นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
“เจ้ารึ มาเลย”
ชายร่างกำยำที่ดูแล้วน่าจะเป็นนักรบฝึกวิทยายุทธ์คนหนึ่งที่มาสมัครประลองฝีมือที่สำนักโฮโฮอินในวันนั้น ลุกขึ้นจากที่นั่งใช้เชือกหนังผูกรวบแขนเสื้อคาดตะแบงไว้ให้รัดกุมก่อนก้าวอาด ๆ ไปเลือกอาวุธที่จัดเรียงไว้ที่ข้างผนัง
ครูฝึกยืนถือทวนยืนจังก้าอยู่กลางโรงฝึกจับจ้องไปที่คู่ประลองฝีมือ ที่ถือง้าวย่างก้าวเข้ามาโดยไม่ยอมให้การเคลื่อนไหวคลาดสายตาไปได้แม้แต่จังหวะเดียว
และในพริบตาเดียวหลังเสร็จการทำความเคารพตามประเพณีนั้นเอง ทวนที่ครูฝึกร่างใหญ่ถือปักหลักอยู่กับพื้นนั้นก็ถูกยกขึ้นหวดขวับลงไปกลางกระหม่อมคู่ต่อสู้พร้อมกับเสียงคำรามราวสัตว์ป่าดังก้องสะท้านไปทั่ว
“คนต่อไป”
ครูฝึกลดทวนในมือลงปักหลักไว้กับพื้นแล้ววางท่ายืนจังก้าตามเดิมแล้วเรียกคู่ประลองฝีมือคนต่อไป ราวกับว่าตนไม่ได้เป็นคนแพ่นหัวคู่ประลองคนก่อนลงไปนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น ถึงจะไม่ถึงตายแต่ก็ไม่อาจเงยหน้าขึ้นเองได้ ลูกศิษย์ของสำนักสองสามคนต้องออกมาช่วยกันจับคอเสื้อกิโมโนลากกลับไป มีเลือดปนน้ำลายเปื้อนตามมาเป็นทาง
“คนต่อไป ใคร?”
ครูฝึกร้องท้าขึ้นอีก แต่แรกมูซาชินึกว่าชายร่างใหญ่ผู้วางท่าทระนงองอาจผู้นี้คืออินชุนเจ้าสำนักโฮโซอินรุ่นที่สอง แต่เมื่อกระซิบถามคนที่นั่งข้าง ๆ ดูจึงรู้ว่าไม่ใช่อินชุนแต่เป็นศิษย์รุ่นใหญ่คนหนึ่งชื่ออากน และรู้ด้วยว่าตามปกติทางสำนักมอบหมายให้ศิษย์รุ่นใหญ่ฝีมือเอกเจ็ดคนทำหน้าที่เป็นครูฝึก โดยที่อินชุนเจ้าสำนักแทบจะไม่ออกมาประลองฝีมือกับใครก็ว่าได้
“ไม่มีใครแล้วรึ”
ครูฝึกลดทวนลง หลวงพี่ที่จัดการเรื่องรายชื่อนักรบฝึกฝีมือถือสมุดเข้ามาเปิดดูชื่อเทียบกับใบหน้าของผู้มาเยือนไปทีละคนเรียงตามรายชื่อ
“เจ้าล่ะ ว่ายังไง”
“ยังขอรับ...เอาไว้วันหลัง”
“แล้วเจ้าล่ะ”
“ยังเหมือนกันหลวงพี่ วันนี้อารมณ์ไม่ค่อยปลอดโปร่ง”
ไม่ว่าหลวงพี่จะพยักหน้าไปที่ใคร คนนั้นก็จะหัวหดด้วยความขยาดความโหดครูฝึกร่างใหญ่ไปเสียทั้งนั้น จนกระทั่งถึงชื่อ มูซาชิ
“เจ้าจะว่ายังไง”
มูซาชิก้มศีรษะให้และบอกว่า
“หากท่านจะกรุณา”
“กรุณารึ หมายความว่ายังไง”
“คือกระผมขอประลองฝีมือกับท่าน”
ว่าแล้วนักดาบหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนยืดตัวตรงสูงเด่นเป็นสง่า ทำเอาใคร ๆ ที่นั่งเรียงแถวอยู่หันมามองเป็นตาเดียวกัน
อากนครูฝึกจอมโหดกลับไปร่วมกลุ่มครูฝึกและกำลังพูดคุยหัวเราะกันครื้นเครง พอได้ยินว่ามีคนลุกขึ้นมาท้าทายเป็นคู่ประลองก็หันไปมองอย่างเบื่อหน่ายแล้วถามครูด้วยกันว่า “ใครช่วยไปรับมือแทนหน่อยสิ” แต่เมื่อไม่มีใครอาสาและคนหนึ่งบอกว่า “เหลืออีกแค่คนเดียวเอง เอาหน่อยน่าจะได้เสร็จ ๆ” อากนจึงจำต้องเดินหน้าตึงเข้าไปที่กลางโรงฝึกอีกครั้ง
อากากระชันทวนดำสนิทตรงที่จับเป็นเงาเลื่อมแสดงว่าเป็นอาวุธคู่มือ ก่อนตรงเข้าไปที่มูซาชิ หันหลังให้...แล้วแผดเสียงเรียกพลังดังกึกก้อง พร้อมกับวิ่งถือทวนในท่าปะจันบานด้วยความเร็วราวจักรผัน พุ่งตัวเข้าไปแทงทวนตรงเป้าบนผนังโรงฝึกสุดแรง...เสียงดังกึกก้อง
ผนังโรงฝึกส่วนนั้นจัดไว้เป็นที่ฝึกแทงทวนโดยมีแผ่นไม้สี่เหลี่ยมขนาดเท่าบานประตูเป็นเป้า ทวนของครูฝึกอากนแม้จะเป็นเพียงท่อนไม้ไม่ใช่ทวนมีคมของจริง แต่ก็มีฤทธิ์ฉกาจฉกรรจ์ทะลุทะลวงแผ่นไม้ที่เพิ่งเปลี่ยนใหม่ ๆ แผ่นนั้นจนกระจุยกระจายสมความตั้งใจที่จะอวดอภินิหาร
---เหม่ !
อากงคำรามเสียงประหลาดหันขวับมาทางมูซาชิ แล้วควงทวนในมือย่างสามขุมเข้าหามูซาชิด้วยสีหน้าและท่วงท่าน่าเกรงขามเป็นที่สุด กล้ามเนื้อทุกมัดเต้นระริกไปด้วยพลังที่คุกรุ่นอยู่ภายในจนแทบจะเห็นควันระเหยออกมาทั่วตัว ดวงตาลุกวาวทั้งคู่จับจ้องไปที่มูซาชิซึ่งยืนถือดาบไม้มองมาอย่างฉงนอยู่ด้านโน้น
“เอาละเว้ย”
อากนตั้งท่าจะพุ่งตัวเข้าปะจันบานด้วยกำลังระดับเดียวกันกับที่ทะลวงแทงเป้าซ้อม แต่ก็ต้องชะงักทันควันเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของใครคนหนึ่งดังมาจากนอกหน้าต่าง
“---อากน เจ้าเสียสติไปแล้วรึ ดูให้ดี ๆ ...คู่ประลองฝีมือคนนี้ ไม่เหมือนเป้าฝึกแทนทวนของเจ้าหรอกนะ ข้าจะบอกให้”
2
อากงกระชับทวนในมือไว้แน่นขณะหันไปตวาดคนพูดที่นอกหน้าต่าง
“---นั่นใคร”
เจ้าของเสียงที่ริมหน้าต่างด้านนอกยังหัวเราะไม่หยุด มูซาชิมองตามไปเห็นแต่หัวล้านเป็นมันราวกับเครื่องทองเหลืองที่เจ้าของร้านขายของเก่าหมั่นขัดชักเงาเป็นอย่างดีกับคิ้วดกขาว โผล่พ้นขอบหน้าต่างขึ้นมา
“อากน อย่าคิดประลองฝีมือกับคน ๆ นี้เลย เอาไว้มะรืนนี้เถอะ คอยให้อินชุนกลับมาก่อนดีกว่า”
หลวงตาร้องห้ามด้วยเสียงแหบเครือ
“อ๊ะ...”
นึกออกแล้ว...หลวงตาคนที่ถือจอบพรวนดินอยู่ที่ไร่ผักที่ตนพบระหว่างทางมาที่โฮโซอินนี้เอง ยังไม่ทันที่จะคิดอะไรต่อไปหลวงตาก็หายไปจากขอบหน้าต่างเสียแล้ว
อากนคลายแรงที่กุมทวนเมื่อถูกหลวงตาเตือนแต่พอสบตากับมูซาชิเท่านั้นก็ลืมหมด ตวาดกลับไปที่หน้าต่างที่คนพูดหายตัวไปแล้วว่า “ท่านอย่าห้าม” แล้วกระชับทวนตั้งพร้อมสู้อีกครั้ง
มูซาชิย้ำเพื่อให้แน่ใจว่า “ได้หรือขอรับ”
คำพูดสั้น ๆ แค่นั้นเพียงพอที่กระพือพัดโทสะของอากนให้ลุกโชนขึ้น ครูฝึกจอมโหดกำทวนไว้มั่นในมือซ้าย เกร็งกายยืนหยัดอยู่กับพื้น กล้ามเนื้อทุกมัดที่แกร่งราวเหล็กไหลทำให้เกิดภาพลวงตาราวกับว่าร่างกำยำสูงใหญ่นั้นลอยอยู่เหนือพื้นในบางขณะไม่ติดพื้นคงที่ เหมือนภาพดวงจันทร์ในสระที่มีระลอกคลื่นอ่อน ๆ
ส่วนมูซาชินั้นมองปราดเดียวก็เห็นชัดว่ายืนตัวตรงเป็นสง่าสองเท้ายึดพื้นมั่นคง ในท่ากุมด้ามดาบไม้ตั้งตรงดิ่งด้วยมือทั้งสอง นอกนั้นไม่มีอะไรที่บ่งบอกว่าเป็นท่าพิเศษของสำนักใด และด้วยความเป็นคนร่างสูงใหญ่ นักดาบด้วยกันยังอดคิดไม่ได้ว่าเป็นท่าจับดาบที่เปิดช่องให้ศัตรูเต็มไปหมด นอกจากนั้นมัดกล้ามก็ดูไม่แข็งแกร่งเท่าอากน
แต่ดูตาของนักรบพเนจรคนนี้เสียก่อน ดวงตาของมูซาชิคมวาวเฉียบไวราวกับตาของนก สีของดวงตาไม่ดำสนิทเพราะถูกทำให้จางลงเป็นสีอำพันด้วยความแดงของเส้นเลือดในแววตาที่กระจ่างใส
อากนสะบัดหน้า ไม่รู้ว่าเพื่อไล่เหงื่อที่ซึมออกมาที่หน้าผากและไหลลงมาเป็นทางจากหน้าผาก หรือเพื่อไล่คำเตือนของหลวงตาที่ค้างคาอยู่ในหูและคอยรบกวนใจอยู่ตลอดกันแน่ แต่ที่แน่ ๆ คือกำลังกระวนกระวายใจเมื่อเห็นคู่ต่อสู้ที่ยืนนิ่งสนิทไม่แสดงทีท่าว่าจะเคลื่อนไหว อากนเปลี่ยนท่าจับทวนหลายครั้ง ร่ายทวนยั่วยุท่านั้นท่านี้ครบถ้วนตามกระบวนทวน ไม่มีเปิดช่องให้อีกฝ่ายโจมตีเอาได้
---และในชั่วพริบตาที่อากนพุ่งทวนเข้าใส่คู่ต่อสู้นั้นเอง ทุกคนก็ได้ยินเสียงกรีดร้องแหลมสูงพร้อมกับเสียงของหนัก ๆ ล้มครืนลงบนพื้นโรงฝึก ในวินาทีนั้นมีคนเห็นมูซาชิที่ยกดาบไม้ขึ้นสูงสุดช่วงแขน ลอยตัวไปยืนนิ่งอยู่กับพื้นห่างออกไป ด้วยความเร็วฉับพลันจนตาแทบจะจับภาพไม่ทัน
“เกิดอะไรขึ้น”
บรรดาลูกศิษย์สำนักทวนกรูเข้าไปห้อมล้อมครูฝึกของตนกันเป็นชุลมุนจนเห็นแต่หัวดำ ๆ เป็นกลุ่มใหญ่ ผลีผลามกันจนถึงกับมีคนสะดุดทวนที่หลุดจากมืออากน เสียหลักลงไปกลิ้งไม่เป็นท่าอยู่กับพื้น
“เอายามา ใครก็ได้ไปเอายามาเร็ว”
คนที่ลุกขึ้นตะโกนสั่งเนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด
หลวงตาที่ชะโงกหน้าต่างเข้ามาเตือนแล้วหายไปนั้น เพิ่งจะเดินกระย่องกระแย่งอ้อมมาถึงประตูหน้าของโรงฝึก แต่พอเข้ามาก็พบว่าตนมาช้าเกินไปเสียแล้ว หลวงตาหน้าสลดยกมือห้ามลูกศิษย์ที่กำลังจะวิ่งออกไปเอาไว้
“จะไปเอายามาทำไม ข้าคงไม่ห้ามหรอกถ้าคิดว่าจะแค่รักษาได้ด้วยยา ห้ามไม่ฟัง...บ้าที่สุด”
6
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจมูซาชิจึงเดินตัวเบาไปที่ประตู แต่พอจะใส่รองเท้าฟางที่ถอดทิ้งเอาไว้ ก็ถูกหลวงตาคนเดิมเรียกเอาไว้พร้อมกับเดินหลังโกงย่องแย่งเข้ามาหา
“เดี๋ยวก่อนพ่อหนุ่ม”
“ข้ารึ”
มูซาชิหันไปถาม
“ใช่ อาตมาอยากจะทักทายไต่ถามอะไรสักหน่อย กลับเข้ามาก่อนได้ไหม”
ว่าแล้วก็เดินนำนักดาบหนุ่มผ่านโรงฝึกลึกเข้าไปด้านใน จนถึงห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ มีประตูเข้าทางเดียว ขนาดไม่ใหญ่กว่ากระเช้าที่ใช้หาบคนเดินทางมากนัก
พอเข้าไปได้หลวงตาก็นั่งแปะลง
“ความจริงแล้วพ่อน่าจะได้พบกับเจ้าอาวาส แต่เผอิญท่านเพิ่งออกเดินทางไปทำธุระเมื่อวานนี้และกว่าจะกลับก็อีกราวสามวัน อาตมาขอต้อนรับแทนก็แล้วกัน”
“ขอบคุณหลวงตามากขอรับ” มูซาชิก้มศีรษะแสดงความเคารพ “วันนี้ข้าได้วิชาที่ล้ำค่าอย่างหาที่เปรียบมิได้ แต่เสียใจที่ท่านอากนศิษย์เอกของสำนักต้องมีอันเป็นไปเช่นนั้น กรุณาให้อภัยข้าด้วย”
“พูดอะไรอย่างนั้น” หลวงตาขัดขึ้น “ผลของการประลองวิทยายุทธ์ย่อมเป็นเช่นนั้นเสมอ คู่ประลองทั้งสองต้องทำใจเอาไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะออกมายืนประจันหน้ากันบนสนามประลองแล้วว่าไม่ชนะก็แพ้ เพราะฉะนั้นพ่อหนุ่มไม่ต้องกังวล”
“บาดแผลเป็นอย่างไรบ้าง”
“ตายคาที่”
ลมหายใจของหลวงตาขณะเอ่ยคำนั้นกระทบใบหน้ามูซาชิจนชาดิ่งราวถูกลมเย็นเฉียบพัดผ่าน
“...สิ้นใจแล้วหรือขอรับ”
วันนี้ดาบไม้ของตนคร่าชีวิตคนไปอีกชีวิตหนึ่งแล้ว...เวลาเช่นนี้มูซาชิจะหลับตาสวดมนต์ระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ในใจเสมอมา
“พ่อหนุ่ม”
“ขอรับ”
“ชื่อมิยาโมโตะ มูซาชิรึ”
“ใช่ขอรับ”
“พ่อหนุ่มเรียนวิชาดาบมาจากไหน”
“ข้าไม่มีครู ตอนเด็ก ๆ ฝึกใช้อาวุธจากบิดาชื่อมุนิไซ หลังจากนั้นก็ได้เดินทางไปในแคว้นต่าง ๆ และจดจำวิชาดาบจากนักดาบรุ่นพี่ที่รู้จักคุ้นเคยกันระหว่างทาง ข้าเดินทางไปเรื่อย ๆ ถือเอาภูเขา แม่น้ำ และทุกอย่างในธรรมชาติเป็นครูขอรับ”
“พ่อหนุ่มเป็นคนที่มีความตั้งใจที่แน่วแน่ร่างกายก็แข็งแรงมาก มีพลังแข็งแกร่งเหลือเกิน”
นักดาบหนุ่มหน้าแดงด้วยความเขินเพราะคิดว่าหลวงตาชมตามมารยาท จึงแก้เก้อว่า
“ไม่เลยขอรับหลวงตา ข้าเป็นแค่นักดาบอ่อนหัด ยังมีวิชาที่ต้องเรียนรู้อีกมากนัก”
“อาตมาไม่ได้ชม แต่อยากเตือนว่าพ่อหนุ่มมีพลังเก่งกาจเกินไป ต้องควบคุมความเก่งกาจเอาไว้บ้าง ต้องอ่อนข้อลงสักหน่อย”
“อะไรนะขอรับ”
“วันนั้น พ่อหนุ่มเดินผ่านตอนที่อาตมากำลังพรวนดินปลูกผักอยู่ใช่ไหม”
“ขอรับ”
“ตอนนั้นพ่อกระโดดตัวลอยผ่านอาตมาไปหลายก้าว”
“ฮะ...?”
“ทำไม ?”
“ที่กระโดดหลบก็เพราะเห็นจอบของหลวงตาหันมาทางขาทั้งสองของข้า และเกรงว่าหลวงตาอาจเหวี่ยงเข้าใส่เมื่อไรก็ได้ หลวงตาก้มหน้าก้มตาขุดดินอยู่ก็จริง แต่ข้าสังเกตเห็นว่าหลวงตาชายตามาสำรวจทั่วตัวข้าด้วยสายตาพิฆาต หมายจ้องหาจุดอ่อนเพื่อจู่โจมข้า”
“กลับกันละมัง” หลวงตาหัวเราะ “เมื่อพ่อเดินเข้ามาแค่ในระยะที่พอเห็นตัวกัน ปลายจอบของอาตมาก็รู้สึกได้ถึงสัญญาณพิฆาตจากตัวพ่อได้แล้ว ยิ่งกว่านั้นทุกย่างก้าวของพ่อยังแฝงไว้ด้วยจิตวิญญาณของการต่อสู้ ความตั้งใจที่แน่วแน่ที่จะทำอะไรสักอย่างให้ลุล่วง อาตมาเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีเกราะกำลังพลังเช่นนี้อยู่เหมือนกันและพร้อมที่จะป้องกันตัวอย่างฉับพลัน
หากคนที่เดินผ่านมาวันนั้นเป็นชาวไร่ชาวนาแถวนี้ อาตมาก็คงไม่ผิดแปลกไปจากตาแก่ที่ขุดดินปลูกผักคนหนึ่งเท่านั้นเอง พ่อหนุ่มรู้สึกได้จับสัญญาณพิฆาตของอาตมาได้โดยไม่รู้ว่าที่แท้ก็คือเงาของพ่อหนุ่มเอง ฮะ ฮะ ฮะ...พ่อหนุ่มกระโดดหลบไปหลายก้าวก็เพราะตื่นตระหนกกับเงาตัวเอง...เท่านั้นจริง ๆ”
7
หลวงตาหลังโกงคนนี้ไม่ใช่ธรรมดาจริงอย่างที่คิด มูซาชิรู้ตัวว่าตนแพ้ภูมิปัญญาหลวงตามาตั้งแต่ก่อนเริ่มสนทนากันในฐานะคนที่เพิ่งรู้จักกันเป็นครั้งแรกเสียอีกและเป็นพระที่น่าเคารพนับถือยิ่งนัก
“ข้าขอกราบที่ท่านช่วยสั่งสอนคนด้อยปัญญาอย่างข้า ขอโทษนะขอรับ ท่านคงเป็นพระผู้ใหญ่ของวัดโฮโซอินแห่งนี้”
“ไม่ใช่หรอก อาตมาไม่ใช่พระวัดนี้ แต่เป็นเจ้าอาวาสวัดโอโซอินที่หันหลังติดกันอยู่ตรงนี้เอง ชื่อนิกคัน
“เจ้าอาวาสวัดติดกันนี่เอง”
“อาตมากับอินเออิของโฮโซอินเป็นเพื่อนเก่าแก่ที่คบกันมานานเต็มที อินเออิเรียนวิชาทวนอาตมาก็เรียนด้วย แต่ต่อมาแนวคิดของอาตมาเปลี่ยนไป และไม่ได้จับทวนอีกเลยมาจนบัดนี้”
“ข้าได้ยินมาว่าท่านอินชุนเจ้าสำนักโฮโซอินรุ่นที่สองเป็นศิษย์ที่ร่ำเรียนวิชาทวนจากท่าน”
“คงจะอย่างนั้นละมัง ความจริงพระไม่ควรใช้อาวุธ แต่ไม่เมื่อโฮโซอินกลายเป็นสำนักฝึกวิทยายุทธ์ที่มีชื่อเลื่องลือไปชั่วแว่นแคว้นแล้วเช่นนี้ ก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่จะปล่อยให้วิชาทวนของสำนักนี้สูญสิ้นไป อาตมาก็เลยตกลงใจถ่ายทอดวิชาให้อินชุนคนเดียว ไม่รับลูกศิษย์คนอื่นอีกเลย”
“ข้าอยากขออาศัยอยู่ที่ซอกมุมไหนสักแห่งหนึ่งจนกว่าท่านอินชุนจะกลับมาได้ไหมขอรับ”
“พ่อหนุ่มคิดจะประลองฝีมือกับอินชุนอย่างนั้นรึ”
“ข้าอุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงสำนักโฮโซอินเช่นนี้แล้ว ก็ใคร่ที่จะได้ชมฝีมือทวนของท่านเจ้าสำนักเป็นธรรมดา”
“อย่าดีกว่า” หลวงตานิกคันส่ายหน้า “ไม่มีประโยชน์อะไร”
“ทำไมหรือขอรับ”
“เท่าที่ได้เห็นฝีมือของอากนวันนี้แล้ว อาตมาคิดว่าพ่อหนุ่มคงจะพอรู้บ้างแล้วว่าวิชาทวนของสำนักโฮโฮอินเป็นอย่างไร มีอะไรที่ต้องรู้ต้องเห็นมากไปกว่านั้นอีกรึ ถ้าอยากรู้ยิ่งกว่านั้นจริง ๆ ก็มองอาตมา...มองตาอาตมา”
หลวงตานิกคันยกไหล่ที่ผ่านผอมขึ้นแล้วยื่นหน้าเข้ามาจ้องตากับมูซาชิ ลูกตาที่ฝังลึกอยู่ในเบ้าเปล่งประกายวาวราวกับถลนออกมา มูซาชิจ้องตอบนิ่งนาน ขณะจ้องอยู่รู้สึกว่าประกายตาของหลวงตาดูเป็นสีน้ำตาลในเหมือนสีอำพันบ้าง แต่เดี๋ยวก็มืดแสงเป็นสีครามแก่บ้าง จนกระทั่งตาพร่าจนต้องเป็นฝ่ายหลบตาก่อน
หลวงตานิกคันหัวเราะตัวโยนจนกระดานสะเทือน พอดีมีพระรูปหนึ่งชะโงกหน้าเข้ามาถามอะไรเบา ๆ มูซาชิได้ยินท่านสั่งว่า “เอามาที่นี่แล้วกัน”
ไม่นานพระรูปนั้นก็นำถาดมีขาตั้งกับกล่องใส่ข้าวมาวางให้ตรงหน้า
หลวงตาตักข้าวใส่ถ้วยจนพูนส่งให้มูซาชิแล้วบอกว่า
“เราขอต้อนรับพ่อหนุ่มด้วยข้าวแช่ชาเขียว ไม่ต้องเกรงใจเพราะนี่เป็นธรรมเนียมการต้อนรับนักรบผู้มาเยือนสำนักของเราทุกคน และนี่ฟักดองตามตำรับการดองผักที่เรียกว่าโฮโซอินสึเกะ เขายัดไส้ฟักด้วยใบสมุนไพรจิโซะกับพริกแล้วดองไปด้วยกัน รสชาติไม่เลวเลยทีเดียว ลองชิมดูสิ”
“ขอบคุณขอรับ”
มูซาชิหยิบตะเกียบ รู้สึกได้ว่าหลวงตานิกคันกำลังมองมาด้วยสายตาที่มีประกายคมกริบ มันทำให้ใจของนักดาบหนุ่มไหววาบไปอึดใจหนึ่ง ทั้งที่ไม่อาจบอกได้ว่าความคมของสายตานั้นเปล่งออกมาจากภายในของหลวงตาจริง ๆ หรือว่าเปล่งออกมารับความคมของสายตาตน
มูซาชิกินข้าวแช่น้ำชาและเคี้ยวฟักดองด้วยความระวังระไว เพราะทวนเล่มยาวที่วางอยู่ข้างฝาตรงนั้นอาจถูกหยิบขึ้นมาพุ่งเข้าใส่ตนเมื่อไรก็ได้ เช่นเดียวกับกำปั้นของหลวงพี่ทากูอันที่ปลิวเข้าใส่หัวหูโดยไม่ทันตั้งรับ
“เป็นยังไง เติมข้าวอีกไหม”
“พอแล้วขอรับ”
“แล้วผักดองโฮโซอินสึเกะล่ะ รสชาติใช้ได้ไหม”
“ดีขอรับ”
มูซาชิตอบไปอย่างนั้น จริง ๆ แล้วฟักดองที่เคี้ยวเข้าไปสองชิ้นนั้นมีแต่ความเผ็ดที่ติดลิ้นอยู่จนออกมาจากที่นั่น ส่วนรสชาติอื่นนั้นจะเค็มหวานยังไงนึกไม่ออกเลยจริง ๆ
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
“เจ้ารึ มาเลย”
ชายร่างกำยำที่ดูแล้วน่าจะเป็นนักรบฝึกวิทยายุทธ์คนหนึ่งที่มาสมัครประลองฝีมือที่สำนักโฮโฮอินในวันนั้น ลุกขึ้นจากที่นั่งใช้เชือกหนังผูกรวบแขนเสื้อคาดตะแบงไว้ให้รัดกุมก่อนก้าวอาด ๆ ไปเลือกอาวุธที่จัดเรียงไว้ที่ข้างผนัง
ครูฝึกยืนถือทวนยืนจังก้าอยู่กลางโรงฝึกจับจ้องไปที่คู่ประลองฝีมือ ที่ถือง้าวย่างก้าวเข้ามาโดยไม่ยอมให้การเคลื่อนไหวคลาดสายตาไปได้แม้แต่จังหวะเดียว
และในพริบตาเดียวหลังเสร็จการทำความเคารพตามประเพณีนั้นเอง ทวนที่ครูฝึกร่างใหญ่ถือปักหลักอยู่กับพื้นนั้นก็ถูกยกขึ้นหวดขวับลงไปกลางกระหม่อมคู่ต่อสู้พร้อมกับเสียงคำรามราวสัตว์ป่าดังก้องสะท้านไปทั่ว
“คนต่อไป”
ครูฝึกลดทวนในมือลงปักหลักไว้กับพื้นแล้ววางท่ายืนจังก้าตามเดิมแล้วเรียกคู่ประลองฝีมือคนต่อไป ราวกับว่าตนไม่ได้เป็นคนแพ่นหัวคู่ประลองคนก่อนลงไปนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น ถึงจะไม่ถึงตายแต่ก็ไม่อาจเงยหน้าขึ้นเองได้ ลูกศิษย์ของสำนักสองสามคนต้องออกมาช่วยกันจับคอเสื้อกิโมโนลากกลับไป มีเลือดปนน้ำลายเปื้อนตามมาเป็นทาง
“คนต่อไป ใคร?”
ครูฝึกร้องท้าขึ้นอีก แต่แรกมูซาชินึกว่าชายร่างใหญ่ผู้วางท่าทระนงองอาจผู้นี้คืออินชุนเจ้าสำนักโฮโซอินรุ่นที่สอง แต่เมื่อกระซิบถามคนที่นั่งข้าง ๆ ดูจึงรู้ว่าไม่ใช่อินชุนแต่เป็นศิษย์รุ่นใหญ่คนหนึ่งชื่ออากน และรู้ด้วยว่าตามปกติทางสำนักมอบหมายให้ศิษย์รุ่นใหญ่ฝีมือเอกเจ็ดคนทำหน้าที่เป็นครูฝึก โดยที่อินชุนเจ้าสำนักแทบจะไม่ออกมาประลองฝีมือกับใครก็ว่าได้
“ไม่มีใครแล้วรึ”
ครูฝึกลดทวนลง หลวงพี่ที่จัดการเรื่องรายชื่อนักรบฝึกฝีมือถือสมุดเข้ามาเปิดดูชื่อเทียบกับใบหน้าของผู้มาเยือนไปทีละคนเรียงตามรายชื่อ
“เจ้าล่ะ ว่ายังไง”
“ยังขอรับ...เอาไว้วันหลัง”
“แล้วเจ้าล่ะ”
“ยังเหมือนกันหลวงพี่ วันนี้อารมณ์ไม่ค่อยปลอดโปร่ง”
ไม่ว่าหลวงพี่จะพยักหน้าไปที่ใคร คนนั้นก็จะหัวหดด้วยความขยาดความโหดครูฝึกร่างใหญ่ไปเสียทั้งนั้น จนกระทั่งถึงชื่อ มูซาชิ
“เจ้าจะว่ายังไง”
มูซาชิก้มศีรษะให้และบอกว่า
“หากท่านจะกรุณา”
“กรุณารึ หมายความว่ายังไง”
“คือกระผมขอประลองฝีมือกับท่าน”
ว่าแล้วนักดาบหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนยืดตัวตรงสูงเด่นเป็นสง่า ทำเอาใคร ๆ ที่นั่งเรียงแถวอยู่หันมามองเป็นตาเดียวกัน
อากนครูฝึกจอมโหดกลับไปร่วมกลุ่มครูฝึกและกำลังพูดคุยหัวเราะกันครื้นเครง พอได้ยินว่ามีคนลุกขึ้นมาท้าทายเป็นคู่ประลองก็หันไปมองอย่างเบื่อหน่ายแล้วถามครูด้วยกันว่า “ใครช่วยไปรับมือแทนหน่อยสิ” แต่เมื่อไม่มีใครอาสาและคนหนึ่งบอกว่า “เหลืออีกแค่คนเดียวเอง เอาหน่อยน่าจะได้เสร็จ ๆ” อากนจึงจำต้องเดินหน้าตึงเข้าไปที่กลางโรงฝึกอีกครั้ง
อากากระชันทวนดำสนิทตรงที่จับเป็นเงาเลื่อมแสดงว่าเป็นอาวุธคู่มือ ก่อนตรงเข้าไปที่มูซาชิ หันหลังให้...แล้วแผดเสียงเรียกพลังดังกึกก้อง พร้อมกับวิ่งถือทวนในท่าปะจันบานด้วยความเร็วราวจักรผัน พุ่งตัวเข้าไปแทงทวนตรงเป้าบนผนังโรงฝึกสุดแรง...เสียงดังกึกก้อง
ผนังโรงฝึกส่วนนั้นจัดไว้เป็นที่ฝึกแทงทวนโดยมีแผ่นไม้สี่เหลี่ยมขนาดเท่าบานประตูเป็นเป้า ทวนของครูฝึกอากนแม้จะเป็นเพียงท่อนไม้ไม่ใช่ทวนมีคมของจริง แต่ก็มีฤทธิ์ฉกาจฉกรรจ์ทะลุทะลวงแผ่นไม้ที่เพิ่งเปลี่ยนใหม่ ๆ แผ่นนั้นจนกระจุยกระจายสมความตั้งใจที่จะอวดอภินิหาร
---เหม่ !
อากงคำรามเสียงประหลาดหันขวับมาทางมูซาชิ แล้วควงทวนในมือย่างสามขุมเข้าหามูซาชิด้วยสีหน้าและท่วงท่าน่าเกรงขามเป็นที่สุด กล้ามเนื้อทุกมัดเต้นระริกไปด้วยพลังที่คุกรุ่นอยู่ภายในจนแทบจะเห็นควันระเหยออกมาทั่วตัว ดวงตาลุกวาวทั้งคู่จับจ้องไปที่มูซาชิซึ่งยืนถือดาบไม้มองมาอย่างฉงนอยู่ด้านโน้น
“เอาละเว้ย”
อากนตั้งท่าจะพุ่งตัวเข้าปะจันบานด้วยกำลังระดับเดียวกันกับที่ทะลวงแทงเป้าซ้อม แต่ก็ต้องชะงักทันควันเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของใครคนหนึ่งดังมาจากนอกหน้าต่าง
“---อากน เจ้าเสียสติไปแล้วรึ ดูให้ดี ๆ ...คู่ประลองฝีมือคนนี้ ไม่เหมือนเป้าฝึกแทนทวนของเจ้าหรอกนะ ข้าจะบอกให้”
2
อากงกระชับทวนในมือไว้แน่นขณะหันไปตวาดคนพูดที่นอกหน้าต่าง
“---นั่นใคร”
เจ้าของเสียงที่ริมหน้าต่างด้านนอกยังหัวเราะไม่หยุด มูซาชิมองตามไปเห็นแต่หัวล้านเป็นมันราวกับเครื่องทองเหลืองที่เจ้าของร้านขายของเก่าหมั่นขัดชักเงาเป็นอย่างดีกับคิ้วดกขาว โผล่พ้นขอบหน้าต่างขึ้นมา
“อากน อย่าคิดประลองฝีมือกับคน ๆ นี้เลย เอาไว้มะรืนนี้เถอะ คอยให้อินชุนกลับมาก่อนดีกว่า”
หลวงตาร้องห้ามด้วยเสียงแหบเครือ
“อ๊ะ...”
นึกออกแล้ว...หลวงตาคนที่ถือจอบพรวนดินอยู่ที่ไร่ผักที่ตนพบระหว่างทางมาที่โฮโซอินนี้เอง ยังไม่ทันที่จะคิดอะไรต่อไปหลวงตาก็หายไปจากขอบหน้าต่างเสียแล้ว
อากนคลายแรงที่กุมทวนเมื่อถูกหลวงตาเตือนแต่พอสบตากับมูซาชิเท่านั้นก็ลืมหมด ตวาดกลับไปที่หน้าต่างที่คนพูดหายตัวไปแล้วว่า “ท่านอย่าห้าม” แล้วกระชับทวนตั้งพร้อมสู้อีกครั้ง
มูซาชิย้ำเพื่อให้แน่ใจว่า “ได้หรือขอรับ”
คำพูดสั้น ๆ แค่นั้นเพียงพอที่กระพือพัดโทสะของอากนให้ลุกโชนขึ้น ครูฝึกจอมโหดกำทวนไว้มั่นในมือซ้าย เกร็งกายยืนหยัดอยู่กับพื้น กล้ามเนื้อทุกมัดที่แกร่งราวเหล็กไหลทำให้เกิดภาพลวงตาราวกับว่าร่างกำยำสูงใหญ่นั้นลอยอยู่เหนือพื้นในบางขณะไม่ติดพื้นคงที่ เหมือนภาพดวงจันทร์ในสระที่มีระลอกคลื่นอ่อน ๆ
ส่วนมูซาชินั้นมองปราดเดียวก็เห็นชัดว่ายืนตัวตรงเป็นสง่าสองเท้ายึดพื้นมั่นคง ในท่ากุมด้ามดาบไม้ตั้งตรงดิ่งด้วยมือทั้งสอง นอกนั้นไม่มีอะไรที่บ่งบอกว่าเป็นท่าพิเศษของสำนักใด และด้วยความเป็นคนร่างสูงใหญ่ นักดาบด้วยกันยังอดคิดไม่ได้ว่าเป็นท่าจับดาบที่เปิดช่องให้ศัตรูเต็มไปหมด นอกจากนั้นมัดกล้ามก็ดูไม่แข็งแกร่งเท่าอากน
แต่ดูตาของนักรบพเนจรคนนี้เสียก่อน ดวงตาของมูซาชิคมวาวเฉียบไวราวกับตาของนก สีของดวงตาไม่ดำสนิทเพราะถูกทำให้จางลงเป็นสีอำพันด้วยความแดงของเส้นเลือดในแววตาที่กระจ่างใส
อากนสะบัดหน้า ไม่รู้ว่าเพื่อไล่เหงื่อที่ซึมออกมาที่หน้าผากและไหลลงมาเป็นทางจากหน้าผาก หรือเพื่อไล่คำเตือนของหลวงตาที่ค้างคาอยู่ในหูและคอยรบกวนใจอยู่ตลอดกันแน่ แต่ที่แน่ ๆ คือกำลังกระวนกระวายใจเมื่อเห็นคู่ต่อสู้ที่ยืนนิ่งสนิทไม่แสดงทีท่าว่าจะเคลื่อนไหว อากนเปลี่ยนท่าจับทวนหลายครั้ง ร่ายทวนยั่วยุท่านั้นท่านี้ครบถ้วนตามกระบวนทวน ไม่มีเปิดช่องให้อีกฝ่ายโจมตีเอาได้
---และในชั่วพริบตาที่อากนพุ่งทวนเข้าใส่คู่ต่อสู้นั้นเอง ทุกคนก็ได้ยินเสียงกรีดร้องแหลมสูงพร้อมกับเสียงของหนัก ๆ ล้มครืนลงบนพื้นโรงฝึก ในวินาทีนั้นมีคนเห็นมูซาชิที่ยกดาบไม้ขึ้นสูงสุดช่วงแขน ลอยตัวไปยืนนิ่งอยู่กับพื้นห่างออกไป ด้วยความเร็วฉับพลันจนตาแทบจะจับภาพไม่ทัน
“เกิดอะไรขึ้น”
บรรดาลูกศิษย์สำนักทวนกรูเข้าไปห้อมล้อมครูฝึกของตนกันเป็นชุลมุนจนเห็นแต่หัวดำ ๆ เป็นกลุ่มใหญ่ ผลีผลามกันจนถึงกับมีคนสะดุดทวนที่หลุดจากมืออากน เสียหลักลงไปกลิ้งไม่เป็นท่าอยู่กับพื้น
“เอายามา ใครก็ได้ไปเอายามาเร็ว”
คนที่ลุกขึ้นตะโกนสั่งเนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด
หลวงตาที่ชะโงกหน้าต่างเข้ามาเตือนแล้วหายไปนั้น เพิ่งจะเดินกระย่องกระแย่งอ้อมมาถึงประตูหน้าของโรงฝึก แต่พอเข้ามาก็พบว่าตนมาช้าเกินไปเสียแล้ว หลวงตาหน้าสลดยกมือห้ามลูกศิษย์ที่กำลังจะวิ่งออกไปเอาไว้
“จะไปเอายามาทำไม ข้าคงไม่ห้ามหรอกถ้าคิดว่าจะแค่รักษาได้ด้วยยา ห้ามไม่ฟัง...บ้าที่สุด”
6
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจมูซาชิจึงเดินตัวเบาไปที่ประตู แต่พอจะใส่รองเท้าฟางที่ถอดทิ้งเอาไว้ ก็ถูกหลวงตาคนเดิมเรียกเอาไว้พร้อมกับเดินหลังโกงย่องแย่งเข้ามาหา
“เดี๋ยวก่อนพ่อหนุ่ม”
“ข้ารึ”
มูซาชิหันไปถาม
“ใช่ อาตมาอยากจะทักทายไต่ถามอะไรสักหน่อย กลับเข้ามาก่อนได้ไหม”
ว่าแล้วก็เดินนำนักดาบหนุ่มผ่านโรงฝึกลึกเข้าไปด้านใน จนถึงห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ มีประตูเข้าทางเดียว ขนาดไม่ใหญ่กว่ากระเช้าที่ใช้หาบคนเดินทางมากนัก
พอเข้าไปได้หลวงตาก็นั่งแปะลง
“ความจริงแล้วพ่อน่าจะได้พบกับเจ้าอาวาส แต่เผอิญท่านเพิ่งออกเดินทางไปทำธุระเมื่อวานนี้และกว่าจะกลับก็อีกราวสามวัน อาตมาขอต้อนรับแทนก็แล้วกัน”
“ขอบคุณหลวงตามากขอรับ” มูซาชิก้มศีรษะแสดงความเคารพ “วันนี้ข้าได้วิชาที่ล้ำค่าอย่างหาที่เปรียบมิได้ แต่เสียใจที่ท่านอากนศิษย์เอกของสำนักต้องมีอันเป็นไปเช่นนั้น กรุณาให้อภัยข้าด้วย”
“พูดอะไรอย่างนั้น” หลวงตาขัดขึ้น “ผลของการประลองวิทยายุทธ์ย่อมเป็นเช่นนั้นเสมอ คู่ประลองทั้งสองต้องทำใจเอาไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะออกมายืนประจันหน้ากันบนสนามประลองแล้วว่าไม่ชนะก็แพ้ เพราะฉะนั้นพ่อหนุ่มไม่ต้องกังวล”
“บาดแผลเป็นอย่างไรบ้าง”
“ตายคาที่”
ลมหายใจของหลวงตาขณะเอ่ยคำนั้นกระทบใบหน้ามูซาชิจนชาดิ่งราวถูกลมเย็นเฉียบพัดผ่าน
“...สิ้นใจแล้วหรือขอรับ”
วันนี้ดาบไม้ของตนคร่าชีวิตคนไปอีกชีวิตหนึ่งแล้ว...เวลาเช่นนี้มูซาชิจะหลับตาสวดมนต์ระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ในใจเสมอมา
“พ่อหนุ่ม”
“ขอรับ”
“ชื่อมิยาโมโตะ มูซาชิรึ”
“ใช่ขอรับ”
“พ่อหนุ่มเรียนวิชาดาบมาจากไหน”
“ข้าไม่มีครู ตอนเด็ก ๆ ฝึกใช้อาวุธจากบิดาชื่อมุนิไซ หลังจากนั้นก็ได้เดินทางไปในแคว้นต่าง ๆ และจดจำวิชาดาบจากนักดาบรุ่นพี่ที่รู้จักคุ้นเคยกันระหว่างทาง ข้าเดินทางไปเรื่อย ๆ ถือเอาภูเขา แม่น้ำ และทุกอย่างในธรรมชาติเป็นครูขอรับ”
“พ่อหนุ่มเป็นคนที่มีความตั้งใจที่แน่วแน่ร่างกายก็แข็งแรงมาก มีพลังแข็งแกร่งเหลือเกิน”
นักดาบหนุ่มหน้าแดงด้วยความเขินเพราะคิดว่าหลวงตาชมตามมารยาท จึงแก้เก้อว่า
“ไม่เลยขอรับหลวงตา ข้าเป็นแค่นักดาบอ่อนหัด ยังมีวิชาที่ต้องเรียนรู้อีกมากนัก”
“อาตมาไม่ได้ชม แต่อยากเตือนว่าพ่อหนุ่มมีพลังเก่งกาจเกินไป ต้องควบคุมความเก่งกาจเอาไว้บ้าง ต้องอ่อนข้อลงสักหน่อย”
“อะไรนะขอรับ”
“วันนั้น พ่อหนุ่มเดินผ่านตอนที่อาตมากำลังพรวนดินปลูกผักอยู่ใช่ไหม”
“ขอรับ”
“ตอนนั้นพ่อกระโดดตัวลอยผ่านอาตมาไปหลายก้าว”
“ฮะ...?”
“ทำไม ?”
“ที่กระโดดหลบก็เพราะเห็นจอบของหลวงตาหันมาทางขาทั้งสองของข้า และเกรงว่าหลวงตาอาจเหวี่ยงเข้าใส่เมื่อไรก็ได้ หลวงตาก้มหน้าก้มตาขุดดินอยู่ก็จริง แต่ข้าสังเกตเห็นว่าหลวงตาชายตามาสำรวจทั่วตัวข้าด้วยสายตาพิฆาต หมายจ้องหาจุดอ่อนเพื่อจู่โจมข้า”
“กลับกันละมัง” หลวงตาหัวเราะ “เมื่อพ่อเดินเข้ามาแค่ในระยะที่พอเห็นตัวกัน ปลายจอบของอาตมาก็รู้สึกได้ถึงสัญญาณพิฆาตจากตัวพ่อได้แล้ว ยิ่งกว่านั้นทุกย่างก้าวของพ่อยังแฝงไว้ด้วยจิตวิญญาณของการต่อสู้ ความตั้งใจที่แน่วแน่ที่จะทำอะไรสักอย่างให้ลุล่วง อาตมาเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีเกราะกำลังพลังเช่นนี้อยู่เหมือนกันและพร้อมที่จะป้องกันตัวอย่างฉับพลัน
หากคนที่เดินผ่านมาวันนั้นเป็นชาวไร่ชาวนาแถวนี้ อาตมาก็คงไม่ผิดแปลกไปจากตาแก่ที่ขุดดินปลูกผักคนหนึ่งเท่านั้นเอง พ่อหนุ่มรู้สึกได้จับสัญญาณพิฆาตของอาตมาได้โดยไม่รู้ว่าที่แท้ก็คือเงาของพ่อหนุ่มเอง ฮะ ฮะ ฮะ...พ่อหนุ่มกระโดดหลบไปหลายก้าวก็เพราะตื่นตระหนกกับเงาตัวเอง...เท่านั้นจริง ๆ”
7
หลวงตาหลังโกงคนนี้ไม่ใช่ธรรมดาจริงอย่างที่คิด มูซาชิรู้ตัวว่าตนแพ้ภูมิปัญญาหลวงตามาตั้งแต่ก่อนเริ่มสนทนากันในฐานะคนที่เพิ่งรู้จักกันเป็นครั้งแรกเสียอีกและเป็นพระที่น่าเคารพนับถือยิ่งนัก
“ข้าขอกราบที่ท่านช่วยสั่งสอนคนด้อยปัญญาอย่างข้า ขอโทษนะขอรับ ท่านคงเป็นพระผู้ใหญ่ของวัดโฮโซอินแห่งนี้”
“ไม่ใช่หรอก อาตมาไม่ใช่พระวัดนี้ แต่เป็นเจ้าอาวาสวัดโอโซอินที่หันหลังติดกันอยู่ตรงนี้เอง ชื่อนิกคัน
“เจ้าอาวาสวัดติดกันนี่เอง”
“อาตมากับอินเออิของโฮโซอินเป็นเพื่อนเก่าแก่ที่คบกันมานานเต็มที อินเออิเรียนวิชาทวนอาตมาก็เรียนด้วย แต่ต่อมาแนวคิดของอาตมาเปลี่ยนไป และไม่ได้จับทวนอีกเลยมาจนบัดนี้”
“ข้าได้ยินมาว่าท่านอินชุนเจ้าสำนักโฮโซอินรุ่นที่สองเป็นศิษย์ที่ร่ำเรียนวิชาทวนจากท่าน”
“คงจะอย่างนั้นละมัง ความจริงพระไม่ควรใช้อาวุธ แต่ไม่เมื่อโฮโซอินกลายเป็นสำนักฝึกวิทยายุทธ์ที่มีชื่อเลื่องลือไปชั่วแว่นแคว้นแล้วเช่นนี้ ก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่จะปล่อยให้วิชาทวนของสำนักนี้สูญสิ้นไป อาตมาก็เลยตกลงใจถ่ายทอดวิชาให้อินชุนคนเดียว ไม่รับลูกศิษย์คนอื่นอีกเลย”
“ข้าอยากขออาศัยอยู่ที่ซอกมุมไหนสักแห่งหนึ่งจนกว่าท่านอินชุนจะกลับมาได้ไหมขอรับ”
“พ่อหนุ่มคิดจะประลองฝีมือกับอินชุนอย่างนั้นรึ”
“ข้าอุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงสำนักโฮโซอินเช่นนี้แล้ว ก็ใคร่ที่จะได้ชมฝีมือทวนของท่านเจ้าสำนักเป็นธรรมดา”
“อย่าดีกว่า” หลวงตานิกคันส่ายหน้า “ไม่มีประโยชน์อะไร”
“ทำไมหรือขอรับ”
“เท่าที่ได้เห็นฝีมือของอากนวันนี้แล้ว อาตมาคิดว่าพ่อหนุ่มคงจะพอรู้บ้างแล้วว่าวิชาทวนของสำนักโฮโฮอินเป็นอย่างไร มีอะไรที่ต้องรู้ต้องเห็นมากไปกว่านั้นอีกรึ ถ้าอยากรู้ยิ่งกว่านั้นจริง ๆ ก็มองอาตมา...มองตาอาตมา”
หลวงตานิกคันยกไหล่ที่ผ่านผอมขึ้นแล้วยื่นหน้าเข้ามาจ้องตากับมูซาชิ ลูกตาที่ฝังลึกอยู่ในเบ้าเปล่งประกายวาวราวกับถลนออกมา มูซาชิจ้องตอบนิ่งนาน ขณะจ้องอยู่รู้สึกว่าประกายตาของหลวงตาดูเป็นสีน้ำตาลในเหมือนสีอำพันบ้าง แต่เดี๋ยวก็มืดแสงเป็นสีครามแก่บ้าง จนกระทั่งตาพร่าจนต้องเป็นฝ่ายหลบตาก่อน
หลวงตานิกคันหัวเราะตัวโยนจนกระดานสะเทือน พอดีมีพระรูปหนึ่งชะโงกหน้าเข้ามาถามอะไรเบา ๆ มูซาชิได้ยินท่านสั่งว่า “เอามาที่นี่แล้วกัน”
ไม่นานพระรูปนั้นก็นำถาดมีขาตั้งกับกล่องใส่ข้าวมาวางให้ตรงหน้า
หลวงตาตักข้าวใส่ถ้วยจนพูนส่งให้มูซาชิแล้วบอกว่า
“เราขอต้อนรับพ่อหนุ่มด้วยข้าวแช่ชาเขียว ไม่ต้องเกรงใจเพราะนี่เป็นธรรมเนียมการต้อนรับนักรบผู้มาเยือนสำนักของเราทุกคน และนี่ฟักดองตามตำรับการดองผักที่เรียกว่าโฮโซอินสึเกะ เขายัดไส้ฟักด้วยใบสมุนไพรจิโซะกับพริกแล้วดองไปด้วยกัน รสชาติไม่เลวเลยทีเดียว ลองชิมดูสิ”
“ขอบคุณขอรับ”
มูซาชิหยิบตะเกียบ รู้สึกได้ว่าหลวงตานิกคันกำลังมองมาด้วยสายตาที่มีประกายคมกริบ มันทำให้ใจของนักดาบหนุ่มไหววาบไปอึดใจหนึ่ง ทั้งที่ไม่อาจบอกได้ว่าความคมของสายตานั้นเปล่งออกมาจากภายในของหลวงตาจริง ๆ หรือว่าเปล่งออกมารับความคมของสายตาตน
มูซาชิกินข้าวแช่น้ำชาและเคี้ยวฟักดองด้วยความระวังระไว เพราะทวนเล่มยาวที่วางอยู่ข้างฝาตรงนั้นอาจถูกหยิบขึ้นมาพุ่งเข้าใส่ตนเมื่อไรก็ได้ เช่นเดียวกับกำปั้นของหลวงพี่ทากูอันที่ปลิวเข้าใส่หัวหูโดยไม่ทันตั้งรับ
“เป็นยังไง เติมข้าวอีกไหม”
“พอแล้วขอรับ”
“แล้วผักดองโฮโซอินสึเกะล่ะ รสชาติใช้ได้ไหม”
“ดีขอรับ”
มูซาชิตอบไปอย่างนั้น จริง ๆ แล้วฟักดองที่เคี้ยวเข้าไปสองชิ้นนั้นมีแต่ความเผ็ดที่ติดลิ้นอยู่จนออกมาจากที่นั่น ส่วนรสชาติอื่นนั้นจะเค็มหวานยังไงนึกไม่ออกเลยจริง ๆ