ่อยมาก ในประเด็นต่างๆ โดยมีนักข่าวเป็นผู้ดำเนินรายการ (รวมทั้งห้ามทัพ) ใครถูกใครผิดประชาชนผู้ชมก็ตัดสินกันเอาเอง ถ้าเราทำแบบนี้ได้จะเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างทั้งสองฝ่าย และโดยเฉพาะประชาชนผู้ชมทุกสีเสื้อก็พลอยได้รับความรู้ไปด้วย
การแตกกันแบบนี้ในสังคมไทยไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เราควรช่วยกัน “อนุรักษ์” ไว้ให้ดี เลิกบอกเสียทีว่าให้ดีกัน ให้สมานฉันท์ เพียงแต่ต้องช่วยกันหาทางให้แตกกันอย่างอารยะ อย่าป่าเถื่อนอย่างที่ผ่านมา รัฐบาล (หรือองค์กรอิสระ) น่าจะหาเวทีให้ทั้งสองฝ่ายได้โต้วาทีกันซึ่งหน้าบ่อยๆ ยิ่งผ่านสื่อระดับชาติได้ยิ่งเป็นการดี
และต้องขอขอบคุณทักษิณฝ่ายหนึ่ง และคุณสนธิอีกฝ่ายหนึ่งที่เป็นต้นตอให้เกิดการแตกกันครั้งนี้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากรัฐบาลทักษิณนั้นไม่กี่แสนล้านบาท แต่ถ้าเราได้อะไรดีๆ จากการแตกกันครั้งนี้ เช่น ระบบการเมืองใหม่ที่ประกันได้ว่าจะได้คนเก่งคนดีเข้าไปบริหารบ้านเมืองให้ “แตกต่าง” ออกไปจากเดิมๆ ก็ถือว่าสังคมไทยได้กำไรมหาศาล