นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ยอดเขานกอินทรี...คือเซกิชูไซ จอมยุทธจักรนักดาบแห่งหุบเขายากิว เด่นผงาดท้าทายผู้พิชิต
มูซาชิ นักดาบหนุ่มแห่งหมู่บ้านมิยาโมโตะ สองมือเกี่ยวเกาะ สองเท้าข้างหนึ่งบาดเจ็บเหยียบยันโขดหินจะงอยหิน กัดกรามและเข่นเขี้ยวเรียกพลัง ตาคมวาวราวเหยี่ยวจับจ้องสู้ตานกอินทรีซึ่งคือยอดเขาแหลมสูงที่จ้องตอบลงมา
มูซาชิปีนสูงขึ้นไป สูงขึ้นไปด้วยความระมัดระวังทุกห้วงหายใจ คราใดที่เท้าพลาดก้อนหินร่วงพรูลิ่วลงไปในหุบเหว เจ้าหนุ่มกอดกายแนบชิดไว้กับโขดหินโดยพลัน แม้จะแน่ใจว่ามือข้างหนึ่งเกาะเกี่ยวยึดจะงอยหินไว้เป็นหลักทุกย่างก้าวอยู่แล้ว แต่อึดใจใดที่พลั้งเผลอร่างสูงใหญ่นั้นก็จะต้องดิ่งลงเหวไปพร้อมกับก้อนหินใหญ่น้อยนั้นเป็นแน่
ยอดเขานกอินทรี...เซกิชูไซจอมยุทธจักรเด่นผงาดอยู่เพียงแค่เอื้อม
แม้ใจจะสู้แต่แรงกายแทบจะสิ้น หัวใจเต้นแรงแทบจะทะลุออกมาจากเรือนอก จมูกและปากหายใจไม่ทันจนรูขุมขนทั่วกายต้องหายใจแทน เจ้าหนุ่มปีนแล้วหยุด ปีนแล้วหยุดถี่ขึ้นทุกที...และในอึดใจต่อมานั้นเอง ไม่รู้ว่าเทพองค์ใดบันดาลใจให้เจ้าหนุ่มมองลงไปเบื้องล่าง ใจวาบหวิวแต่...ลิงโลด
ข้าขึ้นมาถึงชั้นเก้าแล้ว
ลิบลิ่วลงไปเบื้องล่างคือ ป่าศักดิ์สิทธิ์ แม่น้ำอิซูซุคดเคี้ยวคล้ายงูขาวกำลังเลื้อยออกสู่ท้องทะเลที่อ่าวใหญ่แห่งอิเซะ หมู่บ้านชาวประมงถิ่นโทบะ ภูเขาอาซามะ ภูเขามาเอะ ทำไมถึงเตี้ยแคระเช่นนั้น ข้าขึ้นมาเกือบจะถึงยอดแล้ว
ไอเหงื่อจากคอเสื้อระเหยกรุ่นขึ้นมาอบอวลอยู่ที่ใบหน้า อบอุ่นจนเจ้าหนุ่มเผลอคิดว่ากำลังซุกซบอยู่กับอกแม่ เนื้อหินกับเนื้อตนที่แนบชิดเกือบเป็นเนื้อเดียวกันทำให้เจ้าหนุ่มเผลอไผลแทบจะเคลิ้มหลับอยู่ตรงนั้น
เจ้าหนุ่มสะดุ้งตื่นจากภวังค์เมื่อนิ้วโป้งที่เกาะเกี่ยวไว้มั่นกับจะงอยหินเลื่อนหลุด มือและเท้ารีบแกว่งหาที่ยึดด้วยสัญชาตญาณ ไม่มีใครบอกได้ว่ามูซาชิรู้สึกอย่างไรในช่วงอึดใจเดียวนั้น แม้ตัวเองก็ยังบอกไม่ถูก...รู้สึกคล้ายกับตอนประดาบประสานงายันกันอยู่กับคู่ต่อสู้คือถ้าไม่ฆ่าก็ถูกฆ่า แต่ก็ไม่ใช่เสียเลยทีเดียว
จะถึงอยู่แล้ว สู้ ๆ
มูซาชิเร่งมือเร่งเท้าตะกายขึ้นไป พลางให้กำลังใจตัวเองเพราะการยอมแพ้ยอดเขานี้ ความมานะพยายามมานานปีเพื่อ ที่จะได้เป็นนักรบคนหนึ่งนั้นจะสูญเปล่าไปในพริบตา และจากนั้นไม่ว่าจะสู้กับใครก็มีแต่จะแพ้ทุกครั้งครา
เหงื่อที่ซึมออกมาท่วมตัวระเหยเป็นไออบอวลอยู่รอบกายจนดูเหมือนร่างของมูซาชิกลายเป็นเมฆกลุ่มหนึ่งไปแล้ว
“สัตว์ !” เจ้าหนุ่มเข่นเขี้ยวสบถออกมาดัง ๆ เมื่อเหงื่อหยดลงหินจนโชกทำให้ลื่นจับไม่ติด
รอเดี๋ยวเถอะ แล้วเราจะได้เห็นดีกัน เซกิชูไซ นิคคัน...และอีกคน...หลวงพี่ทากูอัน
เจ้าหนุ่มท่องอยู่ใจราวกับร่ายคำสาป ทุกย่างก้าวด้วยความมุ่งมั่นแรงกล้าที่จะพาตนขึ้นไปอยู่เหนือคนที่คิดว่าอยู่สูงกว่าให้ได้ เจ้าป่าเจ้าเขาคงตกใจไปตาม ๆ กันเมื่อภูเขากับเจ้าหนุ่มแทบจะหลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกันด้วยไฟปรารถนาเช่นนี้
จริง ๆ ด้วย เพราะทันใดนั้นเองเจ้าเขาก็ร้องอุทานออกมาดัง ๆ ทำเอากรวดทรายปลิวกระจายด้วยพลังแรง
มูซาชิยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตื่นตระหนกแทบหายใจไม่ออก รู้สึกเหมือนลำตัวถูกลมหอบให้หลุดปลิวไปพร้อมกับโขดหินที่กอดเอาไว้
เจ้าหนุ่มนอนคว่ำหน้าอยู่ครู่หนึ่ง หลับตานิ่งแต่ร้องเพลงแห่งชัยชนะก้องอยู่ในใจ
เพราะแวบหนึ่งก่อนที่จะหัวคะมำคว่ำหน้าลงไป เจ้าหนุ่มเห็นท้องฟ้าทั่วทั้งสิบทิศ และทะเลเมฆขาวเริ่มเรื่อเรืองขึ้นด้วยแสงอรุณรุ่ง
“ข้าคือผู้พิชิต”
มูซาชิลุกขึ้นยืนขึ้นเหยียบพื้นดินบนยอดเขานกอินทรีได้เพียงอึดใจเดียว ก็สิ้นแรงล้มลงกลิ้งลงไปนอนคว่ำหน้าตามเดิม ใจหวิวราวกับจะขาดตามแรงกายไปด้วย ลมแรงบนยอดเขาพัดกรวดทรายกระทบแผ่นหลังไม่หยุดหย่อน
ระหว่างที่นอนคว่ำหน้าปล่อยให้จิตใจล่องลอยอยู่อย่างไม่มีขอบเขต มูซาชิรู้สึกว่าความปลื้มปิติได้ก่อตัวขึ้นและแผ่ซ่านไปทั่วตัว ลำตัวที่โชกเหงื่อแนบสนิทอยู่กับพื้นแผ่นดิน จิตวิญญาณของมนุษย์หล่อหลอมเข้าด้วยกันกับจิตวิญญาณของขุนเขาและงอกเงยขึ้นมาเป็นผลอันยิ่งใหญ่สง่างามของธรรมชาติ มูซาชิเคลิ้มหลับไปท่ามกลางความคิดคำนึงที่มีมนต์ขลังอย่างประหลาด
มูซาชิหลับไปนานมาก และพอรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเจ้าหนุ่มก็รู้สึกปลอดโปร่งสมองใสราวกับแก้ว และอยากขยับตัวดีดโผงขึ้นมาเหมือนปลาในลำธาร
“ข้าได้เหยียบหัวพญาอินทรีแล้ว เหนือขึ้นไปไม่มีอะไรนอกจากฟ้า”
ดวงอาทิตย์สาดแสงสดใสแสนงามยามเช้าอาบยอดเขาและร่างเจ้าหนุ่มผู้พิชิตที่ยืนเหยียดแขนสู้ฟ้าด้วยท่วงท่าเหมือนมนุษย์ป่าดึกดำบรรพ์
ขณะที่กำลังดื่มด่ำอยู่กับชัยชนะ มูซาชิมองลงไปยังเท้าทั้งสองที่เยียบอยู่บนพื้นดินยอดเขาแล้วนึกขึ้นมาได้ว่าเท้าข้างหนึ่งถูกตะปูตำเจ็บปวดอยู่ แล้วอะไรกันนั่น...
น้ำหนองสีน้ำเงินคล้ำกำลังผุดขึ้นมาจากหัวฝีบนหลังเท้าไม่ขาดสาย ไหลลงไปที่พื้นราวกับใครเอาเหล้ามาเททั้งไห โชยกลิ่นแปลกปลอมขึ้นมาในโลกใกล้สวรรค์
2
หญิงสาวอาศัยอยู่ในเรือนสาวพรหมจรรย์ที่ศาลเจ้า ทุกคนเป็นสาวบริสุทธิ์ ตั้งแต่รุ่นเล็กสุดอายุราวสิบสามสิบสี่ไปจนถึงรุ่นโตวัยยี่สิบ เวลาร่ายรำถวายเทพเจ้าบรรดาสาวเจ้าจะอยู่ในชุดกิโมโนไหมสีขาว สวมทับท่อนล่างด้วยฮากามะกางเกงจีบสีแดง แต่ตามปกติเวลาเล่าเรียนและเก็บกวาดเรือน ก็จะใส่กิโมโนผ้าฝ้ายตัวสั้นแบบลำลองกันทั้งนั้น
ทุกวันพอเสร็จงานที่เป็นกิจวัตรยามเช้า สาว ๆ ก็จะหยิบหนังสือตำราพากันไปที่เรือนของอาจารย์อารากิดะ เพื่อเรียนอ่านเขียนภาษาและฝึกแต่งโคลงกลอน
“เอ๊ะ นั่นอะไร”
ระหว่างที่เดินตามกันมาที่ประตูหลังเรือน สาวหนึ่งเหลือบไปเห็นอะไรอย่างหนึ่งตรงนั้น ซึ่งก็คือดาบและห่อของติดตัวที่ มูซาชิแขวนแขวนเอาไว้กับตะปูที่รั้วเมื่อคืนก่อนนั่นเอง
“ของใครกันนะ”
“ไม่รู้ซิเธอ”
“มีดาบด้วยอย่างนี้ก็ต้องเป็นของซามูไรนะ เธอว่าไหม”
“ก็ใช่ แต่ซามูไรที่ไหนกันถึงได้ทิ้งดาบไว้อย่างนี้”
“ฉันว่าต้องเป็นของที่หัวขโมยลืมเอาไว้แน่”
“เอาเถอะ อย่าไปแตะต้องเลยดีกว่า”
พอได้ยินคำว่าหัวขโมยสาว ๆ ตาตื่นกลืนน้ำลายไปตาม ๆ กัน แต่ก็เข้าไปรุมดูและสบตากันราวกับพบตัวหัวขโมยมานอนห่มหนังวัวแอบหลับกลางวันอยู่ตรงนั้น
“ไปเรียกโอซือมาดูดีกว่า”
คนหนึ่งคิดขึ้นได้จึงวิ่งกลับไปที่เรือนสาวพรหมจรรย์และร้องเรียกขึ้นไปที่ห้องท้ายสุด
“คุณครูเจ้าขา คุณครู แย่แล้วเจ้าค่ะ มาดูนี่เร็ว”
โอซือวางพู่กันลงบนโต๊ะ ร้องถามออกไปว่า
“เกิดอะไรขึ้นรึ”
แล้วเปิดหน้าต่างออกไปดู
“ตรงนั้นเจ้าค่ะ หัวขโมยมันเอาดาบกับห่อผ้ามาแขวนไว้ตรงนั้น”
“เอาไปให้ท่านอาจารย์อารากิดะดีกว่าไหม”
“แต่...คุณครูเจ้าคะ ทุกคนกลัวไม่กล้าแตะ แล้วจะเอาไปได้ยังไง”
“ถ้าจะตื่นเต้นกันใหญ่ละซี ไม่เป็นไร แล้วครูจะเป็นคนเอาไปให้ท่านอาจารย์เอง ว่าแต่พวกเธอเถอะอย่ามัวเถลไถลกันอยู่เลย รีบไปเข้าห้องเรียนกันได้แล้ว เดี๋ยวจะสาย”
พอพวกสาว ๆ ออกไปเรียนหนังสือกันหมด เรือนสาวพรหมจรรย์ก็เงียบไป เหลือแต่โอซือ แม่เฒ่าคนหุงหาอาหารกับสาวที่นอนป่วยอยู่ในห้อง
ครู่ต่อมา เมื่อโอซือชวนแม่เฒ่าออกมาดูที่ประตูด้านหลังก็ไม่เห็นพวกสาว ๆ แล้ว หญิงสาวหยิบดาบและห่อผ้าที่แขวนกับตะปูลงมาและพอถามแม่เฒ่าว่า “ป้าพอจะรู้ไหมว่าเป็นของใคร” แกก็ส่ายหน้า
โอซืออุ้มดาบทั้งคู่ไว้ด้วยความระมัดระมังเกรงว่าหากหลุดมือลงไปต้องแย่แน่ สงสัยนักว่าพวกผู้ชายพกท่อนเหล็กหนักขนาดนี้เหน็บเอวเดินไปมาอย่างองอาจกันได้ยังไงทุกเมื่อเชื่อวัน
“ฉันจะไปที่เรือนท่านอารากิดะสักหน่อย”
โอซือบอกกับแม่เฒ่าและอุ้มดาบเดินออกประตูรั้วไป
โอซือกับโจทาโรมาพักอยู่ที่ศาลเจ้าอิเซะได้ราวสองเดือนแล้ว หลังจากเที่ยวเดินตามหามูซาชิมาตามเส้นทางอิงะ โอมิ และมิโนะ ก็ไม่พบเจอแม้แต่เงา จนกระทั่งย่างเข้าหน้าหนาวแม้หญิงทรหดอย่างโอซือก็ต้องยอมแพ้กับการบุกตลุยต่อไปในหิมะ ก็พอดีมาถึงถิ่นโทบะและระหว่างที่สอนเป่าขลุ่ยให้คนนั้นบ้างคนนั้นบ้างนั้นเอง ฝีมือขลุ่ยของนางก็เลื่องลือไปถึงเรือนของอารากิดะที่อิเซะ และได้รับเชิญมาช่วยสอนขลุ่ยให้แก่สาวศาลเจ้าที่เรือนสาวพรหมจรรย์
โอซืออยากเรียนรู้เรื่องดนตรีโบราณที่สืบทอดกันมาที่ศาลเจ้าอิเซะนี้มานานแล้ว และเมื่อได้โอกาสดีเช่นนี้จึงไม่รีรอที่จะรับหน้าที่ขลุ่ยตามคำขอด้วยความยินดี ยิ่งกว่านั้นยังนับว่าเป็นโชคดียิ่งที่จะได้มาใช้ชีวิตอยู่กับบรรดาสาวพรหมจรรย์ ท่ามกลางป่าไม้ศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้าแห่งนี้ด้วย
แต่ก็ต้องลำบากใจที่มีหนุ่มน้อยโจทาโรติดตามมาด้วย จะทิ้งกันก็ไม่ได้จะพาเข้าไปอยู่ในเรือนสาวพรหมจรรย์ด้วยกันก็เป็นเรื่องต้องห้าม จนในที่สุดก็หาทางออกได้โดยตอนกลางวันให้ไปกวาดบริเวณสวนของศาลเจ้า และตอนกลางคืนให้นอนในโรงเก็บฟืนที่เรือนของอาจารย์อารากิดะ
3
เสียงลมหนาวพัดผ่านยอดไม้ไร้ใบในป่าดังหวีดหวิว ทำให้โอซือรู้สึกราวกับกำลังเดินอยู่ในโลกต่างมิติ
และเมื่อเห็นควันลอยอ้อยอิ่งขึ้นมาเป็นสายทางด้านโน้น หญิงสาวก็วาดภาพโจทาโรยืนกวาดใบไม้ง่วนอยู่ขึ้นมาในใจ แล้วอดอมยิ้มอยู่คนเดียวไม่ได้
อ้อ ทำงานอยู่ตรงนี้เอง
โอซือซึ่งอุ้มดาบหนักสองเล่มเอาไว้ในมือ หยุดเดินและคิดไปถึงโจทาโร
ระยะนี้เจ้าหนุ่มน้อยจอมซนและหัวดื้อดูเหมือนจะว่าง่ายขึ้นมาก ไม่นึกว่าจะยอมทำงานแต่โดยดีทั้งที่น่าจะอยากวิ่งเล่นซุกซนตามเคยมากกว่า
เสียงเหมือนกิ่งไม้หักทำให้โอซือเลี้ยวเข้าไปในทางเล็กที่ตัดผ่านป่าโดยไม่ได้ตั้งใจ
“โจทาโร”
“โอซือ”
พอนางส่งเสียงเรียกออกไปโจทาโรก็ขานรับมาด้วยเสียงของเด็กแข็งแรงรื่นเริงเช่นเคย ตามมาด้วยเสียงวิ่งย่ำใบไม้ร่วงและพริบตาเดียวก็มายืนยิ้มเห็นฟันขาวอยู่ตรงหน้า
“โอซือ”
“นึกว่ากวาดสวนอยู่ แต่นี่มันอะไรกัน ใส่ชุดทำงานของศาลเจ้า แต่กลับถือดาบไม้”
“ก็ซ้อมดาบอยู่น่ะซี ข้าฝึกวิชาดาบอยู่คนเดียวมีต้นไม้เป็นคู่ต่อสู้”
“จะซ้อมดาบซ้อมอะไรที่ไหนไม่มีใครว่า แต่เจ้าไม่คิดถึงสวนนี้เลยรึ ที่นี่คือสวนที่เป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธ์สะอาดและสันติภาพของจิตใจคนญี่ปุ่น อยู่ในอาณาบริเวณอันศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าที่พวกเราเคารพสักการะกันว่าเป็นบรรพบุรุษผู้ให้กำเนิดแก่ชาวเราบนผืนแผ่นดินนี้...แล้วดูซิว่าเจ้าทำอะไรลงไป ไม่เห็นหรือว่ามีป้ายปักเอาไว้ตรงนั้นตรงนี้ทั่วป่าศักดิ์สิทธิ์ว่า อย่าหักต้นไม้กิ่งไม้ ห้ามฆ่านกฆ่าสัตว์และสรรพสิ่งที่มีชีวิต แต่เจ้าที่เป็นคนทำงานถวายเทพเจ้า ทำหน้าที่กวาดสวนให้สะอาด กลับเอาดาบไม้มาทำร้ายต้นไม้เสียเอง ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ “
“รู้แล้วน่า”
โจทาโรยื่นหน้าใส่โอซืออย่างดื้อรั้นเมื่อถูกเทศนาสั่งสอน
“รู้แล้ว แต่ทำไมถึงเอาดาบไม้มาฟันต้นไม้จนกิ่งก้านหักอย่างนั้น ท่านอารากิดะเห็นเข้าจะต้องดุแน่”
“แต่ต้นไม้มันแห้งตายแล้วนี่ ฟันไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้”
“ทำไมจะไม่ได้ งั้นข้าขอถามโอซือบ้าง”
“อะไรรึ”
“ถ้าสวนนี้สำคัญขนาดนั้น ทำไมผู้คนถึงไม่มาเอาใจใส่ดูแลกันให้ดีกว่านี้”
“ก็ใช่ คิดแล้วก็น่าขายหน้า เหมือนปล่อยหญ้าให้ขึ้นรกอยู่ในใจ”
“แค่ปล่อยให้หญ้ารกก็พอมองข้ามได้ แต่ดูให้ทั่วแล้วจะรู้ว่ามันย่ำยากว่านั้นมากนัก ต้นไม้ใหญ่ถูกฟ้าผ่าหักโค่นยังไงก็ถูกปล่อยให้อยู่อย่างนั้น ต้นไม้ใหญ่ถูกลมแรงพายุฝนกระหน่ำจนบอบช้ำแทบจะถอนรากถอนโคน ศาลเจ้าใหญ่น้อยที่อยู่ตรงนั้นตรงนี้ทรุดโทรมจนแทบจะพังทะลายไปหมด เพราะถูกนกเจาะหลังคาจนผุพัง น้ำฝนรั่วลงไปทำลานพื้นไม้พื้นเสื่อ โคมไฟหินรายทางก็ดูไม่ได้ บ้างก็เอียง บ้างก็ล้มระเนระนาด ไม่เห็นมีใครมาจับมาทำ ข้าอยากถามนัก โอซือว่านี่น่ะหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
แต่พอมองไปอีกด้านหนึ่ง ปราสาทโอซากาโออ่างดงามนัก และยิ่งตื่นตาตื่นใจขึ้นไปอีกเมื่อมองมาจากทะเลทางเซตสึ และตอนนี้ใคร ๆ ก็รู้ว่าโทกูงาวะ อิเอยาซุสั่งให้ผู้ครองแว่นแคว้นสร้างปราสาทใหญ่ยักษ์ขึ้นอีกสิบกว่าแห่ง อย่างปราสาทฟูชิมิ แล้วลองเยี่ยมหน้าเข้าไปดูตามคฤหาสน์ของพวกผู้ครองแคว้น หรือบ้านเศรษฐีในเกียวโตโอซากาดูบ้าง ห้องหับโอ่อ่างดงามเลี่ยมทองตรงนั้นเคลือบทองตรงนี้ ในสวนมีห้องพิธีชาตำรับริคิวบ้างละเอ็นชูบ้างละ ทั้งที่กินน้ำชาไม่รู้รสสักกะนิด
แล้วโอซือคิดว่าที่นี่เป็นอยู่อย่างนี้ดีแล้วรึ คนที่ใส่ชุดคนงานศาลเจ้าสีขาวถือไม้กวาดดูแลสวนของศาลเจ้าและป่าศักดิ์สิทธิ์ที่แสนจะกว้างใหญ่ของอิเซะ มีอยู่แค่พ่อเฒ่าหูหนวก กับอีกสามสี่คน และข้าอีกคนเท่านั้นเอง มันพอไหมฮึ”
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ยอดเขานกอินทรี...คือเซกิชูไซ จอมยุทธจักรนักดาบแห่งหุบเขายากิว เด่นผงาดท้าทายผู้พิชิต
มูซาชิ นักดาบหนุ่มแห่งหมู่บ้านมิยาโมโตะ สองมือเกี่ยวเกาะ สองเท้าข้างหนึ่งบาดเจ็บเหยียบยันโขดหินจะงอยหิน กัดกรามและเข่นเขี้ยวเรียกพลัง ตาคมวาวราวเหยี่ยวจับจ้องสู้ตานกอินทรีซึ่งคือยอดเขาแหลมสูงที่จ้องตอบลงมา
มูซาชิปีนสูงขึ้นไป สูงขึ้นไปด้วยความระมัดระวังทุกห้วงหายใจ คราใดที่เท้าพลาดก้อนหินร่วงพรูลิ่วลงไปในหุบเหว เจ้าหนุ่มกอดกายแนบชิดไว้กับโขดหินโดยพลัน แม้จะแน่ใจว่ามือข้างหนึ่งเกาะเกี่ยวยึดจะงอยหินไว้เป็นหลักทุกย่างก้าวอยู่แล้ว แต่อึดใจใดที่พลั้งเผลอร่างสูงใหญ่นั้นก็จะต้องดิ่งลงเหวไปพร้อมกับก้อนหินใหญ่น้อยนั้นเป็นแน่
ยอดเขานกอินทรี...เซกิชูไซจอมยุทธจักรเด่นผงาดอยู่เพียงแค่เอื้อม
แม้ใจจะสู้แต่แรงกายแทบจะสิ้น หัวใจเต้นแรงแทบจะทะลุออกมาจากเรือนอก จมูกและปากหายใจไม่ทันจนรูขุมขนทั่วกายต้องหายใจแทน เจ้าหนุ่มปีนแล้วหยุด ปีนแล้วหยุดถี่ขึ้นทุกที...และในอึดใจต่อมานั้นเอง ไม่รู้ว่าเทพองค์ใดบันดาลใจให้เจ้าหนุ่มมองลงไปเบื้องล่าง ใจวาบหวิวแต่...ลิงโลด
ข้าขึ้นมาถึงชั้นเก้าแล้ว
ลิบลิ่วลงไปเบื้องล่างคือ ป่าศักดิ์สิทธิ์ แม่น้ำอิซูซุคดเคี้ยวคล้ายงูขาวกำลังเลื้อยออกสู่ท้องทะเลที่อ่าวใหญ่แห่งอิเซะ หมู่บ้านชาวประมงถิ่นโทบะ ภูเขาอาซามะ ภูเขามาเอะ ทำไมถึงเตี้ยแคระเช่นนั้น ข้าขึ้นมาเกือบจะถึงยอดแล้ว
ไอเหงื่อจากคอเสื้อระเหยกรุ่นขึ้นมาอบอวลอยู่ที่ใบหน้า อบอุ่นจนเจ้าหนุ่มเผลอคิดว่ากำลังซุกซบอยู่กับอกแม่ เนื้อหินกับเนื้อตนที่แนบชิดเกือบเป็นเนื้อเดียวกันทำให้เจ้าหนุ่มเผลอไผลแทบจะเคลิ้มหลับอยู่ตรงนั้น
เจ้าหนุ่มสะดุ้งตื่นจากภวังค์เมื่อนิ้วโป้งที่เกาะเกี่ยวไว้มั่นกับจะงอยหินเลื่อนหลุด มือและเท้ารีบแกว่งหาที่ยึดด้วยสัญชาตญาณ ไม่มีใครบอกได้ว่ามูซาชิรู้สึกอย่างไรในช่วงอึดใจเดียวนั้น แม้ตัวเองก็ยังบอกไม่ถูก...รู้สึกคล้ายกับตอนประดาบประสานงายันกันอยู่กับคู่ต่อสู้คือถ้าไม่ฆ่าก็ถูกฆ่า แต่ก็ไม่ใช่เสียเลยทีเดียว
จะถึงอยู่แล้ว สู้ ๆ
มูซาชิเร่งมือเร่งเท้าตะกายขึ้นไป พลางให้กำลังใจตัวเองเพราะการยอมแพ้ยอดเขานี้ ความมานะพยายามมานานปีเพื่อ ที่จะได้เป็นนักรบคนหนึ่งนั้นจะสูญเปล่าไปในพริบตา และจากนั้นไม่ว่าจะสู้กับใครก็มีแต่จะแพ้ทุกครั้งครา
เหงื่อที่ซึมออกมาท่วมตัวระเหยเป็นไออบอวลอยู่รอบกายจนดูเหมือนร่างของมูซาชิกลายเป็นเมฆกลุ่มหนึ่งไปแล้ว
“สัตว์ !” เจ้าหนุ่มเข่นเขี้ยวสบถออกมาดัง ๆ เมื่อเหงื่อหยดลงหินจนโชกทำให้ลื่นจับไม่ติด
รอเดี๋ยวเถอะ แล้วเราจะได้เห็นดีกัน เซกิชูไซ นิคคัน...และอีกคน...หลวงพี่ทากูอัน
เจ้าหนุ่มท่องอยู่ใจราวกับร่ายคำสาป ทุกย่างก้าวด้วยความมุ่งมั่นแรงกล้าที่จะพาตนขึ้นไปอยู่เหนือคนที่คิดว่าอยู่สูงกว่าให้ได้ เจ้าป่าเจ้าเขาคงตกใจไปตาม ๆ กันเมื่อภูเขากับเจ้าหนุ่มแทบจะหลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกันด้วยไฟปรารถนาเช่นนี้
จริง ๆ ด้วย เพราะทันใดนั้นเองเจ้าเขาก็ร้องอุทานออกมาดัง ๆ ทำเอากรวดทรายปลิวกระจายด้วยพลังแรง
มูซาชิยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตื่นตระหนกแทบหายใจไม่ออก รู้สึกเหมือนลำตัวถูกลมหอบให้หลุดปลิวไปพร้อมกับโขดหินที่กอดเอาไว้
เจ้าหนุ่มนอนคว่ำหน้าอยู่ครู่หนึ่ง หลับตานิ่งแต่ร้องเพลงแห่งชัยชนะก้องอยู่ในใจ
เพราะแวบหนึ่งก่อนที่จะหัวคะมำคว่ำหน้าลงไป เจ้าหนุ่มเห็นท้องฟ้าทั่วทั้งสิบทิศ และทะเลเมฆขาวเริ่มเรื่อเรืองขึ้นด้วยแสงอรุณรุ่ง
“ข้าคือผู้พิชิต”
มูซาชิลุกขึ้นยืนขึ้นเหยียบพื้นดินบนยอดเขานกอินทรีได้เพียงอึดใจเดียว ก็สิ้นแรงล้มลงกลิ้งลงไปนอนคว่ำหน้าตามเดิม ใจหวิวราวกับจะขาดตามแรงกายไปด้วย ลมแรงบนยอดเขาพัดกรวดทรายกระทบแผ่นหลังไม่หยุดหย่อน
ระหว่างที่นอนคว่ำหน้าปล่อยให้จิตใจล่องลอยอยู่อย่างไม่มีขอบเขต มูซาชิรู้สึกว่าความปลื้มปิติได้ก่อตัวขึ้นและแผ่ซ่านไปทั่วตัว ลำตัวที่โชกเหงื่อแนบสนิทอยู่กับพื้นแผ่นดิน จิตวิญญาณของมนุษย์หล่อหลอมเข้าด้วยกันกับจิตวิญญาณของขุนเขาและงอกเงยขึ้นมาเป็นผลอันยิ่งใหญ่สง่างามของธรรมชาติ มูซาชิเคลิ้มหลับไปท่ามกลางความคิดคำนึงที่มีมนต์ขลังอย่างประหลาด
มูซาชิหลับไปนานมาก และพอรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเจ้าหนุ่มก็รู้สึกปลอดโปร่งสมองใสราวกับแก้ว และอยากขยับตัวดีดโผงขึ้นมาเหมือนปลาในลำธาร
“ข้าได้เหยียบหัวพญาอินทรีแล้ว เหนือขึ้นไปไม่มีอะไรนอกจากฟ้า”
ดวงอาทิตย์สาดแสงสดใสแสนงามยามเช้าอาบยอดเขาและร่างเจ้าหนุ่มผู้พิชิตที่ยืนเหยียดแขนสู้ฟ้าด้วยท่วงท่าเหมือนมนุษย์ป่าดึกดำบรรพ์
ขณะที่กำลังดื่มด่ำอยู่กับชัยชนะ มูซาชิมองลงไปยังเท้าทั้งสองที่เยียบอยู่บนพื้นดินยอดเขาแล้วนึกขึ้นมาได้ว่าเท้าข้างหนึ่งถูกตะปูตำเจ็บปวดอยู่ แล้วอะไรกันนั่น...
น้ำหนองสีน้ำเงินคล้ำกำลังผุดขึ้นมาจากหัวฝีบนหลังเท้าไม่ขาดสาย ไหลลงไปที่พื้นราวกับใครเอาเหล้ามาเททั้งไห โชยกลิ่นแปลกปลอมขึ้นมาในโลกใกล้สวรรค์
2
หญิงสาวอาศัยอยู่ในเรือนสาวพรหมจรรย์ที่ศาลเจ้า ทุกคนเป็นสาวบริสุทธิ์ ตั้งแต่รุ่นเล็กสุดอายุราวสิบสามสิบสี่ไปจนถึงรุ่นโตวัยยี่สิบ เวลาร่ายรำถวายเทพเจ้าบรรดาสาวเจ้าจะอยู่ในชุดกิโมโนไหมสีขาว สวมทับท่อนล่างด้วยฮากามะกางเกงจีบสีแดง แต่ตามปกติเวลาเล่าเรียนและเก็บกวาดเรือน ก็จะใส่กิโมโนผ้าฝ้ายตัวสั้นแบบลำลองกันทั้งนั้น
ทุกวันพอเสร็จงานที่เป็นกิจวัตรยามเช้า สาว ๆ ก็จะหยิบหนังสือตำราพากันไปที่เรือนของอาจารย์อารากิดะ เพื่อเรียนอ่านเขียนภาษาและฝึกแต่งโคลงกลอน
“เอ๊ะ นั่นอะไร”
ระหว่างที่เดินตามกันมาที่ประตูหลังเรือน สาวหนึ่งเหลือบไปเห็นอะไรอย่างหนึ่งตรงนั้น ซึ่งก็คือดาบและห่อของติดตัวที่ มูซาชิแขวนแขวนเอาไว้กับตะปูที่รั้วเมื่อคืนก่อนนั่นเอง
“ของใครกันนะ”
“ไม่รู้ซิเธอ”
“มีดาบด้วยอย่างนี้ก็ต้องเป็นของซามูไรนะ เธอว่าไหม”
“ก็ใช่ แต่ซามูไรที่ไหนกันถึงได้ทิ้งดาบไว้อย่างนี้”
“ฉันว่าต้องเป็นของที่หัวขโมยลืมเอาไว้แน่”
“เอาเถอะ อย่าไปแตะต้องเลยดีกว่า”
พอได้ยินคำว่าหัวขโมยสาว ๆ ตาตื่นกลืนน้ำลายไปตาม ๆ กัน แต่ก็เข้าไปรุมดูและสบตากันราวกับพบตัวหัวขโมยมานอนห่มหนังวัวแอบหลับกลางวันอยู่ตรงนั้น
“ไปเรียกโอซือมาดูดีกว่า”
คนหนึ่งคิดขึ้นได้จึงวิ่งกลับไปที่เรือนสาวพรหมจรรย์และร้องเรียกขึ้นไปที่ห้องท้ายสุด
“คุณครูเจ้าขา คุณครู แย่แล้วเจ้าค่ะ มาดูนี่เร็ว”
โอซือวางพู่กันลงบนโต๊ะ ร้องถามออกไปว่า
“เกิดอะไรขึ้นรึ”
แล้วเปิดหน้าต่างออกไปดู
“ตรงนั้นเจ้าค่ะ หัวขโมยมันเอาดาบกับห่อผ้ามาแขวนไว้ตรงนั้น”
“เอาไปให้ท่านอาจารย์อารากิดะดีกว่าไหม”
“แต่...คุณครูเจ้าคะ ทุกคนกลัวไม่กล้าแตะ แล้วจะเอาไปได้ยังไง”
“ถ้าจะตื่นเต้นกันใหญ่ละซี ไม่เป็นไร แล้วครูจะเป็นคนเอาไปให้ท่านอาจารย์เอง ว่าแต่พวกเธอเถอะอย่ามัวเถลไถลกันอยู่เลย รีบไปเข้าห้องเรียนกันได้แล้ว เดี๋ยวจะสาย”
พอพวกสาว ๆ ออกไปเรียนหนังสือกันหมด เรือนสาวพรหมจรรย์ก็เงียบไป เหลือแต่โอซือ แม่เฒ่าคนหุงหาอาหารกับสาวที่นอนป่วยอยู่ในห้อง
ครู่ต่อมา เมื่อโอซือชวนแม่เฒ่าออกมาดูที่ประตูด้านหลังก็ไม่เห็นพวกสาว ๆ แล้ว หญิงสาวหยิบดาบและห่อผ้าที่แขวนกับตะปูลงมาและพอถามแม่เฒ่าว่า “ป้าพอจะรู้ไหมว่าเป็นของใคร” แกก็ส่ายหน้า
โอซืออุ้มดาบทั้งคู่ไว้ด้วยความระมัดระมังเกรงว่าหากหลุดมือลงไปต้องแย่แน่ สงสัยนักว่าพวกผู้ชายพกท่อนเหล็กหนักขนาดนี้เหน็บเอวเดินไปมาอย่างองอาจกันได้ยังไงทุกเมื่อเชื่อวัน
“ฉันจะไปที่เรือนท่านอารากิดะสักหน่อย”
โอซือบอกกับแม่เฒ่าและอุ้มดาบเดินออกประตูรั้วไป
โอซือกับโจทาโรมาพักอยู่ที่ศาลเจ้าอิเซะได้ราวสองเดือนแล้ว หลังจากเที่ยวเดินตามหามูซาชิมาตามเส้นทางอิงะ โอมิ และมิโนะ ก็ไม่พบเจอแม้แต่เงา จนกระทั่งย่างเข้าหน้าหนาวแม้หญิงทรหดอย่างโอซือก็ต้องยอมแพ้กับการบุกตลุยต่อไปในหิมะ ก็พอดีมาถึงถิ่นโทบะและระหว่างที่สอนเป่าขลุ่ยให้คนนั้นบ้างคนนั้นบ้างนั้นเอง ฝีมือขลุ่ยของนางก็เลื่องลือไปถึงเรือนของอารากิดะที่อิเซะ และได้รับเชิญมาช่วยสอนขลุ่ยให้แก่สาวศาลเจ้าที่เรือนสาวพรหมจรรย์
โอซืออยากเรียนรู้เรื่องดนตรีโบราณที่สืบทอดกันมาที่ศาลเจ้าอิเซะนี้มานานแล้ว และเมื่อได้โอกาสดีเช่นนี้จึงไม่รีรอที่จะรับหน้าที่ขลุ่ยตามคำขอด้วยความยินดี ยิ่งกว่านั้นยังนับว่าเป็นโชคดียิ่งที่จะได้มาใช้ชีวิตอยู่กับบรรดาสาวพรหมจรรย์ ท่ามกลางป่าไม้ศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้าแห่งนี้ด้วย
แต่ก็ต้องลำบากใจที่มีหนุ่มน้อยโจทาโรติดตามมาด้วย จะทิ้งกันก็ไม่ได้จะพาเข้าไปอยู่ในเรือนสาวพรหมจรรย์ด้วยกันก็เป็นเรื่องต้องห้าม จนในที่สุดก็หาทางออกได้โดยตอนกลางวันให้ไปกวาดบริเวณสวนของศาลเจ้า และตอนกลางคืนให้นอนในโรงเก็บฟืนที่เรือนของอาจารย์อารากิดะ
3
เสียงลมหนาวพัดผ่านยอดไม้ไร้ใบในป่าดังหวีดหวิว ทำให้โอซือรู้สึกราวกับกำลังเดินอยู่ในโลกต่างมิติ
และเมื่อเห็นควันลอยอ้อยอิ่งขึ้นมาเป็นสายทางด้านโน้น หญิงสาวก็วาดภาพโจทาโรยืนกวาดใบไม้ง่วนอยู่ขึ้นมาในใจ แล้วอดอมยิ้มอยู่คนเดียวไม่ได้
อ้อ ทำงานอยู่ตรงนี้เอง
โอซือซึ่งอุ้มดาบหนักสองเล่มเอาไว้ในมือ หยุดเดินและคิดไปถึงโจทาโร
ระยะนี้เจ้าหนุ่มน้อยจอมซนและหัวดื้อดูเหมือนจะว่าง่ายขึ้นมาก ไม่นึกว่าจะยอมทำงานแต่โดยดีทั้งที่น่าจะอยากวิ่งเล่นซุกซนตามเคยมากกว่า
เสียงเหมือนกิ่งไม้หักทำให้โอซือเลี้ยวเข้าไปในทางเล็กที่ตัดผ่านป่าโดยไม่ได้ตั้งใจ
“โจทาโร”
“โอซือ”
พอนางส่งเสียงเรียกออกไปโจทาโรก็ขานรับมาด้วยเสียงของเด็กแข็งแรงรื่นเริงเช่นเคย ตามมาด้วยเสียงวิ่งย่ำใบไม้ร่วงและพริบตาเดียวก็มายืนยิ้มเห็นฟันขาวอยู่ตรงหน้า
“โอซือ”
“นึกว่ากวาดสวนอยู่ แต่นี่มันอะไรกัน ใส่ชุดทำงานของศาลเจ้า แต่กลับถือดาบไม้”
“ก็ซ้อมดาบอยู่น่ะซี ข้าฝึกวิชาดาบอยู่คนเดียวมีต้นไม้เป็นคู่ต่อสู้”
“จะซ้อมดาบซ้อมอะไรที่ไหนไม่มีใครว่า แต่เจ้าไม่คิดถึงสวนนี้เลยรึ ที่นี่คือสวนที่เป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธ์สะอาดและสันติภาพของจิตใจคนญี่ปุ่น อยู่ในอาณาบริเวณอันศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าที่พวกเราเคารพสักการะกันว่าเป็นบรรพบุรุษผู้ให้กำเนิดแก่ชาวเราบนผืนแผ่นดินนี้...แล้วดูซิว่าเจ้าทำอะไรลงไป ไม่เห็นหรือว่ามีป้ายปักเอาไว้ตรงนั้นตรงนี้ทั่วป่าศักดิ์สิทธิ์ว่า อย่าหักต้นไม้กิ่งไม้ ห้ามฆ่านกฆ่าสัตว์และสรรพสิ่งที่มีชีวิต แต่เจ้าที่เป็นคนทำงานถวายเทพเจ้า ทำหน้าที่กวาดสวนให้สะอาด กลับเอาดาบไม้มาทำร้ายต้นไม้เสียเอง ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ “
“รู้แล้วน่า”
โจทาโรยื่นหน้าใส่โอซืออย่างดื้อรั้นเมื่อถูกเทศนาสั่งสอน
“รู้แล้ว แต่ทำไมถึงเอาดาบไม้มาฟันต้นไม้จนกิ่งก้านหักอย่างนั้น ท่านอารากิดะเห็นเข้าจะต้องดุแน่”
“แต่ต้นไม้มันแห้งตายแล้วนี่ ฟันไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้”
“ทำไมจะไม่ได้ งั้นข้าขอถามโอซือบ้าง”
“อะไรรึ”
“ถ้าสวนนี้สำคัญขนาดนั้น ทำไมผู้คนถึงไม่มาเอาใจใส่ดูแลกันให้ดีกว่านี้”
“ก็ใช่ คิดแล้วก็น่าขายหน้า เหมือนปล่อยหญ้าให้ขึ้นรกอยู่ในใจ”
“แค่ปล่อยให้หญ้ารกก็พอมองข้ามได้ แต่ดูให้ทั่วแล้วจะรู้ว่ามันย่ำยากว่านั้นมากนัก ต้นไม้ใหญ่ถูกฟ้าผ่าหักโค่นยังไงก็ถูกปล่อยให้อยู่อย่างนั้น ต้นไม้ใหญ่ถูกลมแรงพายุฝนกระหน่ำจนบอบช้ำแทบจะถอนรากถอนโคน ศาลเจ้าใหญ่น้อยที่อยู่ตรงนั้นตรงนี้ทรุดโทรมจนแทบจะพังทะลายไปหมด เพราะถูกนกเจาะหลังคาจนผุพัง น้ำฝนรั่วลงไปทำลานพื้นไม้พื้นเสื่อ โคมไฟหินรายทางก็ดูไม่ได้ บ้างก็เอียง บ้างก็ล้มระเนระนาด ไม่เห็นมีใครมาจับมาทำ ข้าอยากถามนัก โอซือว่านี่น่ะหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
แต่พอมองไปอีกด้านหนึ่ง ปราสาทโอซากาโออ่างดงามนัก และยิ่งตื่นตาตื่นใจขึ้นไปอีกเมื่อมองมาจากทะเลทางเซตสึ และตอนนี้ใคร ๆ ก็รู้ว่าโทกูงาวะ อิเอยาซุสั่งให้ผู้ครองแว่นแคว้นสร้างปราสาทใหญ่ยักษ์ขึ้นอีกสิบกว่าแห่ง อย่างปราสาทฟูชิมิ แล้วลองเยี่ยมหน้าเข้าไปดูตามคฤหาสน์ของพวกผู้ครองแคว้น หรือบ้านเศรษฐีในเกียวโตโอซากาดูบ้าง ห้องหับโอ่อ่างดงามเลี่ยมทองตรงนั้นเคลือบทองตรงนี้ ในสวนมีห้องพิธีชาตำรับริคิวบ้างละเอ็นชูบ้างละ ทั้งที่กินน้ำชาไม่รู้รสสักกะนิด
แล้วโอซือคิดว่าที่นี่เป็นอยู่อย่างนี้ดีแล้วรึ คนที่ใส่ชุดคนงานศาลเจ้าสีขาวถือไม้กวาดดูแลสวนของศาลเจ้าและป่าศักดิ์สิทธิ์ที่แสนจะกว้างใหญ่ของอิเซะ มีอยู่แค่พ่อเฒ่าหูหนวก กับอีกสามสี่คน และข้าอีกคนเท่านั้นเอง มันพอไหมฮึ”