xs
xsm
sm
md
lg

บทความ

x

เวทีนโยบาย:ความเป็น ‘อิสระ’ ของสภาเกษตรกรหมุดหมายความเป็น ‘ไท’ ของเกษตรกรไทย

เผยแพร่:   โดย: ภาณุเบศร์ มหาเรือนขวัญ

แน่นอนสุดว่าความอิสระสำคัญสุดสำหรับองค์กร สถาบัน และหน่วยงานที่ทุ่มเททำงานเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน เฉกเช่นเดียวกันกับเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ต้องเป็นไทไถ่ถอนตนเองออกจากอาณัติอิทธิพลของกลุ่มการเมืองและกลุ่มทุนธุรกิจเพื่อจะบริหารชาติบ้านเมืองบนผลประโยชน์สาธารณะมากกว่าประโยชน์ส่วนตัวของตนเองและเจ้าของเงิน

ยิ่งเป็นองค์กรที่มีพันธกิจคุ้มครองคนปลายอ้อปลายแขมของสังคมไทยอย่างสภาเกษตรกรที่กำลังจัดตั้งตามมาตรา 84(8) ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ที่กำหนดให้รัฐต้องดำเนินการตามแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจด้วยการส่งเสริมการรวมกลุ่มของเกษตรกรในรูปสภาเกษตรกรเพื่อวางแผนการเกษตรและรักษาผลประโยชน์ร่วมกันของเกษตรกรด้วยแล้ว ความเป็น ‘อิสระ’ สำคัญยิ่ง

ด้วยถึงที่สุดแล้วการคุ้มครองรักษาผลประโยชน์ของเกษตรกรในการผลิตและการตลาดผ่านรูปแบบสภาเกษตรกรจะต้องปราศจากการก้าวก่ายแทรกแซงจากกลุ่มธุรกิจการเมือง แต่ต้องเป็นของเกษตรกรโดยเกษตรกรเพื่อเกษตรกร ดุจเดียวกับระบอบประชาธิปไตยที่ต้องไม่ถูกอำนาจนอกเหนือประชาชนครอบงำ ดังถ้อยคำว่าประชาธิปไตยต้องเป็นของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน

เช่นนี้ การมีอิสระในตนเองจึงเป็นหลักประกันการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของเกษตรกรครบถ้วนสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพประสิทธิผล โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยที่วิถีชีวิตยึดโยงกับความอุดมสมบูรณ์ของฐานทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งมิให้ซ้ำรอยอดีตที่มีการพยายามผลักดัน พ.ร.บ.สภาการเกษตรแห่งชาติเพื่อเปิดช่องทางและสร้างความชอบธรรมให้กับบรรษัทอุตสาหกรรมเกษตรเข้ามามีบทบาทด้านการโซนนิ่ง การปรับปรุงพันธุ์ การกำหนดพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์

ดังนั้น การพิจารณาประเด็นความอิสระของ พ.ร.บ.สภาเกษตรกรแห่งชาติ พ.ศ. ... โดยเรียนรู้บทเรียนแห่งอดีตเพื่อกำหนดปัจจุบันและอนาคตที่สร้างสรรค์จึงจำเป็นและสำคัญยิ่งยวด เพราะหากปราศจากกลุ่มทุนธุรกิจการเมืองที่แฝงฝังเข้ามาในสภาเกษตรกรก็จะสามารถทอนอำนาจบรรษัทอุตสาหกรรมเกษตรทั้งระดับชาติและข้ามชาติที่มักสมประโยชน์กับภาคการเมืองด้วยการกำหนดนโยบายที่กอบโกยปัจจัยการผลิตแต่กลับเพิ่มพูนพันธนาการหนี้สินแก่เกษตรกรรายย่อยได้ไม่น้อย

โดยนัยนี้ พ.ร.บ.สภาเกษตรกรแห่งชาติ พ.ศ. ... จึงต้องวางอยู่บนหลักการพื้นฐานสำคัญ 4 ประการด้วยกัน ทั้ง 1) มีที่มาจากเกษตรกร เนื่องจากเกษตรกรเป็นเจ้าของสภาเกษตรกรอันเป็นองค์กรที่มาจากการรวมกลุ่มของผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรในสาขาต่างๆ เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนดูแลรักษาผลประโยชน์ร่วมกันของกลุ่มเกษตรกร ฉะนั้นบุคลากรที่มีตำแหน่งในสภาเกษตรกรต้องเชื่อมร้อยกับเกษตรกรผู้เป็นเจ้าของด้วย 2) เมื่อมีที่มาจากเกษตรกรก็ต้องถูกกำกับควบคุมโดยเกษตรกร โดยเกษตรกรเป็นผู้ตรวจสอบการบริหารจัดการเพื่อให้สภาเกษตรกรก้าวหน้าตามพันธกิจหน้าที่ด้วยดี

3) ต้องผูกพันความรับผิดชอบต่อเกษตรกร ให้ความช่วยเหลือสนับสนุนและประเมินมาตรการที่ดำเนินไปว่าส่งผลอย่างไร และ 4) ต้องสามารถตอบสนองปัญหาความต้องการของเกษตรกรที่มีลักษณะพลวัต ด้วยปัจจุบันเกษตรกรเดือดร้อนแสนสาหัสทั้งจากกลไกตลาด การรานรุกของบรรษัทอุตสาหกรรมเกษตรยักษ์ใหญ่ และการกำหนดนโยบายภายในประเทศและระหว่างประเทศของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) หรือความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน (ACIA) ที่จะเปิดเสรีการลงทุนด้านการเกษตร ป่าไม้ และประมง พร้อมๆ กัน

อย่างน้อยสุดในสภาวะวิกฤตพึ่งพิงใครไม่ได้ ก็ต้องได้สภาเกษตรกรเป็นกัลยาณมิตรเคียงข้าง เหมือนกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเป็นที่พึ่งแก่ประชาชนที่ถูกละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และรักความยุติธรรมตามลำดับ

ทั้งนี้ ด้วยเจตนารมณ์คุ้มครองผลผลิตและการตลาดของเกษตรกรให้ได้ค่าตอบแทนที่เป็นธรรม รวมทั้งส่งเสริมสินค้าเกษตรให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด การมีอิสระจากทุนธุรกิจการเมืองและบรรษัทอุตสาหกรรมเกษตรทว่ามิได้อิสระจากการกำกับดูแลของเกษตรกร ตลอดจนบริหารโดยผู้มีความรู้ความสามารถ ก็จะทำให้สภาเกษตรกรเกิดเอกภาพ ไม่แยกเคลื่อนไหวเฉพาะสินค้าแต่ละตัว

ด้วยเหตุปัจจัยนี้ การพยายามผลักดันสิทธิเกษตรกร (Farmers’ rights) ที่เกี่ยวเนื่องกับการเข้าถึงและครอบครองปัจจัยการผลิตทั้งเมล็ดพันธุ์ ที่ดิน และแหล่งน้ำ อันเป็นหัวใจหลักใน พ.ร.บ.สภาเกษตรกรแห่งชาติฉบับประชาชนเข้ามาในร่าง พ.ร.บ.สภาเกษตรกรแห่งชาติ พ.ศ. ... ที่กำลังถกเถียงขบคิดกันอยู่จึงสำคัญเท่าๆ กับการรังสรรค์สายธารความเป็นอิสระใน 4 ด้านนับแต่ต้นธารถึงปลายธาร

กล่าวคือ 1) ต้องมีความเป็นอิสระในการเข้าสู่อำนาจ ไม่ถูกฝ่ายการเมืองเข้ามาแทรกแซงแต่งตั้ง 2) ต้องมีความเป็นอิสระในการทำนโยบาย ไม่ถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองและบรรษัทอุตสาหกรรมเกษตรที่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับกลุ่มกุมอำนาจรัฐ 3) ต้องมีความเป็นอิสระด้านงบประมาณ มีเพียงพอต่อการดำเนินการเพื่อจะสามารถวางแผนและกำหนดทิศทางได้ด้วยตัวเอง ไม่ถูกข่มขู่ว่าจะตัดงบถ้ากำหนดมาตรการและนโยบายขัดผลประโยชน์ทุนอุตสาหกรรมเกษตร

และสุดท้าย 4) ต้องมีความเป็นอิสระด้านสำนักงาน ทั้งแง่มุมสถานที่และอำนาจการบังคับบัญชา เพราะสำนักงานคือฝ่ายเลขานุการและฝ่ายธุรการในการปฏิบัติหน้าที่ของสภาเกษตรกร หากนำสำนักงานผูกโยงกับกระทรวงก็จะมีผลต่อการแทรกแซงความอิสระ ไม่เท่าทันวัฒนธรรมความสร้างสรรค์ที่จะเกิดขึ้นเพราะคุ้นเคยรวมศูนย์อำนาจ รวมถึงความล่าช้าในการปฏิบัติตามนโยบายด้วย

กล่าวถึงที่สุด ดีกรีความเป็นอิสระคือดัชนีชี้วัดว่าสภาเกษตรกรสามารถธำรงเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญไว้ได้มากน้อยแค่ไหน ในขณะเดียวกันก็สัมพันธ์กับความเป็น ‘ไท’ ไถ่ถอนพันธนาการหนี้สินที่ท่วมท้นรุ่นต่อรุ่นของเกษตรกรส่วนใหญ่ในชาติที่เป็นรายย่อยด้วย

เนื่องจากว่าถ้าสภาเกษตรกรถูกครอบครองชี้นำโดยทุนธุรกิจอุตสาหกรรมเกษตร กลุ่มคนเหล่านี้ก็จะสามารถอาศัยอำนาจและภาพลักษณ์ของสภาเกษตรกรเสนอแนะมาตรการและนโยบายต่างๆ ที่ขัดกับการดูแลรักษาผลประโยชน์ร่วมกันของเกษตรกรออกมาได้อย่างมีความชอบธรรม ทั้งยังมิต้องเอ่ยว่าปัจจุบันเกษตรกรรายย่อยก็ถูกจองจำไว้ในพันธนาการหนี้สินสูงขึ้นเรื่อยๆ จากการซื้อหาเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลงของบรรษัทอุตสาหกรรมเกษตรที่อาศัยกลไกตลาด ให้สินเชื่อ และโน้มน้าวเกษตรกรให้ยินดีเป็นผู้รับความเสี่ยงแทนจากการทำเกษตรพันธสัญญา (Contact farming)

ทางตรงข้าม ถ้าสภาเกษตรกรแห่งชาติที่อยู่ระหว่างขับเคี่ยววาทกรรมเศรษฐกิจพอเพียงพึ่งพิงตนเองกับการส่งเสริมการลงทุนและส่งออกตามขนบเศรษฐกิจทุนนิยมยืนหยัดอยู่บน 4 หลักการพื้นฐาน และ 4 สายธารความเป็นอิสระอันเป็นองคาพยพขับเคลื่อนอย่างเคร่งครัด ศักดิ์ศรีความเป็นอาชีพเลี้ยงประชากรโลก (Feed the world) ก็จะฟื้นคืนสู่เกษตรกรไทยที่มีภาพลักษณ์ยากจนข้นแค้นและถูกติดฉลากเป็นชนชายขอบของสังคมทุนนิยมไทยมาช้านานได้

ไม่เพียงเพราะจะมีเวทีที่หนักแน่นมั่นคงในการส่งเสียง (Voice) ความต้องการ ข้อเรียกร้องและทวงถามความเป็นธรรม หากยังได้พื้นที่กว้างขวางในการร่วมระดมความคิดเห็นเพื่อยับยั้ง คัดค้าน หรือเสนอแนะมาตรการและนโยบายต่างๆ อันจะกระทบวิถีชีวิต จากเดิมต้องอาศัยการเคลื่อนไหวชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธเป็นเครื่องมือสื่อสารความเดือดร้อนกับสังคมเพียงอย่างเดียว

ทว่าก็ว่าเถอะสภาเกษตรกรเป็นเพียง ‘กลไกภายนอก’ ที่หนุนนำเกษตรกรให้เป็นอิสรชนไม่มีหนี้สินล้นพ้นตัวจากการวางแผนการเกษตรโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมกันของเกษตร ไม่ใช่คำนวณแค่กำไรของบรรษัทอุตสาหกรรมเกษตรเหมือนก่อนมา หาก ‘กลไกภายใน’ ที่สำคัญไม่ด้อยกว่ากันก็คือจิตใจเป็นไทของเกษตรกรที่ไม่หวังผลประโยชน์เฉพาะหน้าและไม่จำนนต่อบรรษัทอุตสาหกรรมเกษตรระดับชาติและข้ามชาติ ดังการทวนกระแสของเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกต่างๆ

เพียงแต่ว่าวันนี้หมุดหมายความเป็น ‘ไท’ ของเกษตรกรไทยจะถูกย้ำหมุดหนักแน่นขึ้นจากสภาเกษตรกรที่มีความเป็น ‘อิสระ’ และบริหารจัดการเพื่อแก้วิกฤตเกษตรกรโดยตัวเกษตรกรเอง

มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) www.thainhf.org
กำลังโหลดความคิดเห็น