xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ ภาค 3 ไฟ ตอน เกือบจะได้พบกัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา


1
“รับไปเถิดโอซือ เอาไว้ใช้ระหว่างเดินทาง แม้จะเล็กน้อยไม่คุ้มค่าน้ำใจอันดีงามของเจ้า”
โอซือไม่เอื้อมมือไปรับได้แต่ทำหน้าตื่นมองเหรียญที่อารากิดะเจ้าของห้องเรียนมานาบิยะเจียดมายื่นให้จากที่มีอยู่น้อยนิด บอกว่านางมาสอนสาวศาลเจ้าที่เรือนสาวพรหมจรรย์เป่าขลุ่ยด้วยความเต็มใจไม่เคยคิดถึงสินจ้างรางวัล ความจริงนางต่างหากที่เร่ร่อนมาพักพิงอยู่ถึงสองเดือนควรแก่การจ่ายค่าที่พักและอาหาร
อารากิดะได้ฟังดังนั้นจึงแก้ว่า
“ถ้าอย่างนั้นก็รับเงินนี้ไว้เป็นค่าตอบแทนก็แล้วกัน เพราะข้าอยากวานให้โอซือช่วยทำธุระสำคัญให้สักอย่างเมื่อเดินทางถึงเกียวโต”
“รับไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ อาจารย์กรุณาฉันมามากเกินพอแล้ว จะให้ทำอะไรก็บอกมาเถิด ฉันทำทุกอย่าง ”
โอซือยืนกรานท่าเดียวไม่ยอมยื่นมือออกไปรับเหรียญเงิน อารากิดะกำลังจะล้มเลิกความตั้งใจก็พอดีเหลือบไปเห็นเจ้าหนุ่มน้อยโจทาโรหลบอยู่ข้างหลังหญิงสาว
“เอ้า ข้าให้เจ้าเอาไว้ซื้ออะไร ๆ กลางทาง”
“ขอบพระคุณขอรับ”
เจ้าหนุ่มน้อยรีบยื่นมือออกมารับไว้ทันที ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นขอความเห็นชอบจากโอซือ
“โอซือ อาจารย์ท่านให้ ข้ารับเอาไว้ได้ไหม”
โอซือจะดุว่าโจทาโรก็ใช่ที่ จึงก้มศีรษะขอบคุณอารากิดะแต่โดยดี
อาจารย์จึงพอใจยิ่งนักและหันมาพูดเรื่องธุระกับโอซือ
“ธุระของข้าก็คือ เมื่อเจ้าไปถึงเกียวโตช่วยเอาของสิ่งนี้ไปมอบให้ท่านคาราซุมารุ มิตสึฮิโระที่โฮริกาวะ”
ว่าพลางเอื้อมมือไปหยิบม้วนภาพสองม้วนลงมาจากชั้นติดข้างฝาใกล้ตัว
“นี่คือภาพที่ท่านมิตสึฮิโระขอให้ข้าวาดเมื่อสองปีที่แล้วและเพิ่งจะวาดเสร็จเมื่อสองสามวันนี้เอง ฝีมือวาดภาพของข้าไม่ได้เลิศเลออะไรนักหรอก แต่ท่านบอกว่าจะเอาไปเป็นฉากหลังสำหรับเล่าเรื่องในบทประพันธ์ที่ท่านจะเขียนขึ้นถวายสมเด็จพระจักรพรรดิ ข้าไม่ไว้ใจพวกม้าเร็วก็ยังลังเลอยู่ว่าจะส่งยังไงดี ถ้าเจ้าช่วยรับเป็นธุระให้ข้าก็เบาใจ แต่ต้องขอให้ดูแลทนุถนอมเป็นอย่างดีอย่างให้เปียกฝนหรือสกปรกเลอะเทอะจนกว่าจะถึงมือท่านมิตสึฮิโระ เจ้าทำให้ข้าได้ไหม...โอซือ”
โอซือชักจะยุ่งยากใจขึ้นมานิด ๆ เพราะฟังแล้วรู้สึกว่าจะต้องทำหน้าที่สำคัญไม่น้อยเลย แต่จะปฏิเสธก็ไม่ได้จึงต้องทำหน้าชื่นรับปากรับคำแต่โดยดี อารากิดะเห็นดังนั้นจึงหยิบกล่องที่ทำเตรียมเอาไว้พร้อมกับกระดาษไขออกมา แต่ก่อนจะจัดแจงห่อม้วนภาพวาด อาจารย์ก็นึกขึ้นมาได้ว่าน่าจะให้โอซือได้เห็นเสียก่อนว่าของที่นางรับฝากไปนั้นคืออะไร และคงจะอยากอวดฝีมือด้วยละมังจึงบอกว่า
“เจ้าอยากเห็นไหมว่าภาพวาดฝีมือข้าเป็นยังไง นี่แน่ะข้าจะเปิดให้ดู”
ว่าแล้วก็คลายม้วนภาพออกตรงหน้าโอซือและโจทาโร
“อุ๊ย”
โอซือหลุดปากอุทานออกมาดัง ๆ ส่วนโจทาโรยื่นหน้าเข้ามาดูแล้วเบิกตาโต
ม้วนภาพยังไม่เสร็จสมบูรณ์เพราะยังไม่ได้เขียนตัวหนังสือประกอบเอาไว้ ถึงพอจะดูออกว่าเป็นเรื่องราวในราชสำนักสมัยเฮอันแต่ก็ไม่รู้ว่าเนื้อเรื่องเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตามภาพเขียนแต่ละช่วงตอนนั้นงดงามเกินกว่าจะหาคำมาพรรณนาได้ครบถ้วน สีสันและผงทองประกอบกับปลายพู่กันที่คงจะเรียวและอ่อนช้อยสร้างเส้นสายลายละเอียดตามตำรับ จิตรศิลป์สำนักโทซะ สะท้อนขนบประเพณีและชีวิตความเป็นอยู่ของสมัยเฮอัน ให้ดูราวกับเคลื่อนไหวไปทีละฉาก เพลิดเพลินจนจบแล้วยังอยากดูซ้ำ
แม้แต่โจทาโร เจ้าหนุ่มน้อยผู้มีชีวิตห่างไกลจากจิตศิลป์ก็ยังดื่มด่ำ ราวกับข้ามมิติเข้าไปอยู่ในม้วนภาพเสียเอง
“ดูไฟตรงนั้นซี เหมือนกำลังลุกโพลงอยู่จริง ๆ ร้อนเลยนะเนี่ย”
“ดูเฉย ๆ อย่าจับเลยทีเดียว”
ขณะที่โอซือกับโจทาโรกำลังตื่นตาตื่นใจอยู่กับภาพวาดจนลืมตัวอยู่นั้น
คนรับใช้คนหนึ่งของศาลเจ้าเดินเข้าประตูสวนอ้อมเข้ามาพูดอะไรสักอย่างกับอารากิดะ เขาพยักหน้ารับคำเป็นจังหวะจนจบแล้วจึงบอกว่า
“อย่างนั้นรึ แต่ข้าคิดว่าคงไม่ใช่คนที่น่าสงสัยอะไรหรอกนะ รับคำขอบคุณแล้วก็คืนของให้เขาไปเถิด”
อารากิดะสั่งพร้อมกับส่งดาบทั้งคู่และห่อสัมภาระที่อบอวลไปด้วยกลิ่นเหงื่อของนักดาบฝึกหัด ให้กับคนรับใช้


2

เหล่าสาวศาลเจ้าที่เรือนสาวพรหมจรรย์ พอได้ยินว่าครูขลุ่ยจะออกเดินทางจากไปอย่างกะทันหัน ต่างก็ตกอกตกใจทำหน้าเศร้าเข้ามารุมถามโอซือ ที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเดินทางถือหมวกฝางและกำลังก้าวออกจากห้องพัก
“จริงหรือเจ้าคะคุณครู”
“จริงหรือนี่”
“แล้วจะไม่กลับมาที่นี่อีกหรือเจ้าคะ”
ระหว่างที่แต่ละนางกำลังอาลัยอาวรณ์คล้ายกับกำลังจะจากพรากกับพี่สาวแท้ ๆ อยู่นั้น โจทาโรก็เดินเข้ามาตะโกนเรียกเสียงดังอยู่ที่นอกประตูรั้ว
“โอซือ ข้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว”
เจ้าหนุ่มน้อยสลัดกิโมโนสีขาวที่ใส่กวาดสวนศาลเจ้าทิ้งไปแล้ว อยู่ในชุดกิโมโนสั้นครึ่งแข้งพกดาบไม้เสียบไว้กับผ้าคาดเอว มีห่อม้วนภาพเขียนสพายแล่งอยู่บนหลัง ซึ่งแน่นอนว่าได้จัดการห่อสองชั้นสามชั้นอย่างมิดชิดตามที่อารากิดะย้ำนักย้ำหนาว่าให้ดูแลเป็นอย่างดี
“เร็วทันใจดีจริง”
โอซือร้องตอบไปจากหน้าต่างบนเรือน
“แน่นอนเลย โอซือล่ะ ยังไม่เสร็จอีกหรือ เดินทางกับผู้หญิงละก็เป็นเสียอย่างนี้ เตรียมตัวนานเหลือเกิน”
เรือนสาวพรหมจรรย์มีกฎห้ามผู้ชายเข้า โจทาโรจึงจำต้องยืนผึ่งแดดอุ่น ๆ รออยู่นอกรั้ว มองไปยังภูเขาศักดิ์สิทธิ์ในม่านหมอกและหาวออกมายืดยาวด้วยความเบื่อหน่าย ตามประสาหนุ่มรุ่นคะนองที่อดทนรออะไรนานไม่ได้
“โอซือ ยังไม่เสร็จอีกเหรอ”
“ไปเดี๋ยวนี้แหละ”
โอซือเสร็จเร็วอยู่แล้วเพราะไม่ใช่ผู้หญิงที่พิรี้พิไรอยู่กับการแต่งเนื้อแต่งตัว แต่ที่ช้าก็บรรดาศิษย์ขลุ่ยเข้ารุมล้อมร่ำลาและโศกาอาดูร แม้จะอยู่ด้วยกันเพียงสองเดือนแต่ก็สนิทสนมกันราวกับพี่น้อง ครั้งพี่ใหญ่จะจากไปอย่างไม่ทันเตรียมเนื้อเตรียมตัวสาว ๆ จึงไม่ปล่อยให้โอซือจากไปง่าย ๆ พอจะก้าวออกจากเรือนคนนั้นก็เข้ามาฉุดรั้ง พอเสร็จจากคนนี้อีกคนก็เข้ามาฉะอ้อน
“วันนี้ครูต้องขอลาพวกเธอไปก่อน แล้วจะแวะมาอีก ขอให้ทุกคนดูแลสุขภาพให้ดีด้วยนะ”
พูดออกไปแล้วก็เหมือนโกหก เพราะโอซือเองไม่มีทางรู้เลยว่าจะมีวันได้กลับมาอีกหรือไม่ และพอสาวศาลเจ้าคนหนึ่งสะอื้นพลางเอ่ยว่าจะตามไปส่งถึงสะพานมินาชิที่ทอดข้ามแม่น้ำอิซูซุตรงทางเข้าศาลเจ้า เท่านั้นเองทุกคนก็พร้อมใจกันแห่ตามโอซือออกจากประตูรั้วมาทั้งกลุ่ม
“เอ๊ะ”
สาวศาลเจ้าอุทานเกือบจะเป็นเสียงเดียวกันเมื่อไม่เห็นโจทาโรอยู่ที่หน้าประตูรั้ว ทั้งที่ร้องเร่งเข้าไปเมื่อตะกี้นี้เอง ต่างเหลียวซ้ายแลขวาและพอไม่พบจริง ๆ ก็ยกมือขึ้นป้องปากจิ้มลิ้มช่วยกันเรียกหา
“โจทาโร”
“โจทาโร-ซัง”
โอซือรู้นิสัยเจ้าหนุ่มน้อยดีจึงไม่วิตกและปลอบพวกสาว ๆ ว่า
“คงจะทนคอยอยู่ไม่ไหว และออกเดินล่วงหน้าไปที่สะพานมิฮาชิก่อนละมัง”
“ร้ายจังเลยเด็กคนนี้” สาวคนหนึ่งบ่นและเงยหน้าขึ้นมาหลิ่วตาถามโอซือว่า
“หนุ่มน้อยคนนี้เป็นลูกชายคุณครูหรือเจ้าคะ”
โอซือหัวเราะไม่ออก หน้าตึงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“อะไรนะ โจทาโรน่ะหรือลูกชายของครู ครูเพิ่งจะครบยี่สิบมาได้ปีเดียวเอง ดูเป็นป้าขนาดนั้นเลยรึ”
“เปล่านะเจ้าคะ ฉันไม่ได้พูดเอง มีคนเขาบอก”
โอซือนึกถึงเรื่องที่อารากิดะบอกว่าชาวบ้านซุบซิบนินทานางขึ้นมาได้ และโกรธจี๊ดขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็ตัดใจได้โดยพลัน บอกกับตัวเองว่าใครจะว่ายังไงก็ชั่ง ขอให้เขาผู้นั้นเชื่อใจนางคนเดียวเป็นพอ เท่านั้นนางก็สุขใจแล้ว
“โอซือใจร้าย ใจร้าย ทำไมใจร้ายกับข้าอย่างนี้”
โจทาโรที่ใคร ๆ คิดว่าคงไปรออยู่ที่สะพานแล้ว วิ่งกวดตามมาข้างหลังจนทัน ต่อว่าปากคอสั่นแล้วทำปากยื่นเหมือนเด็กแสนงอน
“ปล่อยให้รออยู่ตั้งนาน แล้วอยู่ ๆ ก็ไปก่อน กะจะทิ้งกันหรือยังไง ร้ายชะมัด
“ก็ออกมาแล้วไม่เห็นนี่ ก็เลยคิดว่าล่วงหน้าไปก่อนแล้วน่ะซี”
“ได้ไง...ไม่เห็นก็ต้องมีน้ำใจเที่ยวกันหน่อย นี่อะไรได้ทีก็จะทิ้งกัน ที่ข้าไม่อยู่ตรงนี้ก็เพราะเหลือบไปเห็นคน ๆ หนึ่งหน้าตาท่าทางเหมือนท่านมูซาชิครูของข้าเดินไปทางโทบะ จึงเอะใจและรีบวิ่งไปดู”
“อะไรนะ เหมือนท่านมูซาชิรึ”
“ใช่...แต่ไม่ใช่หรอก ข้าวิ่งตามหลังไปจนถึงทางเดินไปที่สะพาน แต่พอเห็นพี่แกเดินขาเป๋ก็เลยผิดหวัง”

3

โจทาโรผิดหวังกับภาพลวงตาเช่นเดียวกับครั้งนี้แทบจะทุกวันก็ว่าได้ ระหว่างเดินทางไปด้วยกันสองคนกับโอซือ
บางครั้งแค่เดินเฉี่ยวแขนกิโมโนของซามูไรสักคนเข้าเท่านั้นก็สะดุ้งโหยง รีบมองขึ้นไปสำรวจดูใบหน้าใต้หมวกฟาง
บางครั้งเดินตามหลังใครอยู่ดี ๆ ตาก็เป็นประกายขึ้นมาและรีบวิ่งไปดักหน้ามองเขา
เวลาเข้าเมืองก็เหลียวซ้ายแลขวา มองขึ้นไปชั้นบนโรงเตี๊ยมหรือร้านน้ำชา เผื่อจะเห็นเงา
เวลารอเรือข้ามฟากก็ดีใจจนเนื้อเต้นเมื่อเห็นแผ่นหลังที่แข็งแรงบึกบึนของซามูไรในเรือที่ออกจากท่าไปแล้ว และเผลอตัวตะโกนเรียกออกไปก็หลายครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นซามูไรที่นั่งมาบนหลังม้าหรือในกระเช้าหาม แค่เห็นเงาว่าคล้ายมูซาชิเท่านั้นเจ้าหนุ่มน้อยก็สะดุ้งเสียแล้ว
โอซือจำไม่ได้ว่านางต้องใจเต้นระทึกด้วยความหวัง และท้อแท้เมื่อตามไปดูและพบว่าไม่ใช่ไม่รู้ว่ากี่สิบครั้งมาแล้ว ครั้งนี้นางจึงไม่รู้สึกอะไรนักไม่เหมือนโจทาโรที่ดูเหมือนจะผิดหวังเหลือเกิน และถึงกับหัวเราะขบขันเมื่อนึกถึงภาพซามูไรเดินขาเป๋
“ขอบใจมากนะที่อุตส่าห์ไปดูให้ อย่าเคืองไปเลยนะโจทาโร โบราณว่าถ้าคนเราออกเดินทางด้วยอารมณ์ขุ่นมัว มันก็จะขุ่นมัวไปอย่างนั้นตลอดทาง เรามีดีกันเถิดนะโจทาโร”
“แล้วพี่พวกนี้ล่ะ”
โจทาโรมองไปที่กลุ่มสาวพรหมจรรย์ที่ยังห้อมล้อมอยู่ แล้วถามเชิงประชด
“จะตามเราไปด้วยหรือไง”
“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะโจทาโร พวกพี่ ๆ เขาอาลัยครูขลุ่ย ไม่อยากให้จากไปกะทันหันอย่างนี้ ก็เลยจะไปส่งที่สะพานข้ามแม่น้ำอิซูซุเท่านั้นเอง”
“ขอบใจมากนะที่อุตส่าห์มาส่ง”
พวกสาว ๆ หัวเราะกันกิ๊กกั๊กเมื่อโจทาโรทำสุ้มเสียงล้อโอซือ
และพอมีเจ้าหนุ่มน้อยร่วมกลุ่มไปด้วย ใบหน้าของเหล่าสาวพรหมจรรย์ที่ซึมเศร้าเคล้าน้ำตาเมื่อครู่ก่อนจึงแจ่มใสเบิกบานขึ้น ถึงกับมีเสียงหัวเราะครึกครื้นเป็นระยะ
“คุณครู เลี้ยวผิดแล้วเจ้าค่ะ ต้องมาทางนี้”
“ไม่ผิดหรอก รอนิดนะ”
โอซือบอกพร้อมกับเลี้ยวไปทางประตูทามากูชิ หันหน้าไปที่ศาลเจ้าชั้นในซึ่งอยู่ลึกเข้าไป ปรบมือและก้มศีรษะตาม ธรรมเนียมการสักการะเทพเจ้านิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
โจทาโรเห็นเข้าจึงพึมพำอยู่ห่าง ๆ ว่า
“อ๋อ รู้แล้ว โอซืออยากบอกลาเทพเจ้าแห่งอิซุก่อนเดินทางนั่นเอง”
เหล่าสาวศาลเจ้ายกนิ้วขึ้นดุนหลังหนุ่มน้อย คนหนึ่งบอกว่า
“โจทาโร ทำไมไม่ไปลาด้วย”
“ข้าไม่เอาด้วยหรอก”
“อุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้วน่าเสียดายออก พูดไม่ดีแบบนั้นปากเบี้ยวไม่รู้ด้วยนะ”
“ไม่เข้าท่า”
“ทำไมหรือ สักการะเทพเจ้าไม่เข้าท่าตรงไหน ศาลเจ้าอิเซะเป็นที่สิงสถิตของเทพเจ้าที่เปรียบเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิดชาวเรา ไม่เหมือนเทพตามศาลในเมืองหรือเทพที่ถูกเอาชื่อไปแอบอ้างให้เชื่อกันงมงาย”
“รู้หรอกน่า”
“งั้นก็ไปไหว้ท่านเสียสิ”
“ไม่เอา”
“ดื้อจังเลยเด็กคนนี้”
“อย่ามาทำปากดี ยัยทัพพีตักข้าว เลิกยุ่งกับข้าเสียที เงียบไปเลย”
“ตายจริง”
สาวพรหมจรรย์ทำตาโตพร้อมกัน ทำให้หน้าตาดูเป็นพิมพ์เดียวกันไปทั้งกลุ่ม
“ร้ายกว่าที่คิดมากเลยนะเนี่ย”
โอซือสักการะเทพเจ้าเสร็จแล้วจึงกลับเข้ามาร่วมกลุ่ม
“อ้าว เป็นอะไรไปล่ะ ทุกคน”
สาวคนหนึ่งอดรนทนไม่ไหว รีบรายงานทันที
“คุณครูเจ้าขา เด็กคนนี้มาเรียกเราว่า ยัยทัพพีตักข้าวเจ้าค่ะ ให้ไปไหว้เทพเจ้าก็ไม่ไป บอกว่าไม่เข้าท่าด้วย”
“ไม่น่ารักเลย โจทาโร”
“ทำไม”
“จำได้ไหมที่ข้าเคยเล่าให้เจ้าฟังว่า ครั้งที่มูซาชิต่อสู้กับพวกพระวัดโฮโซอินที่ฮันเนียซากะ ก่อนเริ่มฟาดฟันดาบกับคู่ปรปักษ์ ท่านพนมมือแหงนหน้าสู่ฟ้าและร้องเรียนพระเจ้าเสียงดังกึกก้อง โจทาโร...เจ้าจงไปตรงนั้นและตั้งจิตสักการะเทพเจ้า”
“แต่โอซือ ทุกคนมองอ่ะ”
“งั้น ทุกคนช่วยหันหน้าไปทางโน้นหน่อย ฉันก็จะหันด้วย”
ทุกคนหันหลังให้อย่างว่าง่าย
“ว่าไง ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม”
โจทาโรไม่ตอบ แต่พอลอบมองไป โอซือก็เห็นเจ้าหนุ่มน้อยวิ่งไปหยุดยืนตรงที่หน้าประตูทามากูชิ และก้มศีรษะคารวะเทพเจ้า


กำลังโหลดความคิดเห็น