นับแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป “อุณหภูมิการเมือง” จะ “ทวีคูณความร้อนแรง” สูงขึ้นเป็นสองถึงสามเท่าตัว จนอาจถึงขั้น “แตกหัก!” จากความพยายามของ “กลุ่มเสื้อแดง-นปช.” โดยการบัญชาการของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ยังคง “อาละวาด” อย่างต่อเนื่อง
ว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว “การอาละวาด-แผลงฤทธิ์” ของคุณทักษิณ ชินวัตร ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 3 ปีกว่าๆ มิได้หยุดได้หย่อน แต่จะเริ่มระดมเร่งเกมให้แรงมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “หวังเผด็จศึก” ให้จบให้ได้ภายในปลายปีนี้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ไม่น่าจะเกินเดือนกุมภาพันธ์
หลายๆ ฝ่ายต่างวิเคราะห์กันว่า “การกดปุ่ม-บัญชาการ” ของคุณทักษิณนั้นไม่น่าจะส่งสัญญาณมาจากแดนไกลจาก “ดูไบ” แต่น่าจะวนเวียนอยู่แถวๆ ชายฝั่งตะวันออก หรือกล่าวอย่างไม่ต้องอ้อมค้อม น่าจะเป็นบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาหรือไม่ก็ “เกาะกง” ที่ได้มีการเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบ้านพัก หรือเลยเถิดไปจนถึง “อาณาจักรทักษิณ” กันเลยทีเดียว ที่มีสารพัดอุปกรณ์ เครื่องไม้เครื่องมือการสื่อสาร ตลอดจน “พาหนะ” สารพัดชนิด ตั้งแต่รถยนต์ เรือยอร์ช เครื่องบิน ที่สามารถเดินทางหลบหนีลี้ภัยได้อย่างสะดวกโยธิน
ประเด็นปัญหาสำคัญ เป็นที่ปรากฏและประกาศชัดเจนจากคณะผู้บริหารของประเทศเพื่อนบ้าน โดยไม่ได้ “แยแส-ยี่หระ” กับความสัมพันธ์ระหว่างกันเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะคุณฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่แต่งตั้งคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวและรัฐบาลกัมพูชาด้านเศรษฐกิจ
ตลอดจนประกาศว่าเป็น “เพื่อนรัก-เพื่อนเลิฟ” ที่จะปกป้องคุ้มครองรักษาความปลอดภัยให้ทุกประการ ตลอดจนปลูกคฤหาสน์ให้คุณทักษิณ ได้พำนักอย่างสุขสบายตามอำเภอใจ พูดภาษาชาวบ้านเรียกว่า “ยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม!”
การเคลื่อนไหวของคุณทักษิณ ชินวัตร มักดำเนินการที่ถนัดที่สุดคือ “นโยบาย” และ/หรือ “ยุทธศาสตร์คู่ขนาน” ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Dual Track”
ในช่วงที่อำนาจเฟื่องฟู กำหนดและดำเนินการบริหารประเทศ “คู่ขนาน (Dual Track)” ด้านเศรษฐกิจด้วย หนึ่ง แก้ไขปัญหาความยากจนด้วย “นโยบายประชานิยม” สารพัดอย่างเพื่อพัฒนาการดำเนินชีวิตของประชาชนภายในประเทศให้ยกระดับที่สูงขึ้น และสอง การเดินสายสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาต่อประชาคมโลก ให้มีต่อประเทศไทยมากยิ่งขึ้นจาก “การลงทุน” โดยเฉพาะ “อุตสาหกรรมส่งออก” กับ “อุตสาหกรรมท่องเที่ยว”
ว่าไปแล้ว ต้องขอชื่นชมว่า “นโยบาย-ยุทธศาสตร์-การบริหาร” ชาติบ้านเมืองของคุณทักษิณ ชินวัตร นั้น ในช่วง 2-3 ปี ของยุคเรืองอำนาจว่า “เก่ง-สุดยอด” แต่พอวันเวลาผ่านไป “อำนาจ” ที่เคยมีนั้น “กลายพันธุ์” เปลี่ยนแปลงไปจากการทุ่มเทเพื่อประเทศชาติ กลับกอบโกยผลประโยชน์ด้วย “ทุจริตเชิงนโยบาย” และ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า “Conflict of Interest”
ขอย้ำอีกครั้งว่า คุณทักษิณ ชินวัตร เป็น “คนเก่ง-ฉลาด-ไอคิวดี” และไม่สำคัญเท่ากับ “การเมืองการตลาด” หรือ “Political Marketing” ของเขาและทีมที่ปรึกษานั้นเข้าขั้น “เยี่ยมยุทธ์” เลยทีเดียว แต่ก็น่าเสียดายว่า “เริ่มต้นเป็นลำไม้ไผ่ แต่กลายเป็นบ้องกัญชา” ในที่สุด พูดง่ายๆ หมายความว่า ช่วงต้นนั้น เจตนารมณ์ดี วิธีการเยี่ยม แต่วันเวลาเปลี่ยนไป “อำนาจ” และ “ผลประโยชน์” หอมหวล และไม่สำคัญเท่ากับ “ล้นฟ้า!” จน “กลายพันธุ์” แทนที่จะทุ่มเทให้กับชาติบ้านเมือง กลับมาทุ่มเทให้กับตนเอง พรรคพวก ครอบครัวและคณะ
ซ้ำร้ายไปมากกว่านั้น จากเริ่มต้น “คิดใหม่ทำใหม่” เป็น “คิดนอกกรอบ” ซึ่งล้ำสมัยมากกลายมาเป็น “คิดนอกลู่นอกทาง” และสร้างปัญหาให้มากที่สุดคือ “คิดเลยเถิด!” จนต้องมีอันเป็นไปทางการเมือง
“วิธีคิด-วิธีการ” และ “เป้าหมาย” ของคุณทักษิณ และคณะไม่เคยเปลี่ยน ยังคงยึดติดอยู่กับ “ยุทธศาสตร์คู่ขนาน” แต่จากเดิมนั้น เพื่อชาติบ้านเมืองและประชาชนดังที่กล่าวไว้แล้วข้างต้นว่า “กลายพันธุ์-เปลี๋ยนไป!” จนปัจจุบันก็ยังคงดำเนินการอยู่ แต่ “เลวร้าย” มากกว่านั้นคือ “เป้าหมาย” เพื่อ “ย่ำยีแผ่นดินเกิด!”
ด้วยการจัดตั้งระดมแฟนคลับ “กลุ่มเสื้อแดง-นปช.” ที่คอยชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาลทุกวิธีการอย่างน้อย 2 ครั้งต่อหนึ่งเดือน สร้างความปั่นป่วนไม่ให้ชาติบ้านเมืองสงบสุข ทำนอง “แก้แค้น” ทั้ง “กลุ่มเสื้อเหลือง-พันธมิตรฯ” พร้อมพุ่งเป้าไปที่ “ระบอบอำมาตยาธิปไตย” ซึ่งเป็น “อำนาจดั้งเดิม-อำนาจเก่า” และเป็น “รากฐานระบบการเมืองการปกครองไทย”
ถามว่า “อำนาจเก่า” นี้ “เก่า-คร่ำครึ” หรือไม่ก็ต้องตอบว่า “ไม่ถึงเพียงนั้น” เพียงแต่ยังเป็นรากฐานและโครงสร้างสำคัญในการ “สนับสนุน” และ “ต่อยอด” ให้สังคมไทยพัฒนาสู่ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
ประเด็นสำคัญ “ระบอบอำมาตยาธิปไตย” นั้น เน้นที่ “ระบบศักดินา” ที่ต้องยอมรับว่า สังคมไทยตั้งแต่ดั้งเดิมจนถึงปัจจุบันเป็น “รัฐราชการ” ที่ “อำมาตย์-ขุนนาง” และ/หรือ “ข้าราชการเป็นใหญ่” ปฏิบัติหน้าที่บริหารจัดการปกครองบ้านเมืองเป็น “กลไก-ฟันเฟือง” สำคัญให้แก่ “สถาบันพระมหากษัตริย์” ที่ต้องให้ประชาชนที่บกพร่องความรู้ด้านประวัติศาสตร์ว่า “พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์เปี่ยมล้นไปด้วยทศพิธราชธรรม” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งหมายความว่า “ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมและจริยธรรม”
แต่การโจมตีระบบอำมาตยาธิปไตยนั้นบ่อยครั้ง “พาดพิง” จนถึงขั้น “หมิ่นเหม่-จาบจ้วง” สถาบันพระมหากษัตริย์นั้น เป็นยุทธวิธีที่อาจทำให้แฟนคลับบางคนบางกลุ่ม “หลงเชื่อ-หลงงมงาย” หรือไม่ก็อาจ “ถูกหลอก!” โดยเฉพาะ “เห็นแก่อามิสสินจ้าง!”
นอกเหนือจาก “การบ่อนเซาะทำลายให้คนไทยแตกแยก” แล้ว ยังน่าเชื่อว่าพยายามโค่นล้ม “สถาบันเบื้องสูง” เพื่อสถาปนา “อำนาจใหม่” กับ “ธุรกิจการเมือง” และ “บรรษัทการเมืองนิยม (Political Corporatism)” ด้วยการไต่ขึ้นไปจนถึงปรับเปลี่ยนโครงสร้างและระบบการเมืองการปกครองเสมือนเพื่อนรักเพื่อนเกลอประสบความสำเร็จมาแล้วในอดีตกับบ้านเมืองตนเอง!
จาก “ภายในบ้านตนเอง” ที่ใครต่อใครต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “เผาบ้านตนเอง!” เท่านั้นยังไม่พอ ยังดำเนินการ “ปิดล้อมประเทศไทย” ด้วยความพยายามให้ “สังคมโลก” ตำหนิติเตียนและต่อต้านรัฐบาลปัจจุบัน แต่ไม่สำคัญเท่ากับ “ประเทศไทย” จากสารพัดใส่ร้ายป้ายสี จากกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน
“นโยบายคู่ขนาน” จากสารพัดวิธีการทั้งภายในและภายนอกประเทศ มีเป้าหมายเดียวคือ “ทำลาย-ทำร้ายประเทศชาติ” เพื่อปูทางกลับสู่อำนาจอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่ “เร่งเกมล้ม!” อยู่ขณะนี้
เหตุผลสำคัญที่ “เร่งเกมอย่างหนัก!” อยู่ปัจจุบันนี้เพื่อเผด็จศึกให้ได้ภายใน 2-3 เดือนนี้ เกิดจาก “คดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท” ที่เคี่ยวเข้ามาทุกขณะ ซึ่งจะมีผลสำคัญสำหรับ “บรรษัทการเมือง” และ “อาณาจักรอำนาจ” ของตนเองและคณะ
แต่คงไม่สำคัญเท่ากับว่า ถ้าปล่อยให้อำนาจทางการเมือง “ตกผลึก” อยู่กับ “กลุ่มอำนาจ 3 ฝ่าย” กล่าวคือ “ระบบอำมาตยาธิปไตย-กองทัพ-พรรคการเมืองตรงข้าม” ที่พยายามทอดยาวไปจนถึงกลางปี 2553 จะทำให้ “ฐาน-แกนอำนาจ” ของคุณทักษิณ มีอัน “ผุกร่อน” และ “ล่มสลาย” ในที่สุด ไม่สามารถ “ทวงคืน” และ “ล้างแค้น” ด้วยการกลับมายึดครองอำนาจได้อีกครั้งหนึ่ง
“การเปิดเกม-เร่งเกม” เริ่มแล้วและจะโหมหนักมากยิ่งขึ้นตั้งแต่วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป ทั้งๆ ที่มิบังควรอย่างยิ่งกับ “พระราชพิธี” ช่วงต้นเดือนธันวาคมเป็นต้นไป
สารพัดยุทธวิธีที่จะถูกนำมาสั่นคลอนรัฐบาลให้มีอันเป็นไปให้เร็วที่สุด ยิ่งปล่อยนาน “อำนาจ 3 ฝ่าย” จะแข็งแกร่งเป็นภูผาและหมดโอกาสหวนคืนสู่บัลลังก์อำนาจ
หลากหลายหมอดูต่างทำนายว่า “ชาติบ้านเมืองจะเกิดนองเลือด-กลียุค” รับรองว่า “ความพยายามนั้นมีแน่” จนเลยเถิดว่า “เกิดขึ้นแน่!” แต่สำเร็จหรือไม่นั้น คงไม่สำคัญเท่ากับว่า “ประชาชนประเทศชาติพังเสียหาย สมดังเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน!” ไปเรียบร้อยแล้ว!
ว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว “การอาละวาด-แผลงฤทธิ์” ของคุณทักษิณ ชินวัตร ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 3 ปีกว่าๆ มิได้หยุดได้หย่อน แต่จะเริ่มระดมเร่งเกมให้แรงมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “หวังเผด็จศึก” ให้จบให้ได้ภายในปลายปีนี้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ไม่น่าจะเกินเดือนกุมภาพันธ์
หลายๆ ฝ่ายต่างวิเคราะห์กันว่า “การกดปุ่ม-บัญชาการ” ของคุณทักษิณนั้นไม่น่าจะส่งสัญญาณมาจากแดนไกลจาก “ดูไบ” แต่น่าจะวนเวียนอยู่แถวๆ ชายฝั่งตะวันออก หรือกล่าวอย่างไม่ต้องอ้อมค้อม น่าจะเป็นบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาหรือไม่ก็ “เกาะกง” ที่ได้มีการเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบ้านพัก หรือเลยเถิดไปจนถึง “อาณาจักรทักษิณ” กันเลยทีเดียว ที่มีสารพัดอุปกรณ์ เครื่องไม้เครื่องมือการสื่อสาร ตลอดจน “พาหนะ” สารพัดชนิด ตั้งแต่รถยนต์ เรือยอร์ช เครื่องบิน ที่สามารถเดินทางหลบหนีลี้ภัยได้อย่างสะดวกโยธิน
ประเด็นปัญหาสำคัญ เป็นที่ปรากฏและประกาศชัดเจนจากคณะผู้บริหารของประเทศเพื่อนบ้าน โดยไม่ได้ “แยแส-ยี่หระ” กับความสัมพันธ์ระหว่างกันเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะคุณฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่แต่งตั้งคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวและรัฐบาลกัมพูชาด้านเศรษฐกิจ
ตลอดจนประกาศว่าเป็น “เพื่อนรัก-เพื่อนเลิฟ” ที่จะปกป้องคุ้มครองรักษาความปลอดภัยให้ทุกประการ ตลอดจนปลูกคฤหาสน์ให้คุณทักษิณ ได้พำนักอย่างสุขสบายตามอำเภอใจ พูดภาษาชาวบ้านเรียกว่า “ยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม!”
การเคลื่อนไหวของคุณทักษิณ ชินวัตร มักดำเนินการที่ถนัดที่สุดคือ “นโยบาย” และ/หรือ “ยุทธศาสตร์คู่ขนาน” ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Dual Track”
ในช่วงที่อำนาจเฟื่องฟู กำหนดและดำเนินการบริหารประเทศ “คู่ขนาน (Dual Track)” ด้านเศรษฐกิจด้วย หนึ่ง แก้ไขปัญหาความยากจนด้วย “นโยบายประชานิยม” สารพัดอย่างเพื่อพัฒนาการดำเนินชีวิตของประชาชนภายในประเทศให้ยกระดับที่สูงขึ้น และสอง การเดินสายสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาต่อประชาคมโลก ให้มีต่อประเทศไทยมากยิ่งขึ้นจาก “การลงทุน” โดยเฉพาะ “อุตสาหกรรมส่งออก” กับ “อุตสาหกรรมท่องเที่ยว”
ว่าไปแล้ว ต้องขอชื่นชมว่า “นโยบาย-ยุทธศาสตร์-การบริหาร” ชาติบ้านเมืองของคุณทักษิณ ชินวัตร นั้น ในช่วง 2-3 ปี ของยุคเรืองอำนาจว่า “เก่ง-สุดยอด” แต่พอวันเวลาผ่านไป “อำนาจ” ที่เคยมีนั้น “กลายพันธุ์” เปลี่ยนแปลงไปจากการทุ่มเทเพื่อประเทศชาติ กลับกอบโกยผลประโยชน์ด้วย “ทุจริตเชิงนโยบาย” และ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า “Conflict of Interest”
ขอย้ำอีกครั้งว่า คุณทักษิณ ชินวัตร เป็น “คนเก่ง-ฉลาด-ไอคิวดี” และไม่สำคัญเท่ากับ “การเมืองการตลาด” หรือ “Political Marketing” ของเขาและทีมที่ปรึกษานั้นเข้าขั้น “เยี่ยมยุทธ์” เลยทีเดียว แต่ก็น่าเสียดายว่า “เริ่มต้นเป็นลำไม้ไผ่ แต่กลายเป็นบ้องกัญชา” ในที่สุด พูดง่ายๆ หมายความว่า ช่วงต้นนั้น เจตนารมณ์ดี วิธีการเยี่ยม แต่วันเวลาเปลี่ยนไป “อำนาจ” และ “ผลประโยชน์” หอมหวล และไม่สำคัญเท่ากับ “ล้นฟ้า!” จน “กลายพันธุ์” แทนที่จะทุ่มเทให้กับชาติบ้านเมือง กลับมาทุ่มเทให้กับตนเอง พรรคพวก ครอบครัวและคณะ
ซ้ำร้ายไปมากกว่านั้น จากเริ่มต้น “คิดใหม่ทำใหม่” เป็น “คิดนอกกรอบ” ซึ่งล้ำสมัยมากกลายมาเป็น “คิดนอกลู่นอกทาง” และสร้างปัญหาให้มากที่สุดคือ “คิดเลยเถิด!” จนต้องมีอันเป็นไปทางการเมือง
“วิธีคิด-วิธีการ” และ “เป้าหมาย” ของคุณทักษิณ และคณะไม่เคยเปลี่ยน ยังคงยึดติดอยู่กับ “ยุทธศาสตร์คู่ขนาน” แต่จากเดิมนั้น เพื่อชาติบ้านเมืองและประชาชนดังที่กล่าวไว้แล้วข้างต้นว่า “กลายพันธุ์-เปลี๋ยนไป!” จนปัจจุบันก็ยังคงดำเนินการอยู่ แต่ “เลวร้าย” มากกว่านั้นคือ “เป้าหมาย” เพื่อ “ย่ำยีแผ่นดินเกิด!”
ด้วยการจัดตั้งระดมแฟนคลับ “กลุ่มเสื้อแดง-นปช.” ที่คอยชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาลทุกวิธีการอย่างน้อย 2 ครั้งต่อหนึ่งเดือน สร้างความปั่นป่วนไม่ให้ชาติบ้านเมืองสงบสุข ทำนอง “แก้แค้น” ทั้ง “กลุ่มเสื้อเหลือง-พันธมิตรฯ” พร้อมพุ่งเป้าไปที่ “ระบอบอำมาตยาธิปไตย” ซึ่งเป็น “อำนาจดั้งเดิม-อำนาจเก่า” และเป็น “รากฐานระบบการเมืองการปกครองไทย”
ถามว่า “อำนาจเก่า” นี้ “เก่า-คร่ำครึ” หรือไม่ก็ต้องตอบว่า “ไม่ถึงเพียงนั้น” เพียงแต่ยังเป็นรากฐานและโครงสร้างสำคัญในการ “สนับสนุน” และ “ต่อยอด” ให้สังคมไทยพัฒนาสู่ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
ประเด็นสำคัญ “ระบอบอำมาตยาธิปไตย” นั้น เน้นที่ “ระบบศักดินา” ที่ต้องยอมรับว่า สังคมไทยตั้งแต่ดั้งเดิมจนถึงปัจจุบันเป็น “รัฐราชการ” ที่ “อำมาตย์-ขุนนาง” และ/หรือ “ข้าราชการเป็นใหญ่” ปฏิบัติหน้าที่บริหารจัดการปกครองบ้านเมืองเป็น “กลไก-ฟันเฟือง” สำคัญให้แก่ “สถาบันพระมหากษัตริย์” ที่ต้องให้ประชาชนที่บกพร่องความรู้ด้านประวัติศาสตร์ว่า “พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์เปี่ยมล้นไปด้วยทศพิธราชธรรม” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งหมายความว่า “ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมและจริยธรรม”
แต่การโจมตีระบบอำมาตยาธิปไตยนั้นบ่อยครั้ง “พาดพิง” จนถึงขั้น “หมิ่นเหม่-จาบจ้วง” สถาบันพระมหากษัตริย์นั้น เป็นยุทธวิธีที่อาจทำให้แฟนคลับบางคนบางกลุ่ม “หลงเชื่อ-หลงงมงาย” หรือไม่ก็อาจ “ถูกหลอก!” โดยเฉพาะ “เห็นแก่อามิสสินจ้าง!”
นอกเหนือจาก “การบ่อนเซาะทำลายให้คนไทยแตกแยก” แล้ว ยังน่าเชื่อว่าพยายามโค่นล้ม “สถาบันเบื้องสูง” เพื่อสถาปนา “อำนาจใหม่” กับ “ธุรกิจการเมือง” และ “บรรษัทการเมืองนิยม (Political Corporatism)” ด้วยการไต่ขึ้นไปจนถึงปรับเปลี่ยนโครงสร้างและระบบการเมืองการปกครองเสมือนเพื่อนรักเพื่อนเกลอประสบความสำเร็จมาแล้วในอดีตกับบ้านเมืองตนเอง!
จาก “ภายในบ้านตนเอง” ที่ใครต่อใครต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “เผาบ้านตนเอง!” เท่านั้นยังไม่พอ ยังดำเนินการ “ปิดล้อมประเทศไทย” ด้วยความพยายามให้ “สังคมโลก” ตำหนิติเตียนและต่อต้านรัฐบาลปัจจุบัน แต่ไม่สำคัญเท่ากับ “ประเทศไทย” จากสารพัดใส่ร้ายป้ายสี จากกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน
“นโยบายคู่ขนาน” จากสารพัดวิธีการทั้งภายในและภายนอกประเทศ มีเป้าหมายเดียวคือ “ทำลาย-ทำร้ายประเทศชาติ” เพื่อปูทางกลับสู่อำนาจอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่ “เร่งเกมล้ม!” อยู่ขณะนี้
เหตุผลสำคัญที่ “เร่งเกมอย่างหนัก!” อยู่ปัจจุบันนี้เพื่อเผด็จศึกให้ได้ภายใน 2-3 เดือนนี้ เกิดจาก “คดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท” ที่เคี่ยวเข้ามาทุกขณะ ซึ่งจะมีผลสำคัญสำหรับ “บรรษัทการเมือง” และ “อาณาจักรอำนาจ” ของตนเองและคณะ
แต่คงไม่สำคัญเท่ากับว่า ถ้าปล่อยให้อำนาจทางการเมือง “ตกผลึก” อยู่กับ “กลุ่มอำนาจ 3 ฝ่าย” กล่าวคือ “ระบบอำมาตยาธิปไตย-กองทัพ-พรรคการเมืองตรงข้าม” ที่พยายามทอดยาวไปจนถึงกลางปี 2553 จะทำให้ “ฐาน-แกนอำนาจ” ของคุณทักษิณ มีอัน “ผุกร่อน” และ “ล่มสลาย” ในที่สุด ไม่สามารถ “ทวงคืน” และ “ล้างแค้น” ด้วยการกลับมายึดครองอำนาจได้อีกครั้งหนึ่ง
“การเปิดเกม-เร่งเกม” เริ่มแล้วและจะโหมหนักมากยิ่งขึ้นตั้งแต่วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป ทั้งๆ ที่มิบังควรอย่างยิ่งกับ “พระราชพิธี” ช่วงต้นเดือนธันวาคมเป็นต้นไป
สารพัดยุทธวิธีที่จะถูกนำมาสั่นคลอนรัฐบาลให้มีอันเป็นไปให้เร็วที่สุด ยิ่งปล่อยนาน “อำนาจ 3 ฝ่าย” จะแข็งแกร่งเป็นภูผาและหมดโอกาสหวนคืนสู่บัลลังก์อำนาจ
หลากหลายหมอดูต่างทำนายว่า “ชาติบ้านเมืองจะเกิดนองเลือด-กลียุค” รับรองว่า “ความพยายามนั้นมีแน่” จนเลยเถิดว่า “เกิดขึ้นแน่!” แต่สำเร็จหรือไม่นั้น คงไม่สำคัญเท่ากับว่า “ประชาชนประเทศชาติพังเสียหาย สมดังเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน!” ไปเรียบร้อยแล้ว!