นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
โอซือยื่นมือขาวนวลบอบบางไปเชยคางเจ้าหนุ่มน้อยให้เลยหน้าขึ้นมาสบตาด้วย
“โจทาโร เจ้าช่างพูดดีนัก แต่ทุกถ้อยคำไม่ผิดเพี้ยนกับที่ท่านอารากิเคยกล่าวเอาไว้ในคำสั่งสอน”
“โอ๊ะ โอซือ ฟังอยู่ด้วยเหรอ”
“ใช่ แล้วก็จำได้หมดด้วย”
“จบกัน”
“ร้ายนักนะเจ้าที่เอาคำครูมาแอบอ้างเป็นของตน ท่านอารากิพูดถูกข้าเห็นด้วยทั้งหมด แต่ข้าไม่ชอบเลยที่เจ้าลอกเลียนคำครู”
“เอาเถอะน่า คิดว่าข้าตั้งใจฟังคำสอนของอาจารย์ก็แล้วกัน แต่ว่าโอซือ ฟังท่านอารากิพูดแล้ว ข้าชักสงสัยขึ้นมา ตงิด ๆ ว่า จอมทัพโนบุนางะก็ดี ฮิเดโยชิ อิเอนาซุก็ดี จะยิ่งใหญ่ในจักรภพจริงอย่างที่เราคิดกันหรือเปล่า ข้ารู้ว่าทุกคนเก่งกล้า แต่ข้าไม่คิดว่าคนที่กวาดเอาบรรดาแว่นแคว้นเข้ามาไว้ใต้อำนาจแล้วคิดว่าตนเป็นคนเหนือคนนั้น ไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง”
“แต่ข้าว่าท่านจอมทัพโนบุนางะ ฮิโดชิ ยังดีกว่าอีกหลาย ๆ คน แม้ว่าจะทำอะไร ๆ เพื่อให้คนยอมรับว่าตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ แต่อย่างน้อยท่านก็ทำนุบำรุงพระราชวังหลวงที่เกียวโต และทำอะไร ๆ หลายอย่างเพื่อให้ชาวบ้านชาวเมืองมีความสุข ไม่เหมือนกับสมัยมูโรมาจิที่นักรบตระกูลอาชินางะกุมอำนาจการปกครองเอาไว้”
“ยังไงเหรอ”
“สมัยนั้นเกิดสงครามโอนิน เจ้าเคยได้ยินบ้างไหม”
“อืม”
“อาชินางะอ่อนแอไร้ความสามารถที่จะปกครองแว่นแคว้นให้เป็นปึกแผ่น จึงเกิดการรบพุ่งทำสงครามแย่งชิงอำนาจกันไม่หยุดหย่อน โดยไม่คำนึงถึงชาวบ้านชาวเมือง ที่ต้องเดือดร้อนนอนตาไม่หลับทุกครั้งที่ผู้มีอำนาจยกทัพเข้ามาย่ำยี คนมีอำนาจไม่มีใครคิดทำอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองและสังคมกันอย่างจริงจัง”
“อย่างตอนที่พวกยามานะกับโฮโซกาวะแย่งชิงอำนาจกันใช่ไหม”
“ใช่ พวกนั้นทำสงครามกันเพื่อผลประโยชน์ของตนเองอย่างเดียวเลย สมัยนั้นเมื่อราวร้อยปีก่อน คนในตระกูล อารากิดะชื่ออุจิตสึเนะ เป็นหัวหน้าคณะนักบวชที่ทำหน้าที่ดูแลรักษาศาลเจ้าอิเซะ ซึ่งจากนั้นก็ได้สืบตำแหน่งกันมาหลายชั่วอายุคน และตั้งแต่ช่วงที่ผู้มีอำนาจต่างมัวเมาอยู่กับการรบพุ่งแย่งดินแดนกันจนกลายเป็นสงครามโอนินก็ไม่มีใครสนใจสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างศาลเจ้าแห่งนี้ ไม่มีการทำพิธีตามประเพณีโบราณและงานนมัสการเทพเจ้า ศาลเจ้าถูกทิ้งร้างไม่มีเงินทุนที่จะมาซ่อมแซมทำนุบำรุง ได้ยินมาว่าทางศาลเจ้าได้ร้องขอไปยังทางการปกครองบ้านเมืองถึงราวยี่สิบเจ็ดครั้ง แต่ในเมื่อทางสำนักสมเด็จพระจักรพรรดิไม่มีเงินทุน กองทัพก็กำลังอ่อนแอ และบรรดานักรบก็มุ่งแต่จะทำสงครามนองเลือด ศาลเจ้าอิเซะจึงถูกทิ้งให้รกร้าง
แต่ท่านอารากิดะ อุจิตสึเนะก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ท่านกัดฟันต่อสู้กับความยากลำบากพยายามเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวให้ผู้มีอำนาจหันมาสนใจสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ จนในที่สุดก็สามารถหาทุนมาทำพิธีเคลื่อนย้ายองค์ศาลเจ้าไปสถิตบนพื้นที่แห่งใหม่ตามประเพณีที่สืบทอดกันมาแต่โบราณได้สำเร็จ
การที่ศาลเจ้าถูกทอดทิ้งนั้นอาจฟังดูเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่มาคิดดูแล้ว มนุษย์เราเติบใหญ่ขึ้นมาน้อยคนนักที่จะนึกถึงช่วงเวลาที่ตนดูดดื่มน้ำนมมารดาอันเป็นสายโลหิตของเรา”
พอโอซือจบการสาธยายยืดยาว โจทาโรตบมือและกระโดดโหยง
“ฮะฮ้า เห็นข้านิ่งฟังอยู่คงนึกว่าไม่รู้อะไรละซี ฮะ ฮะ ฮะ...ว่าแต่เขา ที่แท้โอซือเองก็จำคำครูมาพูด”
“ตายจริง เจ้าก็เคยฟังมาก่อนเหมือนกันรึ ร้ายนักนะเด็กคนนี้”
โอซือทำท่าอยากตีแต่ติดที่มือไม่ว่าเพราะต้องอุ้มดาบสองด้ามเอาไว้ จึงแกล้งรี่จะข้าไปชนแต่ก็หยุดยืนจ้องหน้าพร้อมกับหัวเราะแก้เขิน
“เอ๊ะ โอซือไปเอาดาบของใครมา”
“อย่ามายุ่ง นี่มันของของคนอื่นเขา”
“ข้าไม่แย่งหรอก ขอดูหน่อยไม่ได้เหรอ ดาบเล่มใหญ่จัง ท่าทางจะหนักไม่ใช่เล่น”
“อย่ามาพูดดีเลย อยากได้ละซี ตาวาวเชียว”
2
โอซือหันไปมองเมื่อได้เสียงรองเท้าฟางกระทบพื้นดังใกล้เข้ามา ก็เห็นสาวน้อยคนหนึ่งวิ่งเหยาะ ๆ เข้ามาหาบอกว่า
“ครูเจ้าคะ ครู ท่านอาจารย์เรียกเจ้าคะ บอกว่าอยากขอให้ช่วยทำอะไรสักอย่าง”
ว่าแล้วก็รีบวิ่งกลับไป
โจทาโรทำท่าคล้ายสะดุ้ง กวาดสายตาไปที่หมู่ไม้ทั้งสี่ทิศ
แดดฤดูหนาวส่องผ่านแมกไม้ไหวตามสายลม คล้ายคลื่นลำแสงสาดสู่พื้นดินเป็นระลอก
เจ้าหนุ่มเขม้นมองฝ่าลำแสงเข้าไปที่จุด ๆ หนึ่ง ทำหน้าคล้ายกับไม่เชื่อสายตาตนเอง...หรือว่าจะเป็นภาพลวงตา
“โจทาโร ทำตาล่อกแล่ก มองหาอะไรรึ”
“เปล่า ๆ ไม่มีอะไร”
โจทาโรทำหน้าเศร้า ยกนิ้วขึ้นกัดแรง ๆ
“อยู่ ๆ แม่สาวน้อยก็วิ่งมาเรียก ครู...ครู ข้าคิดว่าเจ้าหล่อนเรียกหาครูของข้า ก็เลยสะดุ้งน่ะซี”
“ครูของเจ้า ท่านมูซาชิน่ะรึ”
“อะ...อะ”
หนุ่มน้อยอึกอักคล้ายติดอ่าง ถึงกระนั้นโอซือก็ฟังออกว่าเป็นคำตอบ ใบหน้างามสลดลงทันใด อารมณ์โหยหาอาวรณ์แล่นเป็นสายผ่านแนวสันจมูกขึ้นมาร้อนผ่าวอยู่ที่ขอบตา จนอยากสะอื้นออกมาดัง ๆ
...พูดออกมาทำไมก็ไม่รู้ โอซือหันไปพาลเอากับโจทาโรอยู่ในใจ ทั้งที่รู้ว่าเจ้าหนุ่มน้อยไม่ได้ตั้งใจเพียงพูดไปเพราะไร้เดียงสา
โอซือไม่เคยลืมมูซาชิแม้แต่วันเดียว แม้บางครั้งจะรู้สึกว่าเป็นภาระที่หนักอยู่ในอก แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงทิ้งไปให้สิ้นจากใจไม่ได้สักที อีกทั้งหลวงพี่ทากูอันก็ยังชี้นำทุกครั้งที่พบพูดคุยกันว่า...โอซือ เจ้าน่าจะกลับบ้านเกิดเมืองนอนอันสงบสุข ตกร่องปล่องชิ้นกับใครสักคน และออกลูกออกเต้า ทีกว่าจะมาพเนจรตามรักอยู่อย่างนี้...
ฟังคำของหลวงพี่แล้วอดนึกเวทนาชายที่หัวใจไร้รักคนนี้ไม่ได้ พระทากูอันไม่มีวันเข้าใจหรอกว่า ทำไมโอซือถึงไม่เคยคิดที่จะขว้างสิ่งที่กอดไว้กับอกด้วยความหวงแหนตลอดมานั้นทิ้งไป แม้แต่ในความฝัน
ความรัก...เหมือนแมงกินฟันที่กัดแทะประสาทให้ปวดจี๊ดขึ้นมาเป็นครั้งครา เวลาไม่เจ็บก็จะเผลอไผลคล้ายจะลืม แต่พอเจ็บแปลบขึ้นมาก็ไม่มีอะไรที่จะยั้งนางไว้ไม่ให้โลดแล่นออกสู่เส้นทางเพนจร จากแคว้นนั้นสู่แคว้นนี้ขึ้นเขาและลงห้วย จะไม่เหมือนกับลูกธนูที่ไม่มีเป้าให้พุ่งสู่ ก็ตรงที่นางมีอกอบอุ่นของมูซาชิรอคอยให้เข้าไปซบและร้องไห้กระซิกอยู่ที่ไหนสักแห่ง
โอซือถอนใจใหญ่ก่อนออกเดินไปเงียบ ๆ
---อยู่ไหน มูซาชิอยู่ไหน
คงไม่มีทุกข์ใดที่จะทำให้จิตใจร้อนรน กระสับกระส่าย สับสน และสุดท้ายก็ปวดร้าว เท่าความทุกข์ที่อยากพบหน้าผู้เป็นสุดที่รักแทบจะขาดใจแต่ไม่ได้พบ อย่างที่โอซือกำลังทุกข์อยู่เช่นนี้อีกแล้ว
โอซือเดินน้ำตาร่วงเผาะ กอดดาบและห่อสัมภาระของนักดาบฝึกหัดแนบอยู่กับอก แม้ดาบจะหนักแต่นางก็ไม่รู้สึกรู้สมเพราะใจลอยไปอยู่ที่มูซาชิหมดทั้งใจ
โอซือไม่รู้เลยว่ากลิ่นเหงื่อจาง ๆ นั้นกรุ่นขึ้นมาจากเสื้อผ้าของมูซาชิที่นางกอดอยู่กับอกนั้นเอง
“โอซือ”
โจทาโรเดินตามมาข้างหลังด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก และพอโอซือก้าวผ่านซุ้มประตูบ้านอาจารย์อารากิดะ เจ้าหนุ่มน้อยก็วิ่งเข้าไปดึงชายแขนเสื้อเอาไว้ ทำตาละห้อยและอ้อนว่า
“โกรธข้าหรือ โอซือ”
“เปล่านี่”
“ขอโทษนะโอซือ ข้าขอโทษ”
“ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก โจทาโร ข้าขี้แยไปเอง เจ้ากลับไปเถอะ ตั้งใจกวาดสวนให้ดี ๆ ก็แล้วกัน ข้าจะเข้าไปหาอาจารย์อารากิดะ
3
อารากิดะ อิจิโทมิ จัดบ้านที่อยู่ของตนที่ศาลเจ้าอิเซะ เป็นห้องเรียนและตั้งชื่อว่ามานาบิยะ ซึ่งเป็นเสมือนโรงเรียนที่ประสาทความรู้ให้แก่เยาวชน ลูกศิษย์ของอารากิดะไม่ได้มีแต่สาวศาลเจ้าจากเรือนสาวพรหมจรรย์เท่านั้น แต่ยังมีเด็ก ๆ จากสามชุมชนโดยรอบศาลเจ้ามาเรียนกันด้วยรวมแล้วน่าจะราวสี่สิบห้าสิบคน
วิชาที่อารากิดะนำมาสอนลูกศิษย์ที่นี่แตกต่างจากที่ร่ำเรียนกันตามโรงเรียนทั่วไปนั้น จัดเป็นโบราณคดีสาขาหนึ่ง ซึ่งคนในสังคมเมืองใหญ่ละเลยไม่ให้ความสนใจ
เยาวชนชายหญิงที่เข้าร่วมชั้นเรียนของอารากิดะ จะได้เรียนประวัติศาสตร์โบราณยุคที่ญี่ปุ่นมีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับศาลเจ้าอิเซะ สมัยนี้เป็นยุคที่ผู้คนมักจะสับสนคิดว่าชะตากรรมของประเทศชาติขึ้นอยู่กับชนชั้นนักรบ น้อยคนนักที่หันไปศึกษาถึงความเป็นมาของญี่ปุ่นในอดีตที่ผ่านมายาวนาน
อารากิดะจึงคิดที่จะปลูกฝังเมล็ดความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมญี่ปุ่นลงในสมองของคนรุ่นใหม่ อย่างน้อยก็ในกลุ่มที่อยู่ภายในอาณาบริเวณของศาลเจ้าอิเซะ เพื่อที่วันหนึ่งเมล็ดความรู้เหล่านั้นจะได้งอกงาม เติบโตขึ้นเป็นต้นไม้ใหญ่ที่แข็งแกร่งและสง่างามเช่นเดียวกับต้นไม้ในป่าศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้าอิเซะ
อารากิดะนำเรื่องจากบันทึกเก่าแก่ รวมทั้งวรรณกรรมจีนมาเล่าให้เด็ก ๆ ได้ฟังกันทุกวันจนชินหู อาจารย์ผู้นี้สั่งสอนลูกศิษย์ด้วยความรักและเอาใจใส่ใยดีจากใจจริง มานานสิบกว่าปีแล้วโดยไม่เคยรู้สึกเหนื่อยหน่าย
คนทั่วไปยกย่องโทโยโทมิ ฮิเดโยชิว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่จากการที่สามารถรวมรวมแคว้นต่าง ๆ เข้ามาไว้ภายใต้อำนาจ และประกาศตนเป็นผู้มีอำนาจเต็มในการปกครองแว่นแคว้นทั้งปวง ยกย่องว่าโทกูงาวะ อิเอยาซุเป็นจอมทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่พิชิตศึกมาแล้วทั่วทิศ และหลงผิดคิดว่าดาวรุ่งคือดวงอาทิตย์
อารากิดะสั่งสอนนักเรียนที่มานาบิยะ ด้วยความหวังว่าจะไม่มีใครหลงผิดคิดเช่นนั้นแม้แต่ศิษย์ตัวน้อยนิดแค่สามขวบ
โรงเรียนเลิกแล้ว เด็ก ๆ กรูกันออกมาราวกับผึ้งแตกรัง
พอเห็นอาจารย์อารากิดะเดินออกมาจากห้องเรียนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแม้จะมีเหงื่อซึมอยู่บ้าง สาวศาลเจ้าคนหนึ่งก็ตรงเข้าไปรายงานว่า
“อาจารย์เจ้าขา โอซือมารออยู่ตรงโน้น”
“ใช่ ใช่”
อารากิดะอุทานเมื่อคิดขึ้นได้
“เราเป็นคนเรียกมาแท้ ๆ กลับลืมเสียสนิท โอซืออยู่ที่ไหน หนูช่วยพาอาจารย์ไปหน่อยสิ”
โอซือยืนกอดดาบกับห่อผ้าฟังเรื่องราวที่อารากิดะเล่าให้เด็ก ๆ ฟังอยู่ด้านนอกจนจบชั่วโมงเรียน
“อาจารย์เจ้าคะ โอซืออยู่ตรงนี้ ให้เด็กไปตาม มีธุระอะไรหรือเจ้าคะ”
4
“โอซือ ขอโทษนะที่ให้คอย ขึ้นมาบนเรือเถอะ”
อารากิดะกวักมือเรียกโอซือขึ้นเรือนและเดินนำไปที่ห้องนั่งเล่นของตน แต่ก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง อาจารย์ก็ชะงักเมื่อเห็นสิ่งของที่โอซือกอดเอาไว้และถามว่า
“อะไรล่ะนั่น”
โอซือจึงเล่าว่ามีคนพบดาบคู่นี้กับห่อผ้าแขวนอยู่กับตะปูที่รั้วเรือนสาวพรหมจรรย์ ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ สาว ๆ จึงกลัวกันว่าอาจเป็นของหัวขโมย ก็เลยขอให้ตนเอามาให้อาจารย์ดู...
อารากิดะพิศดูแล้วก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเช่นกัน
“หรือว่าจะเป็นของคนที่มาสักการะศาลเจ้าลืมเอาไว้”
“ไม่น่าใช่นะเจ้าคะ คนที่มาสักการะศาลเจ้าไม่น่าจะเข้าไปถึงเรือนสาวพรหมจรรย์ ตอนเย็นก็ยังไม่มีใครเห็นมาเจอกันเมื่อเช้าตอนที่สาว ๆ จะออกมาโรงเรียน จึงคิดว่าคนที่ทิ้งของพวกนี้เอาไว้จะต้องลอบเข้ามาตอนดึก”
“อืม”
อารากิดะเบ้ปาก และบ่นพึมพำ
“อาจมีซามูไรสักคนลอบเข้ามาแกล้งให้พวกสาว ๆ ตกใจก็ได้ ถ้าจะไม่ได้การเสียแล้ว”
“ท่านอาจารย์พอจะรู้บ้างไหมเจ้าคะว่า ใครที่บังอาจมาแกล้งเรา”
“ก็กำลังสงสัยอยู่ ถึงได้เรียกเจ้ามาหารือไง”
“ท่านคิดว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกับฉันรึ”
“ฟังแล้วอย่าเคืองข้านะ คือมีซามูไรแถวนี้คนหนึ่งมาติงว่าไม่ควรให้เจ้ามาอยู่ร่วมกับพวกสาวศาลเจ้าที่เรือนสาว
พรหมจรรย์ บอกว่าที่เตือนก็เพราะเป็นห่วงข้า”
“นี่ฉันเป็นสาเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้หรือ”
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องเก็บไปคิดให้รกสมองนะโอซือ ที่บอกก็เพราะอยากให้รู้ไว้ว่าคนในสังคมเขามองกันยังไง อย่าโกรธไปเลยนะ แต่จะว่าไปเจ้าเองก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักผู้ชายเสียเลยทีเดียว ที่ซามูไรคนนั้นอาจพูดเพราะเห็นว่าการให้เจ้าเข้ามาอยู่ร่วมกับสาวศาลเจ้าที่เรือนสาวพรหมจรรย์นั้น เป็นการขัดต่อกฎของศาลเจ้า...อะไรทำนองนี้”
อารากิดะพูดด้วยเสียงอ่อนโยน โอซือน้ำตาซึมออกมาเต็มตาด้วยความน้อยใจ จะโกรธก็ไม่รู้จะโกรธใส่ใคร
แต่แล้วก็ปลงตก...จะไปโกรธใครได้ยังไงในเมื่อเราเองเป็นหญิงพเนจร เดินทางสัญจรจนคุ้นชินกับบ้านเมืองและป่าเขา พบปะและคุ้นเคยกับผู้คนมาแล้วมากหน้าหลายตา ใจนั่นเล่าก็ยังคุกรุ่นอยู่ด้วยความรักที่มีให้ชายคนหนึ่งมาแต่ก่อนกาลและพร้อมลุกโชติช่วงขึ้นมาได้ทุกขณะ...สมแล้วที่ถูกสังคมมองเช่นนั้น
ทว่า...ที่เจ็บใจก็คือตนเป็นสาวพรหมจรรย์แท้ ๆ แต่ถูกกล่าวหาว่าไม่ใช่
อาจารย์อารากิดะดูเหมือนจะไม่ใส่ใจกับคำเรื่องนี้มากนัก แต่ความที่เกรงคำครหานินทาของชาวบ้านซึ่งไม่นานก็คงจะลือกันไปทั่ว อีกไม่กี่วันก็จะปีใหม่แล้วอยากให้โอซือช่วยรวบรัดสอนขลุ่ยให้จบเสียโดยเร็ว แล้วย้ายออกไปเสียจากเรือนสาวพรหมจรรย์
โอซือไม่ได้ตั้งใจจะพักอาศัยอยู่นานตั้งแต่แรก และยิ่งมากลายเป็นตัวการให้อาจารย์อารากิดะเดือดร้อนด้วยเช่นนี้จึงคิดว่าควรไปเสียให้พ้นจะดีกว่า จึงตอบตกลงทันทีพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณที่ให้ที่อยู่อาศัยมานานถึงสองเดือน และบอกว่าจะออกเดินทางวันนี้เลย
“เจ้าไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ โอซือ”
อารากิดะจำใจต้องไล่โอซือออกจากเรือน ความเป็นมาที่แสนรันทดของสาวสวยนางนี้ทำให้รู้สึกสงสารจับใจ จึงเอื้อมมือไปหยิบห่อเงินเก่าคร่ำคร่ามาเปิดออกและหยิบเหรียญในนั้นส่งให้จำนวนหนึ่ง
โจทาโรแอบฟังความอยู่ข้างหลังโอซือ ยื่นหน้าออกมากระซิบถามว่า
“โอซือ จะออกเดินทางจากอิเซะแล้วใช่ไหม ข้าไปด้วยนะ กำลังเบื่อกวาดใบไม้พอดีเลย ได้เวลาดีจริง ไปกันเถอะโอซือ”
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
โอซือยื่นมือขาวนวลบอบบางไปเชยคางเจ้าหนุ่มน้อยให้เลยหน้าขึ้นมาสบตาด้วย
“โจทาโร เจ้าช่างพูดดีนัก แต่ทุกถ้อยคำไม่ผิดเพี้ยนกับที่ท่านอารากิเคยกล่าวเอาไว้ในคำสั่งสอน”
“โอ๊ะ โอซือ ฟังอยู่ด้วยเหรอ”
“ใช่ แล้วก็จำได้หมดด้วย”
“จบกัน”
“ร้ายนักนะเจ้าที่เอาคำครูมาแอบอ้างเป็นของตน ท่านอารากิพูดถูกข้าเห็นด้วยทั้งหมด แต่ข้าไม่ชอบเลยที่เจ้าลอกเลียนคำครู”
“เอาเถอะน่า คิดว่าข้าตั้งใจฟังคำสอนของอาจารย์ก็แล้วกัน แต่ว่าโอซือ ฟังท่านอารากิพูดแล้ว ข้าชักสงสัยขึ้นมา ตงิด ๆ ว่า จอมทัพโนบุนางะก็ดี ฮิเดโยชิ อิเอนาซุก็ดี จะยิ่งใหญ่ในจักรภพจริงอย่างที่เราคิดกันหรือเปล่า ข้ารู้ว่าทุกคนเก่งกล้า แต่ข้าไม่คิดว่าคนที่กวาดเอาบรรดาแว่นแคว้นเข้ามาไว้ใต้อำนาจแล้วคิดว่าตนเป็นคนเหนือคนนั้น ไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง”
“แต่ข้าว่าท่านจอมทัพโนบุนางะ ฮิโดชิ ยังดีกว่าอีกหลาย ๆ คน แม้ว่าจะทำอะไร ๆ เพื่อให้คนยอมรับว่าตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ แต่อย่างน้อยท่านก็ทำนุบำรุงพระราชวังหลวงที่เกียวโต และทำอะไร ๆ หลายอย่างเพื่อให้ชาวบ้านชาวเมืองมีความสุข ไม่เหมือนกับสมัยมูโรมาจิที่นักรบตระกูลอาชินางะกุมอำนาจการปกครองเอาไว้”
“ยังไงเหรอ”
“สมัยนั้นเกิดสงครามโอนิน เจ้าเคยได้ยินบ้างไหม”
“อืม”
“อาชินางะอ่อนแอไร้ความสามารถที่จะปกครองแว่นแคว้นให้เป็นปึกแผ่น จึงเกิดการรบพุ่งทำสงครามแย่งชิงอำนาจกันไม่หยุดหย่อน โดยไม่คำนึงถึงชาวบ้านชาวเมือง ที่ต้องเดือดร้อนนอนตาไม่หลับทุกครั้งที่ผู้มีอำนาจยกทัพเข้ามาย่ำยี คนมีอำนาจไม่มีใครคิดทำอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองและสังคมกันอย่างจริงจัง”
“อย่างตอนที่พวกยามานะกับโฮโซกาวะแย่งชิงอำนาจกันใช่ไหม”
“ใช่ พวกนั้นทำสงครามกันเพื่อผลประโยชน์ของตนเองอย่างเดียวเลย สมัยนั้นเมื่อราวร้อยปีก่อน คนในตระกูล อารากิดะชื่ออุจิตสึเนะ เป็นหัวหน้าคณะนักบวชที่ทำหน้าที่ดูแลรักษาศาลเจ้าอิเซะ ซึ่งจากนั้นก็ได้สืบตำแหน่งกันมาหลายชั่วอายุคน และตั้งแต่ช่วงที่ผู้มีอำนาจต่างมัวเมาอยู่กับการรบพุ่งแย่งดินแดนกันจนกลายเป็นสงครามโอนินก็ไม่มีใครสนใจสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างศาลเจ้าแห่งนี้ ไม่มีการทำพิธีตามประเพณีโบราณและงานนมัสการเทพเจ้า ศาลเจ้าถูกทิ้งร้างไม่มีเงินทุนที่จะมาซ่อมแซมทำนุบำรุง ได้ยินมาว่าทางศาลเจ้าได้ร้องขอไปยังทางการปกครองบ้านเมืองถึงราวยี่สิบเจ็ดครั้ง แต่ในเมื่อทางสำนักสมเด็จพระจักรพรรดิไม่มีเงินทุน กองทัพก็กำลังอ่อนแอ และบรรดานักรบก็มุ่งแต่จะทำสงครามนองเลือด ศาลเจ้าอิเซะจึงถูกทิ้งให้รกร้าง
แต่ท่านอารากิดะ อุจิตสึเนะก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ท่านกัดฟันต่อสู้กับความยากลำบากพยายามเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวให้ผู้มีอำนาจหันมาสนใจสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ จนในที่สุดก็สามารถหาทุนมาทำพิธีเคลื่อนย้ายองค์ศาลเจ้าไปสถิตบนพื้นที่แห่งใหม่ตามประเพณีที่สืบทอดกันมาแต่โบราณได้สำเร็จ
การที่ศาลเจ้าถูกทอดทิ้งนั้นอาจฟังดูเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่มาคิดดูแล้ว มนุษย์เราเติบใหญ่ขึ้นมาน้อยคนนักที่จะนึกถึงช่วงเวลาที่ตนดูดดื่มน้ำนมมารดาอันเป็นสายโลหิตของเรา”
พอโอซือจบการสาธยายยืดยาว โจทาโรตบมือและกระโดดโหยง
“ฮะฮ้า เห็นข้านิ่งฟังอยู่คงนึกว่าไม่รู้อะไรละซี ฮะ ฮะ ฮะ...ว่าแต่เขา ที่แท้โอซือเองก็จำคำครูมาพูด”
“ตายจริง เจ้าก็เคยฟังมาก่อนเหมือนกันรึ ร้ายนักนะเด็กคนนี้”
โอซือทำท่าอยากตีแต่ติดที่มือไม่ว่าเพราะต้องอุ้มดาบสองด้ามเอาไว้ จึงแกล้งรี่จะข้าไปชนแต่ก็หยุดยืนจ้องหน้าพร้อมกับหัวเราะแก้เขิน
“เอ๊ะ โอซือไปเอาดาบของใครมา”
“อย่ามายุ่ง นี่มันของของคนอื่นเขา”
“ข้าไม่แย่งหรอก ขอดูหน่อยไม่ได้เหรอ ดาบเล่มใหญ่จัง ท่าทางจะหนักไม่ใช่เล่น”
“อย่ามาพูดดีเลย อยากได้ละซี ตาวาวเชียว”
2
โอซือหันไปมองเมื่อได้เสียงรองเท้าฟางกระทบพื้นดังใกล้เข้ามา ก็เห็นสาวน้อยคนหนึ่งวิ่งเหยาะ ๆ เข้ามาหาบอกว่า
“ครูเจ้าคะ ครู ท่านอาจารย์เรียกเจ้าคะ บอกว่าอยากขอให้ช่วยทำอะไรสักอย่าง”
ว่าแล้วก็รีบวิ่งกลับไป
โจทาโรทำท่าคล้ายสะดุ้ง กวาดสายตาไปที่หมู่ไม้ทั้งสี่ทิศ
แดดฤดูหนาวส่องผ่านแมกไม้ไหวตามสายลม คล้ายคลื่นลำแสงสาดสู่พื้นดินเป็นระลอก
เจ้าหนุ่มเขม้นมองฝ่าลำแสงเข้าไปที่จุด ๆ หนึ่ง ทำหน้าคล้ายกับไม่เชื่อสายตาตนเอง...หรือว่าจะเป็นภาพลวงตา
“โจทาโร ทำตาล่อกแล่ก มองหาอะไรรึ”
“เปล่า ๆ ไม่มีอะไร”
โจทาโรทำหน้าเศร้า ยกนิ้วขึ้นกัดแรง ๆ
“อยู่ ๆ แม่สาวน้อยก็วิ่งมาเรียก ครู...ครู ข้าคิดว่าเจ้าหล่อนเรียกหาครูของข้า ก็เลยสะดุ้งน่ะซี”
“ครูของเจ้า ท่านมูซาชิน่ะรึ”
“อะ...อะ”
หนุ่มน้อยอึกอักคล้ายติดอ่าง ถึงกระนั้นโอซือก็ฟังออกว่าเป็นคำตอบ ใบหน้างามสลดลงทันใด อารมณ์โหยหาอาวรณ์แล่นเป็นสายผ่านแนวสันจมูกขึ้นมาร้อนผ่าวอยู่ที่ขอบตา จนอยากสะอื้นออกมาดัง ๆ
...พูดออกมาทำไมก็ไม่รู้ โอซือหันไปพาลเอากับโจทาโรอยู่ในใจ ทั้งที่รู้ว่าเจ้าหนุ่มน้อยไม่ได้ตั้งใจเพียงพูดไปเพราะไร้เดียงสา
โอซือไม่เคยลืมมูซาชิแม้แต่วันเดียว แม้บางครั้งจะรู้สึกว่าเป็นภาระที่หนักอยู่ในอก แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงทิ้งไปให้สิ้นจากใจไม่ได้สักที อีกทั้งหลวงพี่ทากูอันก็ยังชี้นำทุกครั้งที่พบพูดคุยกันว่า...โอซือ เจ้าน่าจะกลับบ้านเกิดเมืองนอนอันสงบสุข ตกร่องปล่องชิ้นกับใครสักคน และออกลูกออกเต้า ทีกว่าจะมาพเนจรตามรักอยู่อย่างนี้...
ฟังคำของหลวงพี่แล้วอดนึกเวทนาชายที่หัวใจไร้รักคนนี้ไม่ได้ พระทากูอันไม่มีวันเข้าใจหรอกว่า ทำไมโอซือถึงไม่เคยคิดที่จะขว้างสิ่งที่กอดไว้กับอกด้วยความหวงแหนตลอดมานั้นทิ้งไป แม้แต่ในความฝัน
ความรัก...เหมือนแมงกินฟันที่กัดแทะประสาทให้ปวดจี๊ดขึ้นมาเป็นครั้งครา เวลาไม่เจ็บก็จะเผลอไผลคล้ายจะลืม แต่พอเจ็บแปลบขึ้นมาก็ไม่มีอะไรที่จะยั้งนางไว้ไม่ให้โลดแล่นออกสู่เส้นทางเพนจร จากแคว้นนั้นสู่แคว้นนี้ขึ้นเขาและลงห้วย จะไม่เหมือนกับลูกธนูที่ไม่มีเป้าให้พุ่งสู่ ก็ตรงที่นางมีอกอบอุ่นของมูซาชิรอคอยให้เข้าไปซบและร้องไห้กระซิกอยู่ที่ไหนสักแห่ง
โอซือถอนใจใหญ่ก่อนออกเดินไปเงียบ ๆ
---อยู่ไหน มูซาชิอยู่ไหน
คงไม่มีทุกข์ใดที่จะทำให้จิตใจร้อนรน กระสับกระส่าย สับสน และสุดท้ายก็ปวดร้าว เท่าความทุกข์ที่อยากพบหน้าผู้เป็นสุดที่รักแทบจะขาดใจแต่ไม่ได้พบ อย่างที่โอซือกำลังทุกข์อยู่เช่นนี้อีกแล้ว
โอซือเดินน้ำตาร่วงเผาะ กอดดาบและห่อสัมภาระของนักดาบฝึกหัดแนบอยู่กับอก แม้ดาบจะหนักแต่นางก็ไม่รู้สึกรู้สมเพราะใจลอยไปอยู่ที่มูซาชิหมดทั้งใจ
โอซือไม่รู้เลยว่ากลิ่นเหงื่อจาง ๆ นั้นกรุ่นขึ้นมาจากเสื้อผ้าของมูซาชิที่นางกอดอยู่กับอกนั้นเอง
“โอซือ”
โจทาโรเดินตามมาข้างหลังด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก และพอโอซือก้าวผ่านซุ้มประตูบ้านอาจารย์อารากิดะ เจ้าหนุ่มน้อยก็วิ่งเข้าไปดึงชายแขนเสื้อเอาไว้ ทำตาละห้อยและอ้อนว่า
“โกรธข้าหรือ โอซือ”
“เปล่านี่”
“ขอโทษนะโอซือ ข้าขอโทษ”
“ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก โจทาโร ข้าขี้แยไปเอง เจ้ากลับไปเถอะ ตั้งใจกวาดสวนให้ดี ๆ ก็แล้วกัน ข้าจะเข้าไปหาอาจารย์อารากิดะ
3
อารากิดะ อิจิโทมิ จัดบ้านที่อยู่ของตนที่ศาลเจ้าอิเซะ เป็นห้องเรียนและตั้งชื่อว่ามานาบิยะ ซึ่งเป็นเสมือนโรงเรียนที่ประสาทความรู้ให้แก่เยาวชน ลูกศิษย์ของอารากิดะไม่ได้มีแต่สาวศาลเจ้าจากเรือนสาวพรหมจรรย์เท่านั้น แต่ยังมีเด็ก ๆ จากสามชุมชนโดยรอบศาลเจ้ามาเรียนกันด้วยรวมแล้วน่าจะราวสี่สิบห้าสิบคน
วิชาที่อารากิดะนำมาสอนลูกศิษย์ที่นี่แตกต่างจากที่ร่ำเรียนกันตามโรงเรียนทั่วไปนั้น จัดเป็นโบราณคดีสาขาหนึ่ง ซึ่งคนในสังคมเมืองใหญ่ละเลยไม่ให้ความสนใจ
เยาวชนชายหญิงที่เข้าร่วมชั้นเรียนของอารากิดะ จะได้เรียนประวัติศาสตร์โบราณยุคที่ญี่ปุ่นมีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับศาลเจ้าอิเซะ สมัยนี้เป็นยุคที่ผู้คนมักจะสับสนคิดว่าชะตากรรมของประเทศชาติขึ้นอยู่กับชนชั้นนักรบ น้อยคนนักที่หันไปศึกษาถึงความเป็นมาของญี่ปุ่นในอดีตที่ผ่านมายาวนาน
อารากิดะจึงคิดที่จะปลูกฝังเมล็ดความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมญี่ปุ่นลงในสมองของคนรุ่นใหม่ อย่างน้อยก็ในกลุ่มที่อยู่ภายในอาณาบริเวณของศาลเจ้าอิเซะ เพื่อที่วันหนึ่งเมล็ดความรู้เหล่านั้นจะได้งอกงาม เติบโตขึ้นเป็นต้นไม้ใหญ่ที่แข็งแกร่งและสง่างามเช่นเดียวกับต้นไม้ในป่าศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้าอิเซะ
อารากิดะนำเรื่องจากบันทึกเก่าแก่ รวมทั้งวรรณกรรมจีนมาเล่าให้เด็ก ๆ ได้ฟังกันทุกวันจนชินหู อาจารย์ผู้นี้สั่งสอนลูกศิษย์ด้วยความรักและเอาใจใส่ใยดีจากใจจริง มานานสิบกว่าปีแล้วโดยไม่เคยรู้สึกเหนื่อยหน่าย
คนทั่วไปยกย่องโทโยโทมิ ฮิเดโยชิว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่จากการที่สามารถรวมรวมแคว้นต่าง ๆ เข้ามาไว้ภายใต้อำนาจ และประกาศตนเป็นผู้มีอำนาจเต็มในการปกครองแว่นแคว้นทั้งปวง ยกย่องว่าโทกูงาวะ อิเอยาซุเป็นจอมทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่พิชิตศึกมาแล้วทั่วทิศ และหลงผิดคิดว่าดาวรุ่งคือดวงอาทิตย์
อารากิดะสั่งสอนนักเรียนที่มานาบิยะ ด้วยความหวังว่าจะไม่มีใครหลงผิดคิดเช่นนั้นแม้แต่ศิษย์ตัวน้อยนิดแค่สามขวบ
โรงเรียนเลิกแล้ว เด็ก ๆ กรูกันออกมาราวกับผึ้งแตกรัง
พอเห็นอาจารย์อารากิดะเดินออกมาจากห้องเรียนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแม้จะมีเหงื่อซึมอยู่บ้าง สาวศาลเจ้าคนหนึ่งก็ตรงเข้าไปรายงานว่า
“อาจารย์เจ้าขา โอซือมารออยู่ตรงโน้น”
“ใช่ ใช่”
อารากิดะอุทานเมื่อคิดขึ้นได้
“เราเป็นคนเรียกมาแท้ ๆ กลับลืมเสียสนิท โอซืออยู่ที่ไหน หนูช่วยพาอาจารย์ไปหน่อยสิ”
โอซือยืนกอดดาบกับห่อผ้าฟังเรื่องราวที่อารากิดะเล่าให้เด็ก ๆ ฟังอยู่ด้านนอกจนจบชั่วโมงเรียน
“อาจารย์เจ้าคะ โอซืออยู่ตรงนี้ ให้เด็กไปตาม มีธุระอะไรหรือเจ้าคะ”
4
“โอซือ ขอโทษนะที่ให้คอย ขึ้นมาบนเรือเถอะ”
อารากิดะกวักมือเรียกโอซือขึ้นเรือนและเดินนำไปที่ห้องนั่งเล่นของตน แต่ก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง อาจารย์ก็ชะงักเมื่อเห็นสิ่งของที่โอซือกอดเอาไว้และถามว่า
“อะไรล่ะนั่น”
โอซือจึงเล่าว่ามีคนพบดาบคู่นี้กับห่อผ้าแขวนอยู่กับตะปูที่รั้วเรือนสาวพรหมจรรย์ ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ สาว ๆ จึงกลัวกันว่าอาจเป็นของหัวขโมย ก็เลยขอให้ตนเอามาให้อาจารย์ดู...
อารากิดะพิศดูแล้วก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเช่นกัน
“หรือว่าจะเป็นของคนที่มาสักการะศาลเจ้าลืมเอาไว้”
“ไม่น่าใช่นะเจ้าคะ คนที่มาสักการะศาลเจ้าไม่น่าจะเข้าไปถึงเรือนสาวพรหมจรรย์ ตอนเย็นก็ยังไม่มีใครเห็นมาเจอกันเมื่อเช้าตอนที่สาว ๆ จะออกมาโรงเรียน จึงคิดว่าคนที่ทิ้งของพวกนี้เอาไว้จะต้องลอบเข้ามาตอนดึก”
“อืม”
อารากิดะเบ้ปาก และบ่นพึมพำ
“อาจมีซามูไรสักคนลอบเข้ามาแกล้งให้พวกสาว ๆ ตกใจก็ได้ ถ้าจะไม่ได้การเสียแล้ว”
“ท่านอาจารย์พอจะรู้บ้างไหมเจ้าคะว่า ใครที่บังอาจมาแกล้งเรา”
“ก็กำลังสงสัยอยู่ ถึงได้เรียกเจ้ามาหารือไง”
“ท่านคิดว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกับฉันรึ”
“ฟังแล้วอย่าเคืองข้านะ คือมีซามูไรแถวนี้คนหนึ่งมาติงว่าไม่ควรให้เจ้ามาอยู่ร่วมกับพวกสาวศาลเจ้าที่เรือนสาว
พรหมจรรย์ บอกว่าที่เตือนก็เพราะเป็นห่วงข้า”
“นี่ฉันเป็นสาเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้หรือ”
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องเก็บไปคิดให้รกสมองนะโอซือ ที่บอกก็เพราะอยากให้รู้ไว้ว่าคนในสังคมเขามองกันยังไง อย่าโกรธไปเลยนะ แต่จะว่าไปเจ้าเองก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักผู้ชายเสียเลยทีเดียว ที่ซามูไรคนนั้นอาจพูดเพราะเห็นว่าการให้เจ้าเข้ามาอยู่ร่วมกับสาวศาลเจ้าที่เรือนสาวพรหมจรรย์นั้น เป็นการขัดต่อกฎของศาลเจ้า...อะไรทำนองนี้”
อารากิดะพูดด้วยเสียงอ่อนโยน โอซือน้ำตาซึมออกมาเต็มตาด้วยความน้อยใจ จะโกรธก็ไม่รู้จะโกรธใส่ใคร
แต่แล้วก็ปลงตก...จะไปโกรธใครได้ยังไงในเมื่อเราเองเป็นหญิงพเนจร เดินทางสัญจรจนคุ้นชินกับบ้านเมืองและป่าเขา พบปะและคุ้นเคยกับผู้คนมาแล้วมากหน้าหลายตา ใจนั่นเล่าก็ยังคุกรุ่นอยู่ด้วยความรักที่มีให้ชายคนหนึ่งมาแต่ก่อนกาลและพร้อมลุกโชติช่วงขึ้นมาได้ทุกขณะ...สมแล้วที่ถูกสังคมมองเช่นนั้น
ทว่า...ที่เจ็บใจก็คือตนเป็นสาวพรหมจรรย์แท้ ๆ แต่ถูกกล่าวหาว่าไม่ใช่
อาจารย์อารากิดะดูเหมือนจะไม่ใส่ใจกับคำเรื่องนี้มากนัก แต่ความที่เกรงคำครหานินทาของชาวบ้านซึ่งไม่นานก็คงจะลือกันไปทั่ว อีกไม่กี่วันก็จะปีใหม่แล้วอยากให้โอซือช่วยรวบรัดสอนขลุ่ยให้จบเสียโดยเร็ว แล้วย้ายออกไปเสียจากเรือนสาวพรหมจรรย์
โอซือไม่ได้ตั้งใจจะพักอาศัยอยู่นานตั้งแต่แรก และยิ่งมากลายเป็นตัวการให้อาจารย์อารากิดะเดือดร้อนด้วยเช่นนี้จึงคิดว่าควรไปเสียให้พ้นจะดีกว่า จึงตอบตกลงทันทีพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณที่ให้ที่อยู่อาศัยมานานถึงสองเดือน และบอกว่าจะออกเดินทางวันนี้เลย
“เจ้าไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ โอซือ”
อารากิดะจำใจต้องไล่โอซือออกจากเรือน ความเป็นมาที่แสนรันทดของสาวสวยนางนี้ทำให้รู้สึกสงสารจับใจ จึงเอื้อมมือไปหยิบห่อเงินเก่าคร่ำคร่ามาเปิดออกและหยิบเหรียญในนั้นส่งให้จำนวนหนึ่ง
โจทาโรแอบฟังความอยู่ข้างหลังโอซือ ยื่นหน้าออกมากระซิบถามว่า
“โอซือ จะออกเดินทางจากอิเซะแล้วใช่ไหม ข้าไปด้วยนะ กำลังเบื่อกวาดใบไม้พอดีเลย ได้เวลาดีจริง ไปกันเถอะโอซือ”