นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
หนึ่งในสามซามูไรยิ้มเยือกเย็นแต่หน้าแดงด้วยไฟโทสะ เค้นคำพูดรอดไรฟันออกมาหมายกำราบว่า
“พูดแล้วก็จำเอาไว้ให้ดี”
ถึงจะลุกขึ้นยืนจังก้าวางอำนาจเหนือแต่ดูหน้าที่เจื่อนไปก็เห็นชัดว่ายอมแพ้จิตใจเด็ดเดี่ยวของเจ้าหนุ่มอย่างไม่มีประตูสู้
แต่ก็ยังสงวนท่าทีสะบัดหน้าเดินลงส้นกลับออกไปคล้ายกับจะขู่ทิ้งท้ายว่า...อย่าคิดว่าจบแค่นี้
แสงจันทร์หมองมัวไม่แจ่มใสมาหลายคืนแล้ว แม่ม่ายสาวเจ้าของบ้านปลอดโปร่งโล่งใจที่มีนักรบท่าทางมีฝีมืออย่างมูซาชิมาพัก จึงมีอารมณ์จัดข้าวปลาอาหารและสาเกปรนเปรอให้แขกคนสำคัญสำราญบานใจเต็มที่ ทั้งคืนก่อนและคืนนี้มูซาชิลงไปดื่มกินกับนางที่ชั้นล่างจนเมามายได้ที่ และคลานขึ้นบันไดไปนอนแผ่หลากางแข้งกางขาที่สมบูรณ์ไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแกร่งของวัยหนุ่มอยู่ในห้องชั้นบน
คำพูดของพระนิกคันแห่งโอโซอินที่วนเวียนอยู่ในห้วงคิดผุดขึ้นมาให้เจ็บใจอีกแล้ว
ไม่น่าเลย ไม่น่าพลาดเลยจริง ๆ
ทุกครั้งที่ชนะการประลองวิทยายุทธ์มูซาชิจะลืมคู่ต่อสู้ทุกคนเหมือนเป็นฟองอากาศที่จางหายไป ไม่ว่าจะคนนั้นจะบาดเจ็บเป็นได้เท่ากันหรือยิ่งกว่านั้น แต่เมื่อใดที่ได้พบกับใครก็ตามที่มีฝีมือเหนือกว่า ใครก็ตามที่ทำให้ตนเกิดความรู้สึกว่าด้อยกว่า เจ้าหนุ่มนักดาบผู้นี้จะไม่มีวันลืม ความมุ่งมั่นที่จะพิชิตอยู่คน ๆ นั้นให้ได้จะคอยสะกิดใจอยู่ตลอดเวลาราวกับเป็นผีที่มีตัวตน...
เจ็บใจจริง
มูซาชิขยุ้มผมดึงทึ้งด้วยความเจ็บใจทั้งที่นอนแผ่หลาอยู่
ทำยังไงถึงจะถีบตัวเองขึ้นไปยืนผงาดเหนือพระนิกคันผู้นี้ได้ จะมีวันหนึ่งไหมที่ตนจะสบตาที่มีแวววาวประหลาดล้ำคู่นั้นได้
โดยที่จิตใจไม่สั่นไหวด้วยความเกรงขาม
เจ็บใจมาวันหนึ่งแล้วจนวันนี้ก็ยังไม่หาย
ไม่น่าเลย ไม่น่าพลาดเลย
เจ้าหนุ่มพึมพำตำหนิตนเองอยู่อย่างนั้น บางเวลาก็นึกท้อใจสงสัยในความสามารถของตนเองขึ้นมาว่าหรือเราจะมาได้แค่นี้
ไม่แปลกที่การได้พบกับปรมาจารย์อย่างพระนิกคันจะทำให้มูซาชิสงสัยตัวเองขึ้นมาว่าจะไปถึงจุดหมายที่ใฝ่ฝันหรือไม่ ความที่เป็นคนไม่มีครู ไม่เคยได้เล่าเรียนและฝึกวิชาดาบอย่างมีแบบแผนกับใครในสำนักใด มูซาชิจึงไม่มีทางรู้ว่าฝีมือของตนอยู่ในระดับไหน
แล้วยิ่งได้ฟังคำของพระนิกคันที่ว่า
...พ่อหนุ่มมีพลังเก่งกาจเกินไป ต้องควบคุมความเก่งกาจเอาไว้บ้าง ต้องอ่อนข้อลงสักหน่อย
ก็ยิ่งงง ไม่เข้าใจว่าทำไมท่านผู้เฒ่าจึงพูดราวกับว่านั่นเป็นข้อบกพร่องของตน ทั้งที่ความมีพลังเก่งกาจน่าจะเป็นคุณสมบัติอย่างแรกของผู้เป็นนักรบ
ช้าก่อน...คำพูดของหลวงตาหลังโกงคนนั้นดูจะมีลับลมคมในแฝงอยู่ คงเห็นว่าเราเป็นหนุ่มไม่รู้ประสา จึงจงใจปั่นหัวด้วยการเอาเรื่องที่ห่างไกลจากสัจธรรมมาเทศให้ฟังเป็นสัจธรรม และหัวเราะอย่างสนุกเมื่อเห็นเรากลับออกมาด้วยความงงงวย
มาเจอเข้าอย่างนี้แล้วชักสงสัยว่า หนังสือที่อ่านมาแทบเป็นแทบตายพวกนั้นมีประโยชน์จริง ๆ หรือว่าเสียเวลาเปล่า
ระยะนี้มีอะไรหลายอย่างที่ทำให้มูซาชิรู้สึกตัวบ่อยครั้ง ว่าตนเปลี่ยนไปจากสมัยก่อนที่เหตุการณ์บังคับให้ต้องเข้าไปหมกมุ่นอยู่กับการอ่านหนังสืออยู่ในห้องยอดปราสาทฮิเมจินานถึงสามปี คือไม่ว่าจะพบเจอกันเรื่องอะไรเป็นต้องหาเหตุผลมาอธิบายให้รู้แจ้งเห็นจริงจนติดเป็นนิสัย กลายเป็นคนที่ไม่สามารถเปิดใจรับจนสิ่งใดจนกว่าจะหาเหตุผลมาชี้แจงได้ครบถ้วน ไม่เฉพาะเรื่องวิชาดาบอย่างเดียว แต่เป็นเช่นนั้นทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นแนวคิดทางสังคม การมองคน หรืออะไร...เปลี่ยนไปมากจริง ๆ และน่าจะทำให้ความแข็งกร้าวและมุทะลุดุดันของตนนั้นน่าจะอ่อนลงไปมากเมื่อเทียบกับช่วงวัยรุ่นแต่ถึงกระนั้นพระนิกคันก็ยังบอกว่าตนเก่งกาจเกินไป
เข้าใจแล้ว...ที่ว่าพลังเก่งกาจนั้นหลวงตาไม่ได้หมายถึงความแข็งแรงของร่างกาย แค่ชี้ไปที่ความป่าเถื่อนรุนแรงและจิตวิญญาณอันแกร่งกล้าของนักสู้ที่ติดตัวตนมาแต่กำเนิดเท่านั้นเอง
“ภูมิปัญญาจากหนังสือไม่จำเป็นสำหรับนักรบ การรู้อะไรครึ่ง ๆ กลาง ๆ แล้วมัวพะวงกับเรื่องปลีกย่อยจะทำให้เชื่องช้าแม้แต่ปรมาจารย์ระดับนิกคัน แค่หลับตาคิดแม้เพียงจังหวะเดียวก็อาจพลาดท่าแหลกเหลวเป็นผุยผงไปในพริบตานั้น”
หูแว่วเสียงขั้นบันไดถูกเหยียบใกล้เข้ามาทีละขั้น
ใครคนหนึ่งกำลังขึ้นมาบนนี้
2
หญิงรับใช้เยี่ยมหน้าเข้ามาในห้อง โจทาโรยืนอยู่ข้างหลัง
ใบหน้าคล้ำแดดอยู่แล้วยิ่งดำมอมแมมขึ้นไปอีกไปด้วยคราบเหงื่อไคล ผมเผ้าทรงพรายน้ำคัปปะยุ่งเหยิงเป็นสีเทาแทบขาวราวเพิ่งไปคลุกฝุ่นมาจากไหนหยก ๆ
“อ้อ มาแล้วรึ เก่งจริงที่หาเจอ”
มูซาชิอ้าแขนต้อนรับด้วยความยินดี เจ้าหนูเดินเข้ามานั่งเยียดแข้งเหยียดขาใกล้ ๆ
“โอ๊ย เหนื่อยจะตาย”
“หายากไหม”
“ยากซิ ถามได้”
“ก็บอกให้ไปถามที่โฮโซอินไง”
“ถามแล้วแต่พระที่นั่นบอกไม่รู้ ท่านลืมสั่งไว้ละมัง”
“สั่งนะ ข้าสั่งไว้เป็นดิบดี...แต่ชั่งเถอะ ดีแล้วที่อุตส่าห์มาถึงจนได้”
“นี่ขอรับ จดหมายตอบจากสำนักดาบโยชิโอกะ”
โจทาโรหยิบจดหมายจากกระบอกไม้ไผ่ที่แขวนไว้กับคอออกมาส่งให้
“และอีกเรื่องหนึ่งที่ท่านฝากข้อความไปถึงคนที่ชื่อฮนอิเด็น มาตาฮาจิ ข้าไม่พบตัวเขาแต่ก็สั่งคนที่บ้านเอาไว้เรียบร้อย”
“ขอบใจเจ้ามากโจทาโร ลงข้างล่างขอเขาอาบน้ำล้างตัวให้สะอาดและหาอะไรกินเสียก่อนเถิดนะ”
“ที่นี่โรงเตี๊ยมหรือท่าน”
“อือ...ก็คล้ายกันนั่นแหละ”
หลังจากที่โจทาโรลงไปข้างล่างแล้วมูซาชิก็คลี่จดหมายตอบของโยชิโอกะ เซอิจูโรออกอ่าน---ความว่าสำนักโยชิโอกะยินดีที่จะได้ประลองฝีมือกับท่านอีกเป็นครั้งที่สอง หากท่านไม่มาตามนัดภายในฤดูหนาวเราก็จะประเมินว่าท่านหนีหายไปด้วยความขี้ขลาด และถ้าเป็นเช่นนั้นท่านก็จะกลายเป็นนักรบไร้ค่าที่ถูกหัวเราะเยาะเย้ยไปทั่วทุกแว่นแคว้น จึงอยากให้ท่านทำคำท้าทายที่ให้ไว้”
ตัวหนังสือโย้เย้ไม่เป็นระเบียบแสดงว่าเจ้าตัวให้คนอื่นเขียนให้ตามคำบอก มูซาชิฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ด้วยความเดือดดาลแล้วเผาเสียด้วยไฟจากตะเกียง
เถ้ากระดาษปลิวลอยขึ้นไปเหมือนผีเสื้อไหม้ไฟแล้วตกลงมาดิ้นอยู่บนพื้นเสื่อ การโต้ตอบจดหมายกันนี้เปรียบเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของการประลองวิทยายุทธ์ แล้วจะได้รู้กันว่าฤดูหนาวปีนี้ใครจะกลายเป็นเถ้าถ่านเฉกเช่นผีเสื้อสีดำที่เกลื่อนกราดอยู่บนพื้นเสื่อกันแน่
มูซาชิทำใจไว้เสมอว่าชีวิตนักรบนั้นแขวนอยู่บนเส้นด้าย ตื่นขึ้นมาทุกเช้าโดยไม่รู้ว่าตอนเย็นจะเป็นเช่นไร แต่นั่นก็แค่เป็นการเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ แต่จริง ๆ แล้วอดใจหายไม่ได้เมื่อคิดว่าตนอาจจะยืดยาวไปถึงแค่ฤดูหนาวปีนี้เท่านั้น เพราะ...ข้ายังมีหลายสิ่งหลายอยากที่อยากทำ การร่ำเรียนฝึกฝนวิชาดาบก็อย่างหนึ่ง แต่ข้ามีสิ่งที่อยากทำในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งซึ่งแม้จนบัดนี้ยังไม่ได้ทำเลยสักอย่างเดียว...
แล้วยังความใฝ่ฝันอีกเล่า
ข้าอยากลองมีชีวิตอย่างผู้ยิ่งใหญ่ในแว่นแคว้นดูบ้าง อย่างท่านโบกูเด็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่หรือท่านคามิอิซูมิแห่งอิเซะ มีซามูไรเป็นบริวารห้อมล้อมมากมาย มีทั้งพนักงานจูงม้าและพนักงานดูแลนกเหยี่ยวคู่ใจ
อาศัยอยู่ในบ้านเรือนกว้างขวางใหญ่โตมีซุ้มประตูโอ่อ่าไม่อายใคร กับศรีภรรยาพร้อมทนายหน้าหอและคนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ อยากเป็นหัวหน้าครอบครัวที่มีความอบอุ่นอย่างที่ตนไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสสมัยเด็ก
ไม่สิ
ก่อนที่จะผ่านไปถึงช่วงนั้นของชีวิต ข้าอยากลิ้มรสความสำเริงสำราญกับผู้หญิงดูบ้าง ที่ผ่านมาข้าทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับวิชาดาบทั้งวันทั้งคืนไม่วอกแวกมองความเป็นไปในโลกและครองความเป็นโสดมาจนบัดนี้ แต่ระยะนี้ข้ารู้สึกตัวขึ้นมาเหมือนกันว่าใจกายชักจะหวั่นไหวเมื่อมีสาวงามชาวเกียวโตหรือนาราเดินสวนไป จนถึงกับต้องเหลียวมอง
ในช่วงเวลาเช่นนั้น มูซาชิจะคิดถึงโอซือเสมอ
โอซือที่จากกันไปนานจนจะกลายเป็นคนในอดีตแต่ก็ยังรู้สึกผูกพันใกล้ชิด
เพลาใดที่นึกถึงโอซือ มูซาชิจะเหม่อมองไปไกลสุดฟากฟ้าและคิดถึงโอซือคนเดียว
โดยไม่รู้ตัวเลยว่า ความชุ่มชื่นใจเมื่อได้ฝันถึงโอซือนั้นช่วยบรรเทาความเดียวดายและเปล่าเปลี่ยวใจให้คลายลงเพียงใด
มูซาชิดื่มด่ำอยู่ในความคิดจนไม่รู้ว่าโจทาโรกลับขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่
มองไปอีกทีเห็นนั่งกอดเข่าหลับน้ำลายยืดอยู่ตรงมุมห้อง
ดูหน้าตาเนื้อตัวสะอาดเอี้ยมเฟี้ยมคงจะอาบน้ำและได้รับเลี้ยงจนอิ่มหนำสำราญ
ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกลและความสบายใจที่ได้ทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายสำเร็จครบถ้วนคงจะทำให้นอนหลับสบายละทีนี้
3
เช้าแล้ว โจทะโรลืมตาตื่นพร้อมกับเสียงนกกระจอกที่คุยกันจุ๊บจิ๊บอยู่นอกหน้าต่าง มูซาชิเองก็ตั้งใจจะออกเดินทางจากนาราแต่เช้าจึงลงไปร่ำลาเจ้าของบ้าน
แม่ม่ายสาวเห็นนักดาบหนุ่มอยู่ในชุดเดินทางเรียบร้อยก็ร้องว่า
“ตายจริง ทำไมรีบไปนักล่ะเจ้าคะ”
ว่าแล้วก็ขอตัวไปข้างในไม่ถึงอึดใจก็กลับออกมาพร้อมกับเสื้อผ้าเป็นตั้ง
“ดิฉันเย็บกิโมโนกับเสื้อคลุมชุดนี้ไว้ให้ท่านตั้งแต่เมื่อวานซืน หวังจะมอบให้เป็นของที่ระลึกยามลาจากกัน ไม่รู้ว่าจะถูกใจท่านหรือเปล่า แต่ก็อยากให้สวมใส่นะเจ้าคะ”
“นี่น่ะหรือ”
มูซาชิทำตาโต…ไม่ได้หรอกมีอย่างที่ไหนมาพักแรมที่บ้านเขาแล้วยังจะรับของที่ระลึกอย่างดีขนาดนี้หน้าตาเฉยอีก
แม่ม่ายสาวไม่ยอมให้เจ้าหนุ่มปฏิเสธ แก้ว่า
“ไม่ใช่ของดีอะไรนักหรอกเจ้าค่ะ บ้านนี้มีชุดละครโนและกิโมโนผู้ชายเก็บไว้เต็มตู้ไม่มีใครใช้ ดิฉันเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนหนุ่มที่เดินทางเล่าเรียนวิชาของท่าน จึงได้รื้อออกมาเย็บใหม่ให้ท่านใส่ได้พอดีตัว ถ้าไม่ช่วยรับเอาไปมันก็จะกลายเป็นของเสียเปล่า”
ว่าแล้วก็อ้อมไปข้างหลังและคลุมเสื้อให้ที่บ่าโดยที่มูซาชิไม่ทันขัดขืน
เสื้อคลุมไม่มีแขนหรูหราเกินตัวคนใส่ ทำด้วยผ้าไหมอย่างดีน่าจะนำเข้ามาจากจีน ลวดลายงดงามขลิบริมด้วยเส้นด้ายสีทองอร่าม เชือกหนังที่ผูกตัวเสื้อย้อมสีม่วงอย่างประณีต
“ใส่แล้วดูดีมากเลย”
“เข้าท่ามาก”
โจทาโรชมเป็นเสียงเดียวกันกับแม่ม่าย แล้วทวงขึ้นอย่างไม่เกรงใจว่า
“แล้วข้าล่ะ ป้าไม่ให้อะไรบ้างรึ”
แม่ม่ายหัวเราะชอบใจบอกว่า
“เจ้ายังเด็ก แต่งตัวอย่างนั้นน่ะดีแล้ว”
“ข้าไปอยากได้กิโมโนหรอกนะ”
“อ้าว แล้วอยากได้อะไรล่ะ”
“ข้าขอนั่นได้ไหม”
โจทาโรตรงไปปลดหน้ากากที่แขวนอยู่กับเสาในห้องข้าง ๆ ที่จ้องเอาไว้ตั้งแต่เห็นเมื่อคืนด้วยความอยากได้
“ขอข้านะ”
เจ้าเด็กน้อยอ้อนพลางแนบแก้มกับหน้ากาก
มูซาชิตกตะลึงเมื่อเห็นสายตาของโจทาโร ความจริงตนก็ติดใจหน้ากากอันนี้มาตั้งแต่คืนแรกที่เข้ามาพักที่นี่แล้ว
หน้ากากนางปีศาจอันนี้เป็นหน้ากากที่ใช้ในการแสดงละครโน เป็นผลงานของใครไม่รู้แต่ดูจากเส้นสายที่สลักด้วยสิ่วน่าจะเป็นของสมัยคามาคูระมากกว่าสมัยมูโรมาจิ
ถ้าแค่นั้นก็คงไม่ติดใจสักเท่าไร แต่หน้ากากอันนี้ไม่เหมือนหน้ากากละครโนทั่วไปตรงที่สลักเสลาให้เห็นสีหน้าชัดเจนอย่างน่าประหลาด ปกติหน้ากากนางปีศาจจะแต่งแต้มด้วยสีทึบทึมตรงนั้นตรงนี้ให้ดูน่ากลัว แต่นางปีศาจตนนี้ไม่ใช่...ผิวหน้าของนางขาวผ่องมีสง่าราศีและยิ่งพิศก็ยิ่งงาม
สิ่งเดียวที่ทำให้หญิงงามคนนี้ดูเป็นปีศาจร้ายก็คือริมฝีปากที่กำลังหัวเราะ เส้นสลักแนวริมฝีปากด้วยคมสิ่วเน้นลึกเฉียบไปทางซ้ายของใบหน้านั้นจะเกิดจากจินตนาการของช่างสลักคนใดก็ตาม แต่ช่างผู้นั้นได้แฝงพลังและความรู้สึกประหลาดล้ำเอาไว้อยากสุดที่จะหาคำมาบรรยายได้ และพลังนั้นเป็นเสมือนอาคมที่ปลุกเสกให้นางปีศาจหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งได้จริง ๆ---นั่นคือความรู้สึกของมูซาชิเมื่อได้เห็นหน้ากากอันนี้
“ไม่ได้หรอก”
หน้ากากอันนี้ดูเหมือนจะเป็นของสำคัญสำหรับแม่ม่าย เพราะนางตรงเข้าไปแย่งทันทีแต่โจทะโรไม่ยอมให้ ยกขึ้นเทินเอาไว้บนหัวแล้ววิ่งหนีพลางกระโดดโลดเต้นไปรอบ ๆ
“ไม่เห็นเป็นไรเลย แค่หน้ากากอันเดียว เป็นของข้าแล้ว จ้างให้ก็ไม่คืน”
ไม่ว่าใครจะปลอบจะขู่ยังไงเจ้าหนูน้อยก็ไม่ยอมคืน
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
หนึ่งในสามซามูไรยิ้มเยือกเย็นแต่หน้าแดงด้วยไฟโทสะ เค้นคำพูดรอดไรฟันออกมาหมายกำราบว่า
“พูดแล้วก็จำเอาไว้ให้ดี”
ถึงจะลุกขึ้นยืนจังก้าวางอำนาจเหนือแต่ดูหน้าที่เจื่อนไปก็เห็นชัดว่ายอมแพ้จิตใจเด็ดเดี่ยวของเจ้าหนุ่มอย่างไม่มีประตูสู้
แต่ก็ยังสงวนท่าทีสะบัดหน้าเดินลงส้นกลับออกไปคล้ายกับจะขู่ทิ้งท้ายว่า...อย่าคิดว่าจบแค่นี้
แสงจันทร์หมองมัวไม่แจ่มใสมาหลายคืนแล้ว แม่ม่ายสาวเจ้าของบ้านปลอดโปร่งโล่งใจที่มีนักรบท่าทางมีฝีมืออย่างมูซาชิมาพัก จึงมีอารมณ์จัดข้าวปลาอาหารและสาเกปรนเปรอให้แขกคนสำคัญสำราญบานใจเต็มที่ ทั้งคืนก่อนและคืนนี้มูซาชิลงไปดื่มกินกับนางที่ชั้นล่างจนเมามายได้ที่ และคลานขึ้นบันไดไปนอนแผ่หลากางแข้งกางขาที่สมบูรณ์ไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแกร่งของวัยหนุ่มอยู่ในห้องชั้นบน
คำพูดของพระนิกคันแห่งโอโซอินที่วนเวียนอยู่ในห้วงคิดผุดขึ้นมาให้เจ็บใจอีกแล้ว
ไม่น่าเลย ไม่น่าพลาดเลยจริง ๆ
ทุกครั้งที่ชนะการประลองวิทยายุทธ์มูซาชิจะลืมคู่ต่อสู้ทุกคนเหมือนเป็นฟองอากาศที่จางหายไป ไม่ว่าจะคนนั้นจะบาดเจ็บเป็นได้เท่ากันหรือยิ่งกว่านั้น แต่เมื่อใดที่ได้พบกับใครก็ตามที่มีฝีมือเหนือกว่า ใครก็ตามที่ทำให้ตนเกิดความรู้สึกว่าด้อยกว่า เจ้าหนุ่มนักดาบผู้นี้จะไม่มีวันลืม ความมุ่งมั่นที่จะพิชิตอยู่คน ๆ นั้นให้ได้จะคอยสะกิดใจอยู่ตลอดเวลาราวกับเป็นผีที่มีตัวตน...
เจ็บใจจริง
มูซาชิขยุ้มผมดึงทึ้งด้วยความเจ็บใจทั้งที่นอนแผ่หลาอยู่
ทำยังไงถึงจะถีบตัวเองขึ้นไปยืนผงาดเหนือพระนิกคันผู้นี้ได้ จะมีวันหนึ่งไหมที่ตนจะสบตาที่มีแวววาวประหลาดล้ำคู่นั้นได้
โดยที่จิตใจไม่สั่นไหวด้วยความเกรงขาม
เจ็บใจมาวันหนึ่งแล้วจนวันนี้ก็ยังไม่หาย
ไม่น่าเลย ไม่น่าพลาดเลย
เจ้าหนุ่มพึมพำตำหนิตนเองอยู่อย่างนั้น บางเวลาก็นึกท้อใจสงสัยในความสามารถของตนเองขึ้นมาว่าหรือเราจะมาได้แค่นี้
ไม่แปลกที่การได้พบกับปรมาจารย์อย่างพระนิกคันจะทำให้มูซาชิสงสัยตัวเองขึ้นมาว่าจะไปถึงจุดหมายที่ใฝ่ฝันหรือไม่ ความที่เป็นคนไม่มีครู ไม่เคยได้เล่าเรียนและฝึกวิชาดาบอย่างมีแบบแผนกับใครในสำนักใด มูซาชิจึงไม่มีทางรู้ว่าฝีมือของตนอยู่ในระดับไหน
แล้วยิ่งได้ฟังคำของพระนิกคันที่ว่า
...พ่อหนุ่มมีพลังเก่งกาจเกินไป ต้องควบคุมความเก่งกาจเอาไว้บ้าง ต้องอ่อนข้อลงสักหน่อย
ก็ยิ่งงง ไม่เข้าใจว่าทำไมท่านผู้เฒ่าจึงพูดราวกับว่านั่นเป็นข้อบกพร่องของตน ทั้งที่ความมีพลังเก่งกาจน่าจะเป็นคุณสมบัติอย่างแรกของผู้เป็นนักรบ
ช้าก่อน...คำพูดของหลวงตาหลังโกงคนนั้นดูจะมีลับลมคมในแฝงอยู่ คงเห็นว่าเราเป็นหนุ่มไม่รู้ประสา จึงจงใจปั่นหัวด้วยการเอาเรื่องที่ห่างไกลจากสัจธรรมมาเทศให้ฟังเป็นสัจธรรม และหัวเราะอย่างสนุกเมื่อเห็นเรากลับออกมาด้วยความงงงวย
มาเจอเข้าอย่างนี้แล้วชักสงสัยว่า หนังสือที่อ่านมาแทบเป็นแทบตายพวกนั้นมีประโยชน์จริง ๆ หรือว่าเสียเวลาเปล่า
ระยะนี้มีอะไรหลายอย่างที่ทำให้มูซาชิรู้สึกตัวบ่อยครั้ง ว่าตนเปลี่ยนไปจากสมัยก่อนที่เหตุการณ์บังคับให้ต้องเข้าไปหมกมุ่นอยู่กับการอ่านหนังสืออยู่ในห้องยอดปราสาทฮิเมจินานถึงสามปี คือไม่ว่าจะพบเจอกันเรื่องอะไรเป็นต้องหาเหตุผลมาอธิบายให้รู้แจ้งเห็นจริงจนติดเป็นนิสัย กลายเป็นคนที่ไม่สามารถเปิดใจรับจนสิ่งใดจนกว่าจะหาเหตุผลมาชี้แจงได้ครบถ้วน ไม่เฉพาะเรื่องวิชาดาบอย่างเดียว แต่เป็นเช่นนั้นทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นแนวคิดทางสังคม การมองคน หรืออะไร...เปลี่ยนไปมากจริง ๆ และน่าจะทำให้ความแข็งกร้าวและมุทะลุดุดันของตนนั้นน่าจะอ่อนลงไปมากเมื่อเทียบกับช่วงวัยรุ่นแต่ถึงกระนั้นพระนิกคันก็ยังบอกว่าตนเก่งกาจเกินไป
เข้าใจแล้ว...ที่ว่าพลังเก่งกาจนั้นหลวงตาไม่ได้หมายถึงความแข็งแรงของร่างกาย แค่ชี้ไปที่ความป่าเถื่อนรุนแรงและจิตวิญญาณอันแกร่งกล้าของนักสู้ที่ติดตัวตนมาแต่กำเนิดเท่านั้นเอง
“ภูมิปัญญาจากหนังสือไม่จำเป็นสำหรับนักรบ การรู้อะไรครึ่ง ๆ กลาง ๆ แล้วมัวพะวงกับเรื่องปลีกย่อยจะทำให้เชื่องช้าแม้แต่ปรมาจารย์ระดับนิกคัน แค่หลับตาคิดแม้เพียงจังหวะเดียวก็อาจพลาดท่าแหลกเหลวเป็นผุยผงไปในพริบตานั้น”
หูแว่วเสียงขั้นบันไดถูกเหยียบใกล้เข้ามาทีละขั้น
ใครคนหนึ่งกำลังขึ้นมาบนนี้
2
หญิงรับใช้เยี่ยมหน้าเข้ามาในห้อง โจทาโรยืนอยู่ข้างหลัง
ใบหน้าคล้ำแดดอยู่แล้วยิ่งดำมอมแมมขึ้นไปอีกไปด้วยคราบเหงื่อไคล ผมเผ้าทรงพรายน้ำคัปปะยุ่งเหยิงเป็นสีเทาแทบขาวราวเพิ่งไปคลุกฝุ่นมาจากไหนหยก ๆ
“อ้อ มาแล้วรึ เก่งจริงที่หาเจอ”
มูซาชิอ้าแขนต้อนรับด้วยความยินดี เจ้าหนูเดินเข้ามานั่งเยียดแข้งเหยียดขาใกล้ ๆ
“โอ๊ย เหนื่อยจะตาย”
“หายากไหม”
“ยากซิ ถามได้”
“ก็บอกให้ไปถามที่โฮโซอินไง”
“ถามแล้วแต่พระที่นั่นบอกไม่รู้ ท่านลืมสั่งไว้ละมัง”
“สั่งนะ ข้าสั่งไว้เป็นดิบดี...แต่ชั่งเถอะ ดีแล้วที่อุตส่าห์มาถึงจนได้”
“นี่ขอรับ จดหมายตอบจากสำนักดาบโยชิโอกะ”
โจทาโรหยิบจดหมายจากกระบอกไม้ไผ่ที่แขวนไว้กับคอออกมาส่งให้
“และอีกเรื่องหนึ่งที่ท่านฝากข้อความไปถึงคนที่ชื่อฮนอิเด็น มาตาฮาจิ ข้าไม่พบตัวเขาแต่ก็สั่งคนที่บ้านเอาไว้เรียบร้อย”
“ขอบใจเจ้ามากโจทาโร ลงข้างล่างขอเขาอาบน้ำล้างตัวให้สะอาดและหาอะไรกินเสียก่อนเถิดนะ”
“ที่นี่โรงเตี๊ยมหรือท่าน”
“อือ...ก็คล้ายกันนั่นแหละ”
หลังจากที่โจทาโรลงไปข้างล่างแล้วมูซาชิก็คลี่จดหมายตอบของโยชิโอกะ เซอิจูโรออกอ่าน---ความว่าสำนักโยชิโอกะยินดีที่จะได้ประลองฝีมือกับท่านอีกเป็นครั้งที่สอง หากท่านไม่มาตามนัดภายในฤดูหนาวเราก็จะประเมินว่าท่านหนีหายไปด้วยความขี้ขลาด และถ้าเป็นเช่นนั้นท่านก็จะกลายเป็นนักรบไร้ค่าที่ถูกหัวเราะเยาะเย้ยไปทั่วทุกแว่นแคว้น จึงอยากให้ท่านทำคำท้าทายที่ให้ไว้”
ตัวหนังสือโย้เย้ไม่เป็นระเบียบแสดงว่าเจ้าตัวให้คนอื่นเขียนให้ตามคำบอก มูซาชิฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ด้วยความเดือดดาลแล้วเผาเสียด้วยไฟจากตะเกียง
เถ้ากระดาษปลิวลอยขึ้นไปเหมือนผีเสื้อไหม้ไฟแล้วตกลงมาดิ้นอยู่บนพื้นเสื่อ การโต้ตอบจดหมายกันนี้เปรียบเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของการประลองวิทยายุทธ์ แล้วจะได้รู้กันว่าฤดูหนาวปีนี้ใครจะกลายเป็นเถ้าถ่านเฉกเช่นผีเสื้อสีดำที่เกลื่อนกราดอยู่บนพื้นเสื่อกันแน่
มูซาชิทำใจไว้เสมอว่าชีวิตนักรบนั้นแขวนอยู่บนเส้นด้าย ตื่นขึ้นมาทุกเช้าโดยไม่รู้ว่าตอนเย็นจะเป็นเช่นไร แต่นั่นก็แค่เป็นการเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ แต่จริง ๆ แล้วอดใจหายไม่ได้เมื่อคิดว่าตนอาจจะยืดยาวไปถึงแค่ฤดูหนาวปีนี้เท่านั้น เพราะ...ข้ายังมีหลายสิ่งหลายอยากที่อยากทำ การร่ำเรียนฝึกฝนวิชาดาบก็อย่างหนึ่ง แต่ข้ามีสิ่งที่อยากทำในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งซึ่งแม้จนบัดนี้ยังไม่ได้ทำเลยสักอย่างเดียว...
แล้วยังความใฝ่ฝันอีกเล่า
ข้าอยากลองมีชีวิตอย่างผู้ยิ่งใหญ่ในแว่นแคว้นดูบ้าง อย่างท่านโบกูเด็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่หรือท่านคามิอิซูมิแห่งอิเซะ มีซามูไรเป็นบริวารห้อมล้อมมากมาย มีทั้งพนักงานจูงม้าและพนักงานดูแลนกเหยี่ยวคู่ใจ
อาศัยอยู่ในบ้านเรือนกว้างขวางใหญ่โตมีซุ้มประตูโอ่อ่าไม่อายใคร กับศรีภรรยาพร้อมทนายหน้าหอและคนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ อยากเป็นหัวหน้าครอบครัวที่มีความอบอุ่นอย่างที่ตนไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสสมัยเด็ก
ไม่สิ
ก่อนที่จะผ่านไปถึงช่วงนั้นของชีวิต ข้าอยากลิ้มรสความสำเริงสำราญกับผู้หญิงดูบ้าง ที่ผ่านมาข้าทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับวิชาดาบทั้งวันทั้งคืนไม่วอกแวกมองความเป็นไปในโลกและครองความเป็นโสดมาจนบัดนี้ แต่ระยะนี้ข้ารู้สึกตัวขึ้นมาเหมือนกันว่าใจกายชักจะหวั่นไหวเมื่อมีสาวงามชาวเกียวโตหรือนาราเดินสวนไป จนถึงกับต้องเหลียวมอง
ในช่วงเวลาเช่นนั้น มูซาชิจะคิดถึงโอซือเสมอ
โอซือที่จากกันไปนานจนจะกลายเป็นคนในอดีตแต่ก็ยังรู้สึกผูกพันใกล้ชิด
เพลาใดที่นึกถึงโอซือ มูซาชิจะเหม่อมองไปไกลสุดฟากฟ้าและคิดถึงโอซือคนเดียว
โดยไม่รู้ตัวเลยว่า ความชุ่มชื่นใจเมื่อได้ฝันถึงโอซือนั้นช่วยบรรเทาความเดียวดายและเปล่าเปลี่ยวใจให้คลายลงเพียงใด
มูซาชิดื่มด่ำอยู่ในความคิดจนไม่รู้ว่าโจทาโรกลับขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่
มองไปอีกทีเห็นนั่งกอดเข่าหลับน้ำลายยืดอยู่ตรงมุมห้อง
ดูหน้าตาเนื้อตัวสะอาดเอี้ยมเฟี้ยมคงจะอาบน้ำและได้รับเลี้ยงจนอิ่มหนำสำราญ
ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกลและความสบายใจที่ได้ทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายสำเร็จครบถ้วนคงจะทำให้นอนหลับสบายละทีนี้
3
เช้าแล้ว โจทะโรลืมตาตื่นพร้อมกับเสียงนกกระจอกที่คุยกันจุ๊บจิ๊บอยู่นอกหน้าต่าง มูซาชิเองก็ตั้งใจจะออกเดินทางจากนาราแต่เช้าจึงลงไปร่ำลาเจ้าของบ้าน
แม่ม่ายสาวเห็นนักดาบหนุ่มอยู่ในชุดเดินทางเรียบร้อยก็ร้องว่า
“ตายจริง ทำไมรีบไปนักล่ะเจ้าคะ”
ว่าแล้วก็ขอตัวไปข้างในไม่ถึงอึดใจก็กลับออกมาพร้อมกับเสื้อผ้าเป็นตั้ง
“ดิฉันเย็บกิโมโนกับเสื้อคลุมชุดนี้ไว้ให้ท่านตั้งแต่เมื่อวานซืน หวังจะมอบให้เป็นของที่ระลึกยามลาจากกัน ไม่รู้ว่าจะถูกใจท่านหรือเปล่า แต่ก็อยากให้สวมใส่นะเจ้าคะ”
“นี่น่ะหรือ”
มูซาชิทำตาโต…ไม่ได้หรอกมีอย่างที่ไหนมาพักแรมที่บ้านเขาแล้วยังจะรับของที่ระลึกอย่างดีขนาดนี้หน้าตาเฉยอีก
แม่ม่ายสาวไม่ยอมให้เจ้าหนุ่มปฏิเสธ แก้ว่า
“ไม่ใช่ของดีอะไรนักหรอกเจ้าค่ะ บ้านนี้มีชุดละครโนและกิโมโนผู้ชายเก็บไว้เต็มตู้ไม่มีใครใช้ ดิฉันเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนหนุ่มที่เดินทางเล่าเรียนวิชาของท่าน จึงได้รื้อออกมาเย็บใหม่ให้ท่านใส่ได้พอดีตัว ถ้าไม่ช่วยรับเอาไปมันก็จะกลายเป็นของเสียเปล่า”
ว่าแล้วก็อ้อมไปข้างหลังและคลุมเสื้อให้ที่บ่าโดยที่มูซาชิไม่ทันขัดขืน
เสื้อคลุมไม่มีแขนหรูหราเกินตัวคนใส่ ทำด้วยผ้าไหมอย่างดีน่าจะนำเข้ามาจากจีน ลวดลายงดงามขลิบริมด้วยเส้นด้ายสีทองอร่าม เชือกหนังที่ผูกตัวเสื้อย้อมสีม่วงอย่างประณีต
“ใส่แล้วดูดีมากเลย”
“เข้าท่ามาก”
โจทาโรชมเป็นเสียงเดียวกันกับแม่ม่าย แล้วทวงขึ้นอย่างไม่เกรงใจว่า
“แล้วข้าล่ะ ป้าไม่ให้อะไรบ้างรึ”
แม่ม่ายหัวเราะชอบใจบอกว่า
“เจ้ายังเด็ก แต่งตัวอย่างนั้นน่ะดีแล้ว”
“ข้าไปอยากได้กิโมโนหรอกนะ”
“อ้าว แล้วอยากได้อะไรล่ะ”
“ข้าขอนั่นได้ไหม”
โจทาโรตรงไปปลดหน้ากากที่แขวนอยู่กับเสาในห้องข้าง ๆ ที่จ้องเอาไว้ตั้งแต่เห็นเมื่อคืนด้วยความอยากได้
“ขอข้านะ”
เจ้าเด็กน้อยอ้อนพลางแนบแก้มกับหน้ากาก
มูซาชิตกตะลึงเมื่อเห็นสายตาของโจทาโร ความจริงตนก็ติดใจหน้ากากอันนี้มาตั้งแต่คืนแรกที่เข้ามาพักที่นี่แล้ว
หน้ากากนางปีศาจอันนี้เป็นหน้ากากที่ใช้ในการแสดงละครโน เป็นผลงานของใครไม่รู้แต่ดูจากเส้นสายที่สลักด้วยสิ่วน่าจะเป็นของสมัยคามาคูระมากกว่าสมัยมูโรมาจิ
ถ้าแค่นั้นก็คงไม่ติดใจสักเท่าไร แต่หน้ากากอันนี้ไม่เหมือนหน้ากากละครโนทั่วไปตรงที่สลักเสลาให้เห็นสีหน้าชัดเจนอย่างน่าประหลาด ปกติหน้ากากนางปีศาจจะแต่งแต้มด้วยสีทึบทึมตรงนั้นตรงนี้ให้ดูน่ากลัว แต่นางปีศาจตนนี้ไม่ใช่...ผิวหน้าของนางขาวผ่องมีสง่าราศีและยิ่งพิศก็ยิ่งงาม
สิ่งเดียวที่ทำให้หญิงงามคนนี้ดูเป็นปีศาจร้ายก็คือริมฝีปากที่กำลังหัวเราะ เส้นสลักแนวริมฝีปากด้วยคมสิ่วเน้นลึกเฉียบไปทางซ้ายของใบหน้านั้นจะเกิดจากจินตนาการของช่างสลักคนใดก็ตาม แต่ช่างผู้นั้นได้แฝงพลังและความรู้สึกประหลาดล้ำเอาไว้อยากสุดที่จะหาคำมาบรรยายได้ และพลังนั้นเป็นเสมือนอาคมที่ปลุกเสกให้นางปีศาจหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งได้จริง ๆ---นั่นคือความรู้สึกของมูซาชิเมื่อได้เห็นหน้ากากอันนี้
“ไม่ได้หรอก”
หน้ากากอันนี้ดูเหมือนจะเป็นของสำคัญสำหรับแม่ม่าย เพราะนางตรงเข้าไปแย่งทันทีแต่โจทะโรไม่ยอมให้ ยกขึ้นเทินเอาไว้บนหัวแล้ววิ่งหนีพลางกระโดดโลดเต้นไปรอบ ๆ
“ไม่เห็นเป็นไรเลย แค่หน้ากากอันเดียว เป็นของข้าแล้ว จ้างให้ก็ไม่คืน”
ไม่ว่าใครจะปลอบจะขู่ยังไงเจ้าหนูน้อยก็ไม่ยอมคืน