นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
มูซาชิตะลึงมองตาค้าง
แต่ก็เพียงชั่วอึดใจเดียวร่างอันสง่างามผงาดเด่นขึ้นมาราวเทพธิดาแห่งสงครามก็หายวับไป
กลับมาเป็นนางเมียช่างตีเหล็กที่เพิ่งเสร็จจากให้นมทารกคนเดิม
“ก็อย่างที่เห็น”
ว่าแล้วนางเมียก็สาวสายโซ่ขึ้นมารวมกับด้ามที่พับเก็บตัวเคียวไว้เรียบร้อยเอาไปแขวนไว้ที่ผนังตามเดิม
มูซาชิแอบผิดหวังอยู่เงียบ ๆ ที่ไม่อาจจดจำการวางท่าของเจ้าหล่อนไว้ได้ทัน ด้วยมัวแต่ตกตะลึงอยู่
อยากเห็นอีกสักครั้ง
เจ้าหนุ่มได้แต่ร้องอุทธรณ์อยู่ในใจ
นางเมียไม่สนใจกับอะไรทั้งนั้น หันไปเก็บพับเสื้อผ้าที่ใช้ค้อนไม้ทุบจบเรียบแล้วเก็บเข้าที่เข้าทาง เสร็จแล้วก็เข้าไปทำอะไรกุกกักง่วนอยู่ในครัว คงจะล้างถ้วยล้างชามและเตรียมข้าวสำหรับหุงเช้าวันรุ่งขึ้น
นางเมียยังน่าเกรงขามขนาดนี้แล้ว ชิชิโด ไบเค็นจะมีฝีมือขนาดไหน
ยิ่งคิดมูซาชิก็ยิ่งอยากพบชายชื่อไบเค็นขึ้นมาจับใจจนแทบจะเป็นบ้า ต้องสงบสติอารมณ์อยู่นาน พร่ำบอกตัวเองว่าบ้าไปก็ไม่ได้อะไรเพราะนางเมียบอกแล้วไงว่าผัวเดินทางไปหาคนชื่ออารากิดะที่อิเซะ และพอทำหน้างง ๆ บอกว่าไม่รู้จักก็โดนนางเมียหัวเราะเอาว่ามาถึงอิเซะแล้วบอกได้ยังไงว่าไม่รู้จักท่านอารากิดะ ทำเอาหน้าชาต้องกระซิบถามคนจูงม้าที่นั่งตามปรือพิงฝาผิงไฟกับเตาตีเหล็กไฟอย่างสบายอารมณ์ จึงได้ความว่าคนชื่ออารากิดะเป็นคนในตระกูลที่ทำหน้าที่ดูแลศาลเจ้าที่อิเซะ
ถ้าอย่างนั้นก็คงหาตัวได้ไม่ยาก แค่ไปที่นั้นแล้วถามหากับคนที่ศาลเจ้าอิเซะเท่านั้นต้องได้การแน่นอน
คิดได้ดังนั้นเจ้าหนุ่มก็สบายใจและล้มตัวลงนอนบนเสื่อที่ปูอยู่ข้างเตาตีเหล็กนั้นเอง แต่ก็หลับไม่ได้นานเพราะลูกมือช่างตีเหล็กตื่นขึ้นมาเปิดประตูห้องดินแต่เช้าตรู่
“ไหน ๆ ก็ตื่นกันแล้ว ช่วยจูงม้าพาข้าไปที่ยามาดะได้ไหม”
“ยามาดะหรือขอรับ”
คนจูงม้าเบิกตาโตอย่างไม่เชื่อหูว่าจะไปไกลขนาดนั้น แต่ก็ตกลงทันทีเพราะเมื่อวานนี้ซามูไรหนุ่มคนนี้จ้างครบถ้วน จึงไม่หวาดระแวงว่าจะถูกหลอกใช้
มูซาชิอยู่บนหลังม้าทั้งวันไปยังมัตสึซากะและถึงปากทางที่ทอดยาวผ่านแนวไม้ใหญ่สองข้างทางเข้าไปยังศาลเจ้าอิเซะที่อยู่ลึกเข้าไป เมื่อพลบค่ำ
ร้านน้ำชาระหว่างทางเหงาหงอยเพราะเป็นช่วงหน้าหนาว ต้นไม้ใหญ่หลายต้นล้มระเนระนาดด้วยฤทธิ์ลมฤดูใบไม้ร่วง นาน ๆ ทีจึงจะเห็นคนเดินผ่านมาสักคน และแทบไม่ยินเสียงลูกกระพรวนที่ติดตัวม้า
มูซาชิส่งคนจากโรงเตี๊ยมที่ยามาดะไปถามที่บ้านของอารากิดะในศาลเจ้าว่าคนชื่อชิชิโด ไบเก็นอยู่หรือไม่ ทนายหน้าหอของตระกูลอารากิดะตอบมาว่าไม่มีคนชื่อนี้พักอยู่ที่นั่น คงจะเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง
มูซาชิทั้งผิดหวังที่ไม่ได้พบกับชิชิโด ไบเก็น ทั้งเจ็บปวดบาดแผลที่เหยียบลงไปบนตะปูแหลมคม ซึ่งตอนนี้อักเสบและบวมเป่งกว่าเมื่อวานซืนมากนัก
มีคนสอนว่าให้เอากากเต้าหู้คั้นในน้ำอุ่นแล้วเอาน้ำนั้นมาชะแผลจึงจะดี วันรุ่งขึ้นเจ้าหนุ่มจึงนั่งทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ที่โรงเตี๊ยมทั้งวัน
ย่างเข้ากลางเดือนสิบสองแล้ว ปีนี้เหลืออยู่อีกไม่กี่วัน
พอคิดขึ้นมาได้ดังนั้น มูซาชิก็ทนอยู่กับน้ำเต้าหู้เหม็น ๆ ไม่ได้อีกต่อไป เมื่อได้จ้างม้าเร็วที่นาโงยะนำหนังสือท้าประลองวิทยายุทธ์ที่จ้างม้าเร็วไปส่งที่บ้านตระกูลโยชิโอกะแล้วเช่นนี้ คนอย่างตนมีความทระนงพอที่จะไม่บ่ายเบี่ยงเลี่ยงนัดเพียงเพราะเท้าเจ็บ
มูซาชิแจ้งไปในจดหมายไว้ว่าให้ฝ่ายโยชิโอกะเป็นผู้กำหนดวันประลองยุทธ ส่วนตนนั้นมีนัดว่าจะต้องไปที่เชิงสะพานโกะโจภายในวันที่หนึ่งของปีใหม่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เราควรตรงเข้าเกียวโตเลย ไม่น่าอ้อมมาที่อิเซะให้เสียเวลาไปเปล่า ๆ
มูซาชิเสียใจนิด ๆ ที่ตัดสินใจพลาด พลางมองไปที่หลังเท้าในอ่างแช่ที่บวมอูมขึ้นมาเหมือนเต้าหู้นิ่ม ๆ
2
คนที่โรงเตี๊ยมเวียนกันมาดู ต่างคนต่างแนะนำวิธีรักษาแผลให้ด้วยความเป็นห่วง คนหนึ่งเอายามาให้บอกว่าที่บ้านตนใช้กันมาหลายชั่วอายุคน คนหนึ่งเอาน้ำมันมาให้ทาบอกว่าเป็นของดีมีสรรพคุณ แต่นับวันเท้าของมูซาชิก็ยิ่งบวมเบ่งขึ้นจนรู้สึกว่าขาข้างนั้นหนักเหมือนต้นซุง เวลานอนห่มผ้านวมก็จะเจ็บปวดและร้อนระบมแทบทนไม่ไหว
คิด ๆ ดูตั้งแต่จำความได้ มูซาชิไม่เคยเจ็บไข้ถึงกับต้องนอนซมเป็นวัน ๆ ตอนเป็นเด็กเล็กเคยเป็นฝีที่กลางหน้าผากซึ่งยังมีแผลเป็นดำ ๆ อยู่จนทุกวันนี้ และทำให้เจ้าหนุ่มไม่โกนผมหน้าขึ้นไปเป็นทรงเหมือนซามูไรคนอื่น นอกนั้นก็ไม่เคยเป็นอะไร
โรคเป็นศัตรูตัวร้ายที่บ่อนทำลายอยู่ในกายตัว อะไรคือดาบที่จะใช้ประหัตประหารโรคร้ายให้สิ้นซากไปได้
ระหว่างนอนนิ่งตั้งสติคิดถึงโลกและชีวิตอยู่สี่วันสี่คืน มูซาชิก็บรรลุซึ่งสัจจธรรมที่ว่าศัตรูของตนนั้นไม่ได้มีอยู่แต่ภายนอก
เหลืออีกไม่กี่วันแล้ว
ปีกำลังจะสิ้น หมายถึงวันนัดประลองยุทธ์กับสำนักดาบโยชิโอกะกำลังใกล้เข้ามา
ไม่ใช่เวลาที่จะมานอนซมอยู่อย่างนี้
พอขยับตัวที่อึดอัดขึงตึงราวใส่เสื้อเกราะเพราะซี่โครงไปกดทับหัวใจเอาไว้ ขาที่หนักอึ้งเพราะเท้าบวมเบ่งก็ถีบผ้านวมกระเด็นไปทางหนึ่งทันทีด้วยสัญชาตญาณของนักสู้
หากปราบศัตรูตัวนี้ไม่ได้ จะชนะโยชิโอกะทั้งสำนักได้ยังไง
มูซาชิกัดฟันแน่นด้วยความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะโรคร้ายให้ได้ ฝืนใจงอขาเข้ามานั่งในท่าขัดสมาธิ หลับตาหันหน้าไปทางหน้าต่าง
---เจ็บ เจ็บแทบสิ้นสติ
ครู่หนึ่งต่อมา ใบหน้าแดงก่ำค่อย ๆ สงบลง ดูเหมือนโรคที่แม้จะร้ายเพียงไรก็ไม่อาจเอาชนะจิตใจอันแข็งแกร่งมั่นคงของนักดาบหนุ่มจอมทรหดผู้นี้ได้ และเมื่อโรคร้ายพ่ายแพ้สมองก็ปลอดโปร่งแจ่มใส
มูซาชิลืมตาขึ้น มองผ่านหน้าต่างตรงออกไปยัง ป่าไม้ศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้าอิเซะอันกว้างใหญ่ เหนือขึ้นไปคือภูเขา มาเอยามะ เลยไปทางตะวันออกนิดหนึ่งคือภูเขาอาซามะ ระหว่างภูเขาทั้งสองมียอดเขาแหลมคมราวมีดดาบสูงเด่นขึ้นมา ผาดผยองเหนือทิวเขาโดยรอบ
“ยอดเขาวาชิ”
มูซาชิจ้องมองไปที่ยอดเขานกอินทรีย์คล้ายกำลังจ้องตากับคู่ต่อสู้ เจ้าหนุ่มเห็นขุนเขายอดนี้ทุกวันระหว่างนอนนิ่งอยู่ในห้องโรงเตี๊ยม ทุกครั้งที่มองไปยังยอดเขานกอินทรีย์มูซาชิรู้สึกว่าเลือดนักสู้ในกายตนพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง และทนนอนทรมานอยู่กับเท้าบวมเท่าไห ให้ขุนเขาชายตามาดูแคลนไม่ได้อีกต่อไป
คราใดที่เห็นยอดเขานกอินทรีย์แหลมคมสูงเสียบเมฆผงาดเหนือเทือกเขาอื่น มูซาชิอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเซกิชูไซแห่งหุบเขายากิว ราวกับว่าขุนเขากับนักดาบจอมยุทธจักรผู้นั้นเป็นสัญลักษณ์ของกันและกัน ยอดเขานกอินทรีย์คือเซกิชูไซที่มองลงมาจากเหนือเมฆและหัวเราะเยาะทุกครั้งที่ตนตกอยู่ในสภาพท้อแท้สิ้นกำลังใจ
ความเจ็บปวดจู่โจมเข้ามาทันทีที่มูซาชิตื่นจากภวังค์ เท้าร้อนจี๋เหมือนถูกเผาอยู่ในเตาตีเหล็ก เจ็บจนต้องร้องครางออกมาดัง ๆ เหยียดขาบวมเป่งที่ขัดสมาธิเอาไว้ออกไปโดยแรง และมองตามไปราวกับไม่ใช่ขาของตนเอง
“โอ้ย เฮ้ย”
มูซาชิแผดเสียงลั่นทั้งด้วยความเจ็บปวดและเรียกสาวใช้โรงเตี๊ยม
ร้องแล้วรออยู่แต่ไม่มีใครเยี่ยมหน้าเข้ามาฟังความ เจ้าหนุ่มจึงทุบพื้นแรง ๆ สองสามทีและตะโกนเรียกซ้ำ
“เฮ้ย ไม่มีใครอยู่เลยรึไง ข้าจะออกเดินทางเดี๋ยวนี้ ช่วยคิดเงิน แล้วเตรียมข้าวห่อ ข้าวคั่ว รองเท้าฟางดี ๆ สักสามคู่ให้ด้วย”
3
ตลาดเก่าที่เป็นถิ่นกำเนิดของไทระ-โนะ-ทาดาคิโยะ นักรบแห่งอิเซะในตำนานสงครามโฮเก็น ทุกวันนี้กลายเป็นย่านเริงรมย์ สองฟากทางเรียงรายไปด้วยร้านน้ำชา คึกคักครึกครื้นไปด้วยเสียงผู้หญิงออกมาแข่งกันเรียกแขก
ผู้หญิงร้านน้ำชาผัดหน้าขาว ที่ยืนบังเงาเสาไม่ไผ่ เฝ้าคอยอยู่หลังม่านเสื่อ พอเห็นนักเดินทางผ่านมาก็จะร้องชวนเชิญและเข้าไปฉุดยื้อเซ้าซี้ให้เข้าร้านกันเสียงขรม ไม่เว้นว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน
“หนุ่มน้อย แวะจิบน้ำชากับพี่หน่อย”
“ท่านเจ้าขา จะไม่เข้าไปดื่มชาให้ชื่นใจก่อนหรือเจ้าคะ”
“ท่านซามูไรสุดหล่อ มาจิบชากันหน่อยไหม”
มูซาชิเดินกระโผลกกระเผลกผ่านตลาดเก่าไปยังศาลเจ้าด้านในด้วยความลำบากยากเย็น ไหนจะต้องขืนตัวให้พ้นจากการฉุดยื้อของพวกผู้หญิงร้านน้ำชาแล้วถลึงตาใส่ให้เกรงกลัว ไหนจะต้องระวังพวกนักชกชิงวิ่งราว
“ตายจริง ท่านนักดาบ เท้าเป็นอะไรไปล่ะนั่น”
“มานี่ซิอิฉันจะช่วยดูให้”
“อิฉันนวดให้ดีกว่าเจ้าค่ะ”
ว่าแล้วก็ชิงกันเข้ากั้นกางไม่ให้ผ่านไป ดึงชายเสื้อไว้บ้าง จับหมวกฟางบ้าง อีกคนถึงกับจับข้อมือแล้วฉอเลาะ
“อย่าทำหน้าบึ้งอย่างนั้นซี เดี๋ยวหมดหล่อนะเจ้าคะ”
โดนเข้าอย่างนี้เจ้าหนุ่มถึงกับหน้าแดงเรื่อ พูดอะไรไม่ออกและไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับศัตรูกลุ่มนี้ ได้แต่ผงกศีรษะให้เป็นการขอตัวและพยายามหนีออกมาให้พ้น พวกผู้หญิงหัวเราะกันคิกคักเมื่อเห็นอาการเขินอายของชายหนุ่มร่างใหญ่หน้าตาคมสัน ซึ่งแสนจะน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนลูกเสือดาว
ไม่ไหวแล้ว...มูซาชิหมดความอดทนกับมือขาว ๆ ของพวกผู้หญิงร้านน้ำชาที่ยังตอแยไม่หยุด จึงสะบัดตัววิ่งหนีออกมาโดยไม่หยุดเก็บหมวกฟางที่ถูกทึ้งไป
คิดว่าหนีมาไกลโขแล้วแต่ก็ยังรู้สึกเหมือนกับยังได้ยินเสียงหัวเราะของพวกผู้หญิงตามหลังมา ทำให้เลือดหนุ่มที่พลุ่งพล่านด้วยสัมผัสจากมือขาว ๆ นั้นไม่สงบลงง่าย ๆ
มูซาชินั้นไม่ใช่ว่าจะชาด้านกับสัมผัสของสตรี ระหว่างการเดินทางอันยาวนานเจ้าหนุ่มต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์อย่างวันนี้มาแล้วเวลาผ่านไปตามย่านเริงรมย์ไม่ว่าจะไปที่ไหน บางคืนถึงกับทำเอานอนไม่หลับ ความพยายามข่มตาให้หลับระหว่างที่เลือดหนุ่มยังพลุ่งพล่านอยู่กับกลิ่นหอมของแป้งผัดหน้าของหญิงนั้น ยากเย็นยิ่งกว่าการตั้งสมาธิเตรียมรับคมดาบของคู่ต่อสู้หลายเท่านัก
เวลาเช่นนั้นความกำหนัดจะเผาผลาญใจเจ้าหนุ่มจนร้อนรุ่มไปทั้งตัว นอนพลิกซ้ายก็แล้วขวาก็แล้วแต่ก็ไม่หลับจนรุ่งสาง บางครั้งแม้แต่ภาพของโอซืออันเป็นสุดที่รัก ยังถูกนำมาประโลมใจยามฟุ้งซ่านไปกับอารมณ์หื่นกระหายที่น่าชัง
ยังดีที่วันนี้ขาข้างหนึ่งเจ็บ...
กว่าจะขืนใจกลั้นเจ็บวิ่งหนีมาถึงนี้ได้ก็สุดทน ขาข้างนั้นร้อนจี๋เหมือนถูกโยนเข้าไปในเตาหลอมเหล็ก ก้าวไปแต่ละก้าวเจ็บแปลบจากฝ่าเท้าขึ้นมารวดร้าวถึงดวงตา
มูซาชิทำใจไว้แล้วว่าแผลที่เกิดจากการเหยียบตาปูแหลมคมจะต้องเจ็บปวดรุนแรงเหลือประมาณ และตอนนี้แผลนั้นก็ได้อักเสบระบมทำให้ขาข้างนั้นหนักราวท่องซุงที่จนต้องโหมแรงทั้งตัวจึงจะยกขึ้นได้
ความที่ต้องพะวงอยู่กับบาดแผล...ใจจึงไม่มีช่องว่างให้ปากแดงด้วยสีชาด มือขาว ๆ นุ่มเนียนเหนียวหนืดราวน้ำผึ้ง กลิ่นหอมหวานของเส้นผม เข้ามาป่วนให้กระเจิดกระเจิง
มูซาชิได้สติหลังจากที่ความยั่วยวนทั้งหลายหายวับไปจากใจ
“บ้า บ้าที่สุด”
เจ้าหนุ่มเดินย่องแย่งไปพลางสบถพลางทุกฝีก้าวด้วยความรู้สึกเหมือนกำลังลุยไฟ และกระดูกทั่วตัวกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เหงื่อแตกเต็มหน้าผาก
แต่พอเดินพ้นสะพานข้ามแม่น้ำอิซูซูงาวะและย่างเหยียบลงบนทางเดินของศาลเจ้าอิเซะเพียงก้าวเดียว จิตใจของเจ้าหนุ่มก็สงบราบคาบลงราวกับเป็นคนละคน ยิ่งเดินลึกเข้าไปก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ที่แฝงอยู่ในสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใหญ่หรือใบหญ้า ทุกอย่างที่นี่ แม้แต่เสียงนกขยับปีกบิน ทำให้รู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในมิติที่เหนือขึ้นไปจากโลกมนุษย์
มูซาชิครางออกมาดัง ๆ ด้วยความเจ็บปวดสุดทน ก่อนทรุดตัวลงนั่งกุมขาข้างที่บาดเจ็บอยู่ที่โคนต้นสนใหญ่ หน้าศาลเจ้าแห่งลมนั้นเอง
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
มูซาชิตะลึงมองตาค้าง
แต่ก็เพียงชั่วอึดใจเดียวร่างอันสง่างามผงาดเด่นขึ้นมาราวเทพธิดาแห่งสงครามก็หายวับไป
กลับมาเป็นนางเมียช่างตีเหล็กที่เพิ่งเสร็จจากให้นมทารกคนเดิม
“ก็อย่างที่เห็น”
ว่าแล้วนางเมียก็สาวสายโซ่ขึ้นมารวมกับด้ามที่พับเก็บตัวเคียวไว้เรียบร้อยเอาไปแขวนไว้ที่ผนังตามเดิม
มูซาชิแอบผิดหวังอยู่เงียบ ๆ ที่ไม่อาจจดจำการวางท่าของเจ้าหล่อนไว้ได้ทัน ด้วยมัวแต่ตกตะลึงอยู่
อยากเห็นอีกสักครั้ง
เจ้าหนุ่มได้แต่ร้องอุทธรณ์อยู่ในใจ
นางเมียไม่สนใจกับอะไรทั้งนั้น หันไปเก็บพับเสื้อผ้าที่ใช้ค้อนไม้ทุบจบเรียบแล้วเก็บเข้าที่เข้าทาง เสร็จแล้วก็เข้าไปทำอะไรกุกกักง่วนอยู่ในครัว คงจะล้างถ้วยล้างชามและเตรียมข้าวสำหรับหุงเช้าวันรุ่งขึ้น
นางเมียยังน่าเกรงขามขนาดนี้แล้ว ชิชิโด ไบเค็นจะมีฝีมือขนาดไหน
ยิ่งคิดมูซาชิก็ยิ่งอยากพบชายชื่อไบเค็นขึ้นมาจับใจจนแทบจะเป็นบ้า ต้องสงบสติอารมณ์อยู่นาน พร่ำบอกตัวเองว่าบ้าไปก็ไม่ได้อะไรเพราะนางเมียบอกแล้วไงว่าผัวเดินทางไปหาคนชื่ออารากิดะที่อิเซะ และพอทำหน้างง ๆ บอกว่าไม่รู้จักก็โดนนางเมียหัวเราะเอาว่ามาถึงอิเซะแล้วบอกได้ยังไงว่าไม่รู้จักท่านอารากิดะ ทำเอาหน้าชาต้องกระซิบถามคนจูงม้าที่นั่งตามปรือพิงฝาผิงไฟกับเตาตีเหล็กไฟอย่างสบายอารมณ์ จึงได้ความว่าคนชื่ออารากิดะเป็นคนในตระกูลที่ทำหน้าที่ดูแลศาลเจ้าที่อิเซะ
ถ้าอย่างนั้นก็คงหาตัวได้ไม่ยาก แค่ไปที่นั้นแล้วถามหากับคนที่ศาลเจ้าอิเซะเท่านั้นต้องได้การแน่นอน
คิดได้ดังนั้นเจ้าหนุ่มก็สบายใจและล้มตัวลงนอนบนเสื่อที่ปูอยู่ข้างเตาตีเหล็กนั้นเอง แต่ก็หลับไม่ได้นานเพราะลูกมือช่างตีเหล็กตื่นขึ้นมาเปิดประตูห้องดินแต่เช้าตรู่
“ไหน ๆ ก็ตื่นกันแล้ว ช่วยจูงม้าพาข้าไปที่ยามาดะได้ไหม”
“ยามาดะหรือขอรับ”
คนจูงม้าเบิกตาโตอย่างไม่เชื่อหูว่าจะไปไกลขนาดนั้น แต่ก็ตกลงทันทีเพราะเมื่อวานนี้ซามูไรหนุ่มคนนี้จ้างครบถ้วน จึงไม่หวาดระแวงว่าจะถูกหลอกใช้
มูซาชิอยู่บนหลังม้าทั้งวันไปยังมัตสึซากะและถึงปากทางที่ทอดยาวผ่านแนวไม้ใหญ่สองข้างทางเข้าไปยังศาลเจ้าอิเซะที่อยู่ลึกเข้าไป เมื่อพลบค่ำ
ร้านน้ำชาระหว่างทางเหงาหงอยเพราะเป็นช่วงหน้าหนาว ต้นไม้ใหญ่หลายต้นล้มระเนระนาดด้วยฤทธิ์ลมฤดูใบไม้ร่วง นาน ๆ ทีจึงจะเห็นคนเดินผ่านมาสักคน และแทบไม่ยินเสียงลูกกระพรวนที่ติดตัวม้า
มูซาชิส่งคนจากโรงเตี๊ยมที่ยามาดะไปถามที่บ้านของอารากิดะในศาลเจ้าว่าคนชื่อชิชิโด ไบเก็นอยู่หรือไม่ ทนายหน้าหอของตระกูลอารากิดะตอบมาว่าไม่มีคนชื่อนี้พักอยู่ที่นั่น คงจะเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง
มูซาชิทั้งผิดหวังที่ไม่ได้พบกับชิชิโด ไบเก็น ทั้งเจ็บปวดบาดแผลที่เหยียบลงไปบนตะปูแหลมคม ซึ่งตอนนี้อักเสบและบวมเป่งกว่าเมื่อวานซืนมากนัก
มีคนสอนว่าให้เอากากเต้าหู้คั้นในน้ำอุ่นแล้วเอาน้ำนั้นมาชะแผลจึงจะดี วันรุ่งขึ้นเจ้าหนุ่มจึงนั่งทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ที่โรงเตี๊ยมทั้งวัน
ย่างเข้ากลางเดือนสิบสองแล้ว ปีนี้เหลืออยู่อีกไม่กี่วัน
พอคิดขึ้นมาได้ดังนั้น มูซาชิก็ทนอยู่กับน้ำเต้าหู้เหม็น ๆ ไม่ได้อีกต่อไป เมื่อได้จ้างม้าเร็วที่นาโงยะนำหนังสือท้าประลองวิทยายุทธ์ที่จ้างม้าเร็วไปส่งที่บ้านตระกูลโยชิโอกะแล้วเช่นนี้ คนอย่างตนมีความทระนงพอที่จะไม่บ่ายเบี่ยงเลี่ยงนัดเพียงเพราะเท้าเจ็บ
มูซาชิแจ้งไปในจดหมายไว้ว่าให้ฝ่ายโยชิโอกะเป็นผู้กำหนดวันประลองยุทธ ส่วนตนนั้นมีนัดว่าจะต้องไปที่เชิงสะพานโกะโจภายในวันที่หนึ่งของปีใหม่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เราควรตรงเข้าเกียวโตเลย ไม่น่าอ้อมมาที่อิเซะให้เสียเวลาไปเปล่า ๆ
มูซาชิเสียใจนิด ๆ ที่ตัดสินใจพลาด พลางมองไปที่หลังเท้าในอ่างแช่ที่บวมอูมขึ้นมาเหมือนเต้าหู้นิ่ม ๆ
2
คนที่โรงเตี๊ยมเวียนกันมาดู ต่างคนต่างแนะนำวิธีรักษาแผลให้ด้วยความเป็นห่วง คนหนึ่งเอายามาให้บอกว่าที่บ้านตนใช้กันมาหลายชั่วอายุคน คนหนึ่งเอาน้ำมันมาให้ทาบอกว่าเป็นของดีมีสรรพคุณ แต่นับวันเท้าของมูซาชิก็ยิ่งบวมเบ่งขึ้นจนรู้สึกว่าขาข้างนั้นหนักเหมือนต้นซุง เวลานอนห่มผ้านวมก็จะเจ็บปวดและร้อนระบมแทบทนไม่ไหว
คิด ๆ ดูตั้งแต่จำความได้ มูซาชิไม่เคยเจ็บไข้ถึงกับต้องนอนซมเป็นวัน ๆ ตอนเป็นเด็กเล็กเคยเป็นฝีที่กลางหน้าผากซึ่งยังมีแผลเป็นดำ ๆ อยู่จนทุกวันนี้ และทำให้เจ้าหนุ่มไม่โกนผมหน้าขึ้นไปเป็นทรงเหมือนซามูไรคนอื่น นอกนั้นก็ไม่เคยเป็นอะไร
โรคเป็นศัตรูตัวร้ายที่บ่อนทำลายอยู่ในกายตัว อะไรคือดาบที่จะใช้ประหัตประหารโรคร้ายให้สิ้นซากไปได้
ระหว่างนอนนิ่งตั้งสติคิดถึงโลกและชีวิตอยู่สี่วันสี่คืน มูซาชิก็บรรลุซึ่งสัจจธรรมที่ว่าศัตรูของตนนั้นไม่ได้มีอยู่แต่ภายนอก
เหลืออีกไม่กี่วันแล้ว
ปีกำลังจะสิ้น หมายถึงวันนัดประลองยุทธ์กับสำนักดาบโยชิโอกะกำลังใกล้เข้ามา
ไม่ใช่เวลาที่จะมานอนซมอยู่อย่างนี้
พอขยับตัวที่อึดอัดขึงตึงราวใส่เสื้อเกราะเพราะซี่โครงไปกดทับหัวใจเอาไว้ ขาที่หนักอึ้งเพราะเท้าบวมเบ่งก็ถีบผ้านวมกระเด็นไปทางหนึ่งทันทีด้วยสัญชาตญาณของนักสู้
หากปราบศัตรูตัวนี้ไม่ได้ จะชนะโยชิโอกะทั้งสำนักได้ยังไง
มูซาชิกัดฟันแน่นด้วยความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะโรคร้ายให้ได้ ฝืนใจงอขาเข้ามานั่งในท่าขัดสมาธิ หลับตาหันหน้าไปทางหน้าต่าง
---เจ็บ เจ็บแทบสิ้นสติ
ครู่หนึ่งต่อมา ใบหน้าแดงก่ำค่อย ๆ สงบลง ดูเหมือนโรคที่แม้จะร้ายเพียงไรก็ไม่อาจเอาชนะจิตใจอันแข็งแกร่งมั่นคงของนักดาบหนุ่มจอมทรหดผู้นี้ได้ และเมื่อโรคร้ายพ่ายแพ้สมองก็ปลอดโปร่งแจ่มใส
มูซาชิลืมตาขึ้น มองผ่านหน้าต่างตรงออกไปยัง ป่าไม้ศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้าอิเซะอันกว้างใหญ่ เหนือขึ้นไปคือภูเขา มาเอยามะ เลยไปทางตะวันออกนิดหนึ่งคือภูเขาอาซามะ ระหว่างภูเขาทั้งสองมียอดเขาแหลมคมราวมีดดาบสูงเด่นขึ้นมา ผาดผยองเหนือทิวเขาโดยรอบ
“ยอดเขาวาชิ”
มูซาชิจ้องมองไปที่ยอดเขานกอินทรีย์คล้ายกำลังจ้องตากับคู่ต่อสู้ เจ้าหนุ่มเห็นขุนเขายอดนี้ทุกวันระหว่างนอนนิ่งอยู่ในห้องโรงเตี๊ยม ทุกครั้งที่มองไปยังยอดเขานกอินทรีย์มูซาชิรู้สึกว่าเลือดนักสู้ในกายตนพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง และทนนอนทรมานอยู่กับเท้าบวมเท่าไห ให้ขุนเขาชายตามาดูแคลนไม่ได้อีกต่อไป
คราใดที่เห็นยอดเขานกอินทรีย์แหลมคมสูงเสียบเมฆผงาดเหนือเทือกเขาอื่น มูซาชิอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเซกิชูไซแห่งหุบเขายากิว ราวกับว่าขุนเขากับนักดาบจอมยุทธจักรผู้นั้นเป็นสัญลักษณ์ของกันและกัน ยอดเขานกอินทรีย์คือเซกิชูไซที่มองลงมาจากเหนือเมฆและหัวเราะเยาะทุกครั้งที่ตนตกอยู่ในสภาพท้อแท้สิ้นกำลังใจ
ความเจ็บปวดจู่โจมเข้ามาทันทีที่มูซาชิตื่นจากภวังค์ เท้าร้อนจี๋เหมือนถูกเผาอยู่ในเตาตีเหล็ก เจ็บจนต้องร้องครางออกมาดัง ๆ เหยียดขาบวมเป่งที่ขัดสมาธิเอาไว้ออกไปโดยแรง และมองตามไปราวกับไม่ใช่ขาของตนเอง
“โอ้ย เฮ้ย”
มูซาชิแผดเสียงลั่นทั้งด้วยความเจ็บปวดและเรียกสาวใช้โรงเตี๊ยม
ร้องแล้วรออยู่แต่ไม่มีใครเยี่ยมหน้าเข้ามาฟังความ เจ้าหนุ่มจึงทุบพื้นแรง ๆ สองสามทีและตะโกนเรียกซ้ำ
“เฮ้ย ไม่มีใครอยู่เลยรึไง ข้าจะออกเดินทางเดี๋ยวนี้ ช่วยคิดเงิน แล้วเตรียมข้าวห่อ ข้าวคั่ว รองเท้าฟางดี ๆ สักสามคู่ให้ด้วย”
3
ตลาดเก่าที่เป็นถิ่นกำเนิดของไทระ-โนะ-ทาดาคิโยะ นักรบแห่งอิเซะในตำนานสงครามโฮเก็น ทุกวันนี้กลายเป็นย่านเริงรมย์ สองฟากทางเรียงรายไปด้วยร้านน้ำชา คึกคักครึกครื้นไปด้วยเสียงผู้หญิงออกมาแข่งกันเรียกแขก
ผู้หญิงร้านน้ำชาผัดหน้าขาว ที่ยืนบังเงาเสาไม่ไผ่ เฝ้าคอยอยู่หลังม่านเสื่อ พอเห็นนักเดินทางผ่านมาก็จะร้องชวนเชิญและเข้าไปฉุดยื้อเซ้าซี้ให้เข้าร้านกันเสียงขรม ไม่เว้นว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน
“หนุ่มน้อย แวะจิบน้ำชากับพี่หน่อย”
“ท่านเจ้าขา จะไม่เข้าไปดื่มชาให้ชื่นใจก่อนหรือเจ้าคะ”
“ท่านซามูไรสุดหล่อ มาจิบชากันหน่อยไหม”
มูซาชิเดินกระโผลกกระเผลกผ่านตลาดเก่าไปยังศาลเจ้าด้านในด้วยความลำบากยากเย็น ไหนจะต้องขืนตัวให้พ้นจากการฉุดยื้อของพวกผู้หญิงร้านน้ำชาแล้วถลึงตาใส่ให้เกรงกลัว ไหนจะต้องระวังพวกนักชกชิงวิ่งราว
“ตายจริง ท่านนักดาบ เท้าเป็นอะไรไปล่ะนั่น”
“มานี่ซิอิฉันจะช่วยดูให้”
“อิฉันนวดให้ดีกว่าเจ้าค่ะ”
ว่าแล้วก็ชิงกันเข้ากั้นกางไม่ให้ผ่านไป ดึงชายเสื้อไว้บ้าง จับหมวกฟางบ้าง อีกคนถึงกับจับข้อมือแล้วฉอเลาะ
“อย่าทำหน้าบึ้งอย่างนั้นซี เดี๋ยวหมดหล่อนะเจ้าคะ”
โดนเข้าอย่างนี้เจ้าหนุ่มถึงกับหน้าแดงเรื่อ พูดอะไรไม่ออกและไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับศัตรูกลุ่มนี้ ได้แต่ผงกศีรษะให้เป็นการขอตัวและพยายามหนีออกมาให้พ้น พวกผู้หญิงหัวเราะกันคิกคักเมื่อเห็นอาการเขินอายของชายหนุ่มร่างใหญ่หน้าตาคมสัน ซึ่งแสนจะน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนลูกเสือดาว
ไม่ไหวแล้ว...มูซาชิหมดความอดทนกับมือขาว ๆ ของพวกผู้หญิงร้านน้ำชาที่ยังตอแยไม่หยุด จึงสะบัดตัววิ่งหนีออกมาโดยไม่หยุดเก็บหมวกฟางที่ถูกทึ้งไป
คิดว่าหนีมาไกลโขแล้วแต่ก็ยังรู้สึกเหมือนกับยังได้ยินเสียงหัวเราะของพวกผู้หญิงตามหลังมา ทำให้เลือดหนุ่มที่พลุ่งพล่านด้วยสัมผัสจากมือขาว ๆ นั้นไม่สงบลงง่าย ๆ
มูซาชินั้นไม่ใช่ว่าจะชาด้านกับสัมผัสของสตรี ระหว่างการเดินทางอันยาวนานเจ้าหนุ่มต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์อย่างวันนี้มาแล้วเวลาผ่านไปตามย่านเริงรมย์ไม่ว่าจะไปที่ไหน บางคืนถึงกับทำเอานอนไม่หลับ ความพยายามข่มตาให้หลับระหว่างที่เลือดหนุ่มยังพลุ่งพล่านอยู่กับกลิ่นหอมของแป้งผัดหน้าของหญิงนั้น ยากเย็นยิ่งกว่าการตั้งสมาธิเตรียมรับคมดาบของคู่ต่อสู้หลายเท่านัก
เวลาเช่นนั้นความกำหนัดจะเผาผลาญใจเจ้าหนุ่มจนร้อนรุ่มไปทั้งตัว นอนพลิกซ้ายก็แล้วขวาก็แล้วแต่ก็ไม่หลับจนรุ่งสาง บางครั้งแม้แต่ภาพของโอซืออันเป็นสุดที่รัก ยังถูกนำมาประโลมใจยามฟุ้งซ่านไปกับอารมณ์หื่นกระหายที่น่าชัง
ยังดีที่วันนี้ขาข้างหนึ่งเจ็บ...
กว่าจะขืนใจกลั้นเจ็บวิ่งหนีมาถึงนี้ได้ก็สุดทน ขาข้างนั้นร้อนจี๋เหมือนถูกโยนเข้าไปในเตาหลอมเหล็ก ก้าวไปแต่ละก้าวเจ็บแปลบจากฝ่าเท้าขึ้นมารวดร้าวถึงดวงตา
มูซาชิทำใจไว้แล้วว่าแผลที่เกิดจากการเหยียบตาปูแหลมคมจะต้องเจ็บปวดรุนแรงเหลือประมาณ และตอนนี้แผลนั้นก็ได้อักเสบระบมทำให้ขาข้างนั้นหนักราวท่องซุงที่จนต้องโหมแรงทั้งตัวจึงจะยกขึ้นได้
ความที่ต้องพะวงอยู่กับบาดแผล...ใจจึงไม่มีช่องว่างให้ปากแดงด้วยสีชาด มือขาว ๆ นุ่มเนียนเหนียวหนืดราวน้ำผึ้ง กลิ่นหอมหวานของเส้นผม เข้ามาป่วนให้กระเจิดกระเจิง
มูซาชิได้สติหลังจากที่ความยั่วยวนทั้งหลายหายวับไปจากใจ
“บ้า บ้าที่สุด”
เจ้าหนุ่มเดินย่องแย่งไปพลางสบถพลางทุกฝีก้าวด้วยความรู้สึกเหมือนกำลังลุยไฟ และกระดูกทั่วตัวกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เหงื่อแตกเต็มหน้าผาก
แต่พอเดินพ้นสะพานข้ามแม่น้ำอิซูซูงาวะและย่างเหยียบลงบนทางเดินของศาลเจ้าอิเซะเพียงก้าวเดียว จิตใจของเจ้าหนุ่มก็สงบราบคาบลงราวกับเป็นคนละคน ยิ่งเดินลึกเข้าไปก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ที่แฝงอยู่ในสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใหญ่หรือใบหญ้า ทุกอย่างที่นี่ แม้แต่เสียงนกขยับปีกบิน ทำให้รู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในมิติที่เหนือขึ้นไปจากโลกมนุษย์
มูซาชิครางออกมาดัง ๆ ด้วยความเจ็บปวดสุดทน ก่อนทรุดตัวลงนั่งกุมขาข้างที่บาดเจ็บอยู่ที่โคนต้นสนใหญ่ หน้าศาลเจ้าแห่งลมนั้นเอง