“ไม่คิดว่าจะมาไกลขนาดนี้” เปิดใจเกษตรกรสาว เพาะกล้า-เมล็ดพันธุ์ขายออนไลน์ “เน้นไม้หายาก-ราคาไม่แพง-แต่งชุดแฟนซี” กระตุ้นยอดขาย ทำรายได้เดือนละกว่า 5 ล้านบาท!!
เกษตรกรออนไลน์ ยอดขาย “เดือนละ 5 ล้าน”!!
“เกิดจากความชอบก่อนค่ะ เรามาที่บ้านต่างจังหวัด มาปลูกพืชผักสวนครัว ปลูกต้นไม้ มันก็เลยรู้สึกชอบ พอชอบแล้วก็อยากทำให้เกิดรายได้ ก็เลยไปขายที่กลุ่มนึง เป็นกลุ่มต้นไม้ ไปโพสต์เป็นเมล็ดพันธุ์พะยูง วันแรกก็โพสต์ขายได้ 2 หมื่นบาท
คิดว่าต้นไม้ที่ขาย มันมีทั้งพวกพืชผักผลไม้ ผักสวนครัว คิดว่ายังไงคนไทย ก็ต้องการที่จะบริโภค ต้องกิน ต้องการใช้ในชีวิตประจำวัน ก็เลยเกิดเป็นความคิดว่า ยังไงก็ขายได้”
“สุวิมล อำภัยบุญ” หรือ “ส้ม” สาวสวยชาวจังหวัดชัยนาทวัย 29 ปี ย้อนเล่าถึงจุดเริ่มต้นของเส้นทางการเป็นเกษตรกร ให้แก่ทีมข่าว MGR Live ได้รับทราบ
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ทุกวันนี้ตลาดต้นไม้และพืชผลทางการเกษตรในบ้านเราคึกคักเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่องทางออนไลน์ ที่ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็จะมีผลผลิตและสินค้าทางการเกษตร วางขายอย่างละลานตาตามแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ ซึ่งข้อดีของตลาดออนไลน์นั้นทำให้เจ้าของสินค้ากับลูกค้าอยู่ใกล้กันเพียงแค่คลิกนิ้ว
อีกทั้งเป็นจุดกำเนิดเกษตรกรคนรุ่นใหม่ ให้กลับไปสร้างงาน สร้างอาชีพที่บ้านเกิด และเกษตรกรสาวรายนี้ก็เช่นกัน นับตั้งแต่วันแรกที่เธอตัดสินใจโพสต์ขายเมล็ดพันธุ์พะยูง ก็ทำให้มองเห็นโอกาสที่จะเติบโตในเส้นทางสายนี้ จึงตัดสินใจเบนเข็มมาทำการเกษตรออนไลน์อย่างเต็มตัว
ปัจจุบันเธอมีเมล็ดพันธุ์และกล้าไม้อยู่ในมือนับ 200 ชนิด ตั้งแต่พืชผักสวนครัว ผลไม้โบราณ ไม้ด่าง ไม้เศรษฐกิจ ไม้มงคล ไม้ประดับ ดอกไม้ และอื่นๆ อีกมากมาย เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกประเภท เน้นที่แปลกใหม่และหายาก สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป และขายในราคาไม่แพง ผ่านเพจเฟซบุ๊ก “น้ำส้ม ฉันคือเกษตรกร”
และจุดขายที่ทำให้เธอคนนี้แตกต่างออกไปจากเจ้าอื่น นั่นก็คือกิมมิคการขายน่ารักๆ อย่างการนำดอกไม้ใบหญ้าที่มี มาประยุกต์เป็นชุดแฟนซีสวยงาม ทั้งในชุดนางไม้ นางตะเคียน ชุดไทย ถ่ายภาพคู่กับสินค้า สร้างรอยยิ้มให้คนที่พบเห็นและเป็นการกระตุ้นยอดขายอีกทาง
ทำให้ทุกวันนี้ เกษตรกรคนสวยรับทรัพย์กว่าเดือนละ 5 ล้านบาท!!
แต่ก่อนที่จะมาเป็นเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เธอต้องผ่านการลองผิดลองถูกมาไม่น้อย พื้นเพเธอก็ไม่ใช่เกษตรกรมาตั้งแต่แรก
ก่อนหน้านี้ ส้มทำอาชีพเปิดร้านนั่งดื่มย่านสมุทรปราการ ขณะนั้นร้านกำลังไปได้สวย แต่เจอปัญหาการถูกยึดที่ จึงตัดสินใจกลับมาตั้งหลัก ณ บ้านเกิดที่จังหวัดชัยนาท
“เปิดเป็นร้านนั่งดื่มตอนกลางคืนมาก่อน ที่สมุทรปราการค่ะ ทำมาประมาณ 4 ปีค่ะ ตอนนั้นมีปัญหา มันเป็นพื้นที่จับจองแล้วเขาก็มายึดพื้นที่ ก็เลยไม่ได้ขายต่อค่ะ
ก็เคว้งค่ะเพราะมันกะทันหันมาก พยายามหาดูร้านใหม่ๆ อะไรแบบนี้เหมือนกันค่ะ ที่ใหม่ๆ ที่จะเช่า แต่ก็คิดไปคิดมา มีบ้านอยู่ต่างจังหวัด ก็เลยคิดมาทำอะไรที่ต่างจังหวัดดีกว่า
ประมาณ 2 ปีได้ค่ะ กลับมาอยู่ก็มาเลี้ยงกบ เลี้ยงกบไม่ประสบความสำเร็จ ก็เลยไลฟ์ขายชุดนอน หยุดพักแล้วเปลี่ยนมาทำเกษตรนี่แหละค่ะ”
ด้วยความที่มีใจรักในการเพาะปลูกต้นไม้เป็นทุนเดิม และอยากทำให้เป็นรายได้เลี้ยงชีพ จากเงินก้อน 2 หมื่นบาท ที่ได้จากการขายเมล็ดพันธุ์พะยูงในวันนั้น ได้กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจสินค้าเกษตรออนไลน์อย่างทุกวันนี้
“ตอนนั้นไปเก็บมาที่ป่าด้วย ไปหาตามวัดบ้าง เก็บมามันไม่ได้เสียอะไรเลยค่ะ ได้มาจากที่เราเก็บ ก็รู้สึกดีใจมากค่ะ จากพะยูงนี่แหละค่ะที่เป็นจุดเริ่มต้นที่อยากหาเมล็ดพันธุ์อย่างอื่นมาขาย ได้เงินก้อน 2 หมื่น เราก็ต่อยอดมาเรื่อยๆ ค่ะ
พอได้เราก็เขยิบมาหาเมล็ดพันธุ์อย่างอื่น เราก็ดูซิว่ามีอะไรบ้างที่หายากๆ หน่อย เราก็จะเน้นที่หายาก ยังไงคนก็ซื้อ ก็เริ่มมาเรื่อยๆ หาจาก 1-2-3 อย่าง เอาพวกเมล็ดพันธุ์มาเพาะเป็นต้นกล้า ปลูกเป็นต้นกล้าส่งให้ลูกค้า แล้วก็มีพวกชาวบ้านที่อื่นก็ติดต่อ ส่งพวกเมล็ดพันธุ์ พวกหน่อมาให้บ้าง หาอะไรที่มันแปลกๆ ยากๆ มาขายค่ะ ก็เลยคิดต่อยอดมาเรื่อยๆ ค่ะ”
ออเดอร์นับพันต่อวัน ขายดีสวนกระแสโควิด
หลังจากที่เดินหน้าเอาดีในด้านการเกษตรอย่างเต็มตัวที่บ้านเกิด ในตำบลห้วยกรด อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท ส้มก็ได้ค่อยๆ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพื้นที่บริเวณบ้านกว่า 1 ไร่ ให้กลายเป็นที่ทำงานและแปลงเพาะกล้าไม้ไปในตัว
“พื้นที่ที่บ้านเราก็มีค่ะ พื้นที่หน้าบ้านที่ทำ กางสแลนเพาะต้นกล้า ประมาณไร่นึงมันได้เป็นแสนถุงเลยค่ะ ส่วนเพาะจะมีข้างหน้าบ้านเอาไว้เพาะเป็นต้นกล้าปลูก ส่วนอีกแบบนึงเราจะส่งพวกหน่อพันธุ์ เมล็ดพันธุ์ค่ะ ไว้ส่งให้ลูกค้า
ส่วนตัวปลูกมาก่อนแล้วค่ะ ก่อนที่จะมาเริ่มต้นตรงนี้ ก็ทั้งกรอกดิน ทั้งปลูก ทำมาหมดทุกอย่างแล้วค่ะ แรกๆ ก็อาจจะปลูกไม่ค่อยขึ้น เราก็ค่อยๆ เพาะ มาเรียนรู้เพิ่มเติมเอาค่ะ ก็มีความรู้ขึ้นเรื่อยๆ แต่ส่วนใหญ่พวกปุ๋ยเราก็ใส่ตามปกติ แมลงก็มีกินแต่ไม่ได้เยอะขนาดนั้น อาจจะเป็นช่วงแรกๆ ที่ไม่ค่อยขึ้นค่ะ ต้องหาวิธี ก็ค่อยๆ เรียนรู้ไป
พอเริ่มขยาย ก็มีแอดมินคอยตอบเพจ คอยแพ็ก ส่วนใครใส่ ปุ๋ยไป แบ่งงานเป็นแผนกๆ ไปตอนนี้แบ่งเลยค่ะ สินค้ามันเพิ่มเยอะขึ้น เราก็เลยต้องแบ่งงานทำ ส่วนตัวส้มเองต้องคอยคิดว่าจะขายอะไรต่อดีค่ะ”
สำหรับการคัดเลือกสินค้ามาเติมในร้านนั้น ก็จะมีทั้งจากที่เจอเอง และจากการที่ลูกค้าเข้ามาสอบถาม โดยจะมีการหมุนเวียนกันไปตามแต่ความต้องการของตลาดในช่วงนั้น ทำให้ปัจจุบัน ร้าน “น้ำส้ม ฉันคือเกษตรกร” มีผลผลิตทางการเกษตรแล้วกว่า 200 ชนิด
“สำรวจตลาดก่อนค่ะ ลูกค้าประจำก็มีมาซื้อค่ะ ส่วนใหญ่เขาจะถาม มีแบบนี้มั้ย มีต้นนี้มั้ย อยากได้ พอเราก็ดูแล้วสำหรับตัวเรามีความเชื่อมั่นว่าอันนี้ขายได้แน่นอน เราก็ขายเลย ไม่รอ เอามาเพาะเลย ก็จะมีทางชาวบ้านเขาติดต่อมาบ้าง เราก็เลือกเอา ดูแล้วขายได้ก็ขาย ส่วนใหญ่จะมาจากหลายๆ ที่ หลายๆ จังหวัด
ตอนนี้ก็นับดูก็เกือบ 200 ชนิดค่ะมีทั้งหัวพันธุ์ หน่อ ส่วนใหญ่แล้วก็มาหลายที่ ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง ก็มีเกือบทุกที่ค่ะ แล้วแต่ว่าจังหวัดไหนจะมีอะไรมาก จังหวัดไหนจะมีอะไรน้อย
ตอนนี้ที่ขายดี ก็มี หอมกินดอก บัวหิมะแล้วก็ดอกไม้จะเป็น ดอกซ่อนกลิ่น ดอกมหาหงส์ ดอกดาหลา ว่านนางคุ้ม แล้วก็ ว่านเทพรำลึก ถ้าผลไม้ก็จะเป็น ชมพู่น้ำดอกไม้ แมคคาเดเมีย แล้วก็ แอปเปิลสตาร์
แต่ทุกอย่างก็ขายได้มาตลอดนะคะที่ขายอยู่ นอกจากสินค้าหมด เขาไม่มีส่งให้แล้ว แต่ส่วนใหญ่ขายได้ ตั้งแต่มีโควิด รู้สึกว่าไม่มีผลกระทบกับทางเราอยู่แล้ว ก็ยังขายดี ขายได้ปกติค่ะ”
[ บัวหิมะ หนึ่งในสินค้าขายดีประจำร้าน ]
ด้วยการจับทางความต้องการของตลาดได้ถูก ทำให้ธุรกิจของเธอเติบโตอย่างรวดเร็ว ในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี
“จากเริ่มต้นเป็นเมล็ดพันธุ์ถึงวันนี้ก็ประมาณ 1 ปี 7 เดือนได้นะคะ หลังจากเมล็ดพันธุ์พะยูง ก็คิดต่อจะหาเมล็ดพันธุ์อะไรที่แปลก ที่หายากกว่าคนอื่น ที่ไม่เหมือนคนอื่น ต่อมาก็ปลูกต้นกล้า หาผลไม้ก็หาที่มันยากๆ เน้นที่ไม่เหมือนคนอื่น
แล้วก็ขายในราคาที่ไม่แพง ราคาเริ่มต้น 99 บาท จนถึง 200 กว่าบาท เท่านี้เองค่ะ 99 บาท เช่น ดอกซ่อนกลิ่น พวกว่านมงคล ดอกไม้มงคล”
และที่สำคัญ ไม่เพียงแค่ขายดีธรรมดาเท่านั้น หากแต่ยังขายดีมาก ในส่วนของคำสั่งซื้อที่มีเข้ามาถึงกว่าวันละ 1,000 ออเดอร์ ส่งให้มียอดขายตก 5 ล้านบาทต่อเดือน!!
“วันนึงแพ็กเต็มที่รวมหลายๆ แพลตฟอร์มก็ประมาณ 400 กว่าชิ้นได้ค่ะ แต่วันนึงออเดอร์ระดับ 1,000 ชุด มันเยอะมากแพ็กไม่ทัน เพราะบางที่เราก็ต้องมีจากชาวบ้านที่อื่นเขาส่งมาด้วย บางทีก็ไม่ทันที่ส่งของให้เรา แต่ถ้าเป็นของเราที่ทั้งหมด เราก็ส่งได้เลย จริงๆ แล้วยอดวันนึงหลักพันค่ะ
รายได้ต่อเดือนก็ประมาณ 5 ล้านบาท แต่มันยังไม่หักค่าใช้จ่ายอะไร ค่าคนงาน ไหนจะค่าเพจ ค่าทุกอย่าง มันเป็นเฉพาะยอดขายค่ะ”
เพิ่มสีสันด้วย “ชุดแฟนซี”
ด้วยการจับทางความต้องการของตลาดได้ถูก ทำให้ธุรกิจของเธอเติบโตอย่างรวดเร็ว ในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี โดยจะเน้นไปที่การทำการตลาดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยเฉพาะในเพจเฟซบุ๊ก “น้ำส้ม ฉันคือเกษตรกร”
“ยอดคนกดไลก์ ติดตาม ประมาณหมื่นกว่าค่ะ ยอดขายส่วนนึงก็จะมาจากเพจค่ะ แล้วก็ Lazada กับ Shopee มาจาก 3 แพลตฟอร์ม กลุ่มเป้าหมายเรา กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นพวกชาวไร่ ชาวนา พวกเกษตร อายุซัก 30-60 ประมาณนี้ค่ะ
เราเพิ่งเปิดเป็นรูปแบบบริษัทค่ะ (บริษัท น้ำส้มการเกษตร จำกัด) กำลังรวบรวมเก็บไว้แต่ยังไม่มีบัญชีคอยมาจด ยังไม่สมบูรณ์มากค่ะ มันจะมีแต่ยอดปลายทาง ลูกค้าเขาจะยังไม่โอนเงินมาก่อน เราต้องลงทุนก่อนแล้วก็ส่งให้ลูกค้า ลูกค้าจ่ายเงินแล้วเราถึงได้เข้าบัญชีเราค่ะ
ส้มก็ยังคิดเหมือนเดิมค่ะ ว่า ส้มจะหาของที่ไม่เหมือนใคร หายาก ก็ขายมาแบบนี้ตลอด ไม่ค่อยมีใครขาย (จ่ายค่าโฆษณาให้เฟซบุ๊ก) เริ่มมาจาก 200-300 บาท แล้วก็เริ่มเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ถึงปัจจุบันพอมาไล่ๆ ดูก็ 6 แสนค่ะ
ส้มคิดว่ามันขึ้นอยู่กับสินค้าที่เราขายด้วยนะคะ ทุกวันนี้คิดว่าลูกค้าน่าจะมองเห็นร้านของส้มมากขึ้น เพราะมันมีทั้ง 3 แพลตฟอร์ม มีเพจ Lazada Shopee ค่ะ เราก็คนรู้จักเยอะขึ้นจากสื่อต่างๆ ที่มาขอสัมภาษณ์ ก็เลยช่วยไป”
นอกจากเรื่องของการตีตลาดให้ถูกจุดแล้ว ด้วยความที่เธอเป็นคนที่ชอบความสนุกสนานเฮฮาเป็นทุนเดิม ทำให้จุดเด่นของร้านเมล็ดพันธุ์แห่งนี้ คือ การที่เกษตรกรคนสวยแต่งชุดแฟนซีสายเขียว จากผลผลิตของตนเอง กลายเป็นอีก 1 จุดขายที่ช่วยกระตุ้นรายรับได้ไม่น้อย
[ บรรดาชุดแฟนซีที่เคยสวมใส่ ]
“จริงๆ ก็ลุยเลยรองเท้าแตะ ใส่เสื้อแขนยาว แต่พอหลังๆ เรามีทีมงาน เราก็ต้องทำให้เป็นระบบค่ะ ไม่ได้ออกแล้ว ใครปลูกต้นไม้ก็ปลูกต้นไม้ไปเลย
(แต่งชุดแฟนซี) ก็คิดว่าช่วยได้นะคะ ตอนที่เรายังขายไม่ดี เราก็เลยคิดว่าไหนๆ เราก็ขายพวกเมล็ดพันธุ์มันก็เกี่ยวกับพวกต้นไม้ ต้นกล้า เราก็เลยแต่งชุดไทยบ้าง แต่งเป็นนางตะเคียน ไปตามวัด แล้วก็ไปถ่ายรูปคู่กับต้นตะเคียนจริงๆ แล้วก็ถือเมล็ดพันธุ์ตะเคียนขาย แล้วก็เป็นชุดใบไม้ ถ่ายคู่กับเมล็ดพันธุ์แล้วก็ต้นไม้ค่ะ ให้มันดูแปลกๆ ดูมีสีสัน คนมองมาก็แปลกดี
ที่ผ่านมา ก็มีชุดนางตะเคียน ถ้าเป็นพวกเมล็ดพันธุ์หรือต้นไม้ ก็มีชุดใบตอง ชุดข่า ชุดใบไผ่ค่ะ (หัวเราะ) น้องๆ เด็กนักเรียนเป็นคนเย็บ คนออกแบบ ทำให้เลย ส่วนใหญ่จะเอาของที่เราขายมาเกี่ยวข้องมาแต่งนี่แหละค่ะ
ความสวยไม่ได้เกี่ยวค่ะ เราอย่ามองคนที่ภายนอกค่ะ เดี๋ยวนี้ยุคสมัยหรือเทคโนโลยีมันก็เปลี่ยนไป วัยรุ่นก็มาทำเกษตรกันค่อนข้างเยอะ ส้มคิดว่ามันอยู่ที่มันสมอง สองมือ แล้วก็เราสู้ เราอดทน เราขยัน เราไขว่คว้าหาความรู้เข้ามาตลอด พยายามศึกษามันตลอดค่ะ”
สร้างอาชีพให้ทีมงานบ้านเกิดกว่า 50 ชีวิต
ในส่วนของทีมงานนั้น หากจะย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นจริงๆ ธุรกิจนี้เริ่มขึ้นจากการที่ส้มได้ชวนพรรคพวกรวมตนเองเป็นทีมได้ไม่กี่คน แต่จับพลัดจับผลูมาขายดีจนทำไม่ทัน ทำให้ต้องเพิ่มทีมงานไปโดยปริยาย ซึ่งก็ได้ว่าจ้างน้องๆ นักเรียนจากโรงเรียนห้วยกรดวิทยา ที่อยู่ใกล้เคียงกันมาช่วยเหลือ
ปัจจุบันกลายเป็นทีมงานที่ใหญ่ขึ้น นับรวมกันกว่า 50 ชีวิต แบ่งหน้าที่กันตามความถนัด มีทั้งคนรับคำสั่งซื้อ คนเพาะต้นไม้ และคนแพ็กของแบ่งตามแพลตฟอร์มออนไลน์ของร้าน
“ตอนแรกเริ่มกัน 2-3 คนค่ะ ชวนไปหาเมล็ดพันธุ์ ช่วยกันกรอก ช่วยกันแพ็กค่ะ หลังๆ มาเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ ก็ช่วยกัน เริ่มเยอะแล้วเมื่อ 5-6 เดือนนี้ค่ะ
[ ส่วนหนึ่งของทีมงานกว่า 50 ชีวิต ]
มีน้องๆ เด็กนักเรียนมาทำกันด้วยค่ะ เราก็จะหางานให้เขาทำ เป็นแอดมินฝึกตอบลูกค้า เพราะน้องเขาแพ็กของอยู่ต้องรู้อยู่แล้วว่ามีอะไรบ้าง ขายอะไรบ้าง ต้องตอบลูกค้าได้ ตอนนี้มีประมาณ 50 คน แต่บางวันไม่ได้มาทำครบค่ะเพราะส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียน เราก็จะสลับหมุนเวียนกันมา
แอดมินตอบเพจมีประมาณ 13-14 คนได้ค่ะ ส่วนคนแพ็กที่นั่งอยู่ก็ประมาณ 20 ได้ค่ะ ก็แบ่งกันไป ใคร Lazada ใคร Shopee แบ่งกันไป ใครทำต้นไม้ก็แพ็กไป ใครทำเมล็ดพันธุ์พืชชนิดก็แบ่งกัน ทำอยู่ที่บ้านหมดเลยค่ะ
มันก็พอค่ะ มันอยู่ที่ส้มนี่แหละ ถ้าเพิ่มสินค้าก็ต้องเพิ่มคนงานมากขึ้น ตอนนี้เราเบรกไว้เท่านี้ก่อน สำคัญเลยหลักๆ คือว่าเราเป็นยอดปลายทาง เราต้องลงทุนให้เขาก่อนทุกอย่าง ไม่ใช่ลูกค้าโอนเงินมาให้เราก่อน ก็อาจจะมียังไม่เสถียรบ้าง แต่โอเค ลูกค้าเขาพึงพอใจกับการเก็บปลายทางมากกว่า สะดวก ความเชื่อใจ เราก็ต้องซัปพอร์ตตรงนั้น”
และการที่เธอกลับมาทำธุรกิจที่บ้านเกิด ก็เหมือนกับเป็นการสร้างงานให้กับคนท้องถิ่นไปในตัว ส้มให้การดูแลทีมงานไม่ต่างอะไรจากคนในครอบครัว
“ส่วนตัวส้มเห็นเขาอยู่แล้ว คิดอยู่แล้วว่าถ้าอยู่กับเรา เขามีรายได้ ก็พยายามหาของมาขาย ก็อยากให้เขามีรายได้มากขึ้น เวลาเห็นเขาซื้อนู่นซื้อนี่หรือออกรถ ซื้อทองซื้ออะไร เราก็คิดว่าชีวิตเขาก็น่าจะดีขึ้น
ส่วนตัวส้มก็ดีใจแล้วก็ปลื้มใจที่อย่างน้อยเขาก็มีรายได้ มีอะไรเพิ่มเติมให้กับชีวิตของเขา ที่เหลือส้มก็พยายามคิดตลอดว่า จะขายอะไร เพื่อให้ทุกคนมีรายได้เพิ่มขึ้น
คิดในจุดนี้ตลอด คนที่อยู่กับเราต้องมีหน้ามีตาไปกับเราด้วย ต้องดีเหมือนกับเราด้วย”
เมื่อถามถึงอุปสรรคที่เจอมาในการทำธุรกิจ ส้ม กล่าวว่า เรื่องการเพาะพันธุ์ไม้ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนมาก มาจากคือปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ อย่างเรื่องของการขนส่ง
“อุปสรรคของทางร้านส่วนใหญ่ก็จะมีต่อให้เราแพ็กไปดีๆ มันก็อาจจะมีเสียหายค่ะ พวกเมล็ดพันธุ์ หรือหัวพันธุ์ หรือหน่อ วิธีการแพ็กมันไม่ต้องยุ่งยากลำบาก แต่อย่างต้นไม้กล้าเราต้องใส่ถุง เอาเชือกมารัดกับกล่องให้มันแน่น เผื่อขนส่งโยกจะเสียหายได้
มันก็ขึ้นอยู่กับขนส่งด้วย เพราะบางที่ขนส่งเขาก็รุนแรงเนอะ ก็ทับแล้วต้นไม้มันเสียหาย ทางเราก็รับผิดชอบอยู่แล้ว ขอให้พูดกันดีๆ เราก็เคลมให้”
อีกทั้งการรับชำระจากลูกค้าส่วนใหญ่เป็นยอดปลายทาง ที่ในบางครั้งก็จะเจอเข้ากับลูกค้าบางรายที่ไม่น่ารักเข้าก็มี ซึ่งทางร้านของเธอแก้ปัญหาด้วยการโทรศัพท์ยืนยันสินค้าที่จะส่งไป
“อีกอย่างคือยอดปลายทาง มีบ้างที่ลูกค้าไม่ค่อยมีความรับผิดชอบ สั่งแล้วไม่ค่อยรับผิดชอบ แต่เราก็แก้ปัญหาด้วยการโทร.ไปคอนเฟิร์มก่อน คุณต้องรับแน่นะ อย่างน้อยมันก็ช่วยเราได้ค่ะ
สมมติว่าจะส่งวันนี้ก็จะโทรไปหาลูกค้าก่อนว่า วันนี้จะส่งให้นะคะ อีกประมาณ 1-2 วันก็รอรับของที่ส่งด้วย ส่งให้ยอดเท่านี้ ต้นไม้ชนิดไหนก็แจ้งเขาไป จากเพจเราแจ้งเขา
อย่างน้อยวันนี้เราส่ง 400 กล่องใช่มั้ยคะ เราโทร.ได้ 400 กล่อง อย่างน้อยเราโทร.ไปแล้ว เราไม่รับซัก 20 คน มันก็ยังดีกว่าเราส่งไปเลยแล้วตีกลับมา 100 คนค่ะ เราก็ต้องจ่าย ไหนจะต้นไม้พังอีก ทุกอย่างค่ะ ก็เลยใช้เป็นวิธีการนี้ โทร.บอกก่อนเพื่อให้ชัวร์ค่ะ”
เคยลำบาก ถึงขั้นกินข้าวคลุกน้ำมัน…
หากจะเล่าถึงเรื่องราวชีวิตของส้ม ก่อนที่จะประสบความสำเร็จในฐานะเกษตรกรขายสินค้าเกษตรออนไลน์อย่างทุกวันนี้ ต้องล้มลุกคลุกคลานมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
ครอบครัวของเธอนั้น พ่อและแม่แยกทางกันตั้งแต่ส้มยังไม่ลืมตาดูโลก แม่ต้องเดินทางมาทำงานยังเมืองหลวง เพื่อหาเงินส่งเสียให้เธอเล่าเรียน จึงได้ยายเป็นผู้เลี้ยงดูมา
ประกอบกับฐานะของครอบครัวที่ไม่สู้ดี เธอต้องใช้ชีวิตมาอย่างยากลำบาก และบางมื้ออาหารของสาวแกร่งผู้นี้ มีเพียงข้าวเปล่าคลุกน้ำมัน กินประทังชีวิต…
“ไม่ได้ฐานะร่ำรวยนะคะ คือจนเลยค่ะ จนมาก อยู่กับยายมา 2 คนเพราะว่าพ่อแม่แยกทางกัน เราก็ไม่เคยเห็นพ่อมาตั้งแต่เด็ก แม่ก็ฝากยายเลี้ยงตั้งแต่ 8 เดือน แม่ก็ไปทำงานที่กรุงเทพฯ แม่ก็ทำงานก่อสร้าง ส่งให้เราเรียน
พอยายเสีย เราก็ไปอยู่กับน้า เป็นลูกพี่ลูกน้องกับแม่ แต่ด้วยเหตุผลของเรา เราอยากออกมาใช้ชีวิตคนเดียว ก็ลำบาก เราก็ลุย ใช้ชีวิตคนเดียวมาตลอด สู้ชีวิตมาตลอด
กว่าจะมาถึงจุดนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายนะคะ มันลำบากมากๆ เลยค่ะ ลำบากแบบตังค์ไม่มีเลย ต้องรอรถเมล์ฟรี กินข้าวคลุกกับน้ำมันกับพริก เป็นเดือน ตอนนั้นเรียน ปวช. ค่ะ เราต้องจบ ปวช.ให้ได้”
หลังจากจบการศึกษาระดับ ปวช. จากวิทยาลัยเทคนิคสมุทรปราการ อาชีวะบางปู เป็นที่เรียบร้อย เธอจึงเดินหน้าหางานทำย่านสมุทรปราการ
เมื่อมีเงินเก็บสะสม ประกอบกับเงินที่ได้จากการหยิบยืมมารวมเป็นทุนก้อนหนึ่ง ก่อนจะมาเปิดร้านนั่งดื่มตอนกลางคืน เมื่อตอนอายุได้ 20 ปี
“พอหลังเราจบ ปวช.แล้ว ช่วงแรกๆ เราไปหาทำงานแต่เขาไม่รับเพราะเราอายุ 17 พอหลัง 18 เริ่มแรกมาเราก็ไปเสิร์ฟที่ร้านอาหาร อยู่อิมพีเรียลสำโรง สมุทรปราการ แล้วก็ออกมา
ด้วยว่ามีเพื่อนเยอะ และมีน้องๆ ก็เลยชวนกันมาเปิดร้าน เปิดร้านอาหารตอนอายุประมาณ 20 ค่ะ ตอนนั้นมีทุนประมาณ 5 หมื่นได้ค่ะ ขอยืมแม่บ้าง ขอยืมเพื่อนบ้าง เพื่อนก็มาช่วยกันทำร้าน มาช่วยกันตอกตะปู ทำป้าย มาช่วยกันขนของ
รายได้โอเคนะคะ ดีนะคะ ลูกค้าเยอะมากในยุคนั้น ต่อเดือนโอเคเลย รายได้เฉลี่ยร้านอาหารตอนกลางคืนตอนนั้นถ้าย้อนกลับไป เดือนนึงก็ระดับ 5 แสน 6 แสนได้ แต่ด้วยเหตุผลเขามายึดพื้นที่”
ภายหลังจากที่ร้านถูกปิดไปแล้ว เธอมีความคิดที่จะหาพื้นที่ใหม่เพื่อจะทำธุรกิจนี้ต่ออีกครั้ง แต่ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น เมื่อชั่งน้ำหนักดีแล้วจึงตัดสินใจยุติความคิดนี้ไป
“ช่วงที่เปิดร้านมันก่อนโควิดค่ะ ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดมันเป็นช่วงที่เราต้องปิดร้านไวมากขึ้น แต่ก่อนเราเปิดยันเช้า ยันบ่าย เราก็เปิดได้ ลูกค้านั่งกินได้ตลอด มันเป็นการเพิ่มยอดให้เราได้
ลูกค้าเขาชอบร้านที่ดึกๆ 5 ทุ่มอยู่ยันตี 2 แต่พอหลังๆ ตี 2 ตี 2 ก็เริ่มเป็นตี 1 ตี 1 ก็เริ่มเป็นเที่ยงคืน ใครจะมาที่ร้าน เราก็เลยคิดว่าไม่เอาดีกว่า ตอนแรกก็หาร้านอยู่ค่ะ แต่เพราะเขาเริ่มให้ปิดไวขึ้น เปิดไปก็เหนื่อย ก็เลยมาทำตรงนี้”
และช่วงที่ตัดสินใจกลับบ้านเกิดในจังหวัดชัยนาท ก่อนที่จะมาขายเมล็ดพันธุ์และกล้าไม้นั้น ส้มเองก็เคยลองประกอบอาชีพหลายๆ อย่าง สุดท้ายก็ไม่ประสบความสำเร็จจนต้องล้มเลิกไป
เหตุการณ์เหล้านั้นทำให้เธอต้องพบเจอเจอคำสบประมาทมานับครั้งไม่ถ้วน แต่เธอเลือกที่จะไม่เก็บเอาถ้อยคำแง่ลบมาบั่นทอนกำลังใจที่มี
[ พลิกชีวิตได้จากการเกษตร ]
“โห… เจอมาหนักมากค่ะ (หัวเราะ) ทำไม่ได้หรอก ประมาณว่ายังไม่มีนู่นนี่นั่น สารพัดค่ะส้มคิดว่าถ้าเจอคำพูดหรือเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เรารู้สึกทำร้ายจิตใจ ใครเคยทำอะไรกับเรา ความรู้สึกแรกๆ ก็นอยด์นะคะ
ส้มจะไม่มาเก็บคิด แต่จะเก็บเป็นแรกผลักดันมากกว่า เขาว่าเรา เขาดูถูกเรา ไม่เป็นไร เราก็พยายามทำของเราให้เต็มที่ค่ะจากคำที่เขาเคยดูถูกเรา มีความคิดอย่างนึงว่า ใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น เพราะเชื่อว่าเวรกรรมมีจริงค่ะ”
ส้ม ยอมรับกับทีมข่าวว่า จากชีวิตที่ผ่านความยากลำบากมา ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมาถึงวันที่ประสบความสำเร็จและมีบริษัทจากน้ำพักน้ำแรงของตนเองได้
“ไม่เคยคิดเลยค่ะ พอมาถึงจุดนึงก็ดีใจ ด้วยความที่ว่าเราไม่คิดว่าจะมาไกลขนาดนี้ ก็มีฟีลไปแอบนั่งร้องไห้ก็มี (หัวเราะ) มันดีใจ เราไม่คิดว่า จากเราจนๆ ทำไมเรามาถึงตรงนี้ได้ ดีใจค่ะ
ไม่ว่าจะเป็นแม่เราก็มีรอยยิ้มที่โอเคมากขึ้น ดีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านอะไรในครอบครัว ดีขึ้นทุกอย่างเลยค่ะ บ้านก็สร้างใหม่ค่ะ สร้างให้แม่ด้วย อย่างรถเราก็มีเพิ่มเติมขึ้นมา”
ทั้งนี้ เมื่อให้มองไปถึงอนาคตของธุรกิจตัวเอง เกษตรกรชาวจังหวัดชัยนาทผู้นี้ก็กล่าวว่า อยากทำอย่างครบวงจร ทั้งเปิดเป็นหน้าร้านเพื่อให้ลูกค้าเข้ามาเลือกซื้อได้ถึงที่ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของบ้านเกิดไปในตัว รวมถึงการนำวัตถุดิบทางการเกษตรที่มี มาแปรรูปเพื่อเป็นการเพิ่มมูลค้าให้กับสินค้าอีกด้วย
“หน้าร้านมีแต่เขาก็ไม่มีใครรู้เพราะส่วนใหญ่เขาเห็นปักหมุด เขาก็มาตามเพจ เขาก็มาซื้อกันมาถึงที่นี่ แต่ในอนาคตถ้าโควิดเบาลงก็อยากเปิดเป็นจุดเช็กอิน
อนาคตส้มมองไปว่า ถ้าทำได้ส้มก็อยากขายเมล็ดพันธุ์ทุกชนิดค่ะ ผลไม้จะปลูกในสวนเพิ่ม เป็นแพกเกจเอามาขายเอง แปรรูปเป็นดอง เป็นแช่อิ่ม ทำแน่ค่ะ”
ท้ายที่สุดนี้ เกษตรกรสาวแกร่ง ได้ฝากกำลังใจไปยังคนที่เริ่มต้นทำธุรกิจอะไรก็ตาม เมื่อรักที่จะทำในสิ่งนี้ก็ขอให้ขยันและอดทน ไม่นานความสำเร็จตามมาอย่างแน่นอน
“เริ่มต้นสำหรับเราคือทำในสิ่งที่เรารักค่ะ อดทน แล้วก็ขยันค่ะ พยายามศึกษาหาความรู้ แล้วก็ตั้งใจทำให้เต็มที่ ถ้าใครยังท้อแท้ก็อย่าท้อแท้นะคะ อุปสรรคไม่ได้มีตลอด ต้องผ่านมันไปได้ ก็ให้สู้ๆ ค่ะ ในมุมมองของเราคิดว่า ลุยแล้ว เราก็ขายไปจนตลอดชีวิตเราค่ะ เราเต็มที่ค่ะ”
ดูโพสต์นี้บน Instagram
...“เปิดร้านเหล้า-เลี้ยงกบ-ขายชุดนอน” แล้วเหลว แต่ไม่ท้อ สู่ทางเกษตร โกยรายได้ “5 ล้าน/เดือน!!”...
>>> https://t.co/GKTaZSJPNs
.
“ถ้าใครยังท้อแท้ ก็อย่าท้อนะคะ อุปสรรคมันไม่ได้มีตลอด เราต้องผ่านมันไปได้ ให้สู้ๆ ค่ะ”
.#เพาะกล้า #กล้าไม้ #เมล็ดพันธุ์ #ธุรกิจ #SME #โหนกระแส pic.twitter.com/YuBKgENC0R— livestyle.official (@livestyletweet) December 8, 2021
สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : กีรติ เอี่ยมโสภณ
คลิป : อิสสริยา อาชวานันทกุล
ขอบคุณภาพ : แฟนเพจ “น้ำส้ม ฉันคือเกษตรกร” และเฟซบุ๊ก “ส้มมล สุวิมล”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **