xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ ภาค 2 น้ำ ตอน แว่วเสียงนกกระจ้อย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา




คูรอบประสาทโคยากิวเป็นคูแห้งลึกราวสามสิบศอก แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีน้ำฝนขังอยู่ที่ก้นคูลึกลงไปในความมืดมิด ร่างใหญ่กำยำของนักดาบหนุ่มกลิ้งหลุน ๆ ตามแรงเหวี่ยงตัวลงมาหยุดอยู่ที่แนวพุ่มไม้บนคันคู ฉวยหินก้อนหนึ่งเหวี่ยงลงไปหยั่งดูความลึกของน้ำ และพอแน่ใจว่าไม่ได้ยินเสียงตกดังจ๋อม ก็กระโจนตามหินก้อนนั้นไป

มูซาชินอนกางแขนกางขาอาศัยพื้นหญ้าก้นคูเป็นฟูกนุ่ม แหงนหน้านิ่งดูดาวพราวฟ้าอยู่ไม่ไกลดั่งว่าจะเอื้อมมือถึง

ความตื่นเต้นและเหนื่อยหอบบรรเทาลง ลมหายใจผ่อนคลายหัวใจเต้นได้จังหวะเป็นปกติ เหงื่อตามตัวเย็นลงเหลือแต่ห้วงคิดคำนึงเท่านั้นที่ยังปั่นป่วนความรู้สึกไม่ให้สงบลงโดยง่าย

เสียงขลุ่ยของโอซือหรือ...ไม่ใช่หรอก โอซือจะมาอยู่ที่ปราสาทโคยากิวได้ยังไง

หูฝาด หรือว่าประสาทหลอนกันแน่

แต่ก็ยังหวัง

อาจใช่ก็ได้ใครจะรู้ โอซือเดินทางไปไม่รู้เหนือรู้ใต้ ไม่แปลกอะไรที่จะร่อนเร่มาถึงที่นี่

มูซาชิมองฟ้าวาดภาพดวงตาคู่นั้นของนางแวววาวแข่งกับแสงดาราอยู่เบื้องบน

แต่ไม่ต้องวาดภาพเรียวปาก ใบหน้าและคิ้วคางเพราะทั้งหมดนั้นจารึกอยู่ในใจของเจ้าหนุ่มร่างใหญ่อยู่เสมอโดยไม่รู้ตัวและพร้อมที่ผุดเด่นขึ้นมาในห้วงคำนึงอยู่เสมอเช่นคราวนี้

ร่างทั้งร่างอบไออวลด้วยภาพจำอันแสนหวานระคนขม

และเสียงเจือยแจ้วของเจ้าเมื่อบอกคำอำลาบนแนวเขากั้นแดนเขตแว่นแคว้นและที่เชิงสะพานฮานาดะ

ฉันแน่ใจแล้วว่าได้พบผู้ชายดีที่สุดซึ่งจะหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วในโลกนี้
ฉันจะรอท่านอยู่ที่สะพานฮานาดะที่เมืองท้ายปราสาท จะยืนรออยู่ที่นั้น ร้อยวันพันวันก็จะรอจนกว่าท่านจะมา
ฉันจะตามท่านไปทุกหนทุกแห่ง
ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำตัวเป็นภาระหรือกีดขวางการฝึกวิชาดาบของท่าน ให้ฉันไปด้วยเถิดนะ...นะทาเกโซ
ลำบากตรากตรำเพียงใดฉันทนได้ ขอให้ได้อยู่เคียงข้าท่าน

ใจของมูซาชิเจ็บแปลบเมื่อต้องหันหลังให้และออกวิ่งหนีออกมาจากฮิเมจิอย่างไม่เหลียวหลัง ทั้งที่คำสัญญายังอ้อยอิ่งอยู่กับสายลมที่เชิงสะพาน

นางจะโกรธเกลียดหนุ่มเจ้าเพียงใดที่กลับคำแค่เพียงลับตัวไปเพื่อเก็บข้าวของตามกันไป

คงสาปแช่งตราหน้าว่าสับปลับไร้เชิงชาย คงกัดริมฝีปากกลั้นสะอื้นด้วยความทะนงในความเป็นหญิง

“โอซือ ข้าขอโทษ”

มูซาชิพึมพำซ้ำคำขอโทษที่ได้ใช้มีดสั้นสลักบนเนื้อไม้ของรางสะพานให้เห็นขาวเด่นขึ้นมาเป็นตัวอักษร
น้ำตาไหลเป็นสายจากหางตาวาวใสอยู่ในความมืด
“ตรงนี้ไม่มีใคร”

เสียงคนตะโกนกู่กันดังอยู่บนคันคู แสงจากคบไฟในมือของสามสี่คนไหวไปมาวอมแวมอยู่ในหมู่ไม้ ปลุกให้นักดาบหนุ่มกลับคืนสู่ความเป็นจริง และขัดใจเมื่อรู้สึกเย็บเยียบที่ข้างแก้มด้วยหยาดน้ำตา

จะมาอะไรกับผู้หญิงตอนนี้

เจ้าหนุ่มยกหลังมือขึ้นเช็ดตาแรง ๆ ไล่ภาพทุ่งดอกไม้ในมโนภาพกระเจิดกระเจิงไปทางหนึ่งแล้วดีดตัวลุกขึ้นด้วยกำลังแรง มองขึ้นไปที่หลังคาปราสาทโคยากิวสีดำทะมึนเด่นอยู่ในความมืดมิดของยามดึก ด้วยสายตาที่เปล่งประกายเด็ดเดี่ยวอีกครั้ง

ว่าไงนะ ขี้ขลาด ไร้ยางอายอย่างนั้นรึ
ข้าไม่ได้ยอมแพ้ ไม่ได้หนีไปไหนแค่ถอยออกมาตั้งหลัก ไม่รู้หรือว่านี่คือกลยุทธ์

มูซาชิฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง ก้าวเดินด้วยท่าทีองอาจไปตามแนวคูแห้งน้ำรอบปราสาท

มูซาชิจะไม่ประดาบกับศิษย์เอกทั้งสี่ของสำนัก นั่นไม่ใช่คู่ประลองฝีมือของเรา การต่อสู้จะเริ่มขึ้นก็ต่อเมื่อเราได้ประจันหน้ากับยากิว เซกิชูไซ อีกไม่นาน คอยดูก็แล้วกัน

นักดาบหนุ่มหยุดเดินและเก็บกิ่งไม้ขึ้นมาหักด้วยเข้าเป็นท่อน ๆ จนได้พอควรแล้ว จึงเอากิ่งไว้นั้นเสียบเข้าที่ช่องระหว่างก้อนหินที่ก่อเป็นกำแพงเป็นระยะ ๆ ใช้เป็นที่เหยียบระหว่างปีนขึ้นไปจากก้นคู หากใครเผอิญมองไปก็จะเห็นเงาดำ ๆ ของคนร่างใหญ่คืบขึ้นไปอย่างรวดเร็ว


2
เสียงขลุ่ยเงียบไปนานแล้ว
มูซาชิคิดขึ้นมาแวบหนึ่งว่าโจทาโรไม่รู้ว่าไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน แต่ก็ไม่ได้ห่วงอะไรเพราะศิษย์คนเดียวของเขาคนนี้แข็งแรงและปราดเปรียวจนออกจะเกินไปด้วยซ้ำ ดวงตากลมโตเปล่งประกายลุกโชนอยู่ตลอด บ่งบอกถึงความปรารถนาที่จะพิชิตทุกอย่างที่ขวางหน้า...ไม่มีอะไรต้องห่วง

ครู

ผู้เป็นครูรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงเรียกพอเมื่อเงี่ยหูฟังก็เงียบหาย

โจทาโร...คงไม่มีอะไรหรอกนะ

ดึกสงัด พวกซามูไรคงค้นหาจนเบื่อและพากันกลับไปหมดแล้วเป็นโอกาสดีที่จะบุกเข้าไปให้ถึงตัวเจ้าสำนัก...ยากิว เซกิชูไซ

นักดาบหนุ่มร่างใหญ่ใจเด็ดเดินดุ่มผ่านป่าไม้และหุบเขาราวกับกำลังเดินหลงอยู่ในป่าลึก ไม่ใช่ภายในปราสาทของผู้ครองแคว้น มีแต่กำแพงหิน คันคูที่เห็นเป็นช่วง ๆ และฉางข้าวเท่านั้นที่ช่วยยืนยันว่ายังเดินอยู่ในบริเวณปราสาท เดินอยู่นานก็ยังไม่เห็นเรือนเล็กที่เป็นกระท่อมที่อยู่ของเซกิชูไซสักที

เจ้าของโรงเตี๊ยมวาตายะบอกว่าท่านเจ้าสำนักไม่ได้อาศัยอยู่ในปราสาท แต่ปลีกวิเวกไปอยู่ในกระท่อมเล็ก ๆ ตรงไหนสักแห่งในบริเวณปราสาทนั้น มูซาชิมุ่งมั่นที่จะยังกระท่อมหลังนั้น เคาะประตู และท้าประลองฝีมือกับเซกิชูไซโดยตรง ว่าแต่...

กระท่อมของเจ้าสำนักอยู่ที่ไหน

มูซาชิเดินดุ่มเข้าไปในความมืดโดยไม่รู้ทิศรู้ทาง บุกพงหญ้าและหมู่ไม้ไปข้างหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย จนไปสุดทางอยู่ที่หน้าผาของภูเขาคาซาโอกิที่มีรั้วกั้นเอาไว้จึงต้องถอยกลับ

เกือบจะท้อถอย เกือบร้องท้าออกมาด้วยความสิ้นหวัง...

ใครก็ได้ออกมาสู้กับข้า
ผีก็ได้ ขอให้แสดงตัวออกมาเป็นท่านเซกิชูไซ ประดาบกับข้าทีเถิด

แต่ความเป็นนักดาบใจเด็ดทำให้มูซาชิก้าวเดินต่อไปอย่างไม่ย่นย่อราวปีศาจรัตติกาล

โอ๊ะ...โอ...นั่นถ้าจะใช่กระท่อมของท่านเซกิชูไซ

ที่หมายของมูซาชิคือเรือนเล็กตรงชายเนินเตี้ย ๆ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของปราสาท ดูจากต้นไม้โดยรอบที่ปลูกเป็นระเบียบได้จังหวะจะโคน ตัดแต่งงดงามเป็นอย่างดีแล้วน่าจะมีคนอาศัยอยู่

มีซุ้มประตูด้วย

หลังคาของซุ้มประตูมุงต้นหญ้า บนคานประตูมีเถาวัลย์เลื้อยเกาะตามแบบฉบับเรือนชงชาของริคิวผู้เป็นปรมาจารย์ในวิถีแห่งชา หลังรั้วคือป่าไผ่ในม่านหมอก

ใช่แล้ว ที่นี่แน่นอน

มูซาชิเขย่งมองผ่านซุ้มประตูเข้าไปสำรวจดูภายใน ก็พบทางเดินผ่านป่าไผ่เหมือนทางเข้าวัดนิกายเซ็นบนภูเขา มูซาชิเกือบจะกระโจนข้ามรั้วเข้าไปตามใจที่ร้อนรน แต่...

ช้าก่อน

นักดาบหนุ่มชะงักเท้าเมื่อเห็นพื้นหน้าซุ้มประตูที่กวาดไว้เรียบ ดอกไม้สีขาวบานสะพรั่งน่าเอ็นดูแสดงให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนของผู้อยู่อาศัย แล้วจึงหันมามองสารรูปของตนเองที่สกปรกมอมแมมสิ้นดี ผมเผ้าเป็นกระเซิง เสื้อผ้าคลุกฝุ่นโคลนจนแทบไม่เห็นเนื้อผ้า

มาถึงที่นี่แล้ว ไม่ต้องรีบ

มูซาชิถอนใจยืดยาวด้วยความโล่งอก เพิ่งจะรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาก็คลายกังวล คิดว่าก่อนพบกับเซกิชูไซควรทำตัวให้ดูดีกว่านี้สักหน่อย

พอรุ่งเช้าก็คงจะมีใครมาเปิดประตู แล้วเราค่อยขอเข้าไป แต่ถ้ายังปิดกั้นไม่ยอมรับนักดาบฝึกหัดอีกละก็ คงได้เห็นดีกันบ้าง

มูซาชิทรุดตัวลงนั่งใต้ซุ้มประตูพิงเสาหลับไปอย่างสบายอารมณ์

ดวงดาววิบวับ ดอกไม้สีขาวไหวก้านล้อเล่นกับสายลม

3
รุ่งสาง น้ำค้างเย็นเยียบจากเถาวัลย์ตกลงมาที่ต้นคอปลุกมูซาชิให้ลืมตาตื่น สมองปลอดโปร่งหลังนอนเต็มอิ่ม อารมณ์แจ่มใสด้วยเสียงเพลงของนกกระจ้อยตัวน้อยและลมเย็นยามเช้า ความเหนื่อยเพลียเมื่อวันวานหายเป็นปลิดทิ้งราวเกิดใหม่
เจ้าหนุ่มขยี้ตามองไปทางฟากฟ้า ดวงอาทิตย์กลมแดงกำลังเคลื่อนพ้นทิวเขาอิงะ ยามาโตะทางฟากโน้น และผลุดลูกขึ้นยืนตระหง่าน มัดกล้ามที่มือเท้าและทั่วกายที่ได้พักผ่อนเต็มที่ตื่นตัวขึ้นอีกครั้งด้วยพลังแสงแห่งดวงอาทิตย์ พร้อมเคลื่อนไหวทันทีตามความมุ่งมั่นทะเยอทะยานที่ประทุราวกองเพลิงขึ้นมาทันทีที่ลืมตาตื่น

เจ้าหนุ่มร่างกำยำยืดตัวบิดขี้เกียจเต็มแรง และคำรามอยู่ในลำคอ

วันนี้แหละ

แล้วก็รู้สึกหิว ความหิวทำให้คิดถึงโจทาโรและเป็นห่วงขึ้นมา

เป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้

รู้ตัวอยู่เหมือนกันว่าเมื่อคืนตนออกจะร้ายกาจกับโจทาโรเกินไปหน่อย แต่ก็ไม่น่าเป็นอะไรถ้าคิดว่าเป็นการฝึกการต่อสู้สำหรับนักดาบที่ต้องเตรียมตัวตั้งรับภัยอันตรายอยู่ตลอดเวลา และที่ทำเช่นนั้นได้ก็เพราะเชื่อฝีมือลูกศิษย์ตัวน้อยว่าจะสามารถเอาตัวรอด

มูซาชิเดินเลาะลัดหมู่ไม้ไปตามเสียงน้ำไหลจนพบลำธารสายหนึ่งไหลจากภูเขาเข้ามาในบริเวณกระท่อม ผ่านป่าไผ่ลงไปที่ปราสาท เจ้าหนุ่มลงไปล้างหน้าล้างตาและดื่มน้ำในลำธารเป็นอาหารเช้า

อร่อยชื่นใจ

รสชาติของน้ำบริสุทธิ์สร้างความชุ่มชื่นแผ่ซ่านไปทั่งเรือนกาย

คงจะเป็นเพราะน้ำรสชาติเป็นเยี่ยมนี้เองที่จูงใจให้เซกิชูไซเลือกมาปลีกวิเวกอยู่ที่นี่ มูซาชิยังหนุ่มและไม่รู้จักวิถีแห่งชาและรสของชา จึงชมรสชาติของน้ำในลำธารนี้ด้วยคำที่ไร้เดียงสาเพียงว่า

อร่อยชื่นใจ

และเข้านี้ เป็นครั้งแรกที่มูซาชิรู้สึกได้ถึงความเลิศรสของน้ำจนต้องอุทานออกมา
มูซาชิล้วงผ้าเช็ดมือสกปรกจากอกเสื้อออกมาซักในลำธารจนขาวสะอาดดังเดิม แล้วใช้ผ้าผืนนั้นเช็ดตัวจนทั่ว ล้างขี้เล็บที่มือและเท้าออกจนหมด จากนั้นจึงถอดปิ่นที่เหน็บไว้กับดาบมาสอยเส้นผมที่ยุ่งเป็นกระเซิงให้เข้าที่---

เช้าวันนี้ มูซาชิพร้อมเข้าพบเซกิชูไซเจ้าสำนักดาบยากิว นักดาบระดับปรมาจารย์ผู้มีความสำคัญยิ่งคนหนึ่งในวัฒนธรรมร่วมสมัยของญี่ปุ่น เทียบกับมูซาชินักดาบพเนจรอ่อนหัดคนนี้แล้วไม่ผิดอะไรกับดวงจันทร์กับสะเก็ดดาว จึงเป็นธรรมดาที่นักดาบหนุ่มจะต้องแสดงความคารวะอย่างสมเกียรติเท่าที่จะทำได้ คือจัดกิโมโนที่สวมใส่อยู่ให้เข้าที่และทำผมเผ้าให้

เอาละ

เนื้อตัวพร้อมแล้ว ใจและสมองก็ผ่องใส พร้อมที่จะเคาะประตูขอเข้าพบเจ้าสำนักอย่างสง่าผ่าเผย

แต่ดูลาดเลาโดยรอบแล้ว กระท่อมของเจ้าสำนักตั้งอยู่บนภูเขา คนที่นั่นจะได้ยินเสียงเคาะประตูได้อย่างไร จึงน่าจะมีอะไรสักอย่างที่เป็นเครื่องตีส่งสัญญาณเรียก คิดได้ดังนั้นมูซาชิจึงมองหาไปที่ด้านซ้ายและด้านขวาของซุ้มประตู จึงเห็นป้ายแกะสลักตัวอักษรใส่สีน้ำเงินงดงามแขวนอยู่ที่เสาด้านละป้าย อ่านออกมารวมกับเป็นหนึ่งบทกวี

ป้ายที่เสาด้านขวามีความว่า

ขุนนางทั้งหลาย อย่าประหลาดใจ
กับข้าผู้ใคร่ปิดประตูปราสาท

ส่วนป้ายด้านซ้ายมีความว่า

ที่นี่ไม่มีนักดาบ
มีเพียงนกกระจ้อยตัวน้อยในทุ่งนา

มูซาชิตะลึงมองไปที่บทกวี
หูแว่วเสียงนกกระจ้อยเจือยแจ้วอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้
คงจะขับลำนำไพเราะเยี่ยงนี้เรื่อยมานานปี


กำลังโหลดความคิดเห็น