xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ ภาค 3 ไฟ ยอดเขานกอินทรีย์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา



1
มูซาชิทรุดตัวลงนั่งนิ่งพิงต้นสนใหญ่ แน่นิ่งไม่ไหวติงราวกับถูกสาปให้ตายกลายเป็นหิน ร่างกายภายในร้อนเร่าด้วยพิษบาดแผลที่กลัดหนอง ขณะที่ภายนอกถูกสายลมหนาวยามค่ำคืนเดือนสิบสองทารุณให้เจ็บแปลบไปทั่วทั้งตัว
เจ้าหนุ่มหมดสติไปก่อนที่จะทันถามตัวเองให้เข้าใจว่า ทำไมถึงได้ถีบผ้าห่มผลุนผลันขึ้นมาจากฟูกอันแสนอบอุ่นที่โรงเตี๊ยม ออกมาหมดสภาพอยู่ตรงนี้
คนเจ็บตามปกติก็จะต้องนอนนิ่ง ๆ รักษาตัวคอยให้แผลค่อยยังชั่วขึ้นก่อนแล้วค่อยคิดทำอะไร พลังใจที่แข็งแกร่งอยู่ในส่วนลึกกระตุ้นเตือนให้มูซาชิได้สติขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าหนุ่มชันหัวขึ้นและดวงตาคมกริบจับจ้องไปในความเวิ้งว้างตรงหน้า
ยอดสนต้นใหญ่ยักษ์สูงตระหง่านฟ้าในป่าศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้าอิเซะไหวไปมาตามสายลมแรงบ้างอ่อนบ้าง กิ่งใบเสียดสีกันดังหวีดหวิวอยู่ในความมืด เสียงหนึ่งดังแว่วผ่านเสียงสนเข้ามากระทบหูมูซาชิจนต้องยืดตัวตรงและเงี่ยหูสดับฟัง
เสียงนั้นคือเสียงประสานของเครื่องเป่า อันมีโช ฮิจิริกิ และขลุ่ย เป็นท่วงทำนองเพลงโบราณ คลอด้วยเสียงขับลำนำกังวานใสบริสุทธิ์เหมือนเสียงเด็ก ๆ แม้จะจับคำไม่ได้ถนัดแต่ก็พอจะรู้ว่าเป็นเพลงสรรเสริญเทพเจ้า
มูซาชิกัดฟันระงับความเจ็บปวดที่รุมเร้า ขืนตัวลุกขึ้นยืนด้วยความยากลำบาก และเมื่อพบว่าไม่อาจบังคับแขนขาให้เคลื่อนไหวดังใจ เจ้าหนุ่มก็เอื้อมมือทั้งสองไปเกาะกำแพงดินของศาลเจ้าแห่งลมเอา และค่อย ๆ ขยับขาเดินไปข้าง ๆ คล้ายปูไต่กำแพง
เมื่อเดินใกล้เข้าไปจึงรู้ว่าเสียงเสนาะหูราวเสียงสวรรค์นั้นดังมาจากเรือนหลังหนึ่งที่มีแสงไฟวอมแวมลอดออกมา เรือนนั้นคือที่อยู่ของสาวพรหมจรรย์ผู้ทำหน้าที่บวงสรวงเทพเจ้าที่ศาลเจ้าใหญ่ เหล่าสาวพรหมจรรย์คงกำลังซ้อมดนตรีและขับลำนำกันอยู่ นับเป็นบุญหูยิ่งนัก
มูซาชิเดินช้าราวกับตัวหนอนใกล้เข้าไปทางด้านหลังของเรือนสาวพรหมจรรย์ พอไปถึงก็สอดส่ายสายตามองเข้าไปภายในรั้วแต่พอไม่เห็นใครก็โล่งใจ ปลดดาบเล่มเล็กเล่มใหญ่ออกจากผ้าคาดเอว มัดรวมกับห่อสัมภาระติดตัวนักดาบแล้วแขวนไว้กับตาปูด้านในรั้วฝากเอาไว้ชั่วคราว
พอปลดเปลื้องจนตัวเบาลงแล้ว เจ้าหนุ่มก็ออกเดินลากขากะเผลกไปทางลำน้ำ
ครู่หนึ่งต่อมา ก็ขึ้นไปเปลือยกายก้ม ๆ เงย ๆ อยู่บนโขดหินชายฝั่งแม่น้ำอิซูซุที่อยู่ห่างออกไป ทุบพื้นผิวน้ำที่เป็นน้ำแข็งให้แตกออกเป็นช่องแล้วลงไปอาบน้ำ ถูเนื้อถูตัวอย่างสบายใจโดยไม่ใส่ใจกับความหนาวเย็น
โชคดีที่ไม่มีนักบวชหรือคนอื่น ๆ ในศาลเข้าผ่านมาเห็น ไม่เช่นนั้นคงจะเอะอะเอ็ดตะโรกันใหญ่ คิดว่ามีคนบ้าหลุดเข้ามาและเข้ามารุมไล่ เพราะไม่มีใครนอกจากคนบ้าเท่านั้นที่จะแก้ผ้าเจาะน้ำแข็งลงไปเล่นน้ำในแม่น้ำยามนี้
บันทึกไทเฮกิอันเก่าแก่ เล่าไว้ว่าในยุคสมัยหนึ่ง นิกกิ โยชินางะนักธนูสติเฟื่องได้เข้ายึดครองอาณาบริเวณบางส่วนของศาลเจ้าอิเซะ จับปลาในแม่น้ำอิซูซุกินเป็นอาหาร ปล่อยนกอินทรีย์ล่าเหยื่อไปจับนกน้อยบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์มาปิ้งกิน และหลังจากหลบหลู่ดูหมิ่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ได้ไม่นานก็เป็นบ้าไปจริง ๆ---คนที่รู้เรื่องนี้และเห็นชายเปลือยคนนี้เข้าจะต้องคิดว่าถูกวิญญาณของนักธนูสติเฟื่องคนนั้นเข้าสิงเป็นแน่
พออาบน้ำถูเนื้อถูตัวจนสะอาดดีแล้ว เจ้าหนุ่มก็กลับขึ้นมาบนโขดหินด้วยท่วงท่าราวกับนกน้ำ เช็ดเนื้อเช็ดตัวจนแห้งดีแล้วจึงใส่เสื้อผ้าตามเดิม ระหว่างนั้นน้ำที่เกาะอยู่บนเส้นผมแต่ละเส้นกลายเป็นน้ำแข็ง ชี้โด่เด่เหมือนเข็มเล่มยาว ๆ เต็มศีรษะ

2
ความทุกข์ยากลำบากกายแค่นี้ยังเอาชนะไม่ได้แล้วจะไปชนะศัตรูได้อย่างไร
มูซาชิกัดฟันปรามตนเองอย่างเข้มงวด
ชีวิตคนเราไม่แน่นอน
อีกไม่นานก็จะถึงวันประลองยุทธ์กับโยชิโอกะ เซจูโรและนักดาบทั้งสำนัก
ระหว่างสำนักโยชิโอกะกับตนมีหลายเรื่องที่ทั้งเลวร้ายและซับซ้อนที่ต้องสะสางให้กระจ่างแจ้ง และครั้งนี้ฝ่ายสำนักดาบจะต้องระดมพลังตั้งมั่น เตรียมพร้อมยิ่งกว่าพร้อมที่จะชักดาบออกมารอจังหวะที่เผ่นโผนเข้าทะลวงฟัน
จะรอช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
ทุกคนในสำนักโยชิโอกะจะต้องตั้งตาคอยวันนัดกันอย่างใจจดใจจ่อแน่นอน
ซามูไรผู้เก่งกล้ามักจะพูดติดปากคล้ายท่องคาถาว่า จะสู้ตาย บ้างก็ว่า ทำใจพร้อมน้อมรับความตาย ซึ่งเมื่อได้ฟังคราวใดมูซาชิเป็นต้องมองฟ้าและรำพึงว่า ช่างเป็นคำพูดที่เพ้อเจ้อไร้แก่นสารอะไรเช่นนั้น ทุกครั้งไป
การสู้ตายถวายชีวิตของซามูไรพื้น ๆ เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกับที่ตนกำลังเผชิญอยู่นี้นั้น ไม่ผิดอะไรกับสัญชาตญาณของสัตว์ป่า คือไม่ฆ่าก็ถูกฆ่า ส่วนการทำใจนั้นจำเป็นต้องมีจิตใจเข้มแข็งในระดับหนึ่งก็จริง แต่การทำใจเตรียมรับความตายนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ยิ่งเป็นการทำใจพร้อมเผชิญกับสถานการณ์ที่ตนจะต้องตายแน่ด้วยแล้ว คิดว่าใคร ๆ ก็ทำได้
สิ่งที่ปั่นป่วนใจของมูซาชิไม่ให้สงบสุขอยู่ในขณะนี้ ไม่ใช่ความกลัวที่จะยอมรับความตาย แต่เป็นความมุ่งมั่นที่จะชนะต่างหาก...ความมุ่งมั่นที่จะคว้าชัยชนะมาให้ได้ และหนทางนั้นก็ไม่ได้ไกลนัก
จากอิเซะถึงเกียวโต แค่เร่งฝีเท้าอีกสักหน่อยก็จะถึงได้ในสามวัน แต่การเตรียมใจนั้นไม่มีทางรู้เลยว่าจะต้องใช้เวลาสักกี่วันกี่คืน
หลังส่งจดหมายท้าประลองยุทธิ์จากนาโงยะไปยังสำนักโยชิโอกะ มูซาชิถามตัวเองอยู่ตลอดว่า
พร้อมหรือยัง มั่นใจหรือว่าจะชนะแน่
แต่ก็ไม่อาจตอบได้ว่าพร้อม ไม่อาจตอบได้ว่ามั่นใจ
และเมื่อสำรวจลงไปในห้วงลึกของจิตใจ ก็ต้องยอมรับว่ามีความอ่อนไหวซ่อนเร้นอยู่ที่ซอกมุมหนึ่ง นั่นก็คือสำนึกในความด้อยประสบการณ์ของตนทั้งในแง่ของความเป็นมนุษย์และความเป็นนักดาบ
ยิ่งนึกถึงหลวงตานิคคันที่วัดโอโซอิน นึกถึงเซกิชูไซที่หุบเขายากิว และพระทากูอันผู้มากความสามารถแล้ว มูซาชิยิ่งรู้สึกว่าตนนั้นต่ำต้อยติดดิน ไม่มีทางที่เผยอขึ้นไปเทียบรุ่นได้แม้ในชาติภพหน้า
อ่อนโลก เปรียบได้กับลูกไม้ที่ยังดิบ ทั้งฝาดและเฝื่อน
มูซาชิไม่อาจทนนิ่งอยู่ได้โดยไม่แยกแยะตนเองออกอ่านอย่างละเอียด และก็พบทั้งจุดอ่อนทั้งจุดบอดมากมาย
ใช่อ่อนโลก...ข้า...คนอ่อนโลกที่ยังไม่โตเต็มตัวคนนี้แหละที่จะทะยานเข้าไปกลางวงศัตรูที่เป็นนักดาบมือพิฆาตทั้งสำนัก และต้องชนะด้วย
ผู้ที่จะได้ชื่อว่านักรบที่แท้จริงนั้น ไม่ได้เป็นแค่นักสู้ที่ได้แต่สู้และสู้อย่างเดียว หากต้องสู้ให้ได้ชัยชนะเหนือคู่ต่อสู้ ไต่ระดับขึ้นไปเรื่อย ๆ ลากเส้นชีวิตหนาหนักให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของผู้คนสูงขึ้นไป จนกว่าจะได้ครองความเป็นเจ้าแห่งยุทธจักร...นักรบต้องชนะ
“ข้าต้องชนะ”
มูซาชิตะโกนเสียงดังก้องกังวานไปทั่วป่าอันศักดิ์สิทธิ์ ก่อนก้าวเท้าออกเดินมุ่งหน้าไปทางต้นแม่น้ำอิซูซุ
เจ้าหนุ่มคลานด้วยท่าทางไม่ผิดอะไรกับมนุษย์ดึกดำบรรพ์ ลดเลี้ยวไปตามซอกโขดหินตะปุ่มตะป่ำในหุบเหว น้ำตกสาดลงมาแข็งตัวเป็นสายน้ำแข็งเงียบอยู่ท่ามกลางป่าไม้ที่ร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้เก่าแก่ลำต้นใหญ่โตที่ไม่เคยกระทบคมขวาน

3
มูซาชิกำลังจะไปทำอะไรที่ไหน ถึงได้ดูมุมานะขนาดนั้น
หรือว่าถูกเทพเจ้าตามป่าตามเขาสาปให้เสียสติไปเสียแล้ว เพราะบังอาจเปลือยกายลงไปอาบน้ำในแม่น้ำอันศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้า
ใบหน้าของเจ้าหนุ่มแดงก่ำขณะใช้มือสองข้างจับแง่หินบ้าง เหนี่ยวเถาวัลย์บ้างปีนโขดหินใหญ่ยักษ์ขึ้นไปทีละก้าว ด้วยความพยายามอย่างหนักหนาสาหัสที่ คงไม่มีใครคิดทำหากไม่มีจุดมุ่งหมายที่สำคัญ หรือไม่ก็เสียสติ
หุบเหวต้นแม่น้ำอิซูซุตั้งแต่อิจิโนเซะขึ้นไปนั้นลึกมาก และลำน้ำเต็มไปด้วยเกาะแก่งจนแม้แต่ปลาอายุก็จะไม่หาญกล้าว่ายขึ้นไป หน้าผาสูงชันขึ้นไปเกือบจะเป็นแนวดิ่ง จากจุดนั้นเห็นจะมีแต่ลิงกับเท็งงูภูตภูเขาเท่านั้นจึงจะปีนขึ้นไปได้
นี่คือทางขึ้นเขายอดเขานกอินทรีย์ใช่ไหม
มูซาชิแหงนมองขึ้นไปด้วยสายตาเป็นประกายวาววับ พลังจิตแกร่งกล้าบดบังอุปสรรคในชื่อว่าความเป็นไปไม่ได้ จนหมดสิ้น ทีนี้คงเข้าใจกันแล้วว่าที่ปลดดาบกับสัมภาระติดตัวฟากไว้ที่รั้วเรือนสาวพรหมจรรย์นั้นก็เพราะเตรียมตัวมาพิชิตหน้าผานี้นั่นเอง
เจ้าหนุ่มคว้าเถาวัลย์มาเหนี่ยวไว้ได้เส้นหนึ่งแล้วค่อย ๆ ไต่ขึ้นไปทีละนิด ด้วยพละกำลังที่ราวกับไม่ใช่ของมนุษย์ธรรมดา และไม่แปลกถ้าจะมีใครตาฝาดเห็นไปว่ามีพลังทิพย์กำลังช่วยสาวเถาวัลย์ดึงร่างนั้นอยู่ที่บนหน้าผา
มูซาชิกลั้นใจเหนี่ยวตัวเองเป็นอึดใจสุดท้าย ขึ้นไปยืนเด่นอยู่บนหน้าผาร้องประกาศความเป็นผู้พิชิตเสียงดังก้องไปทั่วหุบเขา มองลงไปเห็นแม่น้ำเป็นสายขาว ๆ อยู่ลิบ ๆ ในหุบเหว
ยอดแหลมราวปลายดาบคมกริบของภูเขานกอินทรีย์ตระหง่านอยู่เหนือแนวป่าท่ามกลางความมืดสลัวยามราตรี
ยอดเขาที่มองเห็นทุกวันจากหน้าต่างห้องพักที่โรงเตี๊ยมตลอดช่วงเวลาที่นอนปวดแผลที่เท้า ความสูงเด่นอยู่เหนือเทือกเขาทำให้มูซาชิมองไปคล้ายกับว่าเซกิชูไซแห่งหุบเขายากิว ชายตาลงมาดูแคลนความอ่อนโลกด้อยฝีมือของตน และในเวลาเดียวกันก็เป็นแรงดึงดูดให้ตนบากบั่นมาถึงนี่เพราะ ยอดเขานกอินทรีย์คือเซกิชูไซ
มูซาชิกระโจนออกมาจากที่นอนในโรงเตี๊ยมทั้งที่เท้าข้างหนึ่งบวมเบ่ง เจาะน้ำแข็งกระโจนลงไปอาบน้ำในแม่น้ำอันศักดิ์สิทธิ์ และเมื่อพิชิตหน้าผาสูงชันขึ้นมายืนอยู่เบื้องหน้ายอดเขาอันเป็นจุดมุ่งหมาย ดวงตาทั้งคู่ของเจ้าหนุ่มก็เปล่งประกายวาววับ
มูซาชิรู้ตัวดีว่า ความยิ่งใหญ่ของเซกิชูไซแห่งหุบเขายากิวซึ่งกดอยู่บนหัวตนตลอดมาหลังจากได้เฉียดเข้าไปใกล้และได้สัมผัสเพียงละอองไอแห่งบารมีนั้น เป็นฐานพลังความไม่รู้จักแพ้ในตน
พอคิดว่า ยอดเขานกอินทรีย์คือเซกิชูไซ ทุกครั้งที่เห็นเจ้าหนุ่มก็จะรู้สึกเหมือนเซกิชูไซกำลังมองลงมาคล้ายหัวเราะเยาะตนที่ยอมแพ้ความทุกข์ทรมานจากบาดแผลที่ฝ่าเท้า และความไม่รู้จักแพ้ก็จะคุโพลงและพลุ่งขึ้นมาคุกคามใจ รุนแรงจนแทบหน้ามืด
หลังจากอารมณ์ขุ่นมัวด้วยความรู้สึก เกลียด เกลียดเจ้ายอดเขาอหังการนี่เต็มทนแล้ว พลุ่งพล่านอยู่หลายคืนหลายวัน มูซาชิก็พบทางออกคือต้องปีนขึ้นไปให้ถึงยอดเขานกอินทรีย์ ขึ้นไปเหยียบพื้นดินตรงนั้นเพื่อที่จะได้หัวเราะใส่หน้าว่า
ไม่รู้ว่าใครเป็นใครแล้วอย่ามาหยาม
มูซาชิมุ่งพิชิตยอดเขานกอินทรีย์เพื่อความมั่นใจในตนเอง เพราะถ้าเรื่องแค่นี้ไม่มั่นใจแล้ว จะมีหน้าย่างเหยียบพื้นดินเข้าไปในเกียวโตเพื่อเอาชนะโยชิโอกะได้อย่างไร
แต่ละย่างก้าวของมูซาชิ ต่อสู้กับพื้นหญ้า กับต้นไม้ กับน้ำแข็ง เหมือนเป็นศัตรูต่อกัน...คนแพ้ใครชนะ
เลือดทั่วกายที่เย็นแข็งจากการที่ลงอาบในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์เริ่มอุ่นขึ้น และระเหยออกมาเป็นไปไอจากขุมขน

มูซาชิยึดพื้นดินแดงของยอดเขานกอินทรีย์ที่ไม่น่ามีนักเดินทางคนใดเคยปีนผ่าน เอาไว้มั่นขณะใช้เท้าควานหาแง่หินเพื่อจะได้ให้เป็นที่เหยียบยันตัวสูงขึ้นไป บางจังหวะพอหยั่งเท้าลงไปเท่านั้นเองแง่หินก็หัก หล่นลงไปกระทบหุบเหวข้างล่างเสียงดังสะท้อนก้องน่าหวาดเสียว
มูซาชิปีนสูงขึ้นไป สูงขึ้นไป หากมองอยู่ข้างล่างจะเห็นเงาของเจ้าหนุ่มเล็กลง เล็กลง และหายเข้าไปในกลุ่มเมฆ พอลมบนพัดเมฆผ่านไปก็เหลือแต่เงานั้นลอยอยู่เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของท้องฟ้า
ยอดเขานกอินทรีย์ผงาดอยู่ คล้ายยักษ์ใหญ่กำลังมองลงมาที่เจ้าหนุ่มด้วยสายตาเย็นชา


กำลังโหลดความคิดเห็น