นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
“เห่าเดี๋ยวนี้ ไอ้เด็กเวร เห่าสิ เห่าให้เหมือนหมาจนตรอก”
ซามูไรคนเลี้ยงหมาตะคอกใส่หน้าโจทะโร กระชับอุ้งมือที่ขยุ้มอกเสื้อเจ้าหนุ่มน้อยเอาไว้ เกร็งกล้ามยกร่างเล็กลอยขึ้นเหวี่ยงหมุนไปในอากาศสองสามรอบจนตาลายแล้วเหวี่ยงสุดแรงลงไปกลิ้งอยู่กับพื้น ก่อนหันไปคว้าท่อนไม้เงื้อง่ายืนจังก้าเตรียมฟาดฟันเผด็จศึก
“ไอ้วายร้าย เอ็งตีหมาของนายจนตาย คราวนี้ถึงคราวที่เอ็งจะต้องชะตาขาดบ้างแล้ว ลุกขึ้นมา...ลุกขึ้นมาเห่าข้าสิ เข้ามากัดข้าเลย จะช้าอยู่ทำไม ลุกขึ้นมา”
โจทะโรกัดฟันแน่น คำรามอยู่ในคอเหมือนหมาป่าที่ถูกเหยียบขนดหาง ยันมือข้างหนึ่งกับพื้นดินรวบรวมกำลังค่อย ๆ ยืนขึ้นตั้งหลัก มือหนึ่งกำดาบไม้ที่ยาวเกินตัวเอาไว้แน่น หน้าตาขมึงถึง ดวงตากลมโตวาวโรจน์เด็ดเดี่ยวเกินเด็กจ้องเขม็งไปที่คู่ต่อสู้ไม่วางตา ผมทรงพรายน้ำตั้งชันด้วยความโกรธสุดขีด
นี่ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ หนุ่มน้อยตั้งท่าสู้ตาย ด้วยความเชื่อมั่นว่า
ข้าทำถูกต้องแล้วไม่ได้ผิดอะไรสักนิด
ปกติผู้ใหญ่หลังโกรธจัดและขาดสติจะสำนึกตัวได้ในภายหลัง แต่เด็กน้อยและยิ่งเมื่อรุ่นหนุ่มเมื่อบรรดาลโทสะแล้วจะยื้อยุดฉุดยาก แม้แม่ผู้ให้กำเนิดก็ยังเอาไม่อยู่ ดังเช่นโจทาโรในอึดใจนี้ ที่เห็นท่อนไม้ใหญ่ในมือปรปักษ์ใจก็ยิ่งลุกเป็นไฟ
“เข้ามาสิ คิดว่าจะฆ่าได้ก็เข้ามาเลย เข้ามา”
โจทาโรยืนจังก้าผ่อนลมหายใจเป็นจังหวะพร้อมสู้ด้วยมาดของนักรบเต็มตัว
ยังไม่ทันสิ้นหางเสียงคำท้าท้ายที่แผดขึ้นไปจนสั่นเครือ
ท่อนไม้ใหญ่ในมือซามูไรคนเลี้ยงหมาก็ฟาดลงมาสุดแรง พร้อมแผดเสียงข่มขวัญ
“งั้นก็ตายเสียเถอะ”
ถ้าโดนเข้าจัง ๆ โจทาโรก็คงตายคาที่ แต่เสียงที่สะท้อนเข้าหูทุกคนในที่นั้น คือเสียงไม้กับไม้กระทบกันดังสนั่นและลั่นเปรี๊ยะ
---มูซาชิยืนกอดอกนิ่งมองอยู่อย่างใจเย็น
ดาบไม้ที่โจทาโรยกขึ้นรับแรงปะทะของท่อนไม้ใหญ่ หลุดจากมือที่ชาดิ่งกระเด็นหวือไปทางหนึ่ง
อึดใจต่อมา เจ้าหนุ่มน้อยที่เหลือแต่มือเปล่าก็พุ่งตัวเข้าใส่คู่ต่อสู้ แยกเขี้ยวงับเข้าที่ผ้าคาดเอว ปากแว้งกัด สองมือกางออกข่วนอย่างเอาไปเอาตาย พุ่งเป้าไปตรงที่เป็นจุดอ่อนไม่อย่างไม่ออมแรง แรงปะทะทำให้อีกฝ่ายเสียหลัก ฟาดท่อนไม้แหวกอากาศพลาดเป้าหมายทีหนึ่งก็แล้วสองทีก็แล้ว ยิ่งพลาดก็ยิ่งโกรธจนลืมตัวว่ากำลังต่อสู้อยู่กับเด็ก ฝ่ายโจทาโรก็ลืมตัวเช่นกัน แยกเขี้ยวกางอุ้งเล็บ และส่งเสียงคำรามราวกับสัตว์ป่า
เมื่อมือหนึ่งพลาดมือที่สองก็ตามมา ซามูไรร่างกำยำเงื้อง่าท่อนไม้ใหญ่ตรงรี่เข้ามาช่วยเพื่อน เล็งไปที่กลางหลังพยัคฆ์ร้ายตัวน้อย แต่ก่อนที่ท่อนไม่ใหญ่ที่เงื้อง่าอยู่จะถูกฟาดลงไปนั้นเอง...
มูซาชิขยับตัวเป็นครั้งแรก คลายแขนที่กอดอกออก ก้าวอาด ๆ แหวกกำแพงคนที่ล้อมอยู่เข้าไปกลางวงโดยพลัน ไม่ทันที่สายตาของผู้ใดจะตามทัน
“ขี้ขลาด”
และไม่ทันจะฟังขาดคำ ทุกคนก็เห็นสองขากับท่อนไม้รวมสามท่อนลอยคว้างขึ้นไปในอากาศข้ามกำแพงคนไปโหม่งพื้นกลิ้งไม่เป็นท่าอยู่ห่างออกไป
จัดการเสร็จมูซาชิหันมาเล่นงานลูกศิษย์
“โจทาโร ทำไมเจ้าถึงซนอย่างนี้ฮึ”
ว่าแล้วก็จับผ้าคาดเอวเจ้าหนุ่มน้อยยกชูขึ้นไปสูงเหนือหัวตัวเอง
ผู้คนในปราสาทที่แห่กันมามุงดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น หน้าตื่นไปตาม ๆ กัน ต่างคนสบตาเพื่อนแล้วกระซิบกระซาบเสียงกระหึ่ม
เฮ้ยดูนั่น เจ้าซามูไรต่างถิ่นมันสติดีหรือเปล่า จับเด็กตัวนิดเดียวขึ้นไปชูไว้อย่างนั้นทำไม คิดจะทำอะไรรึนั่น
มูซาชิหันไปทางซามูไรคนเลี้ยงหมาที่กระชับท่อนไม้ใหญ่ในมือพร้อมประจัญบานอีกครั้ง
“ข้าเฝ้าดูมาตั้งแต่ต้น ดูเหมือนว่าการพิจารณาคดีของท่านจะไม่ถูกต้อง เด็กคนนี้ซึ่งเป็นบริวารของข้า ไม่รู้ว่าท่านตั้งใจจะไต่สวนเพื่อเอาผิดกับใคร กับมันหรือว่ากับตัวข้าที่เป็นนายของมัน”
ซามูไรผู้ถูกจ้องหน้าถามตอบอย่างโกรธจัด
“ก็เอาผิดทั้งสองนั่นแหละ”
“ก็ได้ เราสองคนพร้อมแล้ว เอ้า เอาตัวมันไป”
ว่าแล้วมูซาชิก็ทุ่มตัวโจทาโรเข้าใส่ปรปักษ์เต็มแรง
2
ผู้คนที่รุมล้อมอยู่ถึงกับผงะ อุทานประสานเสียงกัน ไม่นึกว่าซามูไรต่างถิ่นจะทำอะไรบ้าระห่ำขนาดนั้น มีอย่างหรือโยนคนเป็น ๆ เข้าใส่คู่ต่อสู้แทนอาวุธ ไม่เคยพบเคยเห็น
ร่างของโจทาโรที่ถูกมูซาชิทุ่มสุดแรง ห่อตัวเป็นก้อนกลมเหมือนลูกอุกกาบาต ตกใส่หน้าอกเป้าหมายที่ยืนตะลึงอยู่อย่างจัง
“เฮ้ย โอ๊ย”
ซามูไรคนเลี้ยงหมาร้องลั่นไม่เป็นภาษาด้วยความตื่นตระหนก ขณะเสียหลักหงายหลังลงไปทั้งตัวมีร่างโจทาโรทับอยู่ข้างบน ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดไม่รู้ว่าเป็นเพราะหัวกระแทกโขดหิน หรือว่าโดนหัวแข็ง ๆ ของ โจทาโรกระแทกซี่โครงหัก และพอสิ้นเสียงร้องเลือดสด ๆ ก็ทะลักออกมาจากปากและเงียบไป โจทาโรเด้งตัวขึ้นจากอกซามูไรคนเลี้ยงหมา ตีลังกาม้วนตัวเหมือนลูกบอลกลิ้งไปทางหนึ่ง
มันทำร้ายซามูไรของเรา
ไอ้นี่มันมาจากไหน
คราวนี้คู่ต่อสู้ไม่มีแค่ซามูไรคนเลี้ยงหมาคนเดียวอีกต่อไป ทุกคนในปราสาทของตระกูลยากิวตั้งตัวเป็นศัตรูกันทุกคน ต่างด่าว่าและสาบแช่งกันขรม น้อยคนนักจะรู้ว่ามูซาชิเป็นแขกรับเชิญของศิษย์เอกทั้งสี่แห่งสำนักดาบยากิว จึงเป็นธรรมดาที่ทุกคนจะต้องโกรธแค้นกับการกระทำอันอุกอาจของนักดาบหนุ่มพเนจรผู้นี้
“เอาละ ทุกคนฟังข้า”
มูซาชิหันหน้าเข้าหาฝูงคน ที่กำลังจ้องมองมาว่าคราวนี้ศัตรูตัวร้ายจะมาไม้ไหนเพราะเห็นหยิบดาบไม้ของโจทาโรขึ้นมากระชับไว้ในมือขวาทำหน้าถมึงทึงน่าเกรงขาม
“ความผิดของเด็กคนนี้คือความผิดของนายมันด้วย และเราก็พร้อมที่จะชดใช้ความผิดนั้น แต่ข้าขอบอกให้ทุกคนรู้เอาไว้ว่า ข้ามูซาชิและโจทาโรบริวารของข้าเป็นซามูไรที่มีวิชาดาบเป็นอาวุธป้องกันตัว ไม่อาจยอมตัวให้ถูกตีด้วยท่อนไม้จนตายเหมือนหมาตัวหนึ่ง เมื่อจะตายก็ต้องตายด้วยการต่อสู้อย่างเท่าเทียมกัน”
ใครฟังก็เข้าใจได้ทันทีว่าคำพูดของซามูไรต่างถิ่นผู้นี้ไม่ใช่คำของคนที่สำนึกตัวว่าผิดและยอมรับโทษทัณฑ์แต่โดยดี แต่เป็นการท้าประลองฝีมือกันชัด ๆ
หากว่า ณ ที่นี่ มูซาชิจะกล่าวคำขอโทษแทนโจทาโรและพยายามพูดจาขอความเห็นใจจากบรรดาซามูไรให้ช่วยยกโทษให้เจ้าหนุ่มน้อย เรื่องก็คงจะจบลงอย่างสันติ อย่างดีศิษย์เอกทั้งสี่แห่งสำนักดาบยากิวก็เข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยให้เลิกแล้วกันไป แต่เมื่อมูซาชิกลับมาในท่าทีโอหังราวกับอยากหาเรื่องใส่ตัว โชดะ คิมูระ เดบูจิ และมูราตะ ขมวดคิ้วและสบตากันด้วยความฉงน และเขม้นมองมูซาชิด้วยสายตาเกรี้ยวกราด
3
คำพูดอันอุกอาจโอหังของมูซาชิราวน้ำมันที่ราดลงไปในกองเพลิง ปลุกเร้าฝูงคนให้ร้อนเร่าด้วยความโกรธแค้นถึงขีดสุด
ไม่มีใครในปราสาทของตระกูลยากิวแห่งนี้รู้ว่าซามูไรพเนจรคนนี้คือใครมาจากไหนและกำลังคิดอะไรอยู่
ต่างคนต่างก่นด่า สบถหยาบคาย
อาฆาตมาดร้ายรุนแรงขึ้นทุกที
“มันต้องเป็นสายลับแน่”
“จับมันแขวนคอ”
“อย่าให้มันหนีไปได้”
“ฆ่ามัน”
คำนั้นเหมือนเป็นสัญญาณให้ซามูไรทุกคนชักดาบและกรูเข้ามา
มูซาชิกับโจทาโรที่วิ่งกลับมายืนข้าง ๆ ตกอยู่กลางดงคมดาบขาววับเป็นประกายแทบมองไม่เห็นตัวไปในพริบตา
“หยุด”
เสียงทรงอำนาจของโชดะ คิซาเอมอน หยุดความกระเหี้ยนกระหือรือของฝูงคนเอาไว้ได้
ศิษย์เอกอีกสามคนถอนใจโล่งอกไปตาม ๆ กัน
“เกือบไปแล้ว”
“พวกเจ้าถอยออกไป ทางเราจะจัดการกันเอง”
“กลับไปทำงานหน้าที่ของเจ้าตามเดิมได้แล้ว”
และเมื่อเห็นยังงงกันอยู่ โชดะก็ชี้แจงว่า
“ชายคนนี้ดูเหมือนจะมีกลอุบายอะไรสักอย่าง ซึ่งถ้าเราหลงกลไปทำร้ายให้บาดเจ็บหรือเป็นอะไรไป ก็อาจถูกท่าน เซกิชูไซสอบสวนเอาได้ เรื่องเจ้าทาโรก็เหมือนกัน แม้จะเป็นเรื่องใหญ่ก็จริงแต่ชีวิตคนย่อมสำคัญกว่า เราสี่คนจะรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดนี้เอง ทุกคนสบายใจได้รับรองว่าจะไม่ทำให้ใครต้องลำบาก และกลับกันไปเถิด”
ในที่สุดก็เหลือแต่แขกและเจ้าภาพทั้งสี่ ซึ่งตอนนี้ความสัมพันธ์เปลี่ยนแปลงไปแล้ว กลายเป็นฝ่ายตรงข้ามกันคือผู้ร้ายกับผู้พิพากษา
“มูซาชิหรือจะชื่อใดก็ตาม บัดนี้เราฉีกหน้ากากที่ปิดบังตัวจริงของเจ้าออกหมดแล้ว เจ้าคือสายลับที่ใครคนหนึ่งจ้างมาสืบเรื่องราวภายในของปราสาทโคยากิวแห่งนี้ หรือไม่ก็เข้ามาก่อกวนความสงบ”
สายตาทั้งสี่คู่ของยอดนักดาบจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าคมสันสมชายของมูซาชิอย่างไม่ลดละ นักดาบหนุ่มกำบังร่างของโจทาโรเอาไว้ข้างกายยืนนิ่งอยู่ที่เดิมราวกับหยั่งรากลึกลงไปในดิน คิดอยู่ในใจว่าแม้คิดจะหนีออกไปให้พ้นจากตรงนี้ ก็คงหาช่องรอดออกไปจากวงล้อมของคนทั้งสี่ได้ยาก ต่อให้มีปีกบินก็ไม่พ้น
“นี่แน่ะ มูซาชิ”
เดบูจิ มาโงเบเอ่ยขึ้น พร้อมขยับตัวเลื่อนดาบออกจากฝักดังกริ๊กอยู่ในตำแหน่งพร้อมชัก
“เมื่อถูกจับได้เช่นนี้แล้ว สิ่งที่ซามูไรผู้มีเกียรติภูมิพึงกระทำคือจบชีวิตตนเอง แม้เจ้าจะเป็นคนร้าย แต่ก็ได้ให้ให้เห็นถึงความกล้าหาญไม่กลัวใคร บุกเข้ามาในปราสาทโคยากิวอันยิ่งใหญ่ของเราโดยมีเจ้าเด็กน้อยตัวนิดเดียวคนนี้มาเป็นพวก เอาเถอะไหน ๆ เราก็เคยดื่มกินกันมา ข้าจะคอยให้เจ้าเตรียมตัวฮาราคีริ แล้วเจ้าก็จะได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นซามูไรที่แท้จริง”
ศิษย์เอกทั้งสี่แห่งสำนักดาบยากิวคิดว่านั่นจะช่วยให้ปัญหาทุกอย่างสิ้นสุดลง
คิดว่าในเมื่อท่านเซกิไซไม่ได้ล่วงรู้การเชิญมูซาชิมาดื่มกินในวันนี้ ดังนั้นเมื่อมูซาชิจบชีวิตตัวเองพวกตนก็แค่เอาศพไปฝังและทุกอย่างก็จะถูกฝังไปพร้อมกับศพ
แต่มูซาชิน่ะหรือจะเห็นด้วย
“อะไรนะ มูซาชิคนนี้น่ะหรือจะฮาราคีริ บ้าหรือเปล่า”
ว่าแล้วก็หัวเราะตัวโยนด้วยความขบขันจริง ๆ
4
มูซาชิพูดและทำทุกอย่างก็เพื่อยั่วยุให้อีกฝ่ายโกรธและจับอาวุธขึ้นประลองฝีมือกัน
ศิษย์เอกทั้งสี่แห่งสำนักดาบยากิวเป็นนักรบชั้นครูผู้ควบคุมอารมณ์ได้เป็นเยี่ยมนั้น ตอนนี้เริ่มขมวดคิ้วนิ่วหน้ากันแล้ว
“ก็ได้”
เดบูจิ
“เราอุตส่าห์ปราณีแนะทางให้ ไม่ทำตามก็แล้วไป”
คิมูระตัดบท
“ไม่ต้องพูดมาก”
ว่าแล้วก็อ้อมไปข้างหลังมูซาชิและผลักให้เดินไปข้างหน้า
“ไป”
“ไปไหน”
“ไปคุกน่ะซี”
มูซาชิพยักหน้าแล้วออกเดินก้าวยาว ๆ ไปทางตัวปราสาท
“จะไปไหน”
คิมูระปราดเข้าไปขวางหน้า กางแขนออกกั้นไว้
“คุกไม่ได้อยู่ทางนั้น กลับไป”
“ไม่กลับ”
มูซาชิก้มลงบอกโจทาโรที่เดินติดแน่นอยู่ข้าง ๆ
“เจ้าไปอยู่ที่ใต้ต้นสนโน่นก่อน”
บริเวณนั้นดูเหมือนเป็นสวนใกล้ประตูทางเข้าตัวปราสาท ประดับด้วยต้นสนแผ่กิ่งก้านและพื้นทรายขาวเป็นประกายสะท้อนแสงจากคบไฟ
โจทาโรปล่อยชายเสื้อครูที่จับไว้แน่นออกวิ่งเร็วจี๋ไปที่หมู่ไม้แล้วเข้าไปแอบหลังต้นสนต้นหนึ่ง
ครูกำลังจะแผลงฤทธิ์แล้ว
หนุ่มน้อยยังจำฝีมือดาบของมูซาชิเมื่อครั้งประจัญบานกับเหล่าซามูไรอันธพาลที่ทุ่งฮันเนียโนะได้ติดตา ใจพองโตด้วยความลิงโลดที่จะได้เห็นท่วงท่าการสู้รบที่เกริกกล้าเกรียงไกรของผู้เป็นครูอีกครั้ง
โชดะกับเดบูจิตามเข้ามาขนาบข้างและดึงแขนมูซาชิพยายามลากตัวกลับไป
“กลับไปเดี๋ยวนี้”
“ไม่กลับ”
ยื้อยุดกันอยู่อย่างนั้น
“ไม่กลับใช่ไหม”
“ไม่ แม้แต่ก้าวเดียวก็ไม่”
“ไม่แน่นะ”
“ฮึ่ม”
คิมูระหนุ่มเลือดร้อนหมดความอดทนเป็นคนแรก เลื่อนดาบออกจากฝักเสียงดังกริ๊กเตรียมชัก
โชดะกับเดบูจิอายุมากกว่าร้องห้ามอย่างใจเย็น
“ไม่กลับก็ไม่ต้องกลับ แต่เจ้าจะไปไหน”
“ข้าจะไปพบท่านเซกิชูไซ”
“อะไรนะ”
ศิษย์เอกทั้งสี่แห่งสำนักดาบยากิวอ้าปากค้าง ไม่มีใครคาดคิดมากก่อนว่าจุดมุ่งหมายของเจ้าหนุ่มผู้มีพฤติกรรมแปลกประหลาดคนนี้คือการเข้าหาท่านเจ้าสำนัก คิดไม่ถึง...คิดไม่ถึงจริง ๆ
โชดะได้สติก่อนคนอื่น ถามขึ้นว่า
“เจ้าจะไปพบท่านเจ้าสำนักทำไม”
“ข้าเป็นนักรบฝึกหัด ออกเดินทางร่ำเรียนวิชาดาบ และจุดมุ่งหมายหนึ่งในชีวิตของข้าก็คือการได้เรียนวิชาดาบจากท่านเจ้าสำนักยากิว”
“ถ้าต้องการเช่นนั้น ทำไมไม่ทำตามขั้นตอน”
“ข้ารู้มาว่าท่านเซกิชูไซไม่พบใคร และก็ไม่สอนพวกนักรบฝึกหัดด้วย”
“ใช่”
“เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเข้ามาท้าท่านตรง ๆ ทั้งที่รู้ว่าท่านจะไม่ออกมาพบง่าย ๆ ดังนั้นข้าจึงขอท้าประลองยุทธ์กับทั้งปราสาทนี้แหละ”
“ประลองยุทธ์อย่างนั้นรึ”
ศิษย์เอกทั้งสี่แห่งสำนักดาบยากิวย้อนถามเป็นเสียงเดียวกัน พร้อมกับทำหน้าระอาใจ---เจ้านี่ถ้าจะบ้า
มูซาชิแหงนหน้ามองท้องฟ้าเมื่อได้ยินเสียงพั๊บ พั๊บ
ปล่อยให้นักดาบทั้งสองจับกุมแขนทั้งสองเอาไว้อย่างนั้นโดยไม่สะบัดขัดขืน
“หือ ?”
ศิษย์เอกทั้งสี่แห่งสำนักดาบยากิวมองตาม
พริบตานั้นเอง...
เหยี่ยวตัวหนึ่งโผบินจากความมืดด้านภูเขาคาซางิลงมาที่หลังคาฉางข้าวภายในปราสาท
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
“เห่าเดี๋ยวนี้ ไอ้เด็กเวร เห่าสิ เห่าให้เหมือนหมาจนตรอก”
ซามูไรคนเลี้ยงหมาตะคอกใส่หน้าโจทะโร กระชับอุ้งมือที่ขยุ้มอกเสื้อเจ้าหนุ่มน้อยเอาไว้ เกร็งกล้ามยกร่างเล็กลอยขึ้นเหวี่ยงหมุนไปในอากาศสองสามรอบจนตาลายแล้วเหวี่ยงสุดแรงลงไปกลิ้งอยู่กับพื้น ก่อนหันไปคว้าท่อนไม้เงื้อง่ายืนจังก้าเตรียมฟาดฟันเผด็จศึก
“ไอ้วายร้าย เอ็งตีหมาของนายจนตาย คราวนี้ถึงคราวที่เอ็งจะต้องชะตาขาดบ้างแล้ว ลุกขึ้นมา...ลุกขึ้นมาเห่าข้าสิ เข้ามากัดข้าเลย จะช้าอยู่ทำไม ลุกขึ้นมา”
โจทะโรกัดฟันแน่น คำรามอยู่ในคอเหมือนหมาป่าที่ถูกเหยียบขนดหาง ยันมือข้างหนึ่งกับพื้นดินรวบรวมกำลังค่อย ๆ ยืนขึ้นตั้งหลัก มือหนึ่งกำดาบไม้ที่ยาวเกินตัวเอาไว้แน่น หน้าตาขมึงถึง ดวงตากลมโตวาวโรจน์เด็ดเดี่ยวเกินเด็กจ้องเขม็งไปที่คู่ต่อสู้ไม่วางตา ผมทรงพรายน้ำตั้งชันด้วยความโกรธสุดขีด
นี่ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ หนุ่มน้อยตั้งท่าสู้ตาย ด้วยความเชื่อมั่นว่า
ข้าทำถูกต้องแล้วไม่ได้ผิดอะไรสักนิด
ปกติผู้ใหญ่หลังโกรธจัดและขาดสติจะสำนึกตัวได้ในภายหลัง แต่เด็กน้อยและยิ่งเมื่อรุ่นหนุ่มเมื่อบรรดาลโทสะแล้วจะยื้อยุดฉุดยาก แม้แม่ผู้ให้กำเนิดก็ยังเอาไม่อยู่ ดังเช่นโจทาโรในอึดใจนี้ ที่เห็นท่อนไม้ใหญ่ในมือปรปักษ์ใจก็ยิ่งลุกเป็นไฟ
“เข้ามาสิ คิดว่าจะฆ่าได้ก็เข้ามาเลย เข้ามา”
โจทาโรยืนจังก้าผ่อนลมหายใจเป็นจังหวะพร้อมสู้ด้วยมาดของนักรบเต็มตัว
ยังไม่ทันสิ้นหางเสียงคำท้าท้ายที่แผดขึ้นไปจนสั่นเครือ
ท่อนไม้ใหญ่ในมือซามูไรคนเลี้ยงหมาก็ฟาดลงมาสุดแรง พร้อมแผดเสียงข่มขวัญ
“งั้นก็ตายเสียเถอะ”
ถ้าโดนเข้าจัง ๆ โจทาโรก็คงตายคาที่ แต่เสียงที่สะท้อนเข้าหูทุกคนในที่นั้น คือเสียงไม้กับไม้กระทบกันดังสนั่นและลั่นเปรี๊ยะ
---มูซาชิยืนกอดอกนิ่งมองอยู่อย่างใจเย็น
ดาบไม้ที่โจทาโรยกขึ้นรับแรงปะทะของท่อนไม้ใหญ่ หลุดจากมือที่ชาดิ่งกระเด็นหวือไปทางหนึ่ง
อึดใจต่อมา เจ้าหนุ่มน้อยที่เหลือแต่มือเปล่าก็พุ่งตัวเข้าใส่คู่ต่อสู้ แยกเขี้ยวงับเข้าที่ผ้าคาดเอว ปากแว้งกัด สองมือกางออกข่วนอย่างเอาไปเอาตาย พุ่งเป้าไปตรงที่เป็นจุดอ่อนไม่อย่างไม่ออมแรง แรงปะทะทำให้อีกฝ่ายเสียหลัก ฟาดท่อนไม้แหวกอากาศพลาดเป้าหมายทีหนึ่งก็แล้วสองทีก็แล้ว ยิ่งพลาดก็ยิ่งโกรธจนลืมตัวว่ากำลังต่อสู้อยู่กับเด็ก ฝ่ายโจทาโรก็ลืมตัวเช่นกัน แยกเขี้ยวกางอุ้งเล็บ และส่งเสียงคำรามราวกับสัตว์ป่า
เมื่อมือหนึ่งพลาดมือที่สองก็ตามมา ซามูไรร่างกำยำเงื้อง่าท่อนไม้ใหญ่ตรงรี่เข้ามาช่วยเพื่อน เล็งไปที่กลางหลังพยัคฆ์ร้ายตัวน้อย แต่ก่อนที่ท่อนไม่ใหญ่ที่เงื้อง่าอยู่จะถูกฟาดลงไปนั้นเอง...
มูซาชิขยับตัวเป็นครั้งแรก คลายแขนที่กอดอกออก ก้าวอาด ๆ แหวกกำแพงคนที่ล้อมอยู่เข้าไปกลางวงโดยพลัน ไม่ทันที่สายตาของผู้ใดจะตามทัน
“ขี้ขลาด”
และไม่ทันจะฟังขาดคำ ทุกคนก็เห็นสองขากับท่อนไม้รวมสามท่อนลอยคว้างขึ้นไปในอากาศข้ามกำแพงคนไปโหม่งพื้นกลิ้งไม่เป็นท่าอยู่ห่างออกไป
จัดการเสร็จมูซาชิหันมาเล่นงานลูกศิษย์
“โจทาโร ทำไมเจ้าถึงซนอย่างนี้ฮึ”
ว่าแล้วก็จับผ้าคาดเอวเจ้าหนุ่มน้อยยกชูขึ้นไปสูงเหนือหัวตัวเอง
ผู้คนในปราสาทที่แห่กันมามุงดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น หน้าตื่นไปตาม ๆ กัน ต่างคนสบตาเพื่อนแล้วกระซิบกระซาบเสียงกระหึ่ม
เฮ้ยดูนั่น เจ้าซามูไรต่างถิ่นมันสติดีหรือเปล่า จับเด็กตัวนิดเดียวขึ้นไปชูไว้อย่างนั้นทำไม คิดจะทำอะไรรึนั่น
มูซาชิหันไปทางซามูไรคนเลี้ยงหมาที่กระชับท่อนไม้ใหญ่ในมือพร้อมประจัญบานอีกครั้ง
“ข้าเฝ้าดูมาตั้งแต่ต้น ดูเหมือนว่าการพิจารณาคดีของท่านจะไม่ถูกต้อง เด็กคนนี้ซึ่งเป็นบริวารของข้า ไม่รู้ว่าท่านตั้งใจจะไต่สวนเพื่อเอาผิดกับใคร กับมันหรือว่ากับตัวข้าที่เป็นนายของมัน”
ซามูไรผู้ถูกจ้องหน้าถามตอบอย่างโกรธจัด
“ก็เอาผิดทั้งสองนั่นแหละ”
“ก็ได้ เราสองคนพร้อมแล้ว เอ้า เอาตัวมันไป”
ว่าแล้วมูซาชิก็ทุ่มตัวโจทาโรเข้าใส่ปรปักษ์เต็มแรง
2
ผู้คนที่รุมล้อมอยู่ถึงกับผงะ อุทานประสานเสียงกัน ไม่นึกว่าซามูไรต่างถิ่นจะทำอะไรบ้าระห่ำขนาดนั้น มีอย่างหรือโยนคนเป็น ๆ เข้าใส่คู่ต่อสู้แทนอาวุธ ไม่เคยพบเคยเห็น
ร่างของโจทาโรที่ถูกมูซาชิทุ่มสุดแรง ห่อตัวเป็นก้อนกลมเหมือนลูกอุกกาบาต ตกใส่หน้าอกเป้าหมายที่ยืนตะลึงอยู่อย่างจัง
“เฮ้ย โอ๊ย”
ซามูไรคนเลี้ยงหมาร้องลั่นไม่เป็นภาษาด้วยความตื่นตระหนก ขณะเสียหลักหงายหลังลงไปทั้งตัวมีร่างโจทาโรทับอยู่ข้างบน ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดไม่รู้ว่าเป็นเพราะหัวกระแทกโขดหิน หรือว่าโดนหัวแข็ง ๆ ของ โจทาโรกระแทกซี่โครงหัก และพอสิ้นเสียงร้องเลือดสด ๆ ก็ทะลักออกมาจากปากและเงียบไป โจทาโรเด้งตัวขึ้นจากอกซามูไรคนเลี้ยงหมา ตีลังกาม้วนตัวเหมือนลูกบอลกลิ้งไปทางหนึ่ง
มันทำร้ายซามูไรของเรา
ไอ้นี่มันมาจากไหน
คราวนี้คู่ต่อสู้ไม่มีแค่ซามูไรคนเลี้ยงหมาคนเดียวอีกต่อไป ทุกคนในปราสาทของตระกูลยากิวตั้งตัวเป็นศัตรูกันทุกคน ต่างด่าว่าและสาบแช่งกันขรม น้อยคนนักจะรู้ว่ามูซาชิเป็นแขกรับเชิญของศิษย์เอกทั้งสี่แห่งสำนักดาบยากิว จึงเป็นธรรมดาที่ทุกคนจะต้องโกรธแค้นกับการกระทำอันอุกอาจของนักดาบหนุ่มพเนจรผู้นี้
“เอาละ ทุกคนฟังข้า”
มูซาชิหันหน้าเข้าหาฝูงคน ที่กำลังจ้องมองมาว่าคราวนี้ศัตรูตัวร้ายจะมาไม้ไหนเพราะเห็นหยิบดาบไม้ของโจทาโรขึ้นมากระชับไว้ในมือขวาทำหน้าถมึงทึงน่าเกรงขาม
“ความผิดของเด็กคนนี้คือความผิดของนายมันด้วย และเราก็พร้อมที่จะชดใช้ความผิดนั้น แต่ข้าขอบอกให้ทุกคนรู้เอาไว้ว่า ข้ามูซาชิและโจทาโรบริวารของข้าเป็นซามูไรที่มีวิชาดาบเป็นอาวุธป้องกันตัว ไม่อาจยอมตัวให้ถูกตีด้วยท่อนไม้จนตายเหมือนหมาตัวหนึ่ง เมื่อจะตายก็ต้องตายด้วยการต่อสู้อย่างเท่าเทียมกัน”
ใครฟังก็เข้าใจได้ทันทีว่าคำพูดของซามูไรต่างถิ่นผู้นี้ไม่ใช่คำของคนที่สำนึกตัวว่าผิดและยอมรับโทษทัณฑ์แต่โดยดี แต่เป็นการท้าประลองฝีมือกันชัด ๆ
หากว่า ณ ที่นี่ มูซาชิจะกล่าวคำขอโทษแทนโจทาโรและพยายามพูดจาขอความเห็นใจจากบรรดาซามูไรให้ช่วยยกโทษให้เจ้าหนุ่มน้อย เรื่องก็คงจะจบลงอย่างสันติ อย่างดีศิษย์เอกทั้งสี่แห่งสำนักดาบยากิวก็เข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยให้เลิกแล้วกันไป แต่เมื่อมูซาชิกลับมาในท่าทีโอหังราวกับอยากหาเรื่องใส่ตัว โชดะ คิมูระ เดบูจิ และมูราตะ ขมวดคิ้วและสบตากันด้วยความฉงน และเขม้นมองมูซาชิด้วยสายตาเกรี้ยวกราด
3
คำพูดอันอุกอาจโอหังของมูซาชิราวน้ำมันที่ราดลงไปในกองเพลิง ปลุกเร้าฝูงคนให้ร้อนเร่าด้วยความโกรธแค้นถึงขีดสุด
ไม่มีใครในปราสาทของตระกูลยากิวแห่งนี้รู้ว่าซามูไรพเนจรคนนี้คือใครมาจากไหนและกำลังคิดอะไรอยู่
ต่างคนต่างก่นด่า สบถหยาบคาย
อาฆาตมาดร้ายรุนแรงขึ้นทุกที
“มันต้องเป็นสายลับแน่”
“จับมันแขวนคอ”
“อย่าให้มันหนีไปได้”
“ฆ่ามัน”
คำนั้นเหมือนเป็นสัญญาณให้ซามูไรทุกคนชักดาบและกรูเข้ามา
มูซาชิกับโจทาโรที่วิ่งกลับมายืนข้าง ๆ ตกอยู่กลางดงคมดาบขาววับเป็นประกายแทบมองไม่เห็นตัวไปในพริบตา
“หยุด”
เสียงทรงอำนาจของโชดะ คิซาเอมอน หยุดความกระเหี้ยนกระหือรือของฝูงคนเอาไว้ได้
ศิษย์เอกอีกสามคนถอนใจโล่งอกไปตาม ๆ กัน
“เกือบไปแล้ว”
“พวกเจ้าถอยออกไป ทางเราจะจัดการกันเอง”
“กลับไปทำงานหน้าที่ของเจ้าตามเดิมได้แล้ว”
และเมื่อเห็นยังงงกันอยู่ โชดะก็ชี้แจงว่า
“ชายคนนี้ดูเหมือนจะมีกลอุบายอะไรสักอย่าง ซึ่งถ้าเราหลงกลไปทำร้ายให้บาดเจ็บหรือเป็นอะไรไป ก็อาจถูกท่าน เซกิชูไซสอบสวนเอาได้ เรื่องเจ้าทาโรก็เหมือนกัน แม้จะเป็นเรื่องใหญ่ก็จริงแต่ชีวิตคนย่อมสำคัญกว่า เราสี่คนจะรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดนี้เอง ทุกคนสบายใจได้รับรองว่าจะไม่ทำให้ใครต้องลำบาก และกลับกันไปเถิด”
ในที่สุดก็เหลือแต่แขกและเจ้าภาพทั้งสี่ ซึ่งตอนนี้ความสัมพันธ์เปลี่ยนแปลงไปแล้ว กลายเป็นฝ่ายตรงข้ามกันคือผู้ร้ายกับผู้พิพากษา
“มูซาชิหรือจะชื่อใดก็ตาม บัดนี้เราฉีกหน้ากากที่ปิดบังตัวจริงของเจ้าออกหมดแล้ว เจ้าคือสายลับที่ใครคนหนึ่งจ้างมาสืบเรื่องราวภายในของปราสาทโคยากิวแห่งนี้ หรือไม่ก็เข้ามาก่อกวนความสงบ”
สายตาทั้งสี่คู่ของยอดนักดาบจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าคมสันสมชายของมูซาชิอย่างไม่ลดละ นักดาบหนุ่มกำบังร่างของโจทาโรเอาไว้ข้างกายยืนนิ่งอยู่ที่เดิมราวกับหยั่งรากลึกลงไปในดิน คิดอยู่ในใจว่าแม้คิดจะหนีออกไปให้พ้นจากตรงนี้ ก็คงหาช่องรอดออกไปจากวงล้อมของคนทั้งสี่ได้ยาก ต่อให้มีปีกบินก็ไม่พ้น
“นี่แน่ะ มูซาชิ”
เดบูจิ มาโงเบเอ่ยขึ้น พร้อมขยับตัวเลื่อนดาบออกจากฝักดังกริ๊กอยู่ในตำแหน่งพร้อมชัก
“เมื่อถูกจับได้เช่นนี้แล้ว สิ่งที่ซามูไรผู้มีเกียรติภูมิพึงกระทำคือจบชีวิตตนเอง แม้เจ้าจะเป็นคนร้าย แต่ก็ได้ให้ให้เห็นถึงความกล้าหาญไม่กลัวใคร บุกเข้ามาในปราสาทโคยากิวอันยิ่งใหญ่ของเราโดยมีเจ้าเด็กน้อยตัวนิดเดียวคนนี้มาเป็นพวก เอาเถอะไหน ๆ เราก็เคยดื่มกินกันมา ข้าจะคอยให้เจ้าเตรียมตัวฮาราคีริ แล้วเจ้าก็จะได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นซามูไรที่แท้จริง”
ศิษย์เอกทั้งสี่แห่งสำนักดาบยากิวคิดว่านั่นจะช่วยให้ปัญหาทุกอย่างสิ้นสุดลง
คิดว่าในเมื่อท่านเซกิไซไม่ได้ล่วงรู้การเชิญมูซาชิมาดื่มกินในวันนี้ ดังนั้นเมื่อมูซาชิจบชีวิตตัวเองพวกตนก็แค่เอาศพไปฝังและทุกอย่างก็จะถูกฝังไปพร้อมกับศพ
แต่มูซาชิน่ะหรือจะเห็นด้วย
“อะไรนะ มูซาชิคนนี้น่ะหรือจะฮาราคีริ บ้าหรือเปล่า”
ว่าแล้วก็หัวเราะตัวโยนด้วยความขบขันจริง ๆ
4
มูซาชิพูดและทำทุกอย่างก็เพื่อยั่วยุให้อีกฝ่ายโกรธและจับอาวุธขึ้นประลองฝีมือกัน
ศิษย์เอกทั้งสี่แห่งสำนักดาบยากิวเป็นนักรบชั้นครูผู้ควบคุมอารมณ์ได้เป็นเยี่ยมนั้น ตอนนี้เริ่มขมวดคิ้วนิ่วหน้ากันแล้ว
“ก็ได้”
เดบูจิ
“เราอุตส่าห์ปราณีแนะทางให้ ไม่ทำตามก็แล้วไป”
คิมูระตัดบท
“ไม่ต้องพูดมาก”
ว่าแล้วก็อ้อมไปข้างหลังมูซาชิและผลักให้เดินไปข้างหน้า
“ไป”
“ไปไหน”
“ไปคุกน่ะซี”
มูซาชิพยักหน้าแล้วออกเดินก้าวยาว ๆ ไปทางตัวปราสาท
“จะไปไหน”
คิมูระปราดเข้าไปขวางหน้า กางแขนออกกั้นไว้
“คุกไม่ได้อยู่ทางนั้น กลับไป”
“ไม่กลับ”
มูซาชิก้มลงบอกโจทาโรที่เดินติดแน่นอยู่ข้าง ๆ
“เจ้าไปอยู่ที่ใต้ต้นสนโน่นก่อน”
บริเวณนั้นดูเหมือนเป็นสวนใกล้ประตูทางเข้าตัวปราสาท ประดับด้วยต้นสนแผ่กิ่งก้านและพื้นทรายขาวเป็นประกายสะท้อนแสงจากคบไฟ
โจทาโรปล่อยชายเสื้อครูที่จับไว้แน่นออกวิ่งเร็วจี๋ไปที่หมู่ไม้แล้วเข้าไปแอบหลังต้นสนต้นหนึ่ง
ครูกำลังจะแผลงฤทธิ์แล้ว
หนุ่มน้อยยังจำฝีมือดาบของมูซาชิเมื่อครั้งประจัญบานกับเหล่าซามูไรอันธพาลที่ทุ่งฮันเนียโนะได้ติดตา ใจพองโตด้วยความลิงโลดที่จะได้เห็นท่วงท่าการสู้รบที่เกริกกล้าเกรียงไกรของผู้เป็นครูอีกครั้ง
โชดะกับเดบูจิตามเข้ามาขนาบข้างและดึงแขนมูซาชิพยายามลากตัวกลับไป
“กลับไปเดี๋ยวนี้”
“ไม่กลับ”
ยื้อยุดกันอยู่อย่างนั้น
“ไม่กลับใช่ไหม”
“ไม่ แม้แต่ก้าวเดียวก็ไม่”
“ไม่แน่นะ”
“ฮึ่ม”
คิมูระหนุ่มเลือดร้อนหมดความอดทนเป็นคนแรก เลื่อนดาบออกจากฝักเสียงดังกริ๊กเตรียมชัก
โชดะกับเดบูจิอายุมากกว่าร้องห้ามอย่างใจเย็น
“ไม่กลับก็ไม่ต้องกลับ แต่เจ้าจะไปไหน”
“ข้าจะไปพบท่านเซกิชูไซ”
“อะไรนะ”
ศิษย์เอกทั้งสี่แห่งสำนักดาบยากิวอ้าปากค้าง ไม่มีใครคาดคิดมากก่อนว่าจุดมุ่งหมายของเจ้าหนุ่มผู้มีพฤติกรรมแปลกประหลาดคนนี้คือการเข้าหาท่านเจ้าสำนัก คิดไม่ถึง...คิดไม่ถึงจริง ๆ
โชดะได้สติก่อนคนอื่น ถามขึ้นว่า
“เจ้าจะไปพบท่านเจ้าสำนักทำไม”
“ข้าเป็นนักรบฝึกหัด ออกเดินทางร่ำเรียนวิชาดาบ และจุดมุ่งหมายหนึ่งในชีวิตของข้าก็คือการได้เรียนวิชาดาบจากท่านเจ้าสำนักยากิว”
“ถ้าต้องการเช่นนั้น ทำไมไม่ทำตามขั้นตอน”
“ข้ารู้มาว่าท่านเซกิชูไซไม่พบใคร และก็ไม่สอนพวกนักรบฝึกหัดด้วย”
“ใช่”
“เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเข้ามาท้าท่านตรง ๆ ทั้งที่รู้ว่าท่านจะไม่ออกมาพบง่าย ๆ ดังนั้นข้าจึงขอท้าประลองยุทธ์กับทั้งปราสาทนี้แหละ”
“ประลองยุทธ์อย่างนั้นรึ”
ศิษย์เอกทั้งสี่แห่งสำนักดาบยากิวย้อนถามเป็นเสียงเดียวกัน พร้อมกับทำหน้าระอาใจ---เจ้านี่ถ้าจะบ้า
มูซาชิแหงนหน้ามองท้องฟ้าเมื่อได้ยินเสียงพั๊บ พั๊บ
ปล่อยให้นักดาบทั้งสองจับกุมแขนทั้งสองเอาไว้อย่างนั้นโดยไม่สะบัดขัดขืน
“หือ ?”
ศิษย์เอกทั้งสี่แห่งสำนักดาบยากิวมองตาม
พริบตานั้นเอง...
เหยี่ยวตัวหนึ่งโผบินจากความมืดด้านภูเขาคาซางิลงมาที่หลังคาฉางข้าวภายในปราสาท