xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ ภาค 2 น้ำ ตอน เวียนมาแต่ไม่พบพาน

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา

1
เกวียนเทียมวัวคงจะเป็นของลูกวัดที่เป็นเศรษฐี บรรทุกถุงข้าวหรืออาจเป็นถุงถั่วแดงซ้อนกันเป็นภูเขาอยู่เต็มคัน ปักป้ายไม้เขียนด้วยหมึกดำว่าของถวายวัดโคฟุกุจิ
นารากับวัดโคฟุกุจิเป็นของคู่กัน คือเมื่อพูดถึงนาราใคร ๆ ก็ต้องนึกถึงวัดโคฟุกุจิและเมื่อพูดถึงวัดโคฟุกุจิใคร ๆ ก็จะต้องนึกถึงนาราทันทีเหมือนกัน แม้เป็นเด็กแต่โจทาโรก็เป็นลูกซามูไรและรู้จักวัดที่มีชื่อเสียงแห่งนาราวัดนี้

“โชคดีจัง มีรถไปส่งถึงนาราด้วย”

เด็กชายออกวิ่งตามเกวียนเทียมวัวคันนั้นจนทันแล้วกระโดดขึ้นไปนั่งท้ายเกวียน มีกระสอบที่บรรทุกอยู่เป็นเก้าอี้พร้อมพนักพิงสุดหรูให้นั่งชมวิวสองข้างทางสายยามาโตะอย่างเพลิดเพลินไม่รู้เบื่อ

ทางสายยามาโตะตัดผ่านเนินต้นชาที่ชาวไร่ปลูกเป็นพุ่มกลมสีเขียวจัดเรียงรายเป็นระเบียบ ซากุระกำลังแย้มกลีบผลิบาน ชาวนาจึงระดมกำลังกันพลิกฟื้นพื้นดินเตรียมปลูกข้าวสาลีพลางภาวนาขอให้ท้องทุ่งท้องนารอดปลอดภัยจากการถูกทหารและม้าศึกย่ำยีไปอีกปีหนึ่ง เพื่อจะได้พืชผลอุดมสมบูรณ์ พวกผู้หญิงกำลังล้างผักกันอยู่ไกลออกไปทางลำน้ำ

“สบายจังเลย” โจทาโรอิ่มอกอิ่มใจจนต้องร้องออกมาดัง ๆ และคิดว่าต้องหมดสนุกแน่หากเผลอม่อยหลับไปจนถึงนารา

ดีที่เกวียนซึ่งแล่นไปตามทางที่ขรุขระด้วยจังหวะสม่ำเสมอ กระดอนขึ้นโยนตัวโคลงเคลงเมื่อเจอก้อนหินก้อนใหญ่เป็น ช่วง ๆ ทำให้ไม่มีเวลาหลับ ---แค่ได้นั่งอยู่บนพาหนะที่เคลื่อนไหวซ้ำยังแล่นรุดไปข้างหน้าด้วยเช่นนี้ หัวใจของเด็กชายก็เต้นแรงด้วยความคึกคักและสนุกสุดใจอย่างไม่มีอะไรเปรียบเสียแล้ว

โจทาโรตื่นเต้นไปหมดกับทุกสิ่งที่พบเห็นระหว่างทาง หัวเราะขบขันไปกับชาวบ้านสองฟากทาง

---พ่อไก่แม่ไก้เอะอะกันใหญ่ ยาย ยาย มัวทำอะไรอยู่ ไม่รู้รึไงว่าพังพอนมันเข้าไปขโมยไข่ไก่ ...อ้าวนั่นเด็กที่ไหน หกล้มร้องไห้อยู่บนถนน ใครก็ได้ไปช่วยเร้วมีคนกำลังขี่ม้ามาทางโน้น...ฯลฯ---

เกวียนแล่นเลยหมู่บ้านและพอผ่านหมู่ไม้โคฟุกุจิก็เอื้อมมือไปเด็กใบกุหลาบป่าใบหนึ่งมาจรดที่ริมฝีปากและผิวออกมาเป็นเสียงเพลง

“เอ๊ะ”

คนจูงวัวลากเกวียนหันมามองแต่ไม่เห็นอะไรจึงเดินต่อไป โจทาโรยังเป่าใบไม้ไม่หยุด คราวนี้คนจูงวัวทิ้งเชือกจูงในมือ เดินอ้อมไปด้านหลังเกวียน กำหมัดขึ้นซักป้าบเข้าให้โดยที่เด็กชายยังไม่ทันตั้งตัว

“ไอ้เด็กบ้า”

“โอ๊ย เจ็บนะ”

“กล้าดียังไงถึงขึ้นมานั่งท้ายเกวียนข้า”

“นั่งไม่ได้เหรอ”

“ก็ใช่น่ะซี”

“ไม่เห็นเป็นไรเลย วัวต่างหากที่ลากเกวียนไม่ใช่ลุงสักหน่อย”

“อย่ามาแถ”

โจทาโรถูกโยนลงจากเกวียนเหมือนลูกบอลกลิ้งลงไปหยุดอยู่ที่โคนต้นไม้

ลูกล้อเกวียนหมุนต่อไปส่งเสียงเหมือนหัวเราะเยาะเด็กชายที่ถูกทิ้งอยู่ข้างทาง โจทาโรลุกขึ้นยืนคลำตะโพกป้อย ๆ แต่แล้วก็ทำหน้าแปลก ๆ และเริ่มสอดส่ายสายตาไปรอบ ๆ ตัว เหมือนกับว่าทำอะไรหาย

“ไม่มี เฮ้ย...หายไปไหน”

จดหมายตอบจากโรงฝึกวิชาดาบโยชิโอกะไปยังมูซาชิ ที่โจทาโรเก็บรักษาไว้อย่างดีในกระบอกไม้ไผ่และผูกเชือกคล้องคอไว้ตลอดการเดินทางนั้น ตอนนี้หายไปไหนแล้วไม่รู้

“แย่แล้ว หายไปไหนวะ”

ขณะที่โจทาโรกำลังกวาดสายตาหาของสำคัญในวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ ด้วยใจเต้นระทึกนั้นเอง หญิงสาวคนหนึ่งในชุดเดินทางก็เดินยิ้มเข้ามาใกล้และถามเสียงใสด้วยความเอื้ออารีว่า

“ทำอะไรหายหรือหนุ่มน้อย”

โจทาโรชำเลืองมองหน้าคนถามที่หลุบอยู่ในเงาหมวกสานปีกกว้าง ตอบในลำคอว่า “อือ” แล้วก้มหน้าหากระบอกใส่จอดหมายตามพื้นดินต่อไป


2

“ทำสตางค์ตกหายรึ”

โจทาโรส่ายหน้าทำท่าไม่สนใจกับคำทักถามใด ๆ หญิงสาวคนเดินทางยิ้มก่อนถามว่า

“งั้นก็กระบอกไม้ไผ่ที่มีเชือกผูก”

“โอ๊ะ ใช่ ใช่ กระบอกไม้ไผ่อันนั้นแหละ”

“งั้น เจ้าก็คือเด็กที่ไปเล่นกับม้าที่คนเขาผูกไว้ใกล้กับวัดมันพุกุจิแล้วถูกเจ้าของม้าดุด่าเอาใช่ไหม”

“ก็...ใช่”

“กระบอกตกอยู่บนถนนเพราะเชือกที่ผูกอยู่มันขาดตอนเจ้าตกใจวิ่งหนีมา ซามูไรที่ยืนคุยอยู่กับเจ้าของม้าเป็นคนเก็บเอาไว้ เจ้าลองกลับไปถามเขาดูซิ”

“จริงรึท่าน”

“ก็จริงน่ะซี”

“ขอบใจท่านมากเลย”

โจทาโรว่าแล้วก็ตั้งท่าจะวิ่งย้อนกลับไปทางเดิม แต่หญิงสาวนักเดินทางเรียกเอาไว้ทันแล้วชี้ไปทางโน้น

“เดี๋ยวก่อน เจ้าไปต้องกลับไปหรอก ท่านซามูไรคนนั้นกำลังเดินมาทางนี้พอดี เห็นหรือยังคนเดินยิ้มเข้ามานั่นไง”

เด็กชายจ้องมองไปตามมือชี้ด้วยดวงตากลมโตและยืนนิ่งคอยอยู่

ซามูไรเคราดำเป็นคนร่างสูงใหญ่ท่าทางบึกบึนอายุราวสี่สิบ อกและไหล่ผึ่งผายกว่าคนธรรมดา สวมถุงเท้าหนังในรองเท้าฟางก้าวเดินด้วยฝีเท้าที่หนักแน่นและสง่างามมีราศีน่าเกรงขาม ท่าทางอย่างนี้คงจะเป็นขุนนางของแคว้นไหนสักแห่ง โจทาโรคิดและไม่กล้าที่จะพูดเล่นด้วย

โชคดีที่อีกฝ่ายร้องทักขึ้นก่อน

“ว่ายังไงหนุ่มน้อย”

“ขอรับ”

“เจ้าใช่ไหมที่ทำกระบอกไม้ไผ่อันนี้ตกไว้แถววัดมันพุกุจิ”

“ดีใจจัง เจอแล้ว เจอแล้ว”

“ใช่ซีเจอแล้ว และไม่รู้จักขอบคุณเลยรึ”

“ขอโทษขอรับ”

“นี่มันกระบอกใส่จดหมายตอบเรื่องสำคัญไม่ใช่รึ คนเดินสารสำคัญขนาดนี้ทำไมถึงได้เถลไถล ไปเล่นซนแกล้งม้าของคนอื่นเขาบ้าง แอบขึ้นเกวียนบ้าง เสียแรงที่นายเขาไว้ใจให้ทำงานสำคัญ”

“ท่านซามูไรเห็นของในกระบอกนั้นรึ”

“ของที่เก็บได้ ตามหลักการที่ถูกต้องจะต้องตรวจดูเสียก่อนจึงจะคืนให้เจ้าของ แต่ข้าไม่ได้เปิดซอง เจ้าตรวจดูสิ่งที่อยู่ข้างในให้เรียบร้อยก่อนจึงค่อยรับเอาไป”

โจทาโรเปิดจุกกระบอกไม้ไผ่ออกดูก็พบจดหมายตอบของโรงฝึกวิชาดาบโยชิโอกะอยู่ในนั้น จึงโล่งใจและเอาคล้องคอไว้ตามเดิมพร้อมกระซิบว่า “คราวนี้ข้าจะไม่ทำเจ้าตกอีกแล้ว”

หญิงสาวนักเดินทางพลอยดีใจไปกับโจทาโร โค้งคำนับซามูไรและกล่าวขอบคุณแทนเด็กชาย

“ขอบคุณเหลือที่ท่านกรุณาเก็บของหายไว้ให้”

เมื่อจัดการรับคืนของกันเสร็จสิ้น ซามูไรเคราดำก็เดินร่วมขบวนไปกับโจทาโรและหญิงสาวคนนั้นมุ่งไปยังนารา

“แม่นางกับหนุ่มน้อยคนนี้เดินทางมาด้วยกันรึ” ซามูไรชวนคุย

“ไม่ใช่เจ้าค่ะ เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย”

ซามูไรหัวเราะชอบใจบอกว่า “นั่นน่ะซี ดูท่าทางมันไม่สมกันเลย ดูเจ้าหนุ่มคนนี้ซีมันน่าขันนัก ห้อยหมวกใบเบ้อเร่อเขียนว่าคิจินแกว่งไปก็แกว่งมา”

“ดูยังเป็นเด็กไม่รู้เดียงสา ไม่รู้จะไปถึงไหนนะเจ้าคะ”

โจทาโรซึ่งเดินคั่นอยู่ระหว่างสองคน หายตื่นเต้นและฟื้นตัวขึ้นคึกขึ้นมาอีกครั้ง ได้ยินเข้าจึงถามว่า

“ข้าน่ะรึ ข้ากำลังมุ่งหน้าไปวัดโฮโซอินที่นารา”

เด็กชายบอกแล้วเผอิญเหลือบไปเห็นถุงผ้าที่เหน็บอยู่กับโอบิของหญิงสาวจึงพูดขึ้นว่า

“ท่านก็ถือกระบอกใส่จดหมายมาเหมือนกันหรือ ระวังอย่าให้ตกหายเหมือนข้านะ”

“กระบอกใส่จดหมาย ?”

“ก็ที่เหน็บอยู่กับโอบินั่นไง”

หญิงสาวหัวเราะแล้วบอกว่า “ไม่ใช่กระบอกใส่จดหมายหรือเจ้า นี่มันขลุ่ยต่างหาก”

“ขลุ่ยรึ”

โจทาโรเบิกตากลมโตด้วยความอยากรู้อยากเห็น ชะโงกหน้าเข้าไปจนชิดกับหน้าอกหญิงสาวอย่างไม่เกรงใจ และเหมือนกับรู้สึกอะไรขึ้นมาได้สักอย่าง จึงผละห่างออกมาแล้วมองหญิงสาวจากปลายเท้าขึ้นไปจนถึงเรือนผม

3

ใจเด็กก็ยังแยกหญิงได้ว่าคนไหนสวยคนไหนขี้เหร่ และรู้สึกได้ทันทีด้วยว่าคนไหนจริงใจไม่จริงใจถึงจะสวยหรือขี้เหร่

โจทาโรเพ่งพิศผู้หญิงตรงหน้าอีกครั้งด้วยความทึ่งว่าผู้หญิงใยจึงงามได้ถึงเพียงนี้ ใจของเด็กชายลิงโลดและเต้นระทึกด้วยความสุขเมื่อคิดว่าจะได้เดินทางร่วมไปกับหญิงงามอย่างที่ไม่เคยคาดฝันมาก่อน

“อ้อ ขลุ่ยรึ” โจทาโรพออกพอใจอยู่คนเดียว แล้วถามว่า “น้า...เป่าขลุ่ยด้วยรึ” พอพลั้งปากออกไปจึงนึกขึ้นได้ว่าเคยโดนแม่สาวโรงเตี๊ยมโยโมงิด่ามาแล้วเพราะดันไปเรียกนางว่าน้า จึงระล่ำระลักรีบแก้โดยพลัน

“คือ...จะให้ข้าเรียกท่านว่ายังไงดี”

แม่หญิงไม่ตอบแต่มองข้ามหัวเด็กชายไปหัวเราะกับซามูไรเคราดำเหมือนหมี ซึ่งก็หัวเราะตอบเห็นฟันขาวแข็งแรงเต็มปาก ประสานเสียงกันด้วยความขบขัน

“เจ้าเด็กคนนี้เหลือทนเลยจริง ๆ ไม่มีใครสอนมารยากเจ้าเลยรึว่า จะต้องเอ่ยนามของตนก่อนที่จะถามชื่อใคร”

“ข้าชื่อโจทาโร”

“ฮะ ฮะ ฮะ”

“หัวเราะอะไร หรอกให้ข้าบอกชื่อข่างเดียวอย่างนั้นรึ อ๋อ...ใช่สิ พวกซามูไรเขาไม่บอกชื่อกัน”

“เจ้าพูดถึงข้ารึ” ซามูไรทำหน้ายุ่งยาก “ข้าชื่อโชดะ”

“นั่นคือชื่อสกุล บอกชื่อตัวไม่ได้รึ”

“ขอมีเถิดอย่าให้ต้องบอกเลย”

“ผู้ชายสองคนบอกชื่อกันแล้ว ทีนี้ถึงคราวแม่หญิง ถ้าไม่บอกจะเสียมารยาท”

“ฉันชื่อโอซือ”

“อ้อ โอซือ” รู้ชื่อแล้วนึกว่าจะพอแค่นั้น แต่โจทาโรยังอยากรู้ต่อไปอีก

“แล้วทำไมถึงต้องพกขลุ่ยติดตัวเดินทางมาอย่างนี้ด้วยล่ะ”

“ที่ต้องพกติดตัวมาด้วยก็เพราะนี่เป็นของสำคัญต่อชีวิตของฉันน่ะซี”

“โอซือเป็นนักเป่าขลุ่ยหาเลี้ยงชีพอย่างนั้นรึ”

“ฉันไม่รู้ว่าเหมือนว่าการเป่าขลุ่ยเป็นอาชีพของฉันหรือเปล่า แต่ขลุ่ยช่วยให้ฉันมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ลำบากตลอดการเดินทางที่ผ่านมายาวนาน จะว่าฉันเป็นนักเป่าขลุ่ยก็คงไม่ผิด”

“เธอเป่าขลุ่ยในงานเทศกาลที่กิออง หรือเป่าขลุ่ยในพิธีบางสรวงที่ศาลเจ้าคาโมมิยะอย่างนั้นรึ”

“ไม่ใช่เจ้าค่ะ”

“ถ้างั้นก็เป่าขลุ่ยประกอบการร่ายรำ”

“ไม่ใช่”

“แล้วอะไรกันเล่า”

“ก็ขลุ่ยธรรมดาที่เป่าเป็นเพลงให้ฟังกัน”

พอเสร็จจากเรื่องขลุ่ย ซามูไรเคราดำที่ชื่อโชดะก็มองมาที่ดาบไม้เล่มยาวเกินตัวที่เอวของโจทาโรและถามว่า

“โจทาโร ที่เอวเจ้าน่ะมันอะไร”

“อ้าว...ท่านซามูไรไม่รู้จักดาบไม้หรอกรึ”

“ข้าถามเพราะอยากรู้ว่าเจ้าพกมาทำไมต่างหาก”

“ข้าพกดาบก็เพื่อฝึกวิชาดาบยังไงล่ะ

“เจ้ามีครูด้วยรึ”

“มีสิ”

“อ๋อ คนที่มีชื่อบนจ่าหน้าจดหมายในกระบอกนั่นล่ะซี”

“ใช่”

“คนที่ตั้งตัวเป็นครูของเจ้าได้จะต้องเป็นนักดาบที่มีฝีมือพอตัว”

“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกนะ”

“ฝีมือไม่ดีรึ”

“ฟังจากที่เขาพูดกัน รู้สึกว่าจะไม่เก่งเท่าไร”

“อ้าวมีครูไม่ได้ความอย่างนั้นแล้วเมื่อไรจะเก่งเล่า”

“ไม่เป็นไรหรอกเพราะข้าเองก็ไม่ได้ความ”

“เรียนมาบ้างหรือยังล่ะ”

“ยังไม่ทันได้เรียนอะไรเลย”

“ฮะ ฮะ ฮะ เดินคุยมากับเจ้านี่ไม่เบื่อเลย...และแม่หญิงล่ะจะเดินทางไปถึงไหน”

“ฉันเดินทางร่อนเร่มาตามหาคนที่อยากพบและต้องพบให้ได้มาหลายปีแต่ก็ยังไม่พบ ได้ยินมาว่าระยะนี้พวกซามูไรไร้นายมารวมตัวอยู่ที่นารากันมากก็เลยมุ่งหน้าไปที่นั่น เผื่อว่าจะโชคดี”


กำลังโหลดความคิดเห็น