นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ข้าขอท้ารบกับปราสาทโคยากิวแห่งนี้
ไม่ใช่แค่ประลองฝีมือแต่เป็นการท้ารบ
คำว่าท้ารบ อาจฟังดูโอหังเกินตัวซามูไรพเนจรที่มีเพียงดาบเล่มเดียวในมือ แต่สำหรับมูซาชิมันยังไม่แรงพอกับเพลิงปรารถนาที่คุโชนอยู่ในใจ
นักดาบหนุ่มไม่ได้กำลังท้าทายใครในสำนักไม่ว่าศิษย์หรือครูให้ออกมาประลองฝีมือดาบ แต่กำลังท้ารบ...ราวกับตนคนเดียวนี้เป็นกองทัพหนึ่งที่รุกมาประชิดปราสาทแล้วร้องท้าให้ออกมาสู้กันให้สุดฝีมือทั้งกลยุทธ์เชิงดาบและภูมิปัญญาการวางแผนยุทธศาสตร์ เท้าทั้งสองที่ตรึงร่างนักดาบหนุ่มผู้อหังการกับผืนแผ่นดินยืนยันความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวเหนือคำพร่ำพูดอย่างใด
ศิษย์เอกทั้งสี่แห่งสำนักดาบยากิวมองหน้ากัน ไม่แปลกอะไรที่ต่างคิดว่า เจ้านี่ถ้าจะบ้า
“ก็ได้ สนุกดีนี่”
คิมูระนักดาบเลือดร้อน ถลันออกมานอกแถว สะบัดรองเท้าแตะฟางไปทางหนึ่ง และยืนจังก้ารับคำท้าทาย
“ไม่ต้องตีฆ้องย่ำกลองศึกให้เสียเวลา ไหน...ใครหน้าไหนบอกว่าจะทำสงคราม เข้ามาเลย ข้านี่แหละคือกองหน้า ท่านโชดะ ท่านเดบูจิปล่อยเจ้าคนโอหังเข้ามาทางข้าได้เลย”
ใคร ๆ ห้ามหลายหนแล้ว คิมูระ คุงคูโรก็ยังกระเหี้ยนกระหือรือไม่ฟังคำ คราวนี้ครูดาบทั้งสองสบตาเป็นเชิงว่า
ถ้าจะรั้งไว้ไม่อยู่แล้ว
คิดแล้วก็ปล่อยแขนมูซาชิที่ช่วยกันรั้งเอาออกพร้อมกัน แล้วผลักร่างสูงใหญ่กำยำของมูซาชิเข้าใส่ผู้อาจหาญรับคำท้า
“เอ้า เอาไป”
มูซาชิเสียหลักเซแซด ๆ เข้าไปที่คิมูระซึ่งยืนตั้งท่ารับอยู่แล้ว
คิมูระถอยฉากชักดาบขึ้นเหนือศีรษะและฟาดฟันลงมาสุดแรง เสียงคมดาบแหวกอากาศดังเควี้ยว ตามมาด้วยเสียงประหลาดดัง ซ่า
“เฮ้ย”
ใครคนหนึ่งร้องลั่น เสียงเล็กแหลมเกินกว่าจะเป็นเสียงของมูซาชิ
โจทาโรนั่นเอง หนุ่มน้อยกระโจนจากที่ซ่อนใต้ต้นสนออกมาเต้นเหยง ๆ และเสียงซ่า ซ่าที่กระทบคมดาบของคิมูระ ก็คือเสียงฝนทรายที่เจ้าหนุ่มน้อยสาดเข้าใส่ซามูไรเลือดร้อนนั่นเอง
ทรายเพียงหยิบมือหนึ่งนั้นไม่ได้ช่วยอะไรมากไปกว่าทำเกิดเสียงประหลาด เพราะก่อนถูกผลักเข้าใส่คิมูระ มูซาชิได้กะระยะห่างและปรับเพิ่มความแรงและเร็วเมื่อปะทะเอาไว้แล้ว อีกฝ่ายจึงเสียจังหวะตั้งรับ ดมดาบแหวกอากาศพลาดเป้าซ้ำถูกทรายซัดเกิดเสียงประหลาด เสียหน้าน่าหัวเราะยิ่งนัก
2
คู่อริกระโดดผละออกจากกันสิบกว่าศอก คิมูระเงื้อง่าดาบอยู่ในท่าที่จะฟาดฟันลงมาในวินาทีนั้น แต่หยุดอยู่ด้วยสายตาคมเฉียบที่เปล่งประกายอยู่ในความมืด
“น่าดู”
โชดะเอ่ยขึ้นขณะจับจ้องนักดาบทั้งคู่ไม่วางตา เดบูจิกับมูราตะและคนอื่นแม้จะอยู่นอกสังเวียน แต่ก็ขยับตัวย้ายที่ยึดตำแหน่งตั้งรับเตรียมพร้อมเหมือนต้องลมสงครามที่กำลังโหมแรง
เชิงรบของมูซาชิทำให้ทุกคนต้องขยี้ตาเหมือนได้เห็นสิ่งที่ไม่คาดว่าจะได้เห็น
หมอนี่ไม่ใช่เล่น
มูซาชิยืนนิ่งไม่ใยไพกับปลายดาบที่เล็งลงมาหมายพุ่งเข้าใส่เรือนอก ไหล่ขวาเปลือย ศอกยกสูง มือและจิตจับนิ่งอยู่ที่ด้ามดาบ...ยังไม่ชักจากฝัก
“... ... ...”
นิ่งจนนับจังหวะหายใจของคู่ต่อสู้ทั้งสองได้ ใบหน้าของมูซาชิแฝงอยู่ในเงามืด เห็นแต่ตาขาวคล้ายหมากล้อมสองเม็ดเด่นโพลนอยู่
นิ่งและนิ่งแต่เหตุไฉนจึงดูเหมือนพลังถูกเผาผลาญ ไม่เคลื่อนเข้าหากันแม้แต่ก้าวเดียว แต่ไฉนจึงรู้สึกได้ว่าความมืดรอบกายคิมูระสั่นไหวน้อย ๆ ใช่ซิ...ก็ลมหายใจของศิษย์แห่งสำนักยากิวแรงและเร็วกว่ามูซาชิออกอย่างนั้น
อืม...
เดบูจิเผลอตัวครางออกมาเมื่อเห็นว่าเรื่องที่คิดเล่น ๆ ว่าเป็นเรื่องของคนเสียสติกำลังจะกลายเป็นวิกฤติ และคิดว่าโชดะกับมูราตะก็คงรู้สึกเช่นกันว่า เจ้านี่ไม่ใช่ธรรมดาเสียแล้ว นักดาบทั้งสามแห่งสำนักดาบยากิวประเมินสถานการณ์ได้ชัดเจนว่าหากไม่ทำอะไรสักอย่าง การต่อสู้ระหว่างคิมูระกับมูซาชิก็คงจะต้องดำเนินไปถึงขั้นแตกหักเป็นแน่
แม้อาจถูกมองว่าขี้ขลาดแต่ก็จำเป็นต้องยับยั้งการต่อสู้เอาไว้ก่อนที่จะกลายเป็นเรื่องร้ายแรง ก่อนที่จะมีใครได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั้งสามเห็นพ้องกันด้วยสายตาและกระโจนเข้าใส่มูซาชิพร้อมกันทั้งซ้ายและขวา
แต่ก็ไม่เร็วไปกว่ามือของมูซาชิที่ชักดาบออกจากฝักสะบัดแหวกอากาศวาดสุดช่วงแขนไปข้างหลังพร้อมเรียงคำรามเรียกพลังทั้งจากปากและทุกส่วนของลำตัวก้องสะท้อนราวฟ้าร้อง
อ๊าก
นักดาบทั้งสี่ชูดาบโผนเข้าใส่ล้อมเป็นวงทำให้เห็นเหมือนมูซาชิร่ายดาบอยู่กลางดอกบัว
มูซาชิร้อนระอุไปทั้งตัวจนตนเองก็ยังประหลาดใจ ร้อนราวมีไฟปะทุออกมาทุกขุมขน แต่หัวใจเย็นเยียบราวแช่อยู่ในน้ำแข็ง กายของมูซาชิยามนี้ราวดอกบัวแดงแห่งไฟในอเวจีคือร้อนจนเกินคำว่าร้อนและ และหัวใจเย็นยะเยือกจนเกินคำว่าเย็น
3
ไม่มีใครซัดทรายเข้ามาอีก โจทาโรหายเงียบไปไม่เห็นแม้แต่เงา
ลมเย็นพัดผ่านความมืดลงมาจากยอดเขาคาซางิ เสียดสีกับคมดาบที่หยุดนิ่งคุมเชิงกันราวกับจะช่วยลับให้คมขึ้น
หนึ่งต่อสี่
แต่มูซาชิไม่ได้คิดสักนิดว่าการเป็นหนึ่งของตนนั้นคือการเสียเปรียบ รู้สึกแต่ว่าเส้นเลือดทั่วตัวเบ่งพองและเลือดแล่นพล่านไปทั่วเรือนกาย
เข้ามาเลย
ความตาย
น่าแปลกที่คืนนี้นักดาบหนุ่มไม่ได้คิดถึงความตายเหมือนทุกครั้งที่ต่อสู้และไม่ได้คิดถึงชัยชนะด้วย
สายลมที่พัดผ่านเย็นสบาย สมองแจ่มใสและสายตาก็คมชัดเหลือเกิน
---ขวาก็ศัตรู ซ้ายก็ศัตรู ตรงหน้าก็ศัตรู
ไม่นานหัวใจที่พองโตจนคับอก และความร้อนที่เกิดจากการเผาผลาญรุนแรงในร่างกายที่หยุดนิ่งอยู่กับที่ ทำให้มูซาชิรู้สึกเหนียวตัว เหงื่อซึมเต็มหน้าผาก
ปลายดาบของมูซาชิเบนไปทางซ้ายราวกับแมลงที่มีหนวดจับเสียงฝีเท้าของศัตรูที่เคลื่อนไหวน้อย ๆอยู่ทางนั้น แต่ศัตรูก็ไม่ได้จู่โจมเข้ามา หนึ่งต่อสี่ยังจ้องคุมเชิงกันอยู่อย่างนั้น
“... ... ...”
มูซาชิรู้ว่าตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบที่ถูกล้อมราวเป็นเกสรดอกบัวเช่นนี้ ใจคิดที่จะวางกลยุทธ์ให้นักดาบทั้งสี่เรียงกันในแนวตรงและฟันให้เรียบไปทีละคน แต่ศัตรูไม่ใช่นักดาบประเภทไก่กา แต่ละคนมีกลเม็ดเด็ดพรายชั้นครูกันทั้งนั้น คงจะใช้กลยุทธ์หลอกล่อให้เปลี่ยนตำแหน่งยืนดาบไม่ได้แน่
และถ้าศัตรูไม่ขยับเปลี่ยนที่ยืนก่อนมูซาชิก็จะไม่ลงดาบแน่นอน ถ้าคิดจะลงดาบสังหารคนหนึ่งในจำนวนนั้นก็น่าจะทำได้ไม่ยาก แต่ถ้าไม่ก็คงต้องรอจังหวะให้ใครคนหนึ่งขยับตัว ขอแค่จังหวะสั้น ๆ เท่านั้นก็จะจัดการให้เรียบด้วยดาบเดียว
---ยาก
ศิษย์เอกทั้งสี่แห่งสำนักดาบยากิวรู้ตัวว่ามองมูซาชิผิดไปและมองใหม่ แม้จะมีพวกถึงสี่คนแต่ก็ไม่มีใครคิดว่าได้เปรียบ แต่ละคนระวังตัวกันเต็มที่เมื่อเห็นวงดาบของมูซาชิ หากเปิดช่องแม้เท่ารูเข็มคมดาบนั้นก็ต้องจะฟาดฟันลงมาในพริบตาแน่นอน
ไม่เคยเห็นก็เห็นเสีย คนเช่นนี้ก็มีด้วย
แม้โชดะผู้มีแนวดาบของตนเองแยกออกมาจากสำนักยากิวก็ยังนิ่งมองปลายดาบที่พุ่งเป้าไปที่ศัตรูโดยไม่ขยับแม้แต่คืบเดียว และนึกอยู่ในใจว่า
คนอะไรไม่รู้บ้าระห่ำชะมัด
ขณะที่ดาบทุกเล่ม นักดาบทุกคน แผ่นดิน และท้องฟ้า หยุดนิ่งราวถูกสาบให้เป็นน้ำแข็งนั้นเอง
ใจของมูซาชิก็สะท้านวาบเมื่อแว่วเสียงหนึ่งลอยลมมา
ใครคนหนึ่งกำลังเป่าขลุ่ยเสียงหวานหวิวผ่านหมู่ไม้ของปราสาทมาทางนี้
4
เสียงขลุ่ย แหลมสูง แผ่วลงและเศร้าสร้อย
ใครเป็นคนเป่ากันนะ
เสียงขลุ่ยชำแรกเข้าไปถึงแก่นใจพาเจ้าตัวกลับไปเป็นมูซาชิเมื่อครั้งก่อน ไม่มีศัตรู ไม่คิดถึงความเป็นความตาย
ทำไมน่ะหรือ
ก็เพราะเสียงนี้ประทับอยู่ในความทรงจำ อยู่ในสมอง อยู่ในใจลึกล้ำไม่มีลืมเลือน คิดว่าจนกว่ากายจะดับไปพร้อมกัน
ที่แคว้นมิมาซากะบ้านเกิด---ใกล้ยอดเขาทากาเทรู เมื่อครั้งที่ต้องซมซานหนีการไล่ล่าทั้งวันทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิวหมดสิ้นทั้งแรงกายแรงใจ สมองไร้ความคิดและดวงตาก็พร่าพราย
เสียงขลุ่ย...เสียงเดียวกันนี้ไม่ใช่หรือ ที่แว่วมาสู่ใจในยามนั้น
ยามนั้น
มาซิ...ออกมาเถิด
เสียงนั้นปลอบประโลม อ่อนหวานราวกับมีมือนุ่มนิ่มนวลยื่นมาจูงให้ออกมาจากที่ซ่อน
เสียงนั้นไม่ใช่หรือที่ลวงเราออกมาให้หลวงพี่ทากูอันจับตัวไปดัดนิสัย
เสียงนั้น...ประทับใจมูซาชิไม่มีลืม
เสียงขลุ่ยที่ได้ยินอยู่นี้คือเสียงเดียวกัน และเพลงเดียวกันกับที่ได้ยินในครั้งนั้น ม่านสมองสว่างวาบขึ้นทันที
โอซือ เสียงขลุ่ยของโอซือจริง ๆ ด้วย
ใจกายของมูซาชิอ่อนยวบลงทันทีเหมือนกำแพงหิมะละลายเลื่อนตัวลงมา
ได้จังหวะแล้ว เร็ว
ดวงตาของศิษย์เอกทั้งสี่แห่งสำนักดาบยากิว วาววับขึ้นทันควันเมื่อได้ช่อง
คิมูระคำรามลั่นเรียกพลังพร้อมกระโจนเข้าใส่ตรงหน้าฟาดฟันหวังพิฆาตด้วยดาบเดียว มูซาชิตวัดดาบขึ้นรับไว้ทันควันพร้อมคำรามเสียงก้อง
กล้ามเนื้อทุกส่วนเขม็งเครียด เลือดฉีดแรงราวจะปะทุออกมา
ถ้าจะโดนเข้าแล้ว
มูซาชิรู้สึกเย็นวาบที่ไหล่ซ้าย แขนเสื้อถูกคมดาบขาดวิ่นทำให้รู้สึกคล้ายกับว่าเนื้อถูกเฉือนติดไปด้วย
นักดาบหนุ่มใจเสียตะโกนชื่อเทพเจ้าแห่งสงครามเสียงลั่น แต่พอหันขวับไปก็เห็นคิมูระล้มอยู่เห็นแต่หลังกับฝ่าเท้า ตรงที่ที่ตนยืนตั้งหลักอยู่เมื่อครู่ก่อน
“---มูซาชิ”
เดบูจิแผดเสียงลั่น
มูราตะกับโชดะกระโจนเข้าใส่ทางด้านข้าง
มูซาชิย่อตัวลงแล้วกระโดดตัวลอยขึ้นไปจนถึงกิ่งต้นสน โดดอีก และโดดอีก ตัวลอยหายลับเข้าไปในความมืด
“เฮ้ย จะไปไหน”
“ดีแต่พูดนี่หว่า”
“---มูซาชิ”
“หน้าไม่อาย”
เสียงกิ่งไม้หักเหมือนสัตว์ป่าตัวใหญ่ตกลงไปคันคูปราสาท เสียงหวานหวิวของขลุ่ยแทรกขึ้นมา ระริกระรี้ราวล้อเล่นกับดวงดาวบนฟากฟ้า
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ข้าขอท้ารบกับปราสาทโคยากิวแห่งนี้
ไม่ใช่แค่ประลองฝีมือแต่เป็นการท้ารบ
คำว่าท้ารบ อาจฟังดูโอหังเกินตัวซามูไรพเนจรที่มีเพียงดาบเล่มเดียวในมือ แต่สำหรับมูซาชิมันยังไม่แรงพอกับเพลิงปรารถนาที่คุโชนอยู่ในใจ
นักดาบหนุ่มไม่ได้กำลังท้าทายใครในสำนักไม่ว่าศิษย์หรือครูให้ออกมาประลองฝีมือดาบ แต่กำลังท้ารบ...ราวกับตนคนเดียวนี้เป็นกองทัพหนึ่งที่รุกมาประชิดปราสาทแล้วร้องท้าให้ออกมาสู้กันให้สุดฝีมือทั้งกลยุทธ์เชิงดาบและภูมิปัญญาการวางแผนยุทธศาสตร์ เท้าทั้งสองที่ตรึงร่างนักดาบหนุ่มผู้อหังการกับผืนแผ่นดินยืนยันความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวเหนือคำพร่ำพูดอย่างใด
ศิษย์เอกทั้งสี่แห่งสำนักดาบยากิวมองหน้ากัน ไม่แปลกอะไรที่ต่างคิดว่า เจ้านี่ถ้าจะบ้า
“ก็ได้ สนุกดีนี่”
คิมูระนักดาบเลือดร้อน ถลันออกมานอกแถว สะบัดรองเท้าแตะฟางไปทางหนึ่ง และยืนจังก้ารับคำท้าทาย
“ไม่ต้องตีฆ้องย่ำกลองศึกให้เสียเวลา ไหน...ใครหน้าไหนบอกว่าจะทำสงคราม เข้ามาเลย ข้านี่แหละคือกองหน้า ท่านโชดะ ท่านเดบูจิปล่อยเจ้าคนโอหังเข้ามาทางข้าได้เลย”
ใคร ๆ ห้ามหลายหนแล้ว คิมูระ คุงคูโรก็ยังกระเหี้ยนกระหือรือไม่ฟังคำ คราวนี้ครูดาบทั้งสองสบตาเป็นเชิงว่า
ถ้าจะรั้งไว้ไม่อยู่แล้ว
คิดแล้วก็ปล่อยแขนมูซาชิที่ช่วยกันรั้งเอาออกพร้อมกัน แล้วผลักร่างสูงใหญ่กำยำของมูซาชิเข้าใส่ผู้อาจหาญรับคำท้า
“เอ้า เอาไป”
มูซาชิเสียหลักเซแซด ๆ เข้าไปที่คิมูระซึ่งยืนตั้งท่ารับอยู่แล้ว
คิมูระถอยฉากชักดาบขึ้นเหนือศีรษะและฟาดฟันลงมาสุดแรง เสียงคมดาบแหวกอากาศดังเควี้ยว ตามมาด้วยเสียงประหลาดดัง ซ่า
“เฮ้ย”
ใครคนหนึ่งร้องลั่น เสียงเล็กแหลมเกินกว่าจะเป็นเสียงของมูซาชิ
โจทาโรนั่นเอง หนุ่มน้อยกระโจนจากที่ซ่อนใต้ต้นสนออกมาเต้นเหยง ๆ และเสียงซ่า ซ่าที่กระทบคมดาบของคิมูระ ก็คือเสียงฝนทรายที่เจ้าหนุ่มน้อยสาดเข้าใส่ซามูไรเลือดร้อนนั่นเอง
ทรายเพียงหยิบมือหนึ่งนั้นไม่ได้ช่วยอะไรมากไปกว่าทำเกิดเสียงประหลาด เพราะก่อนถูกผลักเข้าใส่คิมูระ มูซาชิได้กะระยะห่างและปรับเพิ่มความแรงและเร็วเมื่อปะทะเอาไว้แล้ว อีกฝ่ายจึงเสียจังหวะตั้งรับ ดมดาบแหวกอากาศพลาดเป้าซ้ำถูกทรายซัดเกิดเสียงประหลาด เสียหน้าน่าหัวเราะยิ่งนัก
2
คู่อริกระโดดผละออกจากกันสิบกว่าศอก คิมูระเงื้อง่าดาบอยู่ในท่าที่จะฟาดฟันลงมาในวินาทีนั้น แต่หยุดอยู่ด้วยสายตาคมเฉียบที่เปล่งประกายอยู่ในความมืด
“น่าดู”
โชดะเอ่ยขึ้นขณะจับจ้องนักดาบทั้งคู่ไม่วางตา เดบูจิกับมูราตะและคนอื่นแม้จะอยู่นอกสังเวียน แต่ก็ขยับตัวย้ายที่ยึดตำแหน่งตั้งรับเตรียมพร้อมเหมือนต้องลมสงครามที่กำลังโหมแรง
เชิงรบของมูซาชิทำให้ทุกคนต้องขยี้ตาเหมือนได้เห็นสิ่งที่ไม่คาดว่าจะได้เห็น
หมอนี่ไม่ใช่เล่น
มูซาชิยืนนิ่งไม่ใยไพกับปลายดาบที่เล็งลงมาหมายพุ่งเข้าใส่เรือนอก ไหล่ขวาเปลือย ศอกยกสูง มือและจิตจับนิ่งอยู่ที่ด้ามดาบ...ยังไม่ชักจากฝัก
“... ... ...”
นิ่งจนนับจังหวะหายใจของคู่ต่อสู้ทั้งสองได้ ใบหน้าของมูซาชิแฝงอยู่ในเงามืด เห็นแต่ตาขาวคล้ายหมากล้อมสองเม็ดเด่นโพลนอยู่
นิ่งและนิ่งแต่เหตุไฉนจึงดูเหมือนพลังถูกเผาผลาญ ไม่เคลื่อนเข้าหากันแม้แต่ก้าวเดียว แต่ไฉนจึงรู้สึกได้ว่าความมืดรอบกายคิมูระสั่นไหวน้อย ๆ ใช่ซิ...ก็ลมหายใจของศิษย์แห่งสำนักยากิวแรงและเร็วกว่ามูซาชิออกอย่างนั้น
อืม...
เดบูจิเผลอตัวครางออกมาเมื่อเห็นว่าเรื่องที่คิดเล่น ๆ ว่าเป็นเรื่องของคนเสียสติกำลังจะกลายเป็นวิกฤติ และคิดว่าโชดะกับมูราตะก็คงรู้สึกเช่นกันว่า เจ้านี่ไม่ใช่ธรรมดาเสียแล้ว นักดาบทั้งสามแห่งสำนักดาบยากิวประเมินสถานการณ์ได้ชัดเจนว่าหากไม่ทำอะไรสักอย่าง การต่อสู้ระหว่างคิมูระกับมูซาชิก็คงจะต้องดำเนินไปถึงขั้นแตกหักเป็นแน่
แม้อาจถูกมองว่าขี้ขลาดแต่ก็จำเป็นต้องยับยั้งการต่อสู้เอาไว้ก่อนที่จะกลายเป็นเรื่องร้ายแรง ก่อนที่จะมีใครได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั้งสามเห็นพ้องกันด้วยสายตาและกระโจนเข้าใส่มูซาชิพร้อมกันทั้งซ้ายและขวา
แต่ก็ไม่เร็วไปกว่ามือของมูซาชิที่ชักดาบออกจากฝักสะบัดแหวกอากาศวาดสุดช่วงแขนไปข้างหลังพร้อมเรียงคำรามเรียกพลังทั้งจากปากและทุกส่วนของลำตัวก้องสะท้อนราวฟ้าร้อง
อ๊าก
นักดาบทั้งสี่ชูดาบโผนเข้าใส่ล้อมเป็นวงทำให้เห็นเหมือนมูซาชิร่ายดาบอยู่กลางดอกบัว
มูซาชิร้อนระอุไปทั้งตัวจนตนเองก็ยังประหลาดใจ ร้อนราวมีไฟปะทุออกมาทุกขุมขน แต่หัวใจเย็นเยียบราวแช่อยู่ในน้ำแข็ง กายของมูซาชิยามนี้ราวดอกบัวแดงแห่งไฟในอเวจีคือร้อนจนเกินคำว่าร้อนและ และหัวใจเย็นยะเยือกจนเกินคำว่าเย็น
3
ไม่มีใครซัดทรายเข้ามาอีก โจทาโรหายเงียบไปไม่เห็นแม้แต่เงา
ลมเย็นพัดผ่านความมืดลงมาจากยอดเขาคาซางิ เสียดสีกับคมดาบที่หยุดนิ่งคุมเชิงกันราวกับจะช่วยลับให้คมขึ้น
หนึ่งต่อสี่
แต่มูซาชิไม่ได้คิดสักนิดว่าการเป็นหนึ่งของตนนั้นคือการเสียเปรียบ รู้สึกแต่ว่าเส้นเลือดทั่วตัวเบ่งพองและเลือดแล่นพล่านไปทั่วเรือนกาย
เข้ามาเลย
ความตาย
น่าแปลกที่คืนนี้นักดาบหนุ่มไม่ได้คิดถึงความตายเหมือนทุกครั้งที่ต่อสู้และไม่ได้คิดถึงชัยชนะด้วย
สายลมที่พัดผ่านเย็นสบาย สมองแจ่มใสและสายตาก็คมชัดเหลือเกิน
---ขวาก็ศัตรู ซ้ายก็ศัตรู ตรงหน้าก็ศัตรู
ไม่นานหัวใจที่พองโตจนคับอก และความร้อนที่เกิดจากการเผาผลาญรุนแรงในร่างกายที่หยุดนิ่งอยู่กับที่ ทำให้มูซาชิรู้สึกเหนียวตัว เหงื่อซึมเต็มหน้าผาก
ปลายดาบของมูซาชิเบนไปทางซ้ายราวกับแมลงที่มีหนวดจับเสียงฝีเท้าของศัตรูที่เคลื่อนไหวน้อย ๆอยู่ทางนั้น แต่ศัตรูก็ไม่ได้จู่โจมเข้ามา หนึ่งต่อสี่ยังจ้องคุมเชิงกันอยู่อย่างนั้น
“... ... ...”
มูซาชิรู้ว่าตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบที่ถูกล้อมราวเป็นเกสรดอกบัวเช่นนี้ ใจคิดที่จะวางกลยุทธ์ให้นักดาบทั้งสี่เรียงกันในแนวตรงและฟันให้เรียบไปทีละคน แต่ศัตรูไม่ใช่นักดาบประเภทไก่กา แต่ละคนมีกลเม็ดเด็ดพรายชั้นครูกันทั้งนั้น คงจะใช้กลยุทธ์หลอกล่อให้เปลี่ยนตำแหน่งยืนดาบไม่ได้แน่
และถ้าศัตรูไม่ขยับเปลี่ยนที่ยืนก่อนมูซาชิก็จะไม่ลงดาบแน่นอน ถ้าคิดจะลงดาบสังหารคนหนึ่งในจำนวนนั้นก็น่าจะทำได้ไม่ยาก แต่ถ้าไม่ก็คงต้องรอจังหวะให้ใครคนหนึ่งขยับตัว ขอแค่จังหวะสั้น ๆ เท่านั้นก็จะจัดการให้เรียบด้วยดาบเดียว
---ยาก
ศิษย์เอกทั้งสี่แห่งสำนักดาบยากิวรู้ตัวว่ามองมูซาชิผิดไปและมองใหม่ แม้จะมีพวกถึงสี่คนแต่ก็ไม่มีใครคิดว่าได้เปรียบ แต่ละคนระวังตัวกันเต็มที่เมื่อเห็นวงดาบของมูซาชิ หากเปิดช่องแม้เท่ารูเข็มคมดาบนั้นก็ต้องจะฟาดฟันลงมาในพริบตาแน่นอน
ไม่เคยเห็นก็เห็นเสีย คนเช่นนี้ก็มีด้วย
แม้โชดะผู้มีแนวดาบของตนเองแยกออกมาจากสำนักยากิวก็ยังนิ่งมองปลายดาบที่พุ่งเป้าไปที่ศัตรูโดยไม่ขยับแม้แต่คืบเดียว และนึกอยู่ในใจว่า
คนอะไรไม่รู้บ้าระห่ำชะมัด
ขณะที่ดาบทุกเล่ม นักดาบทุกคน แผ่นดิน และท้องฟ้า หยุดนิ่งราวถูกสาบให้เป็นน้ำแข็งนั้นเอง
ใจของมูซาชิก็สะท้านวาบเมื่อแว่วเสียงหนึ่งลอยลมมา
ใครคนหนึ่งกำลังเป่าขลุ่ยเสียงหวานหวิวผ่านหมู่ไม้ของปราสาทมาทางนี้
4
เสียงขลุ่ย แหลมสูง แผ่วลงและเศร้าสร้อย
ใครเป็นคนเป่ากันนะ
เสียงขลุ่ยชำแรกเข้าไปถึงแก่นใจพาเจ้าตัวกลับไปเป็นมูซาชิเมื่อครั้งก่อน ไม่มีศัตรู ไม่คิดถึงความเป็นความตาย
ทำไมน่ะหรือ
ก็เพราะเสียงนี้ประทับอยู่ในความทรงจำ อยู่ในสมอง อยู่ในใจลึกล้ำไม่มีลืมเลือน คิดว่าจนกว่ากายจะดับไปพร้อมกัน
ที่แคว้นมิมาซากะบ้านเกิด---ใกล้ยอดเขาทากาเทรู เมื่อครั้งที่ต้องซมซานหนีการไล่ล่าทั้งวันทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิวหมดสิ้นทั้งแรงกายแรงใจ สมองไร้ความคิดและดวงตาก็พร่าพราย
เสียงขลุ่ย...เสียงเดียวกันนี้ไม่ใช่หรือ ที่แว่วมาสู่ใจในยามนั้น
ยามนั้น
มาซิ...ออกมาเถิด
เสียงนั้นปลอบประโลม อ่อนหวานราวกับมีมือนุ่มนิ่มนวลยื่นมาจูงให้ออกมาจากที่ซ่อน
เสียงนั้นไม่ใช่หรือที่ลวงเราออกมาให้หลวงพี่ทากูอันจับตัวไปดัดนิสัย
เสียงนั้น...ประทับใจมูซาชิไม่มีลืม
เสียงขลุ่ยที่ได้ยินอยู่นี้คือเสียงเดียวกัน และเพลงเดียวกันกับที่ได้ยินในครั้งนั้น ม่านสมองสว่างวาบขึ้นทันที
โอซือ เสียงขลุ่ยของโอซือจริง ๆ ด้วย
ใจกายของมูซาชิอ่อนยวบลงทันทีเหมือนกำแพงหิมะละลายเลื่อนตัวลงมา
ได้จังหวะแล้ว เร็ว
ดวงตาของศิษย์เอกทั้งสี่แห่งสำนักดาบยากิว วาววับขึ้นทันควันเมื่อได้ช่อง
คิมูระคำรามลั่นเรียกพลังพร้อมกระโจนเข้าใส่ตรงหน้าฟาดฟันหวังพิฆาตด้วยดาบเดียว มูซาชิตวัดดาบขึ้นรับไว้ทันควันพร้อมคำรามเสียงก้อง
กล้ามเนื้อทุกส่วนเขม็งเครียด เลือดฉีดแรงราวจะปะทุออกมา
ถ้าจะโดนเข้าแล้ว
มูซาชิรู้สึกเย็นวาบที่ไหล่ซ้าย แขนเสื้อถูกคมดาบขาดวิ่นทำให้รู้สึกคล้ายกับว่าเนื้อถูกเฉือนติดไปด้วย
นักดาบหนุ่มใจเสียตะโกนชื่อเทพเจ้าแห่งสงครามเสียงลั่น แต่พอหันขวับไปก็เห็นคิมูระล้มอยู่เห็นแต่หลังกับฝ่าเท้า ตรงที่ที่ตนยืนตั้งหลักอยู่เมื่อครู่ก่อน
“---มูซาชิ”
เดบูจิแผดเสียงลั่น
มูราตะกับโชดะกระโจนเข้าใส่ทางด้านข้าง
มูซาชิย่อตัวลงแล้วกระโดดตัวลอยขึ้นไปจนถึงกิ่งต้นสน โดดอีก และโดดอีก ตัวลอยหายลับเข้าไปในความมืด
“เฮ้ย จะไปไหน”
“ดีแต่พูดนี่หว่า”
“---มูซาชิ”
“หน้าไม่อาย”
เสียงกิ่งไม้หักเหมือนสัตว์ป่าตัวใหญ่ตกลงไปคันคูปราสาท เสียงหวานหวิวของขลุ่ยแทรกขึ้นมา ระริกระรี้ราวล้อเล่นกับดวงดาวบนฟากฟ้า