นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ขุนนางทั้งหลาย อย่าประหลาดใจ
กับข้าผู้ใคร่ปิดประตูปราสาท
ที่นี่ไม่มีนักดาบ
มีเพียงนกกระจ้อยตัวน้อยในทุ่งนา
กวีบทนี้คือคำแทนใจของเจ้าของกระท่อมท้ายปราสาทแห่งนี้เป็นแน่แท้ จึงได้จารึกลงบนแผ่นป้ายติดไว้บนสองเสาของซุ้มประตูให้คนที่ผ่านไปมาได้ตระหนัก
มูซาชิท่องทวนบทกวีหลายครั้งจนติดปาก
เช้าวันนี้ นักดาบหนุ่มจัดแจงแต่งกายเรียบร้อยตามมารยากของผู้มาเยือน ใจสงบและสมองก็ปลอดโปร่งแจ่มใส เข้าใจความหมายของบทกวีนี้อย่างถ่องแท้ พร้อมกันนั้นภาพของเซกิชูไซ ชีวิตความเป็นอยู่และความรู้สึกนึกคิดของเจ้าสำนักผู้นี้ก็ฉายชัดขึ้นมาในใจ
เซกิชูไซไม่ได้ปิดประตูปฏิเสธการประสิทธิประสาทวิชาให้แก่นักดาบฝึกหัด ไม่ต้อนรับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่จะมาสอดส่องด้วยความสงสัยเท่านั้น แต่ปิดสนิทไม่ยอมรับทั้งลาภยศสรรเสริญและสรรพสิ่งทั้งปวงในโลก ปิดกั้นไม่ให้กิเลสตัณหาของทั้งตนเองและผู้อื่นลอดผ่านเข้ามาได้
ข้ามันก็แค่เด็กอ่อนหัด
มูซาชิรำพึงและยอมใจให้ก้มหัวคารวะเซกิชูไซที่สำหรับตนนั้นเปรียบเสมือนดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้า เหนือยอดไม้ที่สูงลิ่ว
เอื้อมไม่ถึง คนอย่างข้าไม่มีวันเอื้อมถึง
ความคิดที่จะเคาะประตูรั้วมลายหายไป ไม่ต้องพูดถึงการถีบประตูเข้าไปด้วยความบ้าระห่ำตามพื้นนิสัย เพราะแค่คิดก็กลัวจนขนหัวลุก...ไม่ใช่สิ ตัวชาดิ่งเพราะอับอายตัวเองมากกว่า
ดอกไม้ สายลม นก และดวงจันทร์ เท่านั้นที่เซกิชูไซจะเปิดประตูให้ผ่านเข้าไปได้
บัดนี้...เซกิชูไซไม่ใช่ปรมาจารย์เจ้าสำนักดาบผู้ยิ่งใหญ่ในยุทธจักร ไม่ใช่ผู้ครองแคว้นผู้มีอำนาจเหนือดินแดนอันไพศาลอีกต่อไป แต่เป็นเพียงผู้เฒ่าที่ปลีกวิเวกมาอยู่เพียงลำพังท่ามกลางธรรมชาติ
มีแต่คนสิ้นคิดเท่านั้นที่จะบุกเข้าไปในก่อความโกลาหลขึ้นในเคหสถานอันสงบสุขของท่านผู้นี้
เราจะได้อะไรจากการมีชัยชนะเหนือผู้ที่ไม่ฝักใฝ่ในลาภยศสรรเสริญ จะได้ลาภได้ยศอะไรหรือใครจะสรรเสริญอย่างนั้นรึ
อา...ดีที่มีบทกวีที่ซุ้มประตู ไม่เช่นนั้นเราจะต้องกลายเป็นตัวตลกให้ท่านเซกิชูไซหัวเราะไปหลายวัน
คงจะเป็นเพราะแดดจัดขึ้น เสียงนกกระจ้อยจึงไม่จอแจเท่าเมื่อเช้าตรู่
---เสียงฝีเท้าดังมาแต่ไกลจากด้านบนของทางลาดเนินมุ่งมาที่ซุ้มประตู นกน้อยตื่นตกใจกระพือปีกสลัดหยาดน้ำค้างกระเซ็นกระจายสะท้อนแสงแดดเป็นสายรุ้งเล็ก ๆ
โอ๊ะ
มูซาชิตาตื่นเมื่อมองผ่านรอยแยกที่รั้วเห็นร่างอรชรของสาวน้อยนางหนึ่งที่กำลังวิ่งลงเนินมา
โอซือ
เจ้าหนุ่มหวนคิดถึงเสียงขลุ่ยเมื่อค่ำคืนก่อนแล้วใจสะท้านสั่นไหวขึ้นมาทันใด
ออกไปพบดีหรือไม่ดี หรือว่าจะทำยังไงดี
นักดาบหนุ่มลังเล
คิดถึง อยากพบและสวมกอด
แต่ก็ยังออกไปพบไม่ได้
ใจเต้นระทึกไม่เป็นส่ำ ลมรักกระพือพัดโหมกระหน่ำอยู่ในอก นักดาบร่างใหญ่หมดฤทธิ์กลายเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่โหยหาไออุ่นจากอ้อมกอดหญิงอันเป็นที่รัก
ทำไงดีล่ะ...คิดยังไงก็ตัดสินใจไม่ได้
ระหว่างนั้นเองโอซือก็วิ่งจากกระท่อมบนเขาลงเนินมาที่ประตู อยู่ห่างกันแค่เอื้อมมือก็ได้แตะต้องตัว
“เอ๊ะ”
นางอุทานเบา ๆ ชะงักเท้าและหันไปมองข้างหลัง
สอยส่ายสายตาที่เปล่งประกายแจ่มใสสดชื่นเหมือนกับว่าได้พบสิ่งที่ดีต่อใจในยามเช้าวันนี้ ไปทางนั้นทางนี้ ครั้งไม่พบก็ยกมือขาวนวลทั้งคู่ขึ้นป้องปากจิ้มลิ้ม ร้อยตะโกนเสียงแจ๋วขึ้นไปทางเนินเขา
“โจทาโร โจทาโร เจ้าไปอยู่เสียที่ไหน โจทาโร”
2
“โจทาโร”
สาวงามเว้นระยะอึดใจหนึ่งแล้วตะโกนเรียกอีก คราวนี้มีเสียงขานรับแจ่มใสพอกันออกมาจากด้านบนของกอไผ่
“อยู่นี่”
“ฉันอยู่ตรงนี้ เดินตามกันมาแท้ ๆ ทำไมถึงได้เดินหลงขึ้นไปบนนั้น ลงมานี่เร็ว ๆ”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงเรียก โจทาโรก็ไถลตัวลงมายืนข้างโอซืออย่างรวดเร็ว ส่งยิ้มร่าเริงให้กับพลางบอกว่า
“ที่แท้ก็อยู่ตรงนี้นี่เอง”
“ก็ใช่นะซี บอกให้เดินตามมา อยู่ ๆ ก็หายไป ตกใจหมดเลย”
“พอดีเห็นไก่ป่าก็เลยวิ่งตามมันไป”
“อะไรกัน นี่ใช่เวลาไล่ไก่ป่าเสียที่ไหน เจ้าเป็นคนบอกเองว่าพอรุ่งสางจะต้องออกไปตามหาคนสำคัญ”
“แต่ไม่ต้องห่วงหรอกแม่นาง ครูของข้ามีฝีมือ ไม่แพ้ใครง่าย ๆ หรอก”
“อย่ามาพูดดีเลย ใครกันที่วิ่งมาหาข้าเมื่อคืน ระล่ำระลักแทบจะร้องไห้บอกว่าครูกำลังตกอยู่ในอันตราย และแผดเสียงขรมถมเถเร่งรัดข้าให้ขอร้องท่าน ให้ออกคำสั่งหยุดพวกซามูไรที่กำลังต่อสู้อยู่กับครูของเจ้า”
“ก็ตอนนั้นข้าตกใจนี่นา”
“อะไรกัน ข้าตกใจมากกว่าเจ้าเสียอีกเมื่อรู้ว่าครูของเจ้าคือมิยาโมโตะ มูซาชิ ข้าตกใจจนพูดไม่ออกเลยนะเจ้า”
“โอซือรู้จักครูของข้าได้ยังไง”
“เราเป็นคนบ้านเดียวกัน”
“แค่นั้นเหรอ”
“ใช่”
“แปลกนี่ แค่เป็นคนบ้านเดียวกัน ไม่เห็นจะต้องร้องไห้พิรี้พิไรขนาดนั้นสักหน่อย”
“เมื่อคืน ฉันร้องไห้ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“อย่างนี้นี่เองที่เขาว่าคนเราจำเรื่องของคนอื่นได้แต่มักจะลืมตัว...เมื่อคืนข้าตื่นเต้นและกลัวมาก เพราะครูถูกนักดาบถึงสี่คนล้อมกรอบ แค่นักดาบสี่คนก็ไม่ค่อยเท่าไหร่สำหรับครูข้า แต่ทั้งสี่เป็นนักดาบชั้นครูของสำนักข้าก็เลยหวั่นใจ คิดว่าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างครูอาจสิ้นชื่อไปในคืนนี้ก็เป็นได้ จึงคิดช่วยเท่าที่นึกได้ในตอนนั้นคือกอบทรายสาดใส่ทั้งสี่คนนั่น ก็พอดีได้ยินเสียงขลุ่ยของโอซือไง”
“ใช่ ฉันเปล่าขลุ่ยให้ท่านเซกิชูไซฟัง”
“พอได้ยินเสียงขลุ่ย ข้าจึงนึกขึ้นได้ว่าโอซืออยู่ที่ปราสาทนี้ และรีบวิ่งมาขอความช่วยเหลือ”
“เมื่อเจ้าได้ยินเสียงขลุ่ยของข้ามูซาชิก็ต้องได้ยินด้วย ใจเราคงสื่อถึงกัน เพราะขณะที่ฉันเป่าขลุ่ยให้ท่านเซกิชูไซฟังนั้นใจฉันคิดถึงแต่มูซาชิคนเดียว”
“จะยังไงข้าไม่รู้ด้วย พอได้ยินเสียงขลุ่ยข้าก็จับทิศทางได้และวิ่งเตลิดมาทันที และพอเห็นหน้าโอซือข้าก็ตะโกนสุดเสียง”
“ใช่ เจ้าตะโกนว่าสงคราม สงคราม สนั่นหวั่นไหว ท่านเซกิชูไซเองยังตกใจ”
“แต่ ท่านผู้เฒ่าเป็นคนมีเมตตามาก ข้าเล่าเรื่องที่ฆ่าหมาชื่อทาโรตายให้ฟังก็ไม่เห็นจะโกรธเกรี้ยวเหมือนพวกบริวาร”
โอซือพูดคุยถูกคอกันกับหนุ่มน้อยโจทาโรจนลืมเวลา
“เอาละ ๆ “
สาวงามขัดขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายจ้อไม่หยุด และเดินเข้าไปทางซุ้มประตู
“เรื่องพวกนั้นเอาไว้เล่าทีหลังก็ได้ เช้านี้เราต้องหาตัวมูซาชิให้พบเสียก่อน เพราะท่านเซกิชูไซบอกว่าถ้าเป็นชายผู้นี้ละก็จะฝืนกฎให้เข้ามาพบได้ และท่านก็กำลังคอยอยู่ด้วย”
นักดาบหนุ่มที่ซุ่มอยู่ข้างซุ้มประตูได้ยินเสียงถอดสลัก
และประตูแบบสำนักชาของริคิวก็เปิดกว้างออกทั้งสองบาน
3
เช้าวันนี้โอซือแช่มชื่นแจ่มใสราวดอกไม้งามที่กำลังบานสะพรั่ง ด้วยความดีใจที่คิดว่าจะได้พบกับมูซาชิและความสุขที่เปี่ยมล้นใจสาวเปล่งประกายออกมาจนผุดผ่องไปทั้งเนื้อทั้งตัว อีกทั้งแสงแดดต้นฤดูร้อนยังช่วยบ่มผิวแก้มให้แดงระเรื่อเป็นยองใยราวผิวผลไม้ที่ชุ่มฉ่ำ
ลมเย็นชื่นใจโฉยกลิ่นหอมของใบไม้อ่อนที่เพิ่งแรกแตกตาให้สูดดมจนอิ่มอก รู้สึกราวกับว่าภายในกายตัวถูกย้อมให้เป็นสีเขียวของใบไม้ไปทั่ว
มูซาชิซุ่มตัวเฝ้ามองหญิงอันเป็นที่รักอยู่หลังพุ่มไม้ หลังเสื้อเปียกชื้นด้วยน้ำค้างยามรุ่งอรุณ
เจ้าหนุ่มสังเกตได้ทันทีว่าโอซือดูแข็งแรงขึ้นมาก
แก้มเปล่งปลั่งดวงตาเป็นประกายต่างจากโอซือ เด็กกำพร้าแสนเศร้าที่มักนั่งเหม่อลอย มองไปข้างหน้าด้วยแววตาว่างเปล่าอยู่ที่ระเบียงโบสถ์วัดชิปโปจิ
โอซือตอนนั้นยังไม่มีความรัก หรืออาจมีแต่ก็ยังลางเลือนไม่ชัดเจน วัน ๆ ได้แต่ครุ่นคิดว่าทำไมตนจึงเป็นเด็กกำพร้า คิดวนไปเวียนมาอยู่อย่างนั้นจนทำให้กลายเป็นเด็กอมทุกข์
ครั้นเมื่อได้รู้จักกับมูซาชิและเชื่อว่าเป็นชายที่มีความเข้มแข็งสมชาย จึงได้เริ่มมีอารมณ์รักและถวิลหาเป็นสิ่งจรรโลงใจให้อยู่อย่างตระหนักรู้ถึงคุณค่าของชีวิต ระหว่างเดินทางร่อนเร่พเนจรตามหาตามหามูซาชิ ความรักที่ก่อตัวขึ้นได้เติบโตและมั่นคงขึ้นเป็นปัจจัยที่หล่อเลี้ยงใจและกายให้ทนสู้กับทุกสิ่งที่ขวางหน้า
โอซืองามขึ้นกว่าแต่ก่อนมากนัก
มูซาชิจ้องมองหญิงอันเป็นที่รักไม่วางตาอยู่หลังพุ่มไม้ อยากเข้าไปกอดไว้ในอ้อมอกและพาไปพร่ำพรอดความในใจกันให้หายคิดถึง ณ ที่ใดสักแห่งที่ไม่มีใครอื่น อยากเผยความในใจให้นางได้เห็นความอ่อนแอที่แฝงอยู่เบื้องหลังความแข็งกล้าราวเหล็กไหลของเขา อยากสารภาพว่าข้อความที่ใช้ปลายดาบเขียนไว้บนราวสะพานฮานาดะบาชิเมื่อครั้งนั้นว่า... ข้าโกหกทั้งหมดนั้น และขอแก้
เมื่อไม่มีใครเห็น ก็จะออดอ้อนนางอย่างไม่เกรงเสียเชิงชาย นางออกตามหาตนด้วยความรักร้อนแรงเพียงใด ตนก็มีความรักที่กักกั้นเอาไว้จนร้อนแรงมาแลกให้เสมอกัน จะแลกรักแลกกอดกันให้เต็มอิ่ม แนบแก้มและช่วยเช็ดน้ำตา...แต่มูซาชิก็ได้แต่คิด ทำได้อย่างเดียวคือคิด...คำบอกรักที่แสนซื่อของโอซือยังแจ่มชัดอยู่ข้างหูทุกครั้งที่คิดถึง ทำให้เจ้าหนุ่มต้องกัดฟันและกำหมัดแน่นทุกครั้งที่จำต้องทำตัวเป็นชายใจร้ายใจดำกับเธอ
ใจหนึ่งกับอีกใจหนึ่งของเจ้าหนุ่มปะทะกันรุนแรง
เรียกออกไปสิ เรียกออกไปดัง ๆ เลย
โอซือ
อีกใจหนึ่งดุเสียงลั่น
บ้าไปแล้วรึ
มูซาชิเองก็ไม่รู้ว่าใจไหนคือใจจริงกันแน่ แต่เมื่อสงบจิตสงบใจนิ่งคิดตาก็เริ่มมองเห็นทางสองแพร่ง ทางหนึ่งมืดทางหนึ่งสว่างชัดเจนขึ้นและสมองที่สับสนก็ค่อย ๆ รับรู้ขึ้นมาทีละนิด
โอซือไม่รู้ว่ามีใครเฝ้ามองตนอยู่ด้วยความปั่นป่วนใจอยู่หลังพุ่มไม้ ก้าวเดินออกจากประตูรั้วไปได้ราวสิบก้าวก็เหลียวกลับไปมอง เห็นโจทาโรยังเถลไถลทำอะไรอยู่ข้างซุ้มประตู
“โจทาโร มัวเก็บอะไรอยู่หรือ รีบไปกันเถอะ”
“รอเดี๋ยว โอซือ”
“อะไรนั่นนะ ผ้าเช็ดมือสกปรกจะตาย เก็บไปทำไม”
4
ผ้าเช็ดมือผืนหนึ่งตกอยู่ข้างประตูรั้ว ยังเปียกอยู่เหมือนเพิ่งบิดหมาด ๆ โจทาโรเดินไปเหยียบเข้าจึงใช้ปลายนิ้วคีบขึ้นมาดู
“เอ๊ะ นี่มันผ้าเช็ดมือของครู”
โจทาโรเดินมาใกล้และยื่นให้โอซือดู
“อะไรนะ ของมูซาชิหรือ”
หนุ่มน้อยกางผ้าผืนนั้นออก
“ใช่ ๆ ผ้าย้อมลายใบโมมิจิผืนนี้ได้มาจากบ้านคุณนายที่นารา นี่ไงมีเครื่องหมายของร้านซาลาเปาด้วย”
“งั้นเขาก็อยู่แถวนี้น่ะซี”
โอซือกวาดสายตาไปรอบ ๆ และอยู่ ๆ โจทาโรก็ตะโกนเสียงดังที่ข้างหูนาง”
“ครู”
พร้อมกันนั้นก็มีเสียงเหมือนกวางหรืออะไรสักอย่างเผ่นผ่านหมู่ไม้ในป่าข้าง ๆ ทำเอากิ่งไม้ไหวสลัดหยาดน้ำค้างบนใบร่วงพรูเป็นประกาย โอซือหันขวับ ผละจากโจทาโรวิ่งไปทางต้นเสียงทันที หนุ่มน้อยกวดตามไปติด ๆ
“โอซือ โอซือ จะไปไหน”
“มูซาชิวิ่งไปทางนั้น”
“ไหน ไปทางไหน”
“ทางโน้น”
“ไม่เห็นมีเลย”
“เข้าไปในป่านั่นไง”
โอซือเห็นมูซาชิเพียงแวบเดียวแต่ความดีใจนั้นยิ่งใหญ่นัก แต่ความดีใจกลับกลายเป็นสิ้นหวังเมื่อระยะทางระหว่างกันห่างกันทุกทีไม่ว่าจะพยายามรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีอยู่เร่งฝีเท้าตามไป
“ไม่จริงมั๊ง ไม่ใช่หรอก”
โจทาโรวิ่งตามไปทั้งที่ทำหน้าว่าไม่เชื่อว่าจะใช่
“ถ้าเป็นครูจริง เห็นเราแล้วจะหนีทำไม ผิดคนแน่เลย”
“จริง ๆ ดูนั่นซี”
“ไหน”
“โน่น---“
ว่าแล้วก็ตะโกนเรียกสุดเสียง
“มู ซา ชิ”
แล้วหมดแรงทรุดลงตรงโคนต้นไม้ข้างทาง พอโจทาโรปราดเข้าไปประคองนางก็เร่งระล่ำระลัก
“โจทาโร มัวทำอะไรอยู่ ทำไมไม่เรียก เร็วเข้า ตะโกนเรียกดัง ๆ เร็วซี”
หนุ่มน้อยตกตะลึง อ้าปากค้างมองหน้าโอซืออย่างไม่เชื่อสายตา---เหมือนอะไรนะ เหมือนมากเลย
ปากอ้ากว้างนัก ตาแดงเรื่อ คิ้วขมวดเป็นรอยแหลมเหมือนเข็ม จมูกและคางเหมือนเทียนสลัก---เหมือน เหมือนไม่มีผิดกับหน้ากากละครโนที่โจทาโรได้มาจากคุณนายเจ้าของบ้านพักที่นารา
หนุ่มน้อยชักมือที่จับตัวโอซืออยู่กลับมาโดยเร็ว โอซือทำหน้าบึ้งและดุอีก
“รีบวิ่งตามไป ตะโกนเรียกด้วย เดี๋ยวมูซาชิก็ไม่กลับมาน่ะซี เรียกเข้า ตะโกนดัง ๆ ฉันก็จะตะโกนเรียกด้วย เรียกไปจนกว่าจะหมดเสียง”
โจทาโรไม่เชื่อว่าใช่และค้านอยู่ในใจ แต่เมื่อเห็นโอซือจริงจังมากขนาดนั้นก็ทนเฉยอยู่ไม่ได้ ต้องออกวิ่งพลางตะโกนเรียกไปพร้อมกับโอซือ พอวิ่งผ่านป่าออกมาก็ถึงเนินเตี้ย ๆ และพบกับทางที่ตัดจากทึกิงาเซะไปยังอิงะ
โอ๊ะ นั่นครูจริง ๆ ด้วย”
พอขึ้นไปยืนบนทางที่เนินเขาโจทาโรก็เห็นมูซาชิที่กำลังวิ่งไกลออกไปอย่างชัดเจน
ไกลออกไปเกินกว่าจะได้ยินเสียงกู่ตะโกนของตนและโอซือ
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ขุนนางทั้งหลาย อย่าประหลาดใจ
กับข้าผู้ใคร่ปิดประตูปราสาท
ที่นี่ไม่มีนักดาบ
มีเพียงนกกระจ้อยตัวน้อยในทุ่งนา
กวีบทนี้คือคำแทนใจของเจ้าของกระท่อมท้ายปราสาทแห่งนี้เป็นแน่แท้ จึงได้จารึกลงบนแผ่นป้ายติดไว้บนสองเสาของซุ้มประตูให้คนที่ผ่านไปมาได้ตระหนัก
มูซาชิท่องทวนบทกวีหลายครั้งจนติดปาก
เช้าวันนี้ นักดาบหนุ่มจัดแจงแต่งกายเรียบร้อยตามมารยากของผู้มาเยือน ใจสงบและสมองก็ปลอดโปร่งแจ่มใส เข้าใจความหมายของบทกวีนี้อย่างถ่องแท้ พร้อมกันนั้นภาพของเซกิชูไซ ชีวิตความเป็นอยู่และความรู้สึกนึกคิดของเจ้าสำนักผู้นี้ก็ฉายชัดขึ้นมาในใจ
เซกิชูไซไม่ได้ปิดประตูปฏิเสธการประสิทธิประสาทวิชาให้แก่นักดาบฝึกหัด ไม่ต้อนรับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่จะมาสอดส่องด้วยความสงสัยเท่านั้น แต่ปิดสนิทไม่ยอมรับทั้งลาภยศสรรเสริญและสรรพสิ่งทั้งปวงในโลก ปิดกั้นไม่ให้กิเลสตัณหาของทั้งตนเองและผู้อื่นลอดผ่านเข้ามาได้
ข้ามันก็แค่เด็กอ่อนหัด
มูซาชิรำพึงและยอมใจให้ก้มหัวคารวะเซกิชูไซที่สำหรับตนนั้นเปรียบเสมือนดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้า เหนือยอดไม้ที่สูงลิ่ว
เอื้อมไม่ถึง คนอย่างข้าไม่มีวันเอื้อมถึง
ความคิดที่จะเคาะประตูรั้วมลายหายไป ไม่ต้องพูดถึงการถีบประตูเข้าไปด้วยความบ้าระห่ำตามพื้นนิสัย เพราะแค่คิดก็กลัวจนขนหัวลุก...ไม่ใช่สิ ตัวชาดิ่งเพราะอับอายตัวเองมากกว่า
ดอกไม้ สายลม นก และดวงจันทร์ เท่านั้นที่เซกิชูไซจะเปิดประตูให้ผ่านเข้าไปได้
บัดนี้...เซกิชูไซไม่ใช่ปรมาจารย์เจ้าสำนักดาบผู้ยิ่งใหญ่ในยุทธจักร ไม่ใช่ผู้ครองแคว้นผู้มีอำนาจเหนือดินแดนอันไพศาลอีกต่อไป แต่เป็นเพียงผู้เฒ่าที่ปลีกวิเวกมาอยู่เพียงลำพังท่ามกลางธรรมชาติ
มีแต่คนสิ้นคิดเท่านั้นที่จะบุกเข้าไปในก่อความโกลาหลขึ้นในเคหสถานอันสงบสุขของท่านผู้นี้
เราจะได้อะไรจากการมีชัยชนะเหนือผู้ที่ไม่ฝักใฝ่ในลาภยศสรรเสริญ จะได้ลาภได้ยศอะไรหรือใครจะสรรเสริญอย่างนั้นรึ
อา...ดีที่มีบทกวีที่ซุ้มประตู ไม่เช่นนั้นเราจะต้องกลายเป็นตัวตลกให้ท่านเซกิชูไซหัวเราะไปหลายวัน
คงจะเป็นเพราะแดดจัดขึ้น เสียงนกกระจ้อยจึงไม่จอแจเท่าเมื่อเช้าตรู่
---เสียงฝีเท้าดังมาแต่ไกลจากด้านบนของทางลาดเนินมุ่งมาที่ซุ้มประตู นกน้อยตื่นตกใจกระพือปีกสลัดหยาดน้ำค้างกระเซ็นกระจายสะท้อนแสงแดดเป็นสายรุ้งเล็ก ๆ
โอ๊ะ
มูซาชิตาตื่นเมื่อมองผ่านรอยแยกที่รั้วเห็นร่างอรชรของสาวน้อยนางหนึ่งที่กำลังวิ่งลงเนินมา
โอซือ
เจ้าหนุ่มหวนคิดถึงเสียงขลุ่ยเมื่อค่ำคืนก่อนแล้วใจสะท้านสั่นไหวขึ้นมาทันใด
ออกไปพบดีหรือไม่ดี หรือว่าจะทำยังไงดี
นักดาบหนุ่มลังเล
คิดถึง อยากพบและสวมกอด
แต่ก็ยังออกไปพบไม่ได้
ใจเต้นระทึกไม่เป็นส่ำ ลมรักกระพือพัดโหมกระหน่ำอยู่ในอก นักดาบร่างใหญ่หมดฤทธิ์กลายเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่โหยหาไออุ่นจากอ้อมกอดหญิงอันเป็นที่รัก
ทำไงดีล่ะ...คิดยังไงก็ตัดสินใจไม่ได้
ระหว่างนั้นเองโอซือก็วิ่งจากกระท่อมบนเขาลงเนินมาที่ประตู อยู่ห่างกันแค่เอื้อมมือก็ได้แตะต้องตัว
“เอ๊ะ”
นางอุทานเบา ๆ ชะงักเท้าและหันไปมองข้างหลัง
สอยส่ายสายตาที่เปล่งประกายแจ่มใสสดชื่นเหมือนกับว่าได้พบสิ่งที่ดีต่อใจในยามเช้าวันนี้ ไปทางนั้นทางนี้ ครั้งไม่พบก็ยกมือขาวนวลทั้งคู่ขึ้นป้องปากจิ้มลิ้ม ร้อยตะโกนเสียงแจ๋วขึ้นไปทางเนินเขา
“โจทาโร โจทาโร เจ้าไปอยู่เสียที่ไหน โจทาโร”
2
“โจทาโร”
สาวงามเว้นระยะอึดใจหนึ่งแล้วตะโกนเรียกอีก คราวนี้มีเสียงขานรับแจ่มใสพอกันออกมาจากด้านบนของกอไผ่
“อยู่นี่”
“ฉันอยู่ตรงนี้ เดินตามกันมาแท้ ๆ ทำไมถึงได้เดินหลงขึ้นไปบนนั้น ลงมานี่เร็ว ๆ”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงเรียก โจทาโรก็ไถลตัวลงมายืนข้างโอซืออย่างรวดเร็ว ส่งยิ้มร่าเริงให้กับพลางบอกว่า
“ที่แท้ก็อยู่ตรงนี้นี่เอง”
“ก็ใช่นะซี บอกให้เดินตามมา อยู่ ๆ ก็หายไป ตกใจหมดเลย”
“พอดีเห็นไก่ป่าก็เลยวิ่งตามมันไป”
“อะไรกัน นี่ใช่เวลาไล่ไก่ป่าเสียที่ไหน เจ้าเป็นคนบอกเองว่าพอรุ่งสางจะต้องออกไปตามหาคนสำคัญ”
“แต่ไม่ต้องห่วงหรอกแม่นาง ครูของข้ามีฝีมือ ไม่แพ้ใครง่าย ๆ หรอก”
“อย่ามาพูดดีเลย ใครกันที่วิ่งมาหาข้าเมื่อคืน ระล่ำระลักแทบจะร้องไห้บอกว่าครูกำลังตกอยู่ในอันตราย และแผดเสียงขรมถมเถเร่งรัดข้าให้ขอร้องท่าน ให้ออกคำสั่งหยุดพวกซามูไรที่กำลังต่อสู้อยู่กับครูของเจ้า”
“ก็ตอนนั้นข้าตกใจนี่นา”
“อะไรกัน ข้าตกใจมากกว่าเจ้าเสียอีกเมื่อรู้ว่าครูของเจ้าคือมิยาโมโตะ มูซาชิ ข้าตกใจจนพูดไม่ออกเลยนะเจ้า”
“โอซือรู้จักครูของข้าได้ยังไง”
“เราเป็นคนบ้านเดียวกัน”
“แค่นั้นเหรอ”
“ใช่”
“แปลกนี่ แค่เป็นคนบ้านเดียวกัน ไม่เห็นจะต้องร้องไห้พิรี้พิไรขนาดนั้นสักหน่อย”
“เมื่อคืน ฉันร้องไห้ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“อย่างนี้นี่เองที่เขาว่าคนเราจำเรื่องของคนอื่นได้แต่มักจะลืมตัว...เมื่อคืนข้าตื่นเต้นและกลัวมาก เพราะครูถูกนักดาบถึงสี่คนล้อมกรอบ แค่นักดาบสี่คนก็ไม่ค่อยเท่าไหร่สำหรับครูข้า แต่ทั้งสี่เป็นนักดาบชั้นครูของสำนักข้าก็เลยหวั่นใจ คิดว่าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างครูอาจสิ้นชื่อไปในคืนนี้ก็เป็นได้ จึงคิดช่วยเท่าที่นึกได้ในตอนนั้นคือกอบทรายสาดใส่ทั้งสี่คนนั่น ก็พอดีได้ยินเสียงขลุ่ยของโอซือไง”
“ใช่ ฉันเปล่าขลุ่ยให้ท่านเซกิชูไซฟัง”
“พอได้ยินเสียงขลุ่ย ข้าจึงนึกขึ้นได้ว่าโอซืออยู่ที่ปราสาทนี้ และรีบวิ่งมาขอความช่วยเหลือ”
“เมื่อเจ้าได้ยินเสียงขลุ่ยของข้ามูซาชิก็ต้องได้ยินด้วย ใจเราคงสื่อถึงกัน เพราะขณะที่ฉันเป่าขลุ่ยให้ท่านเซกิชูไซฟังนั้นใจฉันคิดถึงแต่มูซาชิคนเดียว”
“จะยังไงข้าไม่รู้ด้วย พอได้ยินเสียงขลุ่ยข้าก็จับทิศทางได้และวิ่งเตลิดมาทันที และพอเห็นหน้าโอซือข้าก็ตะโกนสุดเสียง”
“ใช่ เจ้าตะโกนว่าสงคราม สงคราม สนั่นหวั่นไหว ท่านเซกิชูไซเองยังตกใจ”
“แต่ ท่านผู้เฒ่าเป็นคนมีเมตตามาก ข้าเล่าเรื่องที่ฆ่าหมาชื่อทาโรตายให้ฟังก็ไม่เห็นจะโกรธเกรี้ยวเหมือนพวกบริวาร”
โอซือพูดคุยถูกคอกันกับหนุ่มน้อยโจทาโรจนลืมเวลา
“เอาละ ๆ “
สาวงามขัดขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายจ้อไม่หยุด และเดินเข้าไปทางซุ้มประตู
“เรื่องพวกนั้นเอาไว้เล่าทีหลังก็ได้ เช้านี้เราต้องหาตัวมูซาชิให้พบเสียก่อน เพราะท่านเซกิชูไซบอกว่าถ้าเป็นชายผู้นี้ละก็จะฝืนกฎให้เข้ามาพบได้ และท่านก็กำลังคอยอยู่ด้วย”
นักดาบหนุ่มที่ซุ่มอยู่ข้างซุ้มประตูได้ยินเสียงถอดสลัก
และประตูแบบสำนักชาของริคิวก็เปิดกว้างออกทั้งสองบาน
3
เช้าวันนี้โอซือแช่มชื่นแจ่มใสราวดอกไม้งามที่กำลังบานสะพรั่ง ด้วยความดีใจที่คิดว่าจะได้พบกับมูซาชิและความสุขที่เปี่ยมล้นใจสาวเปล่งประกายออกมาจนผุดผ่องไปทั้งเนื้อทั้งตัว อีกทั้งแสงแดดต้นฤดูร้อนยังช่วยบ่มผิวแก้มให้แดงระเรื่อเป็นยองใยราวผิวผลไม้ที่ชุ่มฉ่ำ
ลมเย็นชื่นใจโฉยกลิ่นหอมของใบไม้อ่อนที่เพิ่งแรกแตกตาให้สูดดมจนอิ่มอก รู้สึกราวกับว่าภายในกายตัวถูกย้อมให้เป็นสีเขียวของใบไม้ไปทั่ว
มูซาชิซุ่มตัวเฝ้ามองหญิงอันเป็นที่รักอยู่หลังพุ่มไม้ หลังเสื้อเปียกชื้นด้วยน้ำค้างยามรุ่งอรุณ
เจ้าหนุ่มสังเกตได้ทันทีว่าโอซือดูแข็งแรงขึ้นมาก
แก้มเปล่งปลั่งดวงตาเป็นประกายต่างจากโอซือ เด็กกำพร้าแสนเศร้าที่มักนั่งเหม่อลอย มองไปข้างหน้าด้วยแววตาว่างเปล่าอยู่ที่ระเบียงโบสถ์วัดชิปโปจิ
โอซือตอนนั้นยังไม่มีความรัก หรืออาจมีแต่ก็ยังลางเลือนไม่ชัดเจน วัน ๆ ได้แต่ครุ่นคิดว่าทำไมตนจึงเป็นเด็กกำพร้า คิดวนไปเวียนมาอยู่อย่างนั้นจนทำให้กลายเป็นเด็กอมทุกข์
ครั้นเมื่อได้รู้จักกับมูซาชิและเชื่อว่าเป็นชายที่มีความเข้มแข็งสมชาย จึงได้เริ่มมีอารมณ์รักและถวิลหาเป็นสิ่งจรรโลงใจให้อยู่อย่างตระหนักรู้ถึงคุณค่าของชีวิต ระหว่างเดินทางร่อนเร่พเนจรตามหาตามหามูซาชิ ความรักที่ก่อตัวขึ้นได้เติบโตและมั่นคงขึ้นเป็นปัจจัยที่หล่อเลี้ยงใจและกายให้ทนสู้กับทุกสิ่งที่ขวางหน้า
โอซืองามขึ้นกว่าแต่ก่อนมากนัก
มูซาชิจ้องมองหญิงอันเป็นที่รักไม่วางตาอยู่หลังพุ่มไม้ อยากเข้าไปกอดไว้ในอ้อมอกและพาไปพร่ำพรอดความในใจกันให้หายคิดถึง ณ ที่ใดสักแห่งที่ไม่มีใครอื่น อยากเผยความในใจให้นางได้เห็นความอ่อนแอที่แฝงอยู่เบื้องหลังความแข็งกล้าราวเหล็กไหลของเขา อยากสารภาพว่าข้อความที่ใช้ปลายดาบเขียนไว้บนราวสะพานฮานาดะบาชิเมื่อครั้งนั้นว่า... ข้าโกหกทั้งหมดนั้น และขอแก้
เมื่อไม่มีใครเห็น ก็จะออดอ้อนนางอย่างไม่เกรงเสียเชิงชาย นางออกตามหาตนด้วยความรักร้อนแรงเพียงใด ตนก็มีความรักที่กักกั้นเอาไว้จนร้อนแรงมาแลกให้เสมอกัน จะแลกรักแลกกอดกันให้เต็มอิ่ม แนบแก้มและช่วยเช็ดน้ำตา...แต่มูซาชิก็ได้แต่คิด ทำได้อย่างเดียวคือคิด...คำบอกรักที่แสนซื่อของโอซือยังแจ่มชัดอยู่ข้างหูทุกครั้งที่คิดถึง ทำให้เจ้าหนุ่มต้องกัดฟันและกำหมัดแน่นทุกครั้งที่จำต้องทำตัวเป็นชายใจร้ายใจดำกับเธอ
ใจหนึ่งกับอีกใจหนึ่งของเจ้าหนุ่มปะทะกันรุนแรง
เรียกออกไปสิ เรียกออกไปดัง ๆ เลย
โอซือ
อีกใจหนึ่งดุเสียงลั่น
บ้าไปแล้วรึ
มูซาชิเองก็ไม่รู้ว่าใจไหนคือใจจริงกันแน่ แต่เมื่อสงบจิตสงบใจนิ่งคิดตาก็เริ่มมองเห็นทางสองแพร่ง ทางหนึ่งมืดทางหนึ่งสว่างชัดเจนขึ้นและสมองที่สับสนก็ค่อย ๆ รับรู้ขึ้นมาทีละนิด
โอซือไม่รู้ว่ามีใครเฝ้ามองตนอยู่ด้วยความปั่นป่วนใจอยู่หลังพุ่มไม้ ก้าวเดินออกจากประตูรั้วไปได้ราวสิบก้าวก็เหลียวกลับไปมอง เห็นโจทาโรยังเถลไถลทำอะไรอยู่ข้างซุ้มประตู
“โจทาโร มัวเก็บอะไรอยู่หรือ รีบไปกันเถอะ”
“รอเดี๋ยว โอซือ”
“อะไรนั่นนะ ผ้าเช็ดมือสกปรกจะตาย เก็บไปทำไม”
4
ผ้าเช็ดมือผืนหนึ่งตกอยู่ข้างประตูรั้ว ยังเปียกอยู่เหมือนเพิ่งบิดหมาด ๆ โจทาโรเดินไปเหยียบเข้าจึงใช้ปลายนิ้วคีบขึ้นมาดู
“เอ๊ะ นี่มันผ้าเช็ดมือของครู”
โจทาโรเดินมาใกล้และยื่นให้โอซือดู
“อะไรนะ ของมูซาชิหรือ”
หนุ่มน้อยกางผ้าผืนนั้นออก
“ใช่ ๆ ผ้าย้อมลายใบโมมิจิผืนนี้ได้มาจากบ้านคุณนายที่นารา นี่ไงมีเครื่องหมายของร้านซาลาเปาด้วย”
“งั้นเขาก็อยู่แถวนี้น่ะซี”
โอซือกวาดสายตาไปรอบ ๆ และอยู่ ๆ โจทาโรก็ตะโกนเสียงดังที่ข้างหูนาง”
“ครู”
พร้อมกันนั้นก็มีเสียงเหมือนกวางหรืออะไรสักอย่างเผ่นผ่านหมู่ไม้ในป่าข้าง ๆ ทำเอากิ่งไม้ไหวสลัดหยาดน้ำค้างบนใบร่วงพรูเป็นประกาย โอซือหันขวับ ผละจากโจทาโรวิ่งไปทางต้นเสียงทันที หนุ่มน้อยกวดตามไปติด ๆ
“โอซือ โอซือ จะไปไหน”
“มูซาชิวิ่งไปทางนั้น”
“ไหน ไปทางไหน”
“ทางโน้น”
“ไม่เห็นมีเลย”
“เข้าไปในป่านั่นไง”
โอซือเห็นมูซาชิเพียงแวบเดียวแต่ความดีใจนั้นยิ่งใหญ่นัก แต่ความดีใจกลับกลายเป็นสิ้นหวังเมื่อระยะทางระหว่างกันห่างกันทุกทีไม่ว่าจะพยายามรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีอยู่เร่งฝีเท้าตามไป
“ไม่จริงมั๊ง ไม่ใช่หรอก”
โจทาโรวิ่งตามไปทั้งที่ทำหน้าว่าไม่เชื่อว่าจะใช่
“ถ้าเป็นครูจริง เห็นเราแล้วจะหนีทำไม ผิดคนแน่เลย”
“จริง ๆ ดูนั่นซี”
“ไหน”
“โน่น---“
ว่าแล้วก็ตะโกนเรียกสุดเสียง
“มู ซา ชิ”
แล้วหมดแรงทรุดลงตรงโคนต้นไม้ข้างทาง พอโจทาโรปราดเข้าไปประคองนางก็เร่งระล่ำระลัก
“โจทาโร มัวทำอะไรอยู่ ทำไมไม่เรียก เร็วเข้า ตะโกนเรียกดัง ๆ เร็วซี”
หนุ่มน้อยตกตะลึง อ้าปากค้างมองหน้าโอซืออย่างไม่เชื่อสายตา---เหมือนอะไรนะ เหมือนมากเลย
ปากอ้ากว้างนัก ตาแดงเรื่อ คิ้วขมวดเป็นรอยแหลมเหมือนเข็ม จมูกและคางเหมือนเทียนสลัก---เหมือน เหมือนไม่มีผิดกับหน้ากากละครโนที่โจทาโรได้มาจากคุณนายเจ้าของบ้านพักที่นารา
หนุ่มน้อยชักมือที่จับตัวโอซืออยู่กลับมาโดยเร็ว โอซือทำหน้าบึ้งและดุอีก
“รีบวิ่งตามไป ตะโกนเรียกด้วย เดี๋ยวมูซาชิก็ไม่กลับมาน่ะซี เรียกเข้า ตะโกนดัง ๆ ฉันก็จะตะโกนเรียกด้วย เรียกไปจนกว่าจะหมดเสียง”
โจทาโรไม่เชื่อว่าใช่และค้านอยู่ในใจ แต่เมื่อเห็นโอซือจริงจังมากขนาดนั้นก็ทนเฉยอยู่ไม่ได้ ต้องออกวิ่งพลางตะโกนเรียกไปพร้อมกับโอซือ พอวิ่งผ่านป่าออกมาก็ถึงเนินเตี้ย ๆ และพบกับทางที่ตัดจากทึกิงาเซะไปยังอิงะ
โอ๊ะ นั่นครูจริง ๆ ด้วย”
พอขึ้นไปยืนบนทางที่เนินเขาโจทาโรก็เห็นมูซาชิที่กำลังวิ่งไกลออกไปอย่างชัดเจน
ไกลออกไปเกินกว่าจะได้ยินเสียงกู่ตะโกนของตนและโอซือ