นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
นามของโฮโซอินเป็นที่รู้จักกันดีบรรดานักดาบผู้กำลังศึกษาวิทยายุทธ์ที่มีอยู่มากมายราวฝูงเหลือบฝูงผึ้งในยุคนี้สมัยนี้ หากจะมีนักดาบสักคนมาพูดถึงโฮโซอินหรือถามถึงโฮโซอินอย่างกับว่าเป็นวัดทั่ว ๆ ไปแล้วละก็ เป็นต้องถูกตราหน้าว่าเป็นพวกนักดาบจอมปลอม เป็นพวกปลิ้นปล้อนหลอกลวงและหลีกเลี่ยงไม่เข้าใกล้เลยทีเดียว
ยิ่งเข้ามาถึงตัวเมืองนาราแล้วก็ยิ่งต้องระวังถ้อยคำ ชาวเมืองน้อยคนนักที่จะบอกได้ว่าวัดโชโซอินอันเป็นที่เก็บศิลปวัตถุล้ำค่าอยู่ที่ไหน แต่ถ้าถามหาสำนักทวนแห่งโฮโซอินละก็ได้คำตอบทันทีว่า อ๋อ ที่อาบูราซากะ
อาบูราซากะอยู่ทางด้านตะวันตกของป่าสนซุงิข้างวัดโคฟูกูจิที่กว้างใหญ่และรกชัฏจนน่าเชื่อว่าจะมีปีศาจภูเขาเท็งงู สิงสู่อยู่ เป็นบริเวณที่มีปูชนียสถานสำคัญในสมัยที่นาราเป็นนครหลวงอันรุ่งเรืองอยู่หลายแห่ง อย่างเช่น วัดกันเร็นอิน วัด ฮิเด็นอินที่สมเด็จพระจักรพรรดินีโคเมียวทางโปรดให้สร้างเซยากุอินขึ้นเป็นโรงอาบน้ำใหญ่โตสำหรับให้ชาวบ้านพันคนมาชำระล้างเหงื่อไคล ซึ่งปัจจุบันเหลือแต่ฐานหินโผล่พ้นพงหญ้าและตะไคร่ขึ้นมาให้เห็นบ้างตรงนั้นตรงนี้เท่านั้น
มูซาชิเดินตามทางที่ถามชาวบ้านมาจนถึงบริเวณที่น่าจะเป็นอาบูราซากะ มองไปรอบ ๆ แล้วอุทานเป็นคำถามอยู่ในใจ
ระหว่างทางก็ได้เดินผ่านมาหลายวัดแล้วแต่ไม่พบซุ้มประตูที่น่าเป็นทางเข้าโฮโซอิน และไม่เห็นป้ายชื่อวัดเลยด้วย
เทือกเขาคาซูงะทอดตัวอ่อนช้อยราวร่างนางรำ อยู่ไกลออกไปเหนือยอดสนซูงิที่ผ่านฤดูหนาวและได้รับแดดฤดูใบไม้ผลิจนมีสีเขียวแก่ที่สุดในช่วงปี แดดอ่อนลงเมื่อใกล้ค่ำแต่ตามแนวไหล่เขายังสว่างจ้าอยู่
ระหว่างที่ชะแง้มองตรงนั้นบ้างตรงโน้นบ้าง หาหลังคาที่น่าจะเป็นของโฮโซอินที่ตนมุ่งมาเยือน นักดาบหนุ่มก็ชะงักเท้าหยุดกึกลงตรงหน้าซุ้มประตูหนึ่ง
---แต่เมื่อเขม้นมองไปจึงเห็นว่าชื่อที่เขียนอยู่บนนั้นที่แท้คือ โอกูโซอิน ไม่ใช่ โฮโซอิน ผิดกันที่อักษรคันจิตัวแรกเท่านั้น มูซาชิ มองผ่านซุ้มประตูเข้าไปยังตัวโบสถ์ที่อยู่ลึกเข้าไปข้างในก็พบว่ามีลักษณะเป็นวัดของนิกายนิจิเร็น จึงแน่ใจว่าต้องไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับโฮโซอิน เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าโฮโซอินเป็นวัดนิกายนิจิเร็น
ขณะที่กำลังยืนมองนั่นมองนี่อยู่ที่หน้าซุ้มประตูนั้นเอง ก็มีพระลูกวัดโอกูโซอินรูปหนึ่งเดินกลับเข้ามา ครั้นเห็นนักดาบหนุ่มยืนเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ก็ชำเลืองมองมาด้วยสายตาที่มีแววสงสัย มูซาชิรีบร้องเรียกเอาไว้ก่อนที่พระจะเดินผ่านไป ถอดหมวกฟางออกก่อนถามขึ้น
“ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมท่าน”
“ได้สิ อะไรรึ”
“วัดนี้ชื่อโอกูโซอินใช่ไหมขอรับ”
“ใช่ ก็ตามตัวอักษรที่เขียนเอาไว้นั่นแหละ”
“กระผมตั้งใจจะไปวัดโฮโซอิน ได้ยินว่าอยู่ที่อาบูราซากะแต่ก็ยังหาไม่เจอ”
“อ๋อ โฮโซอินอยู่ติดกับด้านหลังของวัดนี้เอง เจ้าจะไปประลองฝีมือที่โฮโซอินงั้นรึ”
“ขอรับ”
“ถ้าอย่างนั้น อาตมาขอแนะนำว่าอย่าดีกว่า”
“ฮะ ?”
“หากมือเท้าที่พ่อแม่ของเจ้าให้มาครบถ้วนตั้งแต่เกิดนั้นพิกลพิการไปและตั้งใจมาหาพระเพราะคิดว่าอาจช่วยรักษาได้ นั้นอาตมาก็พอจะเข้าใจ แต่ไม่อยากเห็นใครอุตส่าห์ดั้นด้นมาแต่ไกลเพื่อเอามือเท้าดี ๆ มาทิ้งไว้ที่นี่แล้วกลายเป็นคนพิการกลับไป”
ฟังคำพูดจาเชิงแสดงความคิดเห็นของท่านแล้ว รู้สึกได้ว่าพระรูปนี้จะมีคุณวุฒิสูงกว่าพระนิกายนิจิเร็นทั่วไป และจากคำบอกเล่าของท่านทำให้มูซาชิรู้ว่า การที่นักดาบพากันตื่นตัวออกเดินทางศึกษาวิทยายุทธ์กันอย่างเป็นล่ำเป็นสันกันในสมัยนี้นั้น จริง ๆ แล้วเป็นกระแสที่สร้างปัญหาวุ่นวายให้แก่โฮโซอินไม่น้อยเหมือนกัน
เดิมทีวัดโฮโซอินคือสถานที่ศักดิสิทธ์ที่ผู้คนเลื่อมใสศรัทธากันในฐานะที่เป็นแหล่งประสิทธิประศาสตร์ความรู้ทางพุทธศาสนาอันเปรียบเสมือนแสงแห่งธรรมไม่ใช่โรงฝึกวิชาทวน การมีศาสนาเป็นอาชีพหลักและสอนวิชาทวนเป็นอาชีพเสริมอย่างทุกวันนี้นั้นเกิดจากการที่คากุเซ็นโบ-อินเออิเจ้าอาวาสคนก่อน ไปมาหาสู่กับยากิว มูเนโยชิขุนนางผู้ครองปราสาทที่ โคยากิวและคามิอิซูมิแห่งฮิเซะและนักรบคนอื่น ๆ บ่อยครั้ง จึงทำให้มีความสนใจวิชานักรบโดยไม่รู้ตัว ต่อมาก็ได้เริ่มจับอาวุธร่วมฝึกกับนักรบจนมีฝีมือแกร่งกล้าด้านการรบด้วยทวน ถึงกับคิดเชิงทวนเฉพาะตัวขึ้นมาจนกลายเป็นสำนักทวน โฮโซอินอันยิ่งใหญ่เป็นที่กล่าวขวัญด้วยความเกรงขามไปทั่วทุกหัวระแหง
คากุเซ็นโบ-อินเออิเจ้าสำนักรุ่นแรกผู้มีความสนใจใคร่รู้สิ่งใหม่ในทุกด้านอยู่ในวัยชราภาพ อายุครบแปดสิบสี่ในปีนี้ ท่านไม่ออกมาพบกับใคร และถ้าใครเข้าไปพบก็ไม่พูดอะไรด้วยได้แต่ขยับปากที่ไร้ฟันงึมงำไม่เป็นคำพูด ใครพูดอะไรก็ไม่เข้าใจส่วนวิชาทวนก็ดูเหมือนจะลืมไปจนสิ้น
“เพราะฉะนั้น เปลี่ยนใจเสียดีกว่า ถึงไปก็ไม่ได้ประโยชน์”
พระลูกวัดผู้นั้นทิ้งท้ายห้วน ๆ ด้วยสุ้มเสียงที่ฟังแล้วคล้ายปรามาสว่าคนอย่างเจ้าควรรีบไปให้พ้น ๆ เสียโดยเร็ว
2
“เรื่องของท่านอินเออินั้นกระผมรู้ดีเพราะเคยได้ยินเขาพูดกันอย่างนั้น”
มูซาชิรู้ตัวว่าถูกดูแคลนแต่ก็ยังยืนกรานว่า
“---และก็รู้ด้วยว่าท่านอินชุนผู้ที่ได้ร่ำเรียนและฝึกฝนวิชาทวนจากบรมครูจนครบถ้วนทุกกลยุทธ์ ได้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักโฮโซอินเป็นรุ่นที่สอง ท่านอินชุนยังศึกษาศาสตร์แห่งทวนต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งยังเปิดโรงฝึกวิชาทวนรับลูกศิษย์เข้ามารับการฝึกสอนเป็นประจำ และยินดีให้คำแนะนำวิชาทวนแก่ผู้มาเยือนด้วย”
“ใช่...ท่านอินชุนนั้นอันที่จริงก็เป็นเสมือนศิษย์ของเจ้าอาวาสวัดโอซนอิน ตอนที่ท่านอินเออิเริ่มชราภาพไม่อาจฝึกสอนวิชาทวนให้แก่ศิษย์ได้อย่างเต็มที่ เจ้าอาวาสวัดเราที่เคยเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของท่านอินเออิเล็งเห็นว่า การปล่อยให้วิชาทวนสะท้านยุทธ์จักรของสำนักโฮโซอินเสื่อมถอยไปตามเจ้าสำนักนั้นเป็นเรื่องน่าเสียดายนัก จึงได้ถ่ายทอดศาสตร์และเคล็ดลับของวิชาทวนที่ได้มาจากท่านอินเออิให้แก่ท่านอินชุน และสนับสนุนให้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักโฮโซอิน”
มูซาชิฟังคำพูดที่อ้อมค้อมไปมานั้นแล้วพอจะอ่านใจพระนิกายนิจิเร็นแห่งวัดโอซนอินรูปนี้ออก คือท่านคงจะอยากโอ้อวดให้นักรบต่างถิ่นอย่างตนรับรู้เอาไว้ว่า เจ้าอาวาสโอซนอินนั้นเหนือกว่าท่านอินชุนในทุกทาง เพราะนอกจากจะเป็นผู้สนับสนุนให้ได้ขึ้นเป็นเจ้าสำนักโฮโซอินรุ่นที่สองแล้ว ทั้งยังรอบรู้ศาสตร์แห่งทวนอย่างถูกต้องและครบถ้วนตามกระบวนยุทธ์ยิ่งกว่ามากนัก
“อ้อ” มูซาชิพยักหน้ารับรู้เพียงสั้น ๆ แต่พระลูกวัดโอซนอินก็แสดงสีหน้าว่าพอใจ
“รู้อย่างนี้แล้วยังจะไปอีกรึ”
“ขอรับ อุตส่าห์มาจนถึงที่แล้ว”
“มันก็ใช่...”
“ท่านบอกว่าโฮโซอินอยู่ติดกับด้านหลังของวัดนี้ กระผมควรจะเดินอ้อมไปทางขวาดีหรือทางซ้ายดี”
“ทำไมถึงจะต้องอ้อมไปให้ลำบาก ถ้าอยากไปจริง ๆ ก็เดินลัดเข้าไปในวัดของอาตมาได้เลย ใกล้กว่ามาก”
มูซาชิทำความเคารพแล้วออกเดินไปตามทางที่พระรูปชี้ให้ ผ่านโรงครัวทะลุออกไปทางด้านหลังของวัดที่มีโรงเก็บฟืน โรงเก็บเต้าเจี้ยว และกระท่อมอีกสองสามหลัง ถัดออกไปเป็นไร่ผักกว้างราวสองไร่ครึ่งพอ ๆ กับอาณาเขตบ้านชาวไร่ชาวนาที่พอมีอันจะกินครอบครัวหนึ่งในชนบท
นักดาบหนุ่มมองข้ามไร่ผักออกไปเห็นวัดหนึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
“คงจะวัดนั้นแหละ”
มูซาชิคิดพลางเดินเลาะไปตามร่องดินเปียก ๆ ระหว่างแปลงปลูกผัก หัวไชเท้า และต้นหอม แต่ละชนิดลำต้นดูอวบอ้วนสมบูรณ์
นักดาบหนุ่มเห็นหลวงตาคนหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาใช้จอบพรวนดินอยู่ด้านหนึ่ง หลังโกงแทบจะตั้งฉากกับพื้นดินในระดับที่พอจะวางกลองกลวงรูปกระพรวนสำหรับเคาะจังหวะเวลาสวดมนต์ได้ เรียวปากเม้มสนิท ตาจับอยู่ที่ปลายจอบ เห็นแต่คิ้วขาวราวหิมะพาดอยู่บนหน้าผาก ทั่วบริเวณเงียบสงัดได้ยินแต่เสียงจอบกระทบหินสะท้อนเป็นจังหวะเมื่อถูกสับลงไปบนพื้นดิน
หลวงตาคนนี้คงจะเป็นพระที่วัดนิกายนิจิเร็นวัดนั้นละมัง
มูซาชิคิดจะเข้าไปทักทาย แต่เมื่อเห็นหลวงตากำลังใจจดใจจ่ออยู่กับงานเพลินอยู่จึงไม่อยากรบกวนสมาธิ แต่ขณะที่ค่อย ๆเดินผ่านเข้าไปข้าง ๆ อย่างพยายามระวังฝีเท้านั้นเอง มูซาชิก็รู้สึกได้ว่าหลวงตากำลังชำเลืองมาจับจ้องอยู่ที่เท้าของตน แม้ผู้เฒ่าจะไม่ได้เคลื่อนไหวหรือพูดอะไรออกมา แต่นักดาบหนุ่มก็รู้สึกเหมือนร่างของตนกระทบเข้ากับพลังที่รุนแรงมาก จนสะเทือนไปทั้งร่างราวกับกลุ่มเมฆที่ถูกสายฟ้าฟาด
มูซาชิเบี่ยงตัวกระโดดตัวลอยห่างออกไปหลายก้าว ร้อนผ่าวไปทั้งตัวเหมือนหลบรอดคมทวนมาได้อย่างหวุดหวิด และหันขวับกลับไปมองก็เห็นด้านหลังของหลวงตาที่ยังก้มหน้าก้มตาหันหลังขุดดิน ปลายจอบกระทบหินเป็นจังหวะเดิม
หลวงตาคนนี้คือใครกันแน่
มูซาชิครุ่นคิดหาคำตอบให้แก่ข้อสงสัยนั้นไปจนกระทั่งถึงประตูทางเข้าวัดโฮโซอินและระหว่างคอยคนออกมาต้อนรับ
ไม่น่าใช่เจ้าสำนักรุ่นที่สองเพราะอินชุนจะต้องอยู่ในวัยหนุ่ม แต่ก็ไม่น่าใช่อินเออิอีกนั่นแหละ เพราะเพิ่งได้ยินมาว่าท่านชราภาพมากและลืมวิชาทวนหมดแล้วด้วย
คิดไม่ออกแต่ภาพหลวงตาที่ไร่ผักก็เข้าไปติดแน่นอยู่ที่มุมหนึ่งของความทรงจำเสียแล้ว มูซาชิตะโกนดัง ๆ อีกสองสามครั้งหวังจะให้ช่วยไล่ภาพนั้นออกไปแต่ไม่ได้ผล และไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ ดังออกมาจากภายในวัดโฮโซอิน มีแต่เสียงเรียกด้วยพลังห้าวหาญของตนเองที่ดังก้องไปกระทบต้นไม้ใหญ่ที่ยืนต้นรอบข้างและสะท้อนกลับมาเท่านั้น
3
มูซาชิตั้งสติมองอย่างสังเกตสังกาไปโดยรอบก็เห็นฆ้องทองแดงอันใหญ่ตั้งอยู่ข้างประตูทางเข้า
โธ่เอ๋ย ที่แท้ก็ให้ตีฆ้องเรียก
นักดาบหนุ่มตีฆ้องยังไม่ทันจะสิ้นเสียงกังวานก็ได้ยินเสียงขานรับดังมาไกลๆ จากภายใน
คนที่เปิดประตูออกมาต้อนรับเป็นพระร่างใหญ่ท่วงทีกำยำราวแม่ทัพของกองทัพสงฆ์แห่งภูเขาเออิซัน
“นักรบฝึกหัดรึ”
พระร่างใหญ่ชายตามองนิดหนึ่ง ก่อนทักด้วยท่าทีคุ้นเคยกับการต้อนรับผู้มาเยือนที่แต่งกายขะมุกขะมอมเช่นเดียวกับ มูซาชิ ทุกเมื่อเชื่อวัน
“ขอรับ”
“มาทำไมรึ”
“อยากมาฝึกวิชานักรบขอรับ”
“ขึ้นมาสิ”
พระร่างใหญ่บอกพร้อมชี้มือให้ไปล้างเท้าที่ถังซึ่งรองน้ำจากท่อไม้ไผ่ทางขวามือ รอบ ๆ ถังน้ำมีรองเท้าฟางเก่า ๆ ที่ช้ำชอกจากการใช้งานถูกถอดทิ้งไว้นับคร่าว ๆ ได้ถึงสิบคู่
ล้างเท้าเสร็จแล้วจึงเดินตามพระร่างใหญ่ไปตามระเบียงทางเดินแคบ ๆ สีดำสนิทเข้าไปนั่งรอในห้องที่มองออกไปจากหน้าต่างเห็นใบของต้นกล้วย ถ้าตัดการต้อนรับอย่างขึงขังเป็นระเบียบวินัยของนักรบเมื่อครู่ก่อนออกไป บรรยากาศโดยรอบไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่พบอะไรที่ต่างจากวัดทั่วไป แม้กลิ่นธูปก็ยังโชยมาอ่อน ๆ
พระร่างใหญ่คนเดิมกลับมาอีกครั้งพร้อมกับสมุดเล่มหนึ่งกับอุปกรณ์เครื่องเขียน แล้วชี้นิ้วจิ้มลงไปบนสมุดเหมือนสั่งเด็กเล็ก ๆ
“เขียนลงไปในนี้ว่าฝึกวิชานักรบมากจากไหน เขียนชื่อสำนักและชื่อนามสกุลลงไปด้วย”
มูซาชิอ่านปกสมุดจึงรู้ว่านั่นคือ
สมุดจดรายชื่อผู้ขอเข้าฝึกวิชา ผู้ดูแลสำนักโฮโซอิน
นักดาบหนุ่มเปิดสมุดออกดู ก็พบรายชื่อนักรบฝึกหัดจำนวนมากมายเรียงเป็นระเบียบตามวันเดือนที่มาเยือนสำนัก และจับ พู่กันลงมือเขียนตามแบบคนที่มาก่อนหน้า และเว้นช่องที่ให้ระบุชื่อสำนักดาบเอาไว้
พระร่างใหญ่เอาสมุดไปดูแล้วถามว่า
“อ้าว แล้วเจ้าเรียนวิชานักรบมาจากใคร”
“ฝึกเองขอรับ---ถ้าจะพูดถึงครูก็มีพ่อเป็นคนสอนให้บ้างตอนเป็นเด็กแต่กระผมก็ไม่ได้ขยันเรียนสักเท่าไร แต่พอโตขึ้นมาก็เกิดความตั้งใจที่จะเป็นนักรบอย่างจริงจัง และฝึกฟันดาบกับทุกสิ่งทุกอย่างในธรรมชาติรอบตัว เล่าเรียนวิชาจากนักดาบรุ่นพี่ และทุกวันนี้ก็อยู่ระหว่างเดินทางแสวงอาจารย์เพื่อที่จะขอเล่าเรียนวิชาด้วยขอรับ”
“อือม์...เจ้าคงจะรู้มาบ้างแล้วว่า สำนักโฮโซอินของเรามีชื่อเสียงอันดับหนึ่งเรื่องวิชาทวน มีการฝึกที่ใช้กำลังรุนแรง ไร้ความปราณี ไม่มีอ่อนข้อให้กับใคร ทางที่ดีควรอ่านข้อความที่เขียนไว้ข้างต้นบัญชีรายชื่อให้เข้าใจเอาไว้ ก่อนที่ตกลงใจเข้าฝึกกับเรา”
มูซาชิไม่ทันสังเกตแต่แรก จึงหยิบสมุดขึ้นมาเปิดดูอีกทีก็เห็นมีข้อความนั้นอยู่จริง
---ข้าพเจ้าขอสัญญาว่าจะไม่เรียกร้องทางสำนักรับผิดชอบใด ๆ ในกรณีที่ข้าพเจ้าได้รับบาดเจ็บ พิการหรือเสียชีวิตระหว่างการเข้ารับการฝึกสอนวิชาที่สำนักแห่งนี้---
“กระผมเข้าใจและตกลงตามนั้น”
มูซาชิยิ้มพลางส่งสมุดคืนให้พระร่างยักษ์ การให้สัญญาเช่นนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับนักรบที่ออกเดินทาง ฝึกฝนวิทยายุทธ์
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามมาทางนี้” พระร่างใหญ่พานักดาบหนุ่มเดินลึกเข้าไปอีก
โรงฝึกกว้างขวางใหญ่โตน่าตื่นตาตื่นใจ เสาแต่ละต้นงดงามแปลกตาอย่างที่จะหาดูได้ก็แต่ในวัดเท่านั้น ไม้ประดับแนวเพดานสลักเสลาลวดลายอ่อนช้อยทางสีสวยงามและปิดทอง อย่างที่ไม่เคยเห็นในโรงฝึกอื่น
มูซาชิไม่ใช่นักรบฝึกหัดคนเดียวที่มาเยือนสำนักในวันนั้น เมื่อไปถึงมีคนอื่นนั่งคอยกันอยู่แล้วกว่าสิบคน ส่วนศิษย์ของสำนักก็มีอยู่สิบกว่าคนเช่นกัน นอกนั้นส่วนใหญ่ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยเป็นพวกซามูไรที่มาชมการฝึก ขณะนั้นกำลังมีการประลองฝีมือทวนกันอยู่คู่หนึ่ง ดุเดือดจนคนดูต้องจ้องมองกันจนแทบลืมหายใจ จึงไม่มีใครหันมาสนใจมูซาชิที่เดินด้วยฝีเท้าเบากริบไปนั่งลงรวมกลุ่มนักรบฝึกหัดที่มุมหนึ่ง
บนผนังโรงฝึกมีกระดาษเขียนข้อความติดเอาไว้ว่า---หากผู้ใดต้องการประลองฝีมือด้วยทวนจริงเราก็ยินดี---คู่ประลองฝีมือที่กำลังฟาดฟันกันอย่างมีชั้นเชิงอยู่ที่กลางโรงฝึกนั้น แม้จะใช้ทวนไม้คาชิด้ามยาวแต่ก็ทรงพลังอย่างมหาศาลไม่ว่าจะฟาดหรือจะฟัน ไม่นานฝ่ายหนึ่งก็ถูกฟาดอย่างแรงจนกระเด็นตัวลอยด้วยแรงเหวี่ยงไปตกอยู่กับพื้น พลลุกขึ้นได้ก็เดินกระโพลกกระเพลกกลับมา ขาอ่อนบวมเบ่งขึ้นมาเกือบเท่าถังใส่สาเก แค่จะนั่งลงก็ยังลำบากต้องใช้ข้อศอกยันพื้นแล้วค่อย ๆ ยกขาขึ้นมาทีละข้างดูทุลักทุเล
“คนต่อไป”
ครูฝึกร่างใหญ่ร่างกายทุกส่วนเขม็งเครียดไปด้วยมัดกล้าม ที่แขนขาหลังไหล่แม้จนที่หน้าผาก รวบแขนเสื้อชุดครูฝึกผูกเอาไว้ข้างหลังยืนถือทวนปักหลักเด่นตระหง่านอยู่กลางโรงฝึกร้องท้าผู้ประลองฝีมือคนต่อไปดังก้องห้องโถงใหญ่
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
นามของโฮโซอินเป็นที่รู้จักกันดีบรรดานักดาบผู้กำลังศึกษาวิทยายุทธ์ที่มีอยู่มากมายราวฝูงเหลือบฝูงผึ้งในยุคนี้สมัยนี้ หากจะมีนักดาบสักคนมาพูดถึงโฮโซอินหรือถามถึงโฮโซอินอย่างกับว่าเป็นวัดทั่ว ๆ ไปแล้วละก็ เป็นต้องถูกตราหน้าว่าเป็นพวกนักดาบจอมปลอม เป็นพวกปลิ้นปล้อนหลอกลวงและหลีกเลี่ยงไม่เข้าใกล้เลยทีเดียว
ยิ่งเข้ามาถึงตัวเมืองนาราแล้วก็ยิ่งต้องระวังถ้อยคำ ชาวเมืองน้อยคนนักที่จะบอกได้ว่าวัดโชโซอินอันเป็นที่เก็บศิลปวัตถุล้ำค่าอยู่ที่ไหน แต่ถ้าถามหาสำนักทวนแห่งโฮโซอินละก็ได้คำตอบทันทีว่า อ๋อ ที่อาบูราซากะ
อาบูราซากะอยู่ทางด้านตะวันตกของป่าสนซุงิข้างวัดโคฟูกูจิที่กว้างใหญ่และรกชัฏจนน่าเชื่อว่าจะมีปีศาจภูเขาเท็งงู สิงสู่อยู่ เป็นบริเวณที่มีปูชนียสถานสำคัญในสมัยที่นาราเป็นนครหลวงอันรุ่งเรืองอยู่หลายแห่ง อย่างเช่น วัดกันเร็นอิน วัด ฮิเด็นอินที่สมเด็จพระจักรพรรดินีโคเมียวทางโปรดให้สร้างเซยากุอินขึ้นเป็นโรงอาบน้ำใหญ่โตสำหรับให้ชาวบ้านพันคนมาชำระล้างเหงื่อไคล ซึ่งปัจจุบันเหลือแต่ฐานหินโผล่พ้นพงหญ้าและตะไคร่ขึ้นมาให้เห็นบ้างตรงนั้นตรงนี้เท่านั้น
มูซาชิเดินตามทางที่ถามชาวบ้านมาจนถึงบริเวณที่น่าจะเป็นอาบูราซากะ มองไปรอบ ๆ แล้วอุทานเป็นคำถามอยู่ในใจ
ระหว่างทางก็ได้เดินผ่านมาหลายวัดแล้วแต่ไม่พบซุ้มประตูที่น่าเป็นทางเข้าโฮโซอิน และไม่เห็นป้ายชื่อวัดเลยด้วย
เทือกเขาคาซูงะทอดตัวอ่อนช้อยราวร่างนางรำ อยู่ไกลออกไปเหนือยอดสนซูงิที่ผ่านฤดูหนาวและได้รับแดดฤดูใบไม้ผลิจนมีสีเขียวแก่ที่สุดในช่วงปี แดดอ่อนลงเมื่อใกล้ค่ำแต่ตามแนวไหล่เขายังสว่างจ้าอยู่
ระหว่างที่ชะแง้มองตรงนั้นบ้างตรงโน้นบ้าง หาหลังคาที่น่าจะเป็นของโฮโซอินที่ตนมุ่งมาเยือน นักดาบหนุ่มก็ชะงักเท้าหยุดกึกลงตรงหน้าซุ้มประตูหนึ่ง
---แต่เมื่อเขม้นมองไปจึงเห็นว่าชื่อที่เขียนอยู่บนนั้นที่แท้คือ โอกูโซอิน ไม่ใช่ โฮโซอิน ผิดกันที่อักษรคันจิตัวแรกเท่านั้น มูซาชิ มองผ่านซุ้มประตูเข้าไปยังตัวโบสถ์ที่อยู่ลึกเข้าไปข้างในก็พบว่ามีลักษณะเป็นวัดของนิกายนิจิเร็น จึงแน่ใจว่าต้องไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับโฮโซอิน เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าโฮโซอินเป็นวัดนิกายนิจิเร็น
ขณะที่กำลังยืนมองนั่นมองนี่อยู่ที่หน้าซุ้มประตูนั้นเอง ก็มีพระลูกวัดโอกูโซอินรูปหนึ่งเดินกลับเข้ามา ครั้นเห็นนักดาบหนุ่มยืนเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ก็ชำเลืองมองมาด้วยสายตาที่มีแววสงสัย มูซาชิรีบร้องเรียกเอาไว้ก่อนที่พระจะเดินผ่านไป ถอดหมวกฟางออกก่อนถามขึ้น
“ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมท่าน”
“ได้สิ อะไรรึ”
“วัดนี้ชื่อโอกูโซอินใช่ไหมขอรับ”
“ใช่ ก็ตามตัวอักษรที่เขียนเอาไว้นั่นแหละ”
“กระผมตั้งใจจะไปวัดโฮโซอิน ได้ยินว่าอยู่ที่อาบูราซากะแต่ก็ยังหาไม่เจอ”
“อ๋อ โฮโซอินอยู่ติดกับด้านหลังของวัดนี้เอง เจ้าจะไปประลองฝีมือที่โฮโซอินงั้นรึ”
“ขอรับ”
“ถ้าอย่างนั้น อาตมาขอแนะนำว่าอย่าดีกว่า”
“ฮะ ?”
“หากมือเท้าที่พ่อแม่ของเจ้าให้มาครบถ้วนตั้งแต่เกิดนั้นพิกลพิการไปและตั้งใจมาหาพระเพราะคิดว่าอาจช่วยรักษาได้ นั้นอาตมาก็พอจะเข้าใจ แต่ไม่อยากเห็นใครอุตส่าห์ดั้นด้นมาแต่ไกลเพื่อเอามือเท้าดี ๆ มาทิ้งไว้ที่นี่แล้วกลายเป็นคนพิการกลับไป”
ฟังคำพูดจาเชิงแสดงความคิดเห็นของท่านแล้ว รู้สึกได้ว่าพระรูปนี้จะมีคุณวุฒิสูงกว่าพระนิกายนิจิเร็นทั่วไป และจากคำบอกเล่าของท่านทำให้มูซาชิรู้ว่า การที่นักดาบพากันตื่นตัวออกเดินทางศึกษาวิทยายุทธ์กันอย่างเป็นล่ำเป็นสันกันในสมัยนี้นั้น จริง ๆ แล้วเป็นกระแสที่สร้างปัญหาวุ่นวายให้แก่โฮโซอินไม่น้อยเหมือนกัน
เดิมทีวัดโฮโซอินคือสถานที่ศักดิสิทธ์ที่ผู้คนเลื่อมใสศรัทธากันในฐานะที่เป็นแหล่งประสิทธิประศาสตร์ความรู้ทางพุทธศาสนาอันเปรียบเสมือนแสงแห่งธรรมไม่ใช่โรงฝึกวิชาทวน การมีศาสนาเป็นอาชีพหลักและสอนวิชาทวนเป็นอาชีพเสริมอย่างทุกวันนี้นั้นเกิดจากการที่คากุเซ็นโบ-อินเออิเจ้าอาวาสคนก่อน ไปมาหาสู่กับยากิว มูเนโยชิขุนนางผู้ครองปราสาทที่ โคยากิวและคามิอิซูมิแห่งฮิเซะและนักรบคนอื่น ๆ บ่อยครั้ง จึงทำให้มีความสนใจวิชานักรบโดยไม่รู้ตัว ต่อมาก็ได้เริ่มจับอาวุธร่วมฝึกกับนักรบจนมีฝีมือแกร่งกล้าด้านการรบด้วยทวน ถึงกับคิดเชิงทวนเฉพาะตัวขึ้นมาจนกลายเป็นสำนักทวน โฮโซอินอันยิ่งใหญ่เป็นที่กล่าวขวัญด้วยความเกรงขามไปทั่วทุกหัวระแหง
คากุเซ็นโบ-อินเออิเจ้าสำนักรุ่นแรกผู้มีความสนใจใคร่รู้สิ่งใหม่ในทุกด้านอยู่ในวัยชราภาพ อายุครบแปดสิบสี่ในปีนี้ ท่านไม่ออกมาพบกับใคร และถ้าใครเข้าไปพบก็ไม่พูดอะไรด้วยได้แต่ขยับปากที่ไร้ฟันงึมงำไม่เป็นคำพูด ใครพูดอะไรก็ไม่เข้าใจส่วนวิชาทวนก็ดูเหมือนจะลืมไปจนสิ้น
“เพราะฉะนั้น เปลี่ยนใจเสียดีกว่า ถึงไปก็ไม่ได้ประโยชน์”
พระลูกวัดผู้นั้นทิ้งท้ายห้วน ๆ ด้วยสุ้มเสียงที่ฟังแล้วคล้ายปรามาสว่าคนอย่างเจ้าควรรีบไปให้พ้น ๆ เสียโดยเร็ว
2
“เรื่องของท่านอินเออินั้นกระผมรู้ดีเพราะเคยได้ยินเขาพูดกันอย่างนั้น”
มูซาชิรู้ตัวว่าถูกดูแคลนแต่ก็ยังยืนกรานว่า
“---และก็รู้ด้วยว่าท่านอินชุนผู้ที่ได้ร่ำเรียนและฝึกฝนวิชาทวนจากบรมครูจนครบถ้วนทุกกลยุทธ์ ได้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักโฮโซอินเป็นรุ่นที่สอง ท่านอินชุนยังศึกษาศาสตร์แห่งทวนต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งยังเปิดโรงฝึกวิชาทวนรับลูกศิษย์เข้ามารับการฝึกสอนเป็นประจำ และยินดีให้คำแนะนำวิชาทวนแก่ผู้มาเยือนด้วย”
“ใช่...ท่านอินชุนนั้นอันที่จริงก็เป็นเสมือนศิษย์ของเจ้าอาวาสวัดโอซนอิน ตอนที่ท่านอินเออิเริ่มชราภาพไม่อาจฝึกสอนวิชาทวนให้แก่ศิษย์ได้อย่างเต็มที่ เจ้าอาวาสวัดเราที่เคยเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของท่านอินเออิเล็งเห็นว่า การปล่อยให้วิชาทวนสะท้านยุทธ์จักรของสำนักโฮโซอินเสื่อมถอยไปตามเจ้าสำนักนั้นเป็นเรื่องน่าเสียดายนัก จึงได้ถ่ายทอดศาสตร์และเคล็ดลับของวิชาทวนที่ได้มาจากท่านอินเออิให้แก่ท่านอินชุน และสนับสนุนให้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักโฮโซอิน”
มูซาชิฟังคำพูดที่อ้อมค้อมไปมานั้นแล้วพอจะอ่านใจพระนิกายนิจิเร็นแห่งวัดโอซนอินรูปนี้ออก คือท่านคงจะอยากโอ้อวดให้นักรบต่างถิ่นอย่างตนรับรู้เอาไว้ว่า เจ้าอาวาสโอซนอินนั้นเหนือกว่าท่านอินชุนในทุกทาง เพราะนอกจากจะเป็นผู้สนับสนุนให้ได้ขึ้นเป็นเจ้าสำนักโฮโซอินรุ่นที่สองแล้ว ทั้งยังรอบรู้ศาสตร์แห่งทวนอย่างถูกต้องและครบถ้วนตามกระบวนยุทธ์ยิ่งกว่ามากนัก
“อ้อ” มูซาชิพยักหน้ารับรู้เพียงสั้น ๆ แต่พระลูกวัดโอซนอินก็แสดงสีหน้าว่าพอใจ
“รู้อย่างนี้แล้วยังจะไปอีกรึ”
“ขอรับ อุตส่าห์มาจนถึงที่แล้ว”
“มันก็ใช่...”
“ท่านบอกว่าโฮโซอินอยู่ติดกับด้านหลังของวัดนี้ กระผมควรจะเดินอ้อมไปทางขวาดีหรือทางซ้ายดี”
“ทำไมถึงจะต้องอ้อมไปให้ลำบาก ถ้าอยากไปจริง ๆ ก็เดินลัดเข้าไปในวัดของอาตมาได้เลย ใกล้กว่ามาก”
มูซาชิทำความเคารพแล้วออกเดินไปตามทางที่พระรูปชี้ให้ ผ่านโรงครัวทะลุออกไปทางด้านหลังของวัดที่มีโรงเก็บฟืน โรงเก็บเต้าเจี้ยว และกระท่อมอีกสองสามหลัง ถัดออกไปเป็นไร่ผักกว้างราวสองไร่ครึ่งพอ ๆ กับอาณาเขตบ้านชาวไร่ชาวนาที่พอมีอันจะกินครอบครัวหนึ่งในชนบท
นักดาบหนุ่มมองข้ามไร่ผักออกไปเห็นวัดหนึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
“คงจะวัดนั้นแหละ”
มูซาชิคิดพลางเดินเลาะไปตามร่องดินเปียก ๆ ระหว่างแปลงปลูกผัก หัวไชเท้า และต้นหอม แต่ละชนิดลำต้นดูอวบอ้วนสมบูรณ์
นักดาบหนุ่มเห็นหลวงตาคนหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาใช้จอบพรวนดินอยู่ด้านหนึ่ง หลังโกงแทบจะตั้งฉากกับพื้นดินในระดับที่พอจะวางกลองกลวงรูปกระพรวนสำหรับเคาะจังหวะเวลาสวดมนต์ได้ เรียวปากเม้มสนิท ตาจับอยู่ที่ปลายจอบ เห็นแต่คิ้วขาวราวหิมะพาดอยู่บนหน้าผาก ทั่วบริเวณเงียบสงัดได้ยินแต่เสียงจอบกระทบหินสะท้อนเป็นจังหวะเมื่อถูกสับลงไปบนพื้นดิน
หลวงตาคนนี้คงจะเป็นพระที่วัดนิกายนิจิเร็นวัดนั้นละมัง
มูซาชิคิดจะเข้าไปทักทาย แต่เมื่อเห็นหลวงตากำลังใจจดใจจ่ออยู่กับงานเพลินอยู่จึงไม่อยากรบกวนสมาธิ แต่ขณะที่ค่อย ๆเดินผ่านเข้าไปข้าง ๆ อย่างพยายามระวังฝีเท้านั้นเอง มูซาชิก็รู้สึกได้ว่าหลวงตากำลังชำเลืองมาจับจ้องอยู่ที่เท้าของตน แม้ผู้เฒ่าจะไม่ได้เคลื่อนไหวหรือพูดอะไรออกมา แต่นักดาบหนุ่มก็รู้สึกเหมือนร่างของตนกระทบเข้ากับพลังที่รุนแรงมาก จนสะเทือนไปทั้งร่างราวกับกลุ่มเมฆที่ถูกสายฟ้าฟาด
มูซาชิเบี่ยงตัวกระโดดตัวลอยห่างออกไปหลายก้าว ร้อนผ่าวไปทั้งตัวเหมือนหลบรอดคมทวนมาได้อย่างหวุดหวิด และหันขวับกลับไปมองก็เห็นด้านหลังของหลวงตาที่ยังก้มหน้าก้มตาหันหลังขุดดิน ปลายจอบกระทบหินเป็นจังหวะเดิม
หลวงตาคนนี้คือใครกันแน่
มูซาชิครุ่นคิดหาคำตอบให้แก่ข้อสงสัยนั้นไปจนกระทั่งถึงประตูทางเข้าวัดโฮโซอินและระหว่างคอยคนออกมาต้อนรับ
ไม่น่าใช่เจ้าสำนักรุ่นที่สองเพราะอินชุนจะต้องอยู่ในวัยหนุ่ม แต่ก็ไม่น่าใช่อินเออิอีกนั่นแหละ เพราะเพิ่งได้ยินมาว่าท่านชราภาพมากและลืมวิชาทวนหมดแล้วด้วย
คิดไม่ออกแต่ภาพหลวงตาที่ไร่ผักก็เข้าไปติดแน่นอยู่ที่มุมหนึ่งของความทรงจำเสียแล้ว มูซาชิตะโกนดัง ๆ อีกสองสามครั้งหวังจะให้ช่วยไล่ภาพนั้นออกไปแต่ไม่ได้ผล และไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ ดังออกมาจากภายในวัดโฮโซอิน มีแต่เสียงเรียกด้วยพลังห้าวหาญของตนเองที่ดังก้องไปกระทบต้นไม้ใหญ่ที่ยืนต้นรอบข้างและสะท้อนกลับมาเท่านั้น
3
มูซาชิตั้งสติมองอย่างสังเกตสังกาไปโดยรอบก็เห็นฆ้องทองแดงอันใหญ่ตั้งอยู่ข้างประตูทางเข้า
โธ่เอ๋ย ที่แท้ก็ให้ตีฆ้องเรียก
นักดาบหนุ่มตีฆ้องยังไม่ทันจะสิ้นเสียงกังวานก็ได้ยินเสียงขานรับดังมาไกลๆ จากภายใน
คนที่เปิดประตูออกมาต้อนรับเป็นพระร่างใหญ่ท่วงทีกำยำราวแม่ทัพของกองทัพสงฆ์แห่งภูเขาเออิซัน
“นักรบฝึกหัดรึ”
พระร่างใหญ่ชายตามองนิดหนึ่ง ก่อนทักด้วยท่าทีคุ้นเคยกับการต้อนรับผู้มาเยือนที่แต่งกายขะมุกขะมอมเช่นเดียวกับ มูซาชิ ทุกเมื่อเชื่อวัน
“ขอรับ”
“มาทำไมรึ”
“อยากมาฝึกวิชานักรบขอรับ”
“ขึ้นมาสิ”
พระร่างใหญ่บอกพร้อมชี้มือให้ไปล้างเท้าที่ถังซึ่งรองน้ำจากท่อไม้ไผ่ทางขวามือ รอบ ๆ ถังน้ำมีรองเท้าฟางเก่า ๆ ที่ช้ำชอกจากการใช้งานถูกถอดทิ้งไว้นับคร่าว ๆ ได้ถึงสิบคู่
ล้างเท้าเสร็จแล้วจึงเดินตามพระร่างใหญ่ไปตามระเบียงทางเดินแคบ ๆ สีดำสนิทเข้าไปนั่งรอในห้องที่มองออกไปจากหน้าต่างเห็นใบของต้นกล้วย ถ้าตัดการต้อนรับอย่างขึงขังเป็นระเบียบวินัยของนักรบเมื่อครู่ก่อนออกไป บรรยากาศโดยรอบไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่พบอะไรที่ต่างจากวัดทั่วไป แม้กลิ่นธูปก็ยังโชยมาอ่อน ๆ
พระร่างใหญ่คนเดิมกลับมาอีกครั้งพร้อมกับสมุดเล่มหนึ่งกับอุปกรณ์เครื่องเขียน แล้วชี้นิ้วจิ้มลงไปบนสมุดเหมือนสั่งเด็กเล็ก ๆ
“เขียนลงไปในนี้ว่าฝึกวิชานักรบมากจากไหน เขียนชื่อสำนักและชื่อนามสกุลลงไปด้วย”
มูซาชิอ่านปกสมุดจึงรู้ว่านั่นคือ
สมุดจดรายชื่อผู้ขอเข้าฝึกวิชา ผู้ดูแลสำนักโฮโซอิน
นักดาบหนุ่มเปิดสมุดออกดู ก็พบรายชื่อนักรบฝึกหัดจำนวนมากมายเรียงเป็นระเบียบตามวันเดือนที่มาเยือนสำนัก และจับ พู่กันลงมือเขียนตามแบบคนที่มาก่อนหน้า และเว้นช่องที่ให้ระบุชื่อสำนักดาบเอาไว้
พระร่างใหญ่เอาสมุดไปดูแล้วถามว่า
“อ้าว แล้วเจ้าเรียนวิชานักรบมาจากใคร”
“ฝึกเองขอรับ---ถ้าจะพูดถึงครูก็มีพ่อเป็นคนสอนให้บ้างตอนเป็นเด็กแต่กระผมก็ไม่ได้ขยันเรียนสักเท่าไร แต่พอโตขึ้นมาก็เกิดความตั้งใจที่จะเป็นนักรบอย่างจริงจัง และฝึกฟันดาบกับทุกสิ่งทุกอย่างในธรรมชาติรอบตัว เล่าเรียนวิชาจากนักดาบรุ่นพี่ และทุกวันนี้ก็อยู่ระหว่างเดินทางแสวงอาจารย์เพื่อที่จะขอเล่าเรียนวิชาด้วยขอรับ”
“อือม์...เจ้าคงจะรู้มาบ้างแล้วว่า สำนักโฮโซอินของเรามีชื่อเสียงอันดับหนึ่งเรื่องวิชาทวน มีการฝึกที่ใช้กำลังรุนแรง ไร้ความปราณี ไม่มีอ่อนข้อให้กับใคร ทางที่ดีควรอ่านข้อความที่เขียนไว้ข้างต้นบัญชีรายชื่อให้เข้าใจเอาไว้ ก่อนที่ตกลงใจเข้าฝึกกับเรา”
มูซาชิไม่ทันสังเกตแต่แรก จึงหยิบสมุดขึ้นมาเปิดดูอีกทีก็เห็นมีข้อความนั้นอยู่จริง
---ข้าพเจ้าขอสัญญาว่าจะไม่เรียกร้องทางสำนักรับผิดชอบใด ๆ ในกรณีที่ข้าพเจ้าได้รับบาดเจ็บ พิการหรือเสียชีวิตระหว่างการเข้ารับการฝึกสอนวิชาที่สำนักแห่งนี้---
“กระผมเข้าใจและตกลงตามนั้น”
มูซาชิยิ้มพลางส่งสมุดคืนให้พระร่างยักษ์ การให้สัญญาเช่นนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับนักรบที่ออกเดินทาง ฝึกฝนวิทยายุทธ์
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามมาทางนี้” พระร่างใหญ่พานักดาบหนุ่มเดินลึกเข้าไปอีก
โรงฝึกกว้างขวางใหญ่โตน่าตื่นตาตื่นใจ เสาแต่ละต้นงดงามแปลกตาอย่างที่จะหาดูได้ก็แต่ในวัดเท่านั้น ไม้ประดับแนวเพดานสลักเสลาลวดลายอ่อนช้อยทางสีสวยงามและปิดทอง อย่างที่ไม่เคยเห็นในโรงฝึกอื่น
มูซาชิไม่ใช่นักรบฝึกหัดคนเดียวที่มาเยือนสำนักในวันนั้น เมื่อไปถึงมีคนอื่นนั่งคอยกันอยู่แล้วกว่าสิบคน ส่วนศิษย์ของสำนักก็มีอยู่สิบกว่าคนเช่นกัน นอกนั้นส่วนใหญ่ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยเป็นพวกซามูไรที่มาชมการฝึก ขณะนั้นกำลังมีการประลองฝีมือทวนกันอยู่คู่หนึ่ง ดุเดือดจนคนดูต้องจ้องมองกันจนแทบลืมหายใจ จึงไม่มีใครหันมาสนใจมูซาชิที่เดินด้วยฝีเท้าเบากริบไปนั่งลงรวมกลุ่มนักรบฝึกหัดที่มุมหนึ่ง
บนผนังโรงฝึกมีกระดาษเขียนข้อความติดเอาไว้ว่า---หากผู้ใดต้องการประลองฝีมือด้วยทวนจริงเราก็ยินดี---คู่ประลองฝีมือที่กำลังฟาดฟันกันอย่างมีชั้นเชิงอยู่ที่กลางโรงฝึกนั้น แม้จะใช้ทวนไม้คาชิด้ามยาวแต่ก็ทรงพลังอย่างมหาศาลไม่ว่าจะฟาดหรือจะฟัน ไม่นานฝ่ายหนึ่งก็ถูกฟาดอย่างแรงจนกระเด็นตัวลอยด้วยแรงเหวี่ยงไปตกอยู่กับพื้น พลลุกขึ้นได้ก็เดินกระโพลกกระเพลกกลับมา ขาอ่อนบวมเบ่งขึ้นมาเกือบเท่าถังใส่สาเก แค่จะนั่งลงก็ยังลำบากต้องใช้ข้อศอกยันพื้นแล้วค่อย ๆ ยกขาขึ้นมาทีละข้างดูทุลักทุเล
“คนต่อไป”
ครูฝึกร่างใหญ่ร่างกายทุกส่วนเขม็งเครียดไปด้วยมัดกล้าม ที่แขนขาหลังไหล่แม้จนที่หน้าผาก รวบแขนเสื้อชุดครูฝึกผูกเอาไว้ข้างหลังยืนถือทวนปักหลักเด่นตระหง่านอยู่กลางโรงฝึกร้องท้าผู้ประลองฝีมือคนต่อไปดังก้องห้องโถงใหญ่