ประเด็น “ร้อนขั้นสุด” ทะลุองศา ยิ่งกว่าอากาศในเมืองไทยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล สั่ง “เบรก” การเข้ารับวัคซีนแบบ Walk in
ที่ “หมอหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะคนที่ “คลุก” อยู่กับงาน เป็นผู้เสนอ “วิธีการนี้”
ด้วย “มองทะลุ” ว่า แผนที่ดีที่สุด คือ แผนที่ปรับได้เร็วที่สุด และเหมาะกับสถานการณ์ที่สุด
“Walk in” คือความพยายามที่จะ “ดัก” ทุกปัญหา และทำให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนได้มากที่สุด เพราะในโลกความเป็นจริง
1.คนไทยทุกคนไม่ได้มี “สมาร์ทโฟน” ที่จะลงทะเบียนผ่านระบบต่างๆได้
2.แม้ผู้ที่มีสมาร์ทโฟน ก็ใช่ว่าจะลงทะเบียนเองได้ทุกคน
3.การบริการของรัฐเพื่ออำนวยความสะดวก ในการลงทะเบียนฉีดวัคซีน ไม่ว่าทำอย่างไร ก็ไม่อาจครอบคลุมประชากรได้ 100%
ขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจาก โควิด-19 ไม่ได้หยุด “รอ” เหมือนรอคนมาลงทะเบียนฉีดวัคซีน
“เสี่ยหนู” ต้องคิดเร็ว ทำเร็ว เพื่อหาทางเอาวัคซีน “เสื้อเกราะ” เดียวที่มีอยู่ให้กับประชาชน
และ คนหน้างานจริง อย่างชาวสาธารณสุข ก็จะทราบว่า วัคซีนที่นำออกมาเพื่อใช้แล้ว จะต้องฉีดภายในวันนั้น ไม่สามารถเก็บไว้ใช้ได้อีก
เมื่อถึงวัน เวลา ฉีด ตามที่ประชาชนได้ลงทะเบียนไว้ในเดือน มิ.ย. นี้
อาจมี “เหตุ” ที่ทำให้วัคซีน ซึ่งเบิกออกมาใช้ตามยอดผู้ลงทะเบียนในแต่ละวัน ใช้ไม่หมด...
ด้วยสารพัดปัจจัย อาทิ ผู้ลงทะเบียนไม่มาตามนัด ผู้ที่มาแต่ฉีดไม่ได้ เพราะปัญหาสุขภาพแบบปัจจุบันทันด่วน เป็นไข้ หรือความดันสูง เหล่านี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้
นักบริหารอย่าง “นายอนุทิน” จึงต้องคิด ต้องตัดสินใจ และเสนอการ “Walk in” มาเป็นวิธีการเสริมให้คนเข้าถึงวัคซีน และขจัดเหตุการณ์วัคซีนใช้ไม่หมด
ทว่าสังคมไทยวันนี้อุดมไปด้วย “นักวิจารณ์” มากกว่าลงมือทำ
ที่ยังไม่ทันจะรู้ รายละเอียด วิธีการจัดการ ก็รีบจั่วหัว “ด่า” ว่า Walk in จะสร้างสารพัดปัญหา มีการแสดงความเห็นกันไป เสียคนฟังวาดภาพตามแล้วขนหัวลุก ว่าจะเกิดความวุ่นวายหากคนไปแล้วไม่ได้
จนสะดุ้งไปถึงทำเนียบรัฐบาล ที่หวั่นไหวไปกับคำวิจารณ์ของคนที่ไม่เคยทำงานนี้
“ลุงตู่” กลับเลือกเดินตามกระแสปั่น และตามเสียงคนรอบตัว ประกาศว่า จะไม่มีการ “Walk in”
สร้างความ “งวยงง” สับสนให้ประชาชนเป็นอันมาก ว่าแล้วจะเอายังไง
ก่อนจะหายไป 2-3 วัน เพื่อกลับมาพร้อมกับคำว่าภายหลังการประชุม
ครม.รอบล่าสุดว่า “ On-site"
ที่เป็นแค่การ “เลี่ยงบาลี” เพราะเมื่อกางวิธีปฏิบัติดูแล้ว เนื้อในไม่มีอะไร ต่างกัน และเพื่อให้คลายสงสัย อยากแนะนำให้พวก “นักวิพากษ์” ทั้งหลายไปดูงาน “Walk in” ที่ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ กรุงเทพฯ ของจริง ที่ทำแล้ว ทำได้ มีระบบการจัดการที่มีประสิทธิ์ภาพ
ข้อย้ำ รูปแบบและ วิธีการเหมือนกัน แต่ขอแค่เปลี่ยนชื่อ จาก “Walk in” เป็น “On site”
ดังนั้น สิ่งที่แล้วมา ก็ให้มัน จบไป หากมองที่ความตั้งใจดี ของทั้ง “ลุงตู่” และ “หมอหนู ”ก็ยอมรับได้ และขอให้จากนี้ร่วมกัน ฝ่าโควิด-19 ให้ลุล่วง อย่าขัดแย้งกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องนอกจากทำให้ชาวบ้านสับสน ยังเข้าทางฝ่ายตรงข้าม เสี้ยมให้เกิดความแตกแยก