นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
เกวียนเทียมวัวคงจะเป็นของลูกวัดที่เป็นเศรษฐี บรรทุกถุงข้าวหรืออาจเป็นถุงถั่วแดงซ้อนกันเป็นภูเขาอยู่เต็มคัน ปักป้ายไม้เขียนด้วยหมึกดำว่าของถวายวัดโคฟุกุจิ
นารากับวัดโคฟุกุจิเป็นของคู่กัน คือเมื่อพูดถึงนาราใคร ๆ ก็ต้องนึกถึงวัดโคฟุกุจิและเมื่อพูดถึงวัดโคฟุกุจิใคร ๆ ก็จะต้องนึกถึงนาราทันทีเหมือนกัน แม้เป็นเด็กแต่โจทาโรก็เป็นลูกซามูไรและรู้จักวัดที่มีชื่อเสียงแห่งนาราวัดนี้
“โชคดีจัง มีรถไปส่งถึงนาราด้วย”
เด็กชายออกวิ่งตามเกวียนเทียมวัวคันนั้นจนทันแล้วกระโดดขึ้นไปนั่งท้ายเกวียน มีกระสอบที่บรรทุกอยู่เป็นเก้าอี้พร้อมพนักพิงสุดหรูให้นั่งชมวิวสองข้างทางสายยามาโตะอย่างเพลิดเพลินไม่รู้เบื่อ
ทางสายยามาโตะตัดผ่านเนินต้นชาที่ชาวไร่ปลูกเป็นพุ่มกลมสีเขียวจัดเรียงรายเป็นระเบียบ ซากุระกำลังแย้มกลีบผลิบาน ชาวนาจึงระดมกำลังกันพลิกฟื้นพื้นดินเตรียมปลูกข้าวสาลีพลางภาวนาขอให้ท้องทุ่งท้องนารอดปลอดภัยจากการถูกทหารและม้าศึกย่ำยีไปอีกปีหนึ่ง เพื่อจะได้พืชผลอุดมสมบูรณ์ พวกผู้หญิงกำลังล้างผักกันอยู่ไกลออกไปทางลำน้ำ
“สบายจังเลย” โจทาโรอิ่มอกอิ่มใจจนต้องร้องออกมาดัง ๆ และคิดว่าต้องหมดสนุกแน่หากเผลอม่อยหลับไปจนถึงนารา
ดีที่เกวียนซึ่งแล่นไปตามทางที่ขรุขระด้วยจังหวะสม่ำเสมอ กระดอนขึ้นโยนตัวโคลงเคลงเมื่อเจอก้อนหินก้อนใหญ่เป็น ช่วง ๆ ทำให้ไม่มีเวลาหลับ ---แค่ได้นั่งอยู่บนพาหนะที่เคลื่อนไหวซ้ำยังแล่นรุดไปข้างหน้าด้วยเช่นนี้ หัวใจของเด็กชายก็เต้นแรงด้วยความคึกคักและสนุกสุดใจอย่างไม่มีอะไรเปรียบเสียแล้ว
โจทาโรตื่นเต้นไปหมดกับทุกสิ่งที่พบเห็นระหว่างทาง หัวเราะขบขันไปกับชาวบ้านสองฟากทาง
---พ่อไก่แม่ไก้เอะอะกันใหญ่ ยาย ยาย มัวทำอะไรอยู่ ไม่รู้รึไงว่าพังพอนมันเข้าไปขโมยไข่ไก่ ...อ้าวนั่นเด็กที่ไหน หกล้มร้องไห้อยู่บนถนน ใครก็ได้ไปช่วยเร้วมีคนกำลังขี่ม้ามาทางโน้น...ฯลฯ---
เกวียนแล่นเลยหมู่บ้านและพอผ่านหมู่ไม้โคฟุกุจิก็เอื้อมมือไปเด็กใบกุหลาบป่าใบหนึ่งมาจรดที่ริมฝีปากและผิวออกมาเป็นเสียงเพลง
“เอ๊ะ”
คนจูงวัวลากเกวียนหันมามองแต่ไม่เห็นอะไรจึงเดินต่อไป โจทาโรยังเป่าใบไม้ไม่หยุด คราวนี้คนจูงวัวทิ้งเชือกจูงในมือ เดินอ้อมไปด้านหลังเกวียน กำหมัดขึ้นซักป้าบเข้าให้โดยที่เด็กชายยังไม่ทันตั้งตัว
“ไอ้เด็กบ้า”
“โอ๊ย เจ็บนะ”
“กล้าดียังไงถึงขึ้นมานั่งท้ายเกวียนข้า”
“นั่งไม่ได้เหรอ”
“ก็ใช่น่ะซี”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย วัวต่างหากที่ลากเกวียนไม่ใช่ลุงสักหน่อย”
“อย่ามาแถ”
โจทาโรถูกโยนลงจากเกวียนเหมือนลูกบอลกลิ้งลงไปหยุดอยู่ที่โคนต้นไม้
ลูกล้อเกวียนหมุนต่อไปส่งเสียงเหมือนหัวเราะเยาะเด็กชายที่ถูกทิ้งอยู่ข้างทาง โจทาโรลุกขึ้นยืนคลำตะโพกป้อย ๆ แต่แล้วก็ทำหน้าแปลก ๆ และเริ่มสอดส่ายสายตาไปรอบ ๆ ตัว เหมือนกับว่าทำอะไรหาย
“ไม่มี เฮ้ย...หายไปไหน”
จดหมายตอบจากโรงฝึกวิชาดาบโยชิโอกะไปยังมูซาชิ ที่โจทาโรเก็บรักษาไว้อย่างดีในกระบอกไม้ไผ่และผูกเชือกคล้องคอไว้ตลอดการเดินทางนั้น ตอนนี้หายไปไหนแล้วไม่รู้
“แย่แล้ว หายไปไหนวะ”
ขณะที่โจทาโรกำลังกวาดสายตาหาของสำคัญในวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ ด้วยใจเต้นระทึกนั้นเอง หญิงสาวคนหนึ่งในชุดเดินทางก็เดินยิ้มเข้ามาใกล้และถามเสียงใสด้วยความเอื้ออารีว่า
“ทำอะไรหายหรือหนุ่มน้อย”
โจทาโรชำเลืองมองหน้าคนถามที่หลุบอยู่ในเงาหมวกสานปีกกว้าง ตอบในลำคอว่า “อือ” แล้วก้มหน้าหากระบอกใส่จอดหมายตามพื้นดินต่อไป
2
“ทำสตางค์ตกหายรึ”
โจทาโรส่ายหน้าทำท่าไม่สนใจกับคำทักถามใด ๆ หญิงสาวคนเดินทางยิ้มก่อนถามว่า
“งั้นก็กระบอกไม้ไผ่ที่มีเชือกผูก”
“โอ๊ะ ใช่ ใช่ กระบอกไม้ไผ่อันนั้นแหละ”
“งั้น เจ้าก็คือเด็กที่ไปเล่นกับม้าที่คนเขาผูกไว้ใกล้กับวัดมันพุกุจิแล้วถูกเจ้าของม้าดุด่าเอาใช่ไหม”
“ก็...ใช่”
“กระบอกตกอยู่บนถนนเพราะเชือกที่ผูกอยู่มันขาดตอนเจ้าตกใจวิ่งหนีมา ซามูไรที่ยืนคุยอยู่กับเจ้าของม้าเป็นคนเก็บเอาไว้ เจ้าลองกลับไปถามเขาดูซิ”
“จริงรึท่าน”
“ก็จริงน่ะซี”
“ขอบใจท่านมากเลย”
โจทาโรว่าแล้วก็ตั้งท่าจะวิ่งย้อนกลับไปทางเดิม แต่หญิงสาวนักเดินทางเรียกเอาไว้ทันแล้วชี้ไปทางโน้น
“เดี๋ยวก่อน เจ้าไปต้องกลับไปหรอก ท่านซามูไรคนนั้นกำลังเดินมาทางนี้พอดี เห็นหรือยังคนเดินยิ้มเข้ามานั่นไง”
เด็กชายจ้องมองไปตามมือชี้ด้วยดวงตากลมโตและยืนนิ่งคอยอยู่
ซามูไรเคราดำเป็นคนร่างสูงใหญ่ท่าทางบึกบึนอายุราวสี่สิบ อกและไหล่ผึ่งผายกว่าคนธรรมดา สวมถุงเท้าหนังในรองเท้าฟางก้าวเดินด้วยฝีเท้าที่หนักแน่นและสง่างามมีราศีน่าเกรงขาม ท่าทางอย่างนี้คงจะเป็นขุนนางของแคว้นไหนสักแห่ง โจทาโรคิดและไม่กล้าที่จะพูดเล่นด้วย
โชคดีที่อีกฝ่ายร้องทักขึ้นก่อน
“ว่ายังไงหนุ่มน้อย”
“ขอรับ”
“เจ้าใช่ไหมที่ทำกระบอกไม้ไผ่อันนี้ตกไว้แถววัดมันพุกุจิ”
“ดีใจจัง เจอแล้ว เจอแล้ว”
“ใช่ซีเจอแล้ว และไม่รู้จักขอบคุณเลยรึ”
“ขอโทษขอรับ”
“นี่มันกระบอกใส่จดหมายตอบเรื่องสำคัญไม่ใช่รึ คนเดินสารสำคัญขนาดนี้ทำไมถึงได้เถลไถล ไปเล่นซนแกล้งม้าของคนอื่นเขาบ้าง แอบขึ้นเกวียนบ้าง เสียแรงที่นายเขาไว้ใจให้ทำงานสำคัญ”
“ท่านซามูไรเห็นของในกระบอกนั้นรึ”
“ของที่เก็บได้ ตามหลักการที่ถูกต้องจะต้องตรวจดูเสียก่อนจึงจะคืนให้เจ้าของ แต่ข้าไม่ได้เปิดซอง เจ้าตรวจดูสิ่งที่อยู่ข้างในให้เรียบร้อยก่อนจึงค่อยรับเอาไป”
โจทาโรเปิดจุกกระบอกไม้ไผ่ออกดูก็พบจดหมายตอบของโรงฝึกวิชาดาบโยชิโอกะอยู่ในนั้น จึงโล่งใจและเอาคล้องคอไว้ตามเดิมพร้อมกระซิบว่า “คราวนี้ข้าจะไม่ทำเจ้าตกอีกแล้ว”
หญิงสาวนักเดินทางพลอยดีใจไปกับโจทาโร โค้งคำนับซามูไรและกล่าวขอบคุณแทนเด็กชาย
“ขอบคุณเหลือที่ท่านกรุณาเก็บของหายไว้ให้”
เมื่อจัดการรับคืนของกันเสร็จสิ้น ซามูไรเคราดำก็เดินร่วมขบวนไปกับโจทาโรและหญิงสาวคนนั้นมุ่งไปยังนารา
“แม่นางกับหนุ่มน้อยคนนี้เดินทางมาด้วยกันรึ” ซามูไรชวนคุย
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย”
ซามูไรหัวเราะชอบใจบอกว่า “นั่นน่ะซี ดูท่าทางมันไม่สมกันเลย ดูเจ้าหนุ่มคนนี้ซีมันน่าขันนัก ห้อยหมวกใบเบ้อเร่อเขียนว่าคิจินแกว่งไปก็แกว่งมา”
“ดูยังเป็นเด็กไม่รู้เดียงสา ไม่รู้จะไปถึงไหนนะเจ้าคะ”
โจทาโรซึ่งเดินคั่นอยู่ระหว่างสองคน หายตื่นเต้นและฟื้นตัวขึ้นคึกขึ้นมาอีกครั้ง ได้ยินเข้าจึงถามว่า
“ข้าน่ะรึ ข้ากำลังมุ่งหน้าไปวัดโฮโซอินที่นารา”
เด็กชายบอกแล้วเผอิญเหลือบไปเห็นถุงผ้าที่เหน็บอยู่กับโอบิของหญิงสาวจึงพูดขึ้นว่า
“ท่านก็ถือกระบอกใส่จดหมายมาเหมือนกันหรือ ระวังอย่าให้ตกหายเหมือนข้านะ”
“กระบอกใส่จดหมาย ?”
“ก็ที่เหน็บอยู่กับโอบินั่นไง”
หญิงสาวหัวเราะแล้วบอกว่า “ไม่ใช่กระบอกใส่จดหมายหรือเจ้า นี่มันขลุ่ยต่างหาก”
“ขลุ่ยรึ”
โจทาโรเบิกตากลมโตด้วยความอยากรู้อยากเห็น ชะโงกหน้าเข้าไปจนชิดกับหน้าอกหญิงสาวอย่างไม่เกรงใจ และเหมือนกับรู้สึกอะไรขึ้นมาได้สักอย่าง จึงผละห่างออกมาแล้วมองหญิงสาวจากปลายเท้าขึ้นไปจนถึงเรือนผม
3
ใจเด็กก็ยังแยกหญิงได้ว่าคนไหนสวยคนไหนขี้เหร่ และรู้สึกได้ทันทีด้วยว่าคนไหนจริงใจไม่จริงใจถึงจะสวยหรือขี้เหร่
โจทาโรเพ่งพิศผู้หญิงตรงหน้าอีกครั้งด้วยความทึ่งว่าผู้หญิงใยจึงงามได้ถึงเพียงนี้ ใจของเด็กชายลิงโลดและเต้นระทึกด้วยความสุขเมื่อคิดว่าจะได้เดินทางร่วมไปกับหญิงงามอย่างที่ไม่เคยคาดฝันมาก่อน
“อ้อ ขลุ่ยรึ” โจทาโรพออกพอใจอยู่คนเดียว แล้วถามว่า “น้า...เป่าขลุ่ยด้วยรึ” พอพลั้งปากออกไปจึงนึกขึ้นได้ว่าเคยโดนแม่สาวโรงเตี๊ยมโยโมงิด่ามาแล้วเพราะดันไปเรียกนางว่าน้า จึงระล่ำระลักรีบแก้โดยพลัน
“คือ...จะให้ข้าเรียกท่านว่ายังไงดี”
แม่หญิงไม่ตอบแต่มองข้ามหัวเด็กชายไปหัวเราะกับซามูไรเคราดำเหมือนหมี ซึ่งก็หัวเราะตอบเห็นฟันขาวแข็งแรงเต็มปาก ประสานเสียงกันด้วยความขบขัน
“เจ้าเด็กคนนี้เหลือทนเลยจริง ๆ ไม่มีใครสอนมารยากเจ้าเลยรึว่า จะต้องเอ่ยนามของตนก่อนที่จะถามชื่อใคร”
“ข้าชื่อโจทาโร”
“ฮะ ฮะ ฮะ”
“หัวเราะอะไร หรอกให้ข้าบอกชื่อข่างเดียวอย่างนั้นรึ อ๋อ...ใช่สิ พวกซามูไรเขาไม่บอกชื่อกัน”
“เจ้าพูดถึงข้ารึ” ซามูไรทำหน้ายุ่งยาก “ข้าชื่อโชดะ”
“นั่นคือชื่อสกุล บอกชื่อตัวไม่ได้รึ”
“ขอมีเถิดอย่าให้ต้องบอกเลย”
“ผู้ชายสองคนบอกชื่อกันแล้ว ทีนี้ถึงคราวแม่หญิง ถ้าไม่บอกจะเสียมารยาท”
“ฉันชื่อโอซือ”
“อ้อ โอซือ” รู้ชื่อแล้วนึกว่าจะพอแค่นั้น แต่โจทาโรยังอยากรู้ต่อไปอีก
“แล้วทำไมถึงต้องพกขลุ่ยติดตัวเดินทางมาอย่างนี้ด้วยล่ะ”
“ที่ต้องพกติดตัวมาด้วยก็เพราะนี่เป็นของสำคัญต่อชีวิตของฉันน่ะซี”
“โอซือเป็นนักเป่าขลุ่ยหาเลี้ยงชีพอย่างนั้นรึ”
“ฉันไม่รู้ว่าเหมือนว่าการเป่าขลุ่ยเป็นอาชีพของฉันหรือเปล่า แต่ขลุ่ยช่วยให้ฉันมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ลำบากตลอดการเดินทางที่ผ่านมายาวนาน จะว่าฉันเป็นนักเป่าขลุ่ยก็คงไม่ผิด”
“เธอเป่าขลุ่ยในงานเทศกาลที่กิออง หรือเป่าขลุ่ยในพิธีบางสรวงที่ศาลเจ้าคาโมมิยะอย่างนั้นรึ”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ”
“ถ้างั้นก็เป่าขลุ่ยประกอบการร่ายรำ”
“ไม่ใช่”
“แล้วอะไรกันเล่า”
“ก็ขลุ่ยธรรมดาที่เป่าเป็นเพลงให้ฟังกัน”
พอเสร็จจากเรื่องขลุ่ย ซามูไรเคราดำที่ชื่อโชดะก็มองมาที่ดาบไม้เล่มยาวเกินตัวที่เอวของโจทาโรและถามว่า
“โจทาโร ที่เอวเจ้าน่ะมันอะไร”
“อ้าว...ท่านซามูไรไม่รู้จักดาบไม้หรอกรึ”
“ข้าถามเพราะอยากรู้ว่าเจ้าพกมาทำไมต่างหาก”
“ข้าพกดาบก็เพื่อฝึกวิชาดาบยังไงล่ะ
“เจ้ามีครูด้วยรึ”
“มีสิ”
“อ๋อ คนที่มีชื่อบนจ่าหน้าจดหมายในกระบอกนั่นล่ะซี”
“ใช่”
“คนที่ตั้งตัวเป็นครูของเจ้าได้จะต้องเป็นนักดาบที่มีฝีมือพอตัว”
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกนะ”
“ฝีมือไม่ดีรึ”
“ฟังจากที่เขาพูดกัน รู้สึกว่าจะไม่เก่งเท่าไร”
“อ้าวมีครูไม่ได้ความอย่างนั้นแล้วเมื่อไรจะเก่งเล่า”
“ไม่เป็นไรหรอกเพราะข้าเองก็ไม่ได้ความ”
“เรียนมาบ้างหรือยังล่ะ”
“ยังไม่ทันได้เรียนอะไรเลย”
“ฮะ ฮะ ฮะ เดินคุยมากับเจ้านี่ไม่เบื่อเลย...และแม่หญิงล่ะจะเดินทางไปถึงไหน”
“ฉันเดินทางร่อนเร่มาตามหาคนที่อยากพบและต้องพบให้ได้มาหลายปีแต่ก็ยังไม่พบ ได้ยินมาว่าระยะนี้พวกซามูไรไร้นายมารวมตัวอยู่ที่นารากันมากก็เลยมุ่งหน้าไปที่นั่น เผื่อว่าจะโชคดี”
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
เกวียนเทียมวัวคงจะเป็นของลูกวัดที่เป็นเศรษฐี บรรทุกถุงข้าวหรืออาจเป็นถุงถั่วแดงซ้อนกันเป็นภูเขาอยู่เต็มคัน ปักป้ายไม้เขียนด้วยหมึกดำว่าของถวายวัดโคฟุกุจิ
นารากับวัดโคฟุกุจิเป็นของคู่กัน คือเมื่อพูดถึงนาราใคร ๆ ก็ต้องนึกถึงวัดโคฟุกุจิและเมื่อพูดถึงวัดโคฟุกุจิใคร ๆ ก็จะต้องนึกถึงนาราทันทีเหมือนกัน แม้เป็นเด็กแต่โจทาโรก็เป็นลูกซามูไรและรู้จักวัดที่มีชื่อเสียงแห่งนาราวัดนี้
“โชคดีจัง มีรถไปส่งถึงนาราด้วย”
เด็กชายออกวิ่งตามเกวียนเทียมวัวคันนั้นจนทันแล้วกระโดดขึ้นไปนั่งท้ายเกวียน มีกระสอบที่บรรทุกอยู่เป็นเก้าอี้พร้อมพนักพิงสุดหรูให้นั่งชมวิวสองข้างทางสายยามาโตะอย่างเพลิดเพลินไม่รู้เบื่อ
ทางสายยามาโตะตัดผ่านเนินต้นชาที่ชาวไร่ปลูกเป็นพุ่มกลมสีเขียวจัดเรียงรายเป็นระเบียบ ซากุระกำลังแย้มกลีบผลิบาน ชาวนาจึงระดมกำลังกันพลิกฟื้นพื้นดินเตรียมปลูกข้าวสาลีพลางภาวนาขอให้ท้องทุ่งท้องนารอดปลอดภัยจากการถูกทหารและม้าศึกย่ำยีไปอีกปีหนึ่ง เพื่อจะได้พืชผลอุดมสมบูรณ์ พวกผู้หญิงกำลังล้างผักกันอยู่ไกลออกไปทางลำน้ำ
“สบายจังเลย” โจทาโรอิ่มอกอิ่มใจจนต้องร้องออกมาดัง ๆ และคิดว่าต้องหมดสนุกแน่หากเผลอม่อยหลับไปจนถึงนารา
ดีที่เกวียนซึ่งแล่นไปตามทางที่ขรุขระด้วยจังหวะสม่ำเสมอ กระดอนขึ้นโยนตัวโคลงเคลงเมื่อเจอก้อนหินก้อนใหญ่เป็น ช่วง ๆ ทำให้ไม่มีเวลาหลับ ---แค่ได้นั่งอยู่บนพาหนะที่เคลื่อนไหวซ้ำยังแล่นรุดไปข้างหน้าด้วยเช่นนี้ หัวใจของเด็กชายก็เต้นแรงด้วยความคึกคักและสนุกสุดใจอย่างไม่มีอะไรเปรียบเสียแล้ว
โจทาโรตื่นเต้นไปหมดกับทุกสิ่งที่พบเห็นระหว่างทาง หัวเราะขบขันไปกับชาวบ้านสองฟากทาง
---พ่อไก่แม่ไก้เอะอะกันใหญ่ ยาย ยาย มัวทำอะไรอยู่ ไม่รู้รึไงว่าพังพอนมันเข้าไปขโมยไข่ไก่ ...อ้าวนั่นเด็กที่ไหน หกล้มร้องไห้อยู่บนถนน ใครก็ได้ไปช่วยเร้วมีคนกำลังขี่ม้ามาทางโน้น...ฯลฯ---
เกวียนแล่นเลยหมู่บ้านและพอผ่านหมู่ไม้โคฟุกุจิก็เอื้อมมือไปเด็กใบกุหลาบป่าใบหนึ่งมาจรดที่ริมฝีปากและผิวออกมาเป็นเสียงเพลง
“เอ๊ะ”
คนจูงวัวลากเกวียนหันมามองแต่ไม่เห็นอะไรจึงเดินต่อไป โจทาโรยังเป่าใบไม้ไม่หยุด คราวนี้คนจูงวัวทิ้งเชือกจูงในมือ เดินอ้อมไปด้านหลังเกวียน กำหมัดขึ้นซักป้าบเข้าให้โดยที่เด็กชายยังไม่ทันตั้งตัว
“ไอ้เด็กบ้า”
“โอ๊ย เจ็บนะ”
“กล้าดียังไงถึงขึ้นมานั่งท้ายเกวียนข้า”
“นั่งไม่ได้เหรอ”
“ก็ใช่น่ะซี”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย วัวต่างหากที่ลากเกวียนไม่ใช่ลุงสักหน่อย”
“อย่ามาแถ”
โจทาโรถูกโยนลงจากเกวียนเหมือนลูกบอลกลิ้งลงไปหยุดอยู่ที่โคนต้นไม้
ลูกล้อเกวียนหมุนต่อไปส่งเสียงเหมือนหัวเราะเยาะเด็กชายที่ถูกทิ้งอยู่ข้างทาง โจทาโรลุกขึ้นยืนคลำตะโพกป้อย ๆ แต่แล้วก็ทำหน้าแปลก ๆ และเริ่มสอดส่ายสายตาไปรอบ ๆ ตัว เหมือนกับว่าทำอะไรหาย
“ไม่มี เฮ้ย...หายไปไหน”
จดหมายตอบจากโรงฝึกวิชาดาบโยชิโอกะไปยังมูซาชิ ที่โจทาโรเก็บรักษาไว้อย่างดีในกระบอกไม้ไผ่และผูกเชือกคล้องคอไว้ตลอดการเดินทางนั้น ตอนนี้หายไปไหนแล้วไม่รู้
“แย่แล้ว หายไปไหนวะ”
ขณะที่โจทาโรกำลังกวาดสายตาหาของสำคัญในวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ ด้วยใจเต้นระทึกนั้นเอง หญิงสาวคนหนึ่งในชุดเดินทางก็เดินยิ้มเข้ามาใกล้และถามเสียงใสด้วยความเอื้ออารีว่า
“ทำอะไรหายหรือหนุ่มน้อย”
โจทาโรชำเลืองมองหน้าคนถามที่หลุบอยู่ในเงาหมวกสานปีกกว้าง ตอบในลำคอว่า “อือ” แล้วก้มหน้าหากระบอกใส่จอดหมายตามพื้นดินต่อไป
2
“ทำสตางค์ตกหายรึ”
โจทาโรส่ายหน้าทำท่าไม่สนใจกับคำทักถามใด ๆ หญิงสาวคนเดินทางยิ้มก่อนถามว่า
“งั้นก็กระบอกไม้ไผ่ที่มีเชือกผูก”
“โอ๊ะ ใช่ ใช่ กระบอกไม้ไผ่อันนั้นแหละ”
“งั้น เจ้าก็คือเด็กที่ไปเล่นกับม้าที่คนเขาผูกไว้ใกล้กับวัดมันพุกุจิแล้วถูกเจ้าของม้าดุด่าเอาใช่ไหม”
“ก็...ใช่”
“กระบอกตกอยู่บนถนนเพราะเชือกที่ผูกอยู่มันขาดตอนเจ้าตกใจวิ่งหนีมา ซามูไรที่ยืนคุยอยู่กับเจ้าของม้าเป็นคนเก็บเอาไว้ เจ้าลองกลับไปถามเขาดูซิ”
“จริงรึท่าน”
“ก็จริงน่ะซี”
“ขอบใจท่านมากเลย”
โจทาโรว่าแล้วก็ตั้งท่าจะวิ่งย้อนกลับไปทางเดิม แต่หญิงสาวนักเดินทางเรียกเอาไว้ทันแล้วชี้ไปทางโน้น
“เดี๋ยวก่อน เจ้าไปต้องกลับไปหรอก ท่านซามูไรคนนั้นกำลังเดินมาทางนี้พอดี เห็นหรือยังคนเดินยิ้มเข้ามานั่นไง”
เด็กชายจ้องมองไปตามมือชี้ด้วยดวงตากลมโตและยืนนิ่งคอยอยู่
ซามูไรเคราดำเป็นคนร่างสูงใหญ่ท่าทางบึกบึนอายุราวสี่สิบ อกและไหล่ผึ่งผายกว่าคนธรรมดา สวมถุงเท้าหนังในรองเท้าฟางก้าวเดินด้วยฝีเท้าที่หนักแน่นและสง่างามมีราศีน่าเกรงขาม ท่าทางอย่างนี้คงจะเป็นขุนนางของแคว้นไหนสักแห่ง โจทาโรคิดและไม่กล้าที่จะพูดเล่นด้วย
โชคดีที่อีกฝ่ายร้องทักขึ้นก่อน
“ว่ายังไงหนุ่มน้อย”
“ขอรับ”
“เจ้าใช่ไหมที่ทำกระบอกไม้ไผ่อันนี้ตกไว้แถววัดมันพุกุจิ”
“ดีใจจัง เจอแล้ว เจอแล้ว”
“ใช่ซีเจอแล้ว และไม่รู้จักขอบคุณเลยรึ”
“ขอโทษขอรับ”
“นี่มันกระบอกใส่จดหมายตอบเรื่องสำคัญไม่ใช่รึ คนเดินสารสำคัญขนาดนี้ทำไมถึงได้เถลไถล ไปเล่นซนแกล้งม้าของคนอื่นเขาบ้าง แอบขึ้นเกวียนบ้าง เสียแรงที่นายเขาไว้ใจให้ทำงานสำคัญ”
“ท่านซามูไรเห็นของในกระบอกนั้นรึ”
“ของที่เก็บได้ ตามหลักการที่ถูกต้องจะต้องตรวจดูเสียก่อนจึงจะคืนให้เจ้าของ แต่ข้าไม่ได้เปิดซอง เจ้าตรวจดูสิ่งที่อยู่ข้างในให้เรียบร้อยก่อนจึงค่อยรับเอาไป”
โจทาโรเปิดจุกกระบอกไม้ไผ่ออกดูก็พบจดหมายตอบของโรงฝึกวิชาดาบโยชิโอกะอยู่ในนั้น จึงโล่งใจและเอาคล้องคอไว้ตามเดิมพร้อมกระซิบว่า “คราวนี้ข้าจะไม่ทำเจ้าตกอีกแล้ว”
หญิงสาวนักเดินทางพลอยดีใจไปกับโจทาโร โค้งคำนับซามูไรและกล่าวขอบคุณแทนเด็กชาย
“ขอบคุณเหลือที่ท่านกรุณาเก็บของหายไว้ให้”
เมื่อจัดการรับคืนของกันเสร็จสิ้น ซามูไรเคราดำก็เดินร่วมขบวนไปกับโจทาโรและหญิงสาวคนนั้นมุ่งไปยังนารา
“แม่นางกับหนุ่มน้อยคนนี้เดินทางมาด้วยกันรึ” ซามูไรชวนคุย
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย”
ซามูไรหัวเราะชอบใจบอกว่า “นั่นน่ะซี ดูท่าทางมันไม่สมกันเลย ดูเจ้าหนุ่มคนนี้ซีมันน่าขันนัก ห้อยหมวกใบเบ้อเร่อเขียนว่าคิจินแกว่งไปก็แกว่งมา”
“ดูยังเป็นเด็กไม่รู้เดียงสา ไม่รู้จะไปถึงไหนนะเจ้าคะ”
โจทาโรซึ่งเดินคั่นอยู่ระหว่างสองคน หายตื่นเต้นและฟื้นตัวขึ้นคึกขึ้นมาอีกครั้ง ได้ยินเข้าจึงถามว่า
“ข้าน่ะรึ ข้ากำลังมุ่งหน้าไปวัดโฮโซอินที่นารา”
เด็กชายบอกแล้วเผอิญเหลือบไปเห็นถุงผ้าที่เหน็บอยู่กับโอบิของหญิงสาวจึงพูดขึ้นว่า
“ท่านก็ถือกระบอกใส่จดหมายมาเหมือนกันหรือ ระวังอย่าให้ตกหายเหมือนข้านะ”
“กระบอกใส่จดหมาย ?”
“ก็ที่เหน็บอยู่กับโอบินั่นไง”
หญิงสาวหัวเราะแล้วบอกว่า “ไม่ใช่กระบอกใส่จดหมายหรือเจ้า นี่มันขลุ่ยต่างหาก”
“ขลุ่ยรึ”
โจทาโรเบิกตากลมโตด้วยความอยากรู้อยากเห็น ชะโงกหน้าเข้าไปจนชิดกับหน้าอกหญิงสาวอย่างไม่เกรงใจ และเหมือนกับรู้สึกอะไรขึ้นมาได้สักอย่าง จึงผละห่างออกมาแล้วมองหญิงสาวจากปลายเท้าขึ้นไปจนถึงเรือนผม
3
ใจเด็กก็ยังแยกหญิงได้ว่าคนไหนสวยคนไหนขี้เหร่ และรู้สึกได้ทันทีด้วยว่าคนไหนจริงใจไม่จริงใจถึงจะสวยหรือขี้เหร่
โจทาโรเพ่งพิศผู้หญิงตรงหน้าอีกครั้งด้วยความทึ่งว่าผู้หญิงใยจึงงามได้ถึงเพียงนี้ ใจของเด็กชายลิงโลดและเต้นระทึกด้วยความสุขเมื่อคิดว่าจะได้เดินทางร่วมไปกับหญิงงามอย่างที่ไม่เคยคาดฝันมาก่อน
“อ้อ ขลุ่ยรึ” โจทาโรพออกพอใจอยู่คนเดียว แล้วถามว่า “น้า...เป่าขลุ่ยด้วยรึ” พอพลั้งปากออกไปจึงนึกขึ้นได้ว่าเคยโดนแม่สาวโรงเตี๊ยมโยโมงิด่ามาแล้วเพราะดันไปเรียกนางว่าน้า จึงระล่ำระลักรีบแก้โดยพลัน
“คือ...จะให้ข้าเรียกท่านว่ายังไงดี”
แม่หญิงไม่ตอบแต่มองข้ามหัวเด็กชายไปหัวเราะกับซามูไรเคราดำเหมือนหมี ซึ่งก็หัวเราะตอบเห็นฟันขาวแข็งแรงเต็มปาก ประสานเสียงกันด้วยความขบขัน
“เจ้าเด็กคนนี้เหลือทนเลยจริง ๆ ไม่มีใครสอนมารยากเจ้าเลยรึว่า จะต้องเอ่ยนามของตนก่อนที่จะถามชื่อใคร”
“ข้าชื่อโจทาโร”
“ฮะ ฮะ ฮะ”
“หัวเราะอะไร หรอกให้ข้าบอกชื่อข่างเดียวอย่างนั้นรึ อ๋อ...ใช่สิ พวกซามูไรเขาไม่บอกชื่อกัน”
“เจ้าพูดถึงข้ารึ” ซามูไรทำหน้ายุ่งยาก “ข้าชื่อโชดะ”
“นั่นคือชื่อสกุล บอกชื่อตัวไม่ได้รึ”
“ขอมีเถิดอย่าให้ต้องบอกเลย”
“ผู้ชายสองคนบอกชื่อกันแล้ว ทีนี้ถึงคราวแม่หญิง ถ้าไม่บอกจะเสียมารยาท”
“ฉันชื่อโอซือ”
“อ้อ โอซือ” รู้ชื่อแล้วนึกว่าจะพอแค่นั้น แต่โจทาโรยังอยากรู้ต่อไปอีก
“แล้วทำไมถึงต้องพกขลุ่ยติดตัวเดินทางมาอย่างนี้ด้วยล่ะ”
“ที่ต้องพกติดตัวมาด้วยก็เพราะนี่เป็นของสำคัญต่อชีวิตของฉันน่ะซี”
“โอซือเป็นนักเป่าขลุ่ยหาเลี้ยงชีพอย่างนั้นรึ”
“ฉันไม่รู้ว่าเหมือนว่าการเป่าขลุ่ยเป็นอาชีพของฉันหรือเปล่า แต่ขลุ่ยช่วยให้ฉันมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ลำบากตลอดการเดินทางที่ผ่านมายาวนาน จะว่าฉันเป็นนักเป่าขลุ่ยก็คงไม่ผิด”
“เธอเป่าขลุ่ยในงานเทศกาลที่กิออง หรือเป่าขลุ่ยในพิธีบางสรวงที่ศาลเจ้าคาโมมิยะอย่างนั้นรึ”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ”
“ถ้างั้นก็เป่าขลุ่ยประกอบการร่ายรำ”
“ไม่ใช่”
“แล้วอะไรกันเล่า”
“ก็ขลุ่ยธรรมดาที่เป่าเป็นเพลงให้ฟังกัน”
พอเสร็จจากเรื่องขลุ่ย ซามูไรเคราดำที่ชื่อโชดะก็มองมาที่ดาบไม้เล่มยาวเกินตัวที่เอวของโจทาโรและถามว่า
“โจทาโร ที่เอวเจ้าน่ะมันอะไร”
“อ้าว...ท่านซามูไรไม่รู้จักดาบไม้หรอกรึ”
“ข้าถามเพราะอยากรู้ว่าเจ้าพกมาทำไมต่างหาก”
“ข้าพกดาบก็เพื่อฝึกวิชาดาบยังไงล่ะ
“เจ้ามีครูด้วยรึ”
“มีสิ”
“อ๋อ คนที่มีชื่อบนจ่าหน้าจดหมายในกระบอกนั่นล่ะซี”
“ใช่”
“คนที่ตั้งตัวเป็นครูของเจ้าได้จะต้องเป็นนักดาบที่มีฝีมือพอตัว”
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกนะ”
“ฝีมือไม่ดีรึ”
“ฟังจากที่เขาพูดกัน รู้สึกว่าจะไม่เก่งเท่าไร”
“อ้าวมีครูไม่ได้ความอย่างนั้นแล้วเมื่อไรจะเก่งเล่า”
“ไม่เป็นไรหรอกเพราะข้าเองก็ไม่ได้ความ”
“เรียนมาบ้างหรือยังล่ะ”
“ยังไม่ทันได้เรียนอะไรเลย”
“ฮะ ฮะ ฮะ เดินคุยมากับเจ้านี่ไม่เบื่อเลย...และแม่หญิงล่ะจะเดินทางไปถึงไหน”
“ฉันเดินทางร่อนเร่มาตามหาคนที่อยากพบและต้องพบให้ได้มาหลายปีแต่ก็ยังไม่พบ ได้ยินมาว่าระยะนี้พวกซามูไรไร้นายมารวมตัวอยู่ที่นารากันมากก็เลยมุ่งหน้าไปที่นั่น เผื่อว่าจะโชคดี”