นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ความเดิม
มูซาชิทำหน้าแปลกใจ แต่เมื่อพิศดูเด็กชายตรงหน้าก็พบว่ามีอะไรหลายอย่างที่ทำให้เชื่อว่าจริง และเมื่อถามชื่อพ่อโจทาโรก็เล่าว่า
“พ่อข้าชื่ออาโอกิ ทันซาเอมอน เป็นซามูไรมีรายได้ถึงห้าร้อยโคกุ แต่ตอนข้าอายุหกขวบพ่อกลายเป็นซามูไรไร้นาย และพาข้ามาเกียวโต จนเงินทองร่อยหรอกลายเป็นคนยากจนจึงเอาข้ามาฝากไว้กับร้านเหล้า ส่วนพ่อไปบวชเป็นพระ
ข้าถึงได้อยากเป็นซามูไร คนเราจะเป็นซามูไรได้ก็ต้องเก่งวิชาดาบใช่ไหม ท่าน...รับข้าเป็นลูกศิษย์เถิดนะ จะทำข้าทำอะไรก็ได้ ข้ายอมทุกอย่าง”
เด็กชายพูดจบแล้วทำหน้าเคร่ง แสดงถึงความตั้งใจเด็ดเดี่ยวมั่นคงอย่างที่ใครก็ตามย่อมไม่อาจสั่นศีรษะปฏิเสธได้ แต่ใจของมูซาชิตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่าจะตอบรับหรือปฏิเสธคำขอ แต่จดจ่อไปที่อาโอกิ ทันซาเอมอน...ซามูไรหนวดปลาดุกคู่อริเก่าและชะตากรรมที่นึกไม่ถึงว่าจะเป็นไปเช่นนั้น นักดาบซามูไรอยู่บนวิถีแห่งการฆ่าและการถูกฆ่า มีชีวิตที่เสี่ยงกับการเดิมพันตลอดทั้งวันทั้งคืน มูซาชิรู้สึกเศร้าเมื่อคิดถึงคนที่ต้องตกอยู่ในวิถีชีวิตเช่นนั้น ความเมาสร่างหายไปใจเจ็บแปลบด้วยความรันทด
5
โจทาโรอ้อนไม่หยุด ยิ่งพ่อเฒ่าเจ้าของโรงเตี๊ยมคิจินห้ามว่าอย่าไปกวนมูซาชิผู้เป็นแขกเด็กชายก็ยิ่งอ้อนวอนไม่ยอมเลิก ดื้อรั้นดันทุรังจนพ่อเฒ่าเกิดโมโหและดุเอาแรง ๆ คราวนี้โจทาโรถึงกับร้องไห้สะอึกสะอื้น คลานเข้าไปกอดแข้งกอดขามูซาชิ พร่ำรำพันคำขอฝากเนื้อฝากตัวเสียงสั่นเสียงเครือ มูซาชิอดรนทนไม่ได้จึงบอกเด็กชายว่า
“เอาเถอะ ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์ แต่คืนนี้เจ้าต้องกลับไปบอกนายของเจ้าเสียก่อนแล้วค่อยมาใหม่ เข้าใจนะ”
โจทาโรรับคำแล้วลิงโลดกลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้น
“นี่แน่ะพ่อเฒ่า ข้ารบกวนท่านมานานเต็มทีแล้ว ข้าตกลงใจจะออกเดินทางไปนาราวันนี้ ช่วยเตรียมข้าวห่อให้ด้วย”
“อะไรกัน จะออกเดินทางแล้วรึ”
พ่อเฒ่าตกใจที่อยู่ ๆ มูซาชิก็มาบอกลา
“โธ่เอ๋ย เพราะเจ้าเด็กวายร้ายนั่นคนเดียวที่มากวนใจ ทำให้ท่านต้องด่วนไปอย่างนี้”
“ไม่ใช่อย่างนั้น อย่าไปโทษเจ้าหนูมันเลย ข้าตั้งใจจะไปนารานานมาแล้ว อยากดูฝีมือทวนของสำนักโฮโซอินที่ขึ้นชื่อลือชาให้เป็นขวัญตาสักครั้ง ถ้าโจทาโรมาแล้วไม่เห็นข้า พ่อเฒ่าช่วยเป็นธุระปลอบมันด้วยเถิดนะ”
“โอ๊ย...ไม่ต้องกังวลเลย เด็กก็อย่างนี้แหละ เห็นร้องไห้เอะอะจะเป็นจะตายเดี๋ยวเดียวก็หัวเราะร่า”
“ข้าคิดว่าเจ้าของร้านเหล้าเองก็คงไม่ยอมให้มา”
มูซาชิก้าวออกมาจากโรงเตี๊ยม เช้านี้ฝนขาดเม็ด ลมโชยเย็นกายชื่นใจต่างจากเมื่อวาน ดอกบ๊วยร่วงลงไปแดงเด่นบนพื้นโคลน
แม่น้ำบริเวณซันโจงูจิปากทางเข้านครหลวงน้ำขึ้นและขุ่นจากฝนตกหนักเมื่อคืนก่อน ซามูไรจากกองทัพม้ากลุ่มใหญ่ตั้งด่านตรวจทุกคนที่สัญจรไปมาอยู่ตรงเชิงสะพาน ถามได้ความว่าใกล้วันที่ท่านโชกุนผู้ยิ่งใหญ่ที่เอโดะจะเดินทางมาถึงเต็มทีแล้ว และขณะนี้คณะล่วงหน้ากลุ่มเล็กบ้างใหญ่บ้างกำลังทยอยกันเข้ามา จึงต้องตั้งด่านตรวจเพื่อป้องกันไม่ให้พวกซามูไรไร้นายหัวรุนแรงเล็ดลอดเข้ามาก่อการร้าย
มูซาชิตอบคำถามของเจ้าหน้าที่ตามความเป็นจริงและผ่านด่านออกมาได้เรียบร้อยดี ทำให้รู้สึกได้อีกครั้งถึงการเป็นซามูไรผู้ไร้สีไร้สังกัดที่แท้จริงคนหนึ่ง คือไม่เข้ากับทั้งฝ่ายโอซากาและฝ่ายโชกุนโทกุงาวะที่เอโดะ
มูซาชินึกถึงความหลังเมื่อครั้งที่ตนมุทะลุดุดันไม่รู้จักยั้งคิดด้วยพลังหนุ่มที่อัดล้น ฉวยทวนได้ด้ามเดียวโลดแล่นออกจากหมู่บ้านส่งสนามรบที่เซกิงาฮาระ
พ่อเป็นบริวารผู้ครองแคว้นที่สวามิภักดิ์ต่อจอมทัพที่โอซากา อีกทั้งหมู่บ้านมิยาโมตะถิ่นกำเนิดของตนยังทุ่มเททั้งชีวิตและจิตใจให้แก่วีรบุรุษแห่งตระกูลโทโยโทมิที่ยิ่งใหญ่ในแว่นแคว้นนี้กันมาหลายชั่วคน ปู่ย่าตายายเล่าเรื่องราวและความยิ่งใหญ่ของวีรบุรุษเหล่านั้นหลายช่วงตอนให้ลูกหลานฟังเป็นตำนานข้างเตาผิง ฝังอยู่ในความทรงจำและหยั่งรากลึกลงไปถึงจิตวิญญาณกันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก และมูซาชิก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น จนกระทั่งเติบใหญ่มาจนบัดนี้หากถูกถามว่าจะเข้าข้างไหน เอโดะทางตะวันออกหรือโอซากา ตนคงจะตอบอย่างไม่ลังเลว่าโอซากา ด้วยสายเลือดและด้วยความรู้สึกที่ซึมซับไว้ในวัยเยาว์ซึ่งยังหลงเหลืออยู่ในใจ
แต่...มูซาชิได้เรียนรู้จากเซกิงาฮาระว่า แม้จะควงทวนบุกทะลวงฟาดฟันศัตรูไม่ไว้หน้าอยู่ในกองพลฟันเดินเท้าของกองทัพใหญ่ไปทั่วสนามรบ แต่ผลสุดท้ายก็เสียแรงเปล่า ไม่ได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรหรือแม้แต่เกิดประโยชน์อะไรแก่กองทัพ
ซามูไรเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อนำชัยชนะมาสู่จอมทัพเหนือหัว ความตายจึงสง่างาม ยิ่งใหญ่และทรงคุณค่า...แต่มูซาชิกับมาตาฮาจิไม่ใช่เช่นนั้น จุดมุ่งหมายของหนุ่มคะนองทั้งสองไม่มีอะไรนอกเหนือไปกว่ารบด้วยความกระหายที่จะได้ชื่อว่าเป็นวีรบุรุษในสนามรบ เด็ดหัวแม่ทัพแลกกับบำเหน็จรางวัลได้โดยไม่ต้องลงทุนเท่านั้นเอง
ต่อมาภายหลัง เมื่อหลวงพี่ทากูอันสอนให้ตนตระหนักรู้ถึงค่าของชีวิตอันประดุจดวงแก้วอันล้ำค่า มูซาชิจึงหวนกลับไปไตร่ตรองทบทวน และประจักษ์แก่ใจว่าการกระทำที่ตนคิดว่าไม่ต้องลงทุนอะไรนั้น ที่แท้เป็นการลงทุนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดคือเอาชีวิตเข้าแลกกับบำเหน็จรางวัลเพียงน้อยนิด โดยไม่คิดหน้าคิดหลังเหมือนล้อเล่นกับโชคชะตาด้วยการจับไม้สั้นไม้ยาวเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย คิดแล้วอดหัวเราะไม่ได้กับความใสซื่อของตนเมื่อกาลก่อน
“ถึงไดโงะแล้วหรือนี่”
มูซาชิหยุดพักเมื่อรู้สึกเหงื่อแตก เพิ่งรู้ตัวว่าเดินขึ้นเขาคิดเพลินมาจนถึงที่สูงพอดู แว่วเสียงเรียกซ้ำ ๆ ดังมาแต่ไกล
ท่านซามูไร...ท่านซามูไร
“อ๊ะ”
มูซาชิอุทานและนึกถึงหน้าเด็กชายหน้าตนเหมือนคัปปะเจ้าพรายน้ำขึ้นมาได้ในทันที
จริงดังคาด ไม่นานก็เห็นโจทาโรวิ่งขึ้นเนิน หายใจหอบถี่พลางตะโกนกราดเกรี้ยวตรงเข้ามา
“ท่านซามูไรโกหกข้า โกหก โกหก”
แม้จะโกรธจัดแต่หน้าก็เหยเกแทบจะร้องไห้ออกมาเสียให้ได้
6
...ตามมาจนได้
มูซาชินึกรำคาญอยู่ในใจแต่ก็หันไปทำหน้าแจ่มใสเห็นลักยิ้มคอยอยู่
โจทาโรเร็วมาก วิ่งขึ้นเนินเร็วมากตรงขึ้นมาหา เงาที่ทาบทับกับพื้นดินบินฉิวมาราววิหคเทพตัวน้อย
พอเข้ามาใกล้จนเห็นเครื่องแต่งเนื้อแต่งตัวของเจ้าคัปปะ มูซาชิก็ยิ่งยิ้มกว้างขึ้น...โจทาโรเปลี่ยนจากชุดทำงานในร้านเหล้าที่ใส่เมื่อวานมาเป็นชุดกิโมโนธรรมดาซึ่งเล็กกว่าตัว ชายสั้นแค่ครึ่งแข้งและแขนยาวครือศอก เสียบดาบไม้ยาวเกินตัวไว้กับผ้าคาดเอว ห้อยหมวกฝางใหญ่เกือบเท่าร่มไว้ข้างหลัง
“ท่านซามูไร”
โจทาโรโถมเข้ากอดมูซาชิเอาไว้แน่นร้องว่า “โกหกข้า” พร้อมกับปล่อยโฮออกมาด้วยความแค้นใจ
“เป็นไรไปเจ้าหนู”
มูซาชิกอดโจทาโรเอาไว้ ลูบหัวลูบหลังและปลอบโยน แต่เจ้าหนูก็ไม่ยอมหยุด ยิ่งรู้ว่าอยู่กลางป่ากลางเขาด้วยเช่นนั้นมีเสียงเท่าไรก็ยิ่งแผดขึ้นไปเท่านั้น
“ลูกผู้ชายเขาร้องไห้กันด้วยรึ”
“ไม่รู้ ไม่ชี้”
โจทาโรสะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมกอด
“เป็นผู้ใหญ่ยังไง ทำไมหลอกเด็กได้ลงคอ เมื่อคืนบอกว่าจะรับข้าเป็นลูกศิษย์แต่กลับทิ้งไปปล่อยข้าให้รอเก้อ ผู้ใหญ่อย่างนี้มีด้วยรึ”
“ข้าขอโทษ”
คำนั้นคำเดียวเปลี่ยนเสียงร้องไห้ด้วยความแค้นใจให้กลายเป็นเสียงดังฮือ ฮือ น้ำมูกน้ำตาไหลเหมือนเด็กอ้อน
“เงียบได้แล้ว ข้าไม่ได้คิดที่จะหลอกเจ้า แต่เห็นว่าเจ้าเป็นเด็กมีพ่อมีนายจ้าง จะพาไปด้วยโดยไม่บอกกล่าวคงไม่ได้ ถึงได้บอกให้เจ้าไปถามเจ้าของร้านเหล้าไงล่ะ”
“ใช่ แต่ทำไมหนีมา รอให้ข้าได้คำตอบก่อนไม่ได้รึ”
“ข้าขอโทษแล้วไง...และที่เจ้าตามมานี่บอกนายหรือเปล่า”
“บอก”
โจทาโรหยุดร้องไห้ เอื้อมมือไปเด็ดใบไม้ข้างทางมาสองใบ กำลังสงสัยว่าเอามาทำไมเจ้าคัปปะตัวน้อยก็เอาใบไม้ในมือสั่ง ขี้มูกดังพรืด
“แล้วนายของเจ้าว่ายังไง”
“นายไล่ให้ตามไปสิ”
“หือ”
“นายบอกว่าเด็กอย่างเจ้า ไม่มีนักดาบผู้มีวิทยายุทธหรือสำนักดาบที่ไหนรับเป็นลูกศิษย์แน่ แต่ถ้าเป็นซามูไรที่โรงเตี๊ยม คิจินละก็น่าจะเป็นครูที่ดีของเจ้า เพราะเขาลือกันว่าเป็นนักดาบที่ไม่กล้าสู้สักเท่าไร บางทีข้าอาจช่วยเป็นเด็กแบกของให้อะไรให้ แล้วก็ให้ดาบไม้เล่มนี้มาเป็นที่ระลึก”
“ฮะ ฮะ ฮะ นายของเจ้านี่ตลกดีเหมือนกัน”
“ทีนี้ข้าก็ไปที่โรงเตี๊ยมแต่ไม่พบท่านและปู่ก็ไม่อยู่ ข้าก็เลยหยิบเอาหมวกฟางที่แขวนอยู่ที่ชายคาติดตัวมา”
“หมวกนั่นเป็นป้ายชื่อโรงเตี๊ยมของพ่อเฒ่าไม่ใช่รึ นี่ไง...เขียนไว้ว่าคิจิน ไม่เห็นรึ”
“เขียนว่าอะไรก็ชั่ง แต่เวลาเดินทางขืนไม่มีหมวกฟาง เวลาฝนตกต้องแย่แน่”
โจทาโรตีขลุมเอาดื้อ ๆ ว่าการทำสัญญาเป็นศิษย์อาจารย์กันเรียบร้อยลงด้วยดีและตอนนี้ตนคือลูกศิษย์ของมูซาชิ ส่วน มูซาชิก็ต้องตกลงยอมรับโดยปริยาย
และเมื่อคิดไปถึงการที่อาโอกิ ทันซาเอมอน ซามูไรหนวดปลาดุกผู้เป็นพ่อของโจทาโร ต้องสูญเสียตำแหน่งหน้าที่ไปในความเกี่ยวข้องกับตัวเขาด้วยแล้ว มูซาชิคิดว่าจริง ๆ แล้วตนเองควรที่จะต้องยื่นมือเข้าไปช่วยดูแลอนาคตของเด็กชายคนนี้ด้วยซ้ำ
“โอ๊ะ เกือบลืมเรื่องสำคัญ”
พอสงบอารมณ์ได้แล้วโจทาโรก็นึกอะไรขึ้นมาได้ทันที ควานหาในแขนเสื้อหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาส่งให้
“เจอแล้ว นี่ไง”
มูซาชิรับมาดูด้วยความแปลกใจ
“อะไรกันเนี่ย”
“เมื่อคืน ตอนที่ข้ากำลังจะเอาเหล้าสาเกมาให้ท่าน ซามูไรไร้นายคนหนึ่งที่ดื่มอยู่ในร้านซักถามข้าเรื่องท่านใหญ่เลย”
“อือ...เจ้าว่ายังงั้น ข้าจำได้”
“ตอนข้ากลับร้าน นายคนนั้นก็ยังนั่งดื่มเมาแอ๋อยู่อย่างนั้นแล้วก็ยังถามถึงท่านอีก ดื่มจัดจริง ๆ ท่านดวดเข้าไปสองไหเห็นจะได้ แต่ก็ยังอุตส่าห์เขียนจดหมายฝากข้ามาให้ท่าน”
“...?”
มูซาชิเอียงคอทำหน้าฉงนก่อนพลิกดูหลังซอง
7
นักดาบหนุ่มเลิกคิ้วเมื่อพบชื่อเจ้าของจดหมาย
ฮนอิเด็น มาตาฮาจิ
ตัวหนังสือโย้เย้เหมือนเมาตามคนเขียน
“มาตาฮาจิเขียนมารึ”
มูซาชิรีบเปิดจดหมายออกอ่าน ด้วยความรู้สึกสับสนทั้งคิดถึงและเศร้าสะเทือนใจ สำหรับคนดื่มสาเกเข้าไปสองไหนั้นนอกจากลายมือจะแย่มากแล้วเนื้อหาของจดหมายยังสะเปะสะปะ กว่าจะพอตีความได้ก็เล่นเอาเหนื่อยพอแรง
หลังจากแยกทางกับเจ้าอันเป็นเพื่อนรักที่เชิงเขาอิบูกิ ข้าเผอิญได้ยินคนเอ่ยถึงชื่อพี่ชายที่แถว ๆ โรงฝึกวิชาดาบ โยชิโอกะ แต่ก็ลังเลไม่รู้ว่าจะพยายามหาตัวเจ้าดีหรือไม่ดี และตอนนี้ข้ามาดื่มสาเกอยู่ที่ร้านเหล้าจนแทบจะหมดร้านอยู่แล้ว
อ่านมาถึงตอนนี้พอจะเข้าใจได้ แต่ต่อจากนั้นชักจะสับสน
พี่ชายคงจะเดาสภาพของของข้าออก ข้าที่ถูกขังอยู่ในกรงของกิเลศตัณหาและความเกียจคร้านที่กัดกร่อนกายใจของข้ามาตลอดห้าปี ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากลายเป็นนักดาบชื่อกระฉ่อนอยู่ในนครหลวง
ข้าขอดื่มให้ ดื่มฉลองให้เจ้าจอกหนึ่ง และสองจอก
ข้าได้ยินบางคนพูดถึงเจ้าว่าเป็นซามูไรขี้ขลาดได้แต่หนีด้วยความรักตัวกลังตาย บางคนก็บอกว่าเจ้าเป็นนักดาบไร้เทียมทาน ใครอยากพูดอะไรก็ตามใจข้าไม่สนใจ เท่าที่ได้ยินคนในนครหลวงกล่าวขวัญถึงฝีมือดาบของเจ้าเท่านั้น ข้าก็ดีใจมากแล้ว
เจ้าเป็นคนมีฝีมือ...ทาเกโซ ข้าคิดว่าเจ้าจะได้เป็นนักดาบผู้ยิ่งใหญ่แน่นอน
แต่เมื่อหันมามองตัวเองตอนนี้ที่โง่เง่าและสิ้นคิดน่าสมเพทแล้ว คิดว่าตายเสียดีกว่าจะเสนอหน้าให้เจ้าเห็น
ชีวิตยังอยู่อีกยาว และยังเร็วเกินไปที่จะรู้ว่าภายภาคหน้าจะเป็นอย่างไร แม้ว่าตอนนี้ข้ายังไม่อยากพบเจ้า แต่คิดว่าวันหนึ่งเราคงจะได้เจอกัน...รักษาสุขภาพนะเพื่อน
มูซาชิอ่านมาถึงตรงนี้นึกว่าจบแล้ว แต่ตอนท้ายยังเขียนเพิ่มเติมราวกับเป็นธุระเร่งด้วยด้วยลายมือหวัดราวไก่เขี่ย พอจะจับความได้ว่า เหตุการณ์วันนั้นทำให้คนที่โรงฝึกวิชาดาบโยชิโอกะโกรธแค้นมาก และกำลังควานหาตัวเจ้ากันจ้าละหวั่นจึงต้องระวังตัวเอาไว้ให้จงดี เจ้ากำลังเริ่มก้าวนำหน้าไปบนวิถีแห่งดาบจึงไม่ควรมาตายเสียก่อน ส่วนข้าคิดว่าจะตั้งตัวให้ได้เสียก่อนจึงจะหาทางพบกับเจ้าเพราะอยากคุยเรื่องความหลังกันให้สนุก ขอให้เจ้าปกป้องคุ้มครองชีวิตเอาไว้ให้รอดพ้นซึ่งภัยอันตราย เพื่อที่จะได้เป็นแรงบัลดาลใจให้ข้าด้วย
มูซาชิรู้ว่ามาตาฮาจิจริงใจกับตนซึ่งเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาแต่เล็กแต่น้อยเพียงใด แต่ก็อดไม่ได้ที่จะจับความรู้สึกไม่ดีบางอย่างที่แฝงอยู่ระหว่างคำพูดในจดหมายฉบับนี้
นักดาบหนุ่มนิ่งคิด ไม่เข้าใจว่าทำไมมาตาฮาจิเห็นตนแล้วจึงไม่ปราดเข้ามาทักเฉกเช่นเพื่อนที่จากกันไปนาน ทำไมไม่ร้องทักให้สมกับที่คิดถึงกัน
“ใจทาโร เจ้าไม่ได้ถามชายคนนั้นหรอกหรือว่าอยู่ที่ไหน”
“เปล่า ไม่ได้ถาม”
“เจ้าของร้านเหล้าก็ไม่รู้รึ”
“คงไม่รู้หรอกท่าน”
“แขกคนนี้มาบ่อยรึ”
“ไม่หรอก ข้าเพิ่งเคยเห็น”
น่าเสียดาย และคิดว่าถ้ารู้ว่ามาตาฮาจิอยู่ที่ไหน จะรีบหันกลับไปเกียวโตเดี๋ยวนี้เลยทีเดียว
อยากพบและเตือนสติเพื่อนให้มองโลกด้วยตาสว่างขึ้นอีกครั้ง มูซาชิยังรักเพื่อนคนนี้อยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และพร้อมที่จะช่วยกอบกู้ชีวิตที่มาตาฮาจิฉุดลงไปให้ตกต่ำด้วยตนเองกลับขึ้นมาสู่สภาพเดิม และเพื่อลบล้างความเข้าใจผิดของแม่เฒ่าโอซูกิแม่ของมาตาฮาจิด้วย
มูซาชิเดินต่อไปเงียบ ๆ บนทางลงเขาไดโกะจนเห็นสี่แยกโรกูโซรำไรอยู่ข้างหน้า
“โจทาโร เจ้าทำอะไรให้ข้าสักอย่างหนึ่งจะได้ไหม”
อยู่ ๆ นักดาบหนุ่มก็เอ่ยขึ้นโดยเด็กชายไม่ทันตั้งตัว
8
“อะไรหรือท่าน”
“ข้าอยากวานเจ้าไปทำธุระอย่างหนึ่ง”
“ไปถึงไหนล่ะ”
“เกียวโต”
“อะไรกัน อุตส่าห์เกินมาถึงนี่แล้ว จะให้กลับไปอีกเหรอ”
“ใช่ อยากให้เจ้าเอาจดหมายของข้าไปส่งที่โรงฝึกวิชาดาบโยชิโอกะที่ยงโจ”
“... ... ...”
โจทาโรก้มหน้าลงเตะก้อนหินตรงปลายเท้ากระเด็นไปทางทางหนึ่ง”
“ไม่ได้เหรอ”
มูซาชิก้มลงพิศดูสีหน้าเด็กชาย
“เปล่า...”
โจทาโรสั่นหัวอย่างไม่มั่นใจก่อนบอกว่า
“ข้าไปให้ได้ถ้ามีธุระจริง ๆ แต่กลัวว่าท่านตั้งใจหลอกใช้เพื่อจะได้ทิ้งข้าไปอีกใช่ไหมล่ะ”
โจทาโรจ้องมองมาด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวาดระแวง มูซาชิรู้สึกอายขึ้นมาทันทีเพื่อสำนึกขึ้นมาว่าใครกันที่สอนให้เจ้าหนูน้อยคัปปะกลายเป็นคนขี้สงสัยเช่นนี้
“ไม่ใช่แน่นอน นักรบไม่พูดโกหก เรื่องเมื่อวานข้ามีเหตุผลอย่างที่บอก อย่าติดใจอยู่อีกเลย”
“ได้ ข้าไปให้ก็ได้”
มูซาชิพาโจทาโรเข้าไปในร้านน้ำชาชื่อโรกุอามิดาตรงสี่แยก สั่งน้ำชามากินกับข้าวที่เจ้าของโรงเตี๊ยมห่อมาให้ และมูซาชิใช้เวลาระหว่างนั้นเขียนจดหมายถึง...โยชิโอกะ เซอิจูโร
ข้อความของจดหมายสรุปได้ประมาณว่า...ข้าได้ยินมาว่าท่านได้ให้บรรดาลูกศิษย์ออกตามหาตัวข้า จึงขอบอกว่าตอนนี้ข้าอยู่บนทางหลวงยามาโตจิและจากนี้ตั้งใจจะเดินทางฝึกวิชาดาบไปรอบ ๆ อิงะและอิเซะเป็นเวลาราวหนึ่งปี ข้าไม่คิดที่จะเปลี่ยนแผนที่วางไว้ แต่ก็เสียดายและคิดว่าท่านก็คงเสียดายพอ ๆ กันที่ครั้งนี้พลาดโอกาสที่จะพบกับท่าน เพราะข้าไปที่สำนักพอดีกับที่ท่านไม่อยู่ ดังนั้นข้าขอให้สัญญาว่าจะไปเยือนสำนักของท่านอีกครั้งในเดือนหนึ่งหรือเดือนสองของปีหน้าแน่นอน
ระหว่างหนึ่งปีต่อจากนี้ข้าจะฝึกฝนลับคมดาบให้เฉียบคมยิ่งขึ้น และเชื่อว่าทางสำนักของท่านก็คงจะฝึกวิทยายุทธด้วยความมานะพยายามอย่างที่สุดเช่นเคย เพื่อที่สำนักดาบของท่านเค็มโปอันเรืองไกรจะได้ไม่ประสบกับความอับอายเป็นครั้งที่สอง หลังจากพ่ายแพ้ครั้งหนึ่งแล้วเมื่อครั้งที่ข้าไปเยี่ยมเยือนและประลองยุทธ
ลงชื่อ ชินเม็น มิยาโมโตะ มูซาชิ
ถึง ท่านโยชิโอกะ เซอิจูโร และลูกศิษย์สำนักดาบ
แม้คำพูดที่ใช้ในจดหมายจะสุภาพมากแต่ก็แฝงไว้ด้วยความทะนงตนของผู้เขียน
มูซาชิเขียนจดหมายเสร็จใส่ซองส่งให้โจทาโร
“ข้าเอาจดหมายนี้โยนเข้าไปในโรงฝึกวิชาดาบที่ยงโจเท่านั้นใช่ไหม”
“ไม่ได้นะ เจ้าต้องไปที่ประตูทางเข้าโรงฝึก และส่งให้กับคนที่นั่นอย่างเป็นเรื่องเป็นราว”
“เข้าใจละ ข้าจะทำอย่างนั้น”
“ยังมีอีกอย่างที่อยากขอให้ทำด้วย แต่อาจยากไปหน่อยสำหรับเจ้า”
“อะไร อะไร”
“คือชายขี้เมาที่ร้านเหล้าเมื่อคืนคนที่ฝากจดหมายมาให้ข้าคนนั้น ชื่อว่าฮนอิเด็น มาตาฮาจิ เป็นเพื่อนรักของข้า และข้าอยากพบเพื่อนคนนี้มาก”
“เรื่องเล็กมากนะ”
“เจ้าจะหาได้ยังไง”
“ก็เดินถามตามร้านเหล้าไงไม่เห็นจะยาก”
“ฮะ ฮะ ฮะ ก็ดี แต่อ่านจากจดหมายแล้วรู้สึกว่ามาตาฮาจิจะมีคนรู้จักอยู่ในบ้านตระกูลโยชิโอกะ เจ้าลองถามดูอาจได้เรื่องเร็วกว่า”
“ถ้ารู้ล่ะ”
“ถ้ารู้ว่ามาตาฮาจิอยู่ที่ไหน เจ้าช่วยไปพบแล้วบอกเขาว่า ตั้งแต่วันที่หนึ่งถึงวันที่เจ็ดของปีใหม่ข้าจะไปรอที่สะพาน โอฮาชิในตำบลโกโจทุกเช้า ขอให้มาพบไม่เช้าในก็เช้าหนึ่งระหว่างนั้น”
“บอกแค่นั้นหรือ”
“อือ...เจ้าช่วยบอกมาตาฮาจิด้วยแล้วกันว่าข้าอยากพบเขามาก”
“ตกลง แต่ระหว่างที่ข้าไปเกียวโตและกลับมา ท่านจะรอข้าอยู่ที่ไหน”
“เอาอย่างนี้นะ ข้าล่วงหน้าไปนาราก่อน และจะฝากที่อยู่ไว้ที่โรงฝึกวิชาทวนที่วัดโฮโซอิน พอเจ้ามาถึงก็ไปถามได้เลย”
“แน่นะท่าน”
“ฮะ ฮะ ฮะ ยังสงสัยข้าอีกเหรอ คราวนี้ถ้าผิดสัญญาอีกละก็ข้ายอมให้ตัดหัว”
มูซาชิหัวเราะ และพอออกจากน้ำชานักดาบหนุ่มก็มุ่งหน้าไปทางนารา ส่วนโจทาโรกลับไปเกียวโต
ที่สี่แยกมีผู้คนสัญจรไปมาเอะอะจอแจระคนเสียงม้าร้อง โจทาโรหยุดยืนเหลียวกลับไปมอง ก็เห็นมูซาชิหยุดยืนอยู่ท่ามกลางฝูงคนกำลังมองมาและส่งยิ้มให้ เจ้าคัปปะพรายน้ำส่งยิ้มตอบก่อนแยกกันไปคนละทาง
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ความเดิม
มูซาชิทำหน้าแปลกใจ แต่เมื่อพิศดูเด็กชายตรงหน้าก็พบว่ามีอะไรหลายอย่างที่ทำให้เชื่อว่าจริง และเมื่อถามชื่อพ่อโจทาโรก็เล่าว่า
“พ่อข้าชื่ออาโอกิ ทันซาเอมอน เป็นซามูไรมีรายได้ถึงห้าร้อยโคกุ แต่ตอนข้าอายุหกขวบพ่อกลายเป็นซามูไรไร้นาย และพาข้ามาเกียวโต จนเงินทองร่อยหรอกลายเป็นคนยากจนจึงเอาข้ามาฝากไว้กับร้านเหล้า ส่วนพ่อไปบวชเป็นพระ
ข้าถึงได้อยากเป็นซามูไร คนเราจะเป็นซามูไรได้ก็ต้องเก่งวิชาดาบใช่ไหม ท่าน...รับข้าเป็นลูกศิษย์เถิดนะ จะทำข้าทำอะไรก็ได้ ข้ายอมทุกอย่าง”
เด็กชายพูดจบแล้วทำหน้าเคร่ง แสดงถึงความตั้งใจเด็ดเดี่ยวมั่นคงอย่างที่ใครก็ตามย่อมไม่อาจสั่นศีรษะปฏิเสธได้ แต่ใจของมูซาชิตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่าจะตอบรับหรือปฏิเสธคำขอ แต่จดจ่อไปที่อาโอกิ ทันซาเอมอน...ซามูไรหนวดปลาดุกคู่อริเก่าและชะตากรรมที่นึกไม่ถึงว่าจะเป็นไปเช่นนั้น นักดาบซามูไรอยู่บนวิถีแห่งการฆ่าและการถูกฆ่า มีชีวิตที่เสี่ยงกับการเดิมพันตลอดทั้งวันทั้งคืน มูซาชิรู้สึกเศร้าเมื่อคิดถึงคนที่ต้องตกอยู่ในวิถีชีวิตเช่นนั้น ความเมาสร่างหายไปใจเจ็บแปลบด้วยความรันทด
5
โจทาโรอ้อนไม่หยุด ยิ่งพ่อเฒ่าเจ้าของโรงเตี๊ยมคิจินห้ามว่าอย่าไปกวนมูซาชิผู้เป็นแขกเด็กชายก็ยิ่งอ้อนวอนไม่ยอมเลิก ดื้อรั้นดันทุรังจนพ่อเฒ่าเกิดโมโหและดุเอาแรง ๆ คราวนี้โจทาโรถึงกับร้องไห้สะอึกสะอื้น คลานเข้าไปกอดแข้งกอดขามูซาชิ พร่ำรำพันคำขอฝากเนื้อฝากตัวเสียงสั่นเสียงเครือ มูซาชิอดรนทนไม่ได้จึงบอกเด็กชายว่า
“เอาเถอะ ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์ แต่คืนนี้เจ้าต้องกลับไปบอกนายของเจ้าเสียก่อนแล้วค่อยมาใหม่ เข้าใจนะ”
โจทาโรรับคำแล้วลิงโลดกลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้น
“นี่แน่ะพ่อเฒ่า ข้ารบกวนท่านมานานเต็มทีแล้ว ข้าตกลงใจจะออกเดินทางไปนาราวันนี้ ช่วยเตรียมข้าวห่อให้ด้วย”
“อะไรกัน จะออกเดินทางแล้วรึ”
พ่อเฒ่าตกใจที่อยู่ ๆ มูซาชิก็มาบอกลา
“โธ่เอ๋ย เพราะเจ้าเด็กวายร้ายนั่นคนเดียวที่มากวนใจ ทำให้ท่านต้องด่วนไปอย่างนี้”
“ไม่ใช่อย่างนั้น อย่าไปโทษเจ้าหนูมันเลย ข้าตั้งใจจะไปนารานานมาแล้ว อยากดูฝีมือทวนของสำนักโฮโซอินที่ขึ้นชื่อลือชาให้เป็นขวัญตาสักครั้ง ถ้าโจทาโรมาแล้วไม่เห็นข้า พ่อเฒ่าช่วยเป็นธุระปลอบมันด้วยเถิดนะ”
“โอ๊ย...ไม่ต้องกังวลเลย เด็กก็อย่างนี้แหละ เห็นร้องไห้เอะอะจะเป็นจะตายเดี๋ยวเดียวก็หัวเราะร่า”
“ข้าคิดว่าเจ้าของร้านเหล้าเองก็คงไม่ยอมให้มา”
มูซาชิก้าวออกมาจากโรงเตี๊ยม เช้านี้ฝนขาดเม็ด ลมโชยเย็นกายชื่นใจต่างจากเมื่อวาน ดอกบ๊วยร่วงลงไปแดงเด่นบนพื้นโคลน
แม่น้ำบริเวณซันโจงูจิปากทางเข้านครหลวงน้ำขึ้นและขุ่นจากฝนตกหนักเมื่อคืนก่อน ซามูไรจากกองทัพม้ากลุ่มใหญ่ตั้งด่านตรวจทุกคนที่สัญจรไปมาอยู่ตรงเชิงสะพาน ถามได้ความว่าใกล้วันที่ท่านโชกุนผู้ยิ่งใหญ่ที่เอโดะจะเดินทางมาถึงเต็มทีแล้ว และขณะนี้คณะล่วงหน้ากลุ่มเล็กบ้างใหญ่บ้างกำลังทยอยกันเข้ามา จึงต้องตั้งด่านตรวจเพื่อป้องกันไม่ให้พวกซามูไรไร้นายหัวรุนแรงเล็ดลอดเข้ามาก่อการร้าย
มูซาชิตอบคำถามของเจ้าหน้าที่ตามความเป็นจริงและผ่านด่านออกมาได้เรียบร้อยดี ทำให้รู้สึกได้อีกครั้งถึงการเป็นซามูไรผู้ไร้สีไร้สังกัดที่แท้จริงคนหนึ่ง คือไม่เข้ากับทั้งฝ่ายโอซากาและฝ่ายโชกุนโทกุงาวะที่เอโดะ
มูซาชินึกถึงความหลังเมื่อครั้งที่ตนมุทะลุดุดันไม่รู้จักยั้งคิดด้วยพลังหนุ่มที่อัดล้น ฉวยทวนได้ด้ามเดียวโลดแล่นออกจากหมู่บ้านส่งสนามรบที่เซกิงาฮาระ
พ่อเป็นบริวารผู้ครองแคว้นที่สวามิภักดิ์ต่อจอมทัพที่โอซากา อีกทั้งหมู่บ้านมิยาโมตะถิ่นกำเนิดของตนยังทุ่มเททั้งชีวิตและจิตใจให้แก่วีรบุรุษแห่งตระกูลโทโยโทมิที่ยิ่งใหญ่ในแว่นแคว้นนี้กันมาหลายชั่วคน ปู่ย่าตายายเล่าเรื่องราวและความยิ่งใหญ่ของวีรบุรุษเหล่านั้นหลายช่วงตอนให้ลูกหลานฟังเป็นตำนานข้างเตาผิง ฝังอยู่ในความทรงจำและหยั่งรากลึกลงไปถึงจิตวิญญาณกันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก และมูซาชิก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น จนกระทั่งเติบใหญ่มาจนบัดนี้หากถูกถามว่าจะเข้าข้างไหน เอโดะทางตะวันออกหรือโอซากา ตนคงจะตอบอย่างไม่ลังเลว่าโอซากา ด้วยสายเลือดและด้วยความรู้สึกที่ซึมซับไว้ในวัยเยาว์ซึ่งยังหลงเหลืออยู่ในใจ
แต่...มูซาชิได้เรียนรู้จากเซกิงาฮาระว่า แม้จะควงทวนบุกทะลวงฟาดฟันศัตรูไม่ไว้หน้าอยู่ในกองพลฟันเดินเท้าของกองทัพใหญ่ไปทั่วสนามรบ แต่ผลสุดท้ายก็เสียแรงเปล่า ไม่ได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรหรือแม้แต่เกิดประโยชน์อะไรแก่กองทัพ
ซามูไรเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อนำชัยชนะมาสู่จอมทัพเหนือหัว ความตายจึงสง่างาม ยิ่งใหญ่และทรงคุณค่า...แต่มูซาชิกับมาตาฮาจิไม่ใช่เช่นนั้น จุดมุ่งหมายของหนุ่มคะนองทั้งสองไม่มีอะไรนอกเหนือไปกว่ารบด้วยความกระหายที่จะได้ชื่อว่าเป็นวีรบุรุษในสนามรบ เด็ดหัวแม่ทัพแลกกับบำเหน็จรางวัลได้โดยไม่ต้องลงทุนเท่านั้นเอง
ต่อมาภายหลัง เมื่อหลวงพี่ทากูอันสอนให้ตนตระหนักรู้ถึงค่าของชีวิตอันประดุจดวงแก้วอันล้ำค่า มูซาชิจึงหวนกลับไปไตร่ตรองทบทวน และประจักษ์แก่ใจว่าการกระทำที่ตนคิดว่าไม่ต้องลงทุนอะไรนั้น ที่แท้เป็นการลงทุนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดคือเอาชีวิตเข้าแลกกับบำเหน็จรางวัลเพียงน้อยนิด โดยไม่คิดหน้าคิดหลังเหมือนล้อเล่นกับโชคชะตาด้วยการจับไม้สั้นไม้ยาวเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย คิดแล้วอดหัวเราะไม่ได้กับความใสซื่อของตนเมื่อกาลก่อน
“ถึงไดโงะแล้วหรือนี่”
มูซาชิหยุดพักเมื่อรู้สึกเหงื่อแตก เพิ่งรู้ตัวว่าเดินขึ้นเขาคิดเพลินมาจนถึงที่สูงพอดู แว่วเสียงเรียกซ้ำ ๆ ดังมาแต่ไกล
ท่านซามูไร...ท่านซามูไร
“อ๊ะ”
มูซาชิอุทานและนึกถึงหน้าเด็กชายหน้าตนเหมือนคัปปะเจ้าพรายน้ำขึ้นมาได้ในทันที
จริงดังคาด ไม่นานก็เห็นโจทาโรวิ่งขึ้นเนิน หายใจหอบถี่พลางตะโกนกราดเกรี้ยวตรงเข้ามา
“ท่านซามูไรโกหกข้า โกหก โกหก”
แม้จะโกรธจัดแต่หน้าก็เหยเกแทบจะร้องไห้ออกมาเสียให้ได้
6
...ตามมาจนได้
มูซาชินึกรำคาญอยู่ในใจแต่ก็หันไปทำหน้าแจ่มใสเห็นลักยิ้มคอยอยู่
โจทาโรเร็วมาก วิ่งขึ้นเนินเร็วมากตรงขึ้นมาหา เงาที่ทาบทับกับพื้นดินบินฉิวมาราววิหคเทพตัวน้อย
พอเข้ามาใกล้จนเห็นเครื่องแต่งเนื้อแต่งตัวของเจ้าคัปปะ มูซาชิก็ยิ่งยิ้มกว้างขึ้น...โจทาโรเปลี่ยนจากชุดทำงานในร้านเหล้าที่ใส่เมื่อวานมาเป็นชุดกิโมโนธรรมดาซึ่งเล็กกว่าตัว ชายสั้นแค่ครึ่งแข้งและแขนยาวครือศอก เสียบดาบไม้ยาวเกินตัวไว้กับผ้าคาดเอว ห้อยหมวกฝางใหญ่เกือบเท่าร่มไว้ข้างหลัง
“ท่านซามูไร”
โจทาโรโถมเข้ากอดมูซาชิเอาไว้แน่นร้องว่า “โกหกข้า” พร้อมกับปล่อยโฮออกมาด้วยความแค้นใจ
“เป็นไรไปเจ้าหนู”
มูซาชิกอดโจทาโรเอาไว้ ลูบหัวลูบหลังและปลอบโยน แต่เจ้าหนูก็ไม่ยอมหยุด ยิ่งรู้ว่าอยู่กลางป่ากลางเขาด้วยเช่นนั้นมีเสียงเท่าไรก็ยิ่งแผดขึ้นไปเท่านั้น
“ลูกผู้ชายเขาร้องไห้กันด้วยรึ”
“ไม่รู้ ไม่ชี้”
โจทาโรสะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมกอด
“เป็นผู้ใหญ่ยังไง ทำไมหลอกเด็กได้ลงคอ เมื่อคืนบอกว่าจะรับข้าเป็นลูกศิษย์แต่กลับทิ้งไปปล่อยข้าให้รอเก้อ ผู้ใหญ่อย่างนี้มีด้วยรึ”
“ข้าขอโทษ”
คำนั้นคำเดียวเปลี่ยนเสียงร้องไห้ด้วยความแค้นใจให้กลายเป็นเสียงดังฮือ ฮือ น้ำมูกน้ำตาไหลเหมือนเด็กอ้อน
“เงียบได้แล้ว ข้าไม่ได้คิดที่จะหลอกเจ้า แต่เห็นว่าเจ้าเป็นเด็กมีพ่อมีนายจ้าง จะพาไปด้วยโดยไม่บอกกล่าวคงไม่ได้ ถึงได้บอกให้เจ้าไปถามเจ้าของร้านเหล้าไงล่ะ”
“ใช่ แต่ทำไมหนีมา รอให้ข้าได้คำตอบก่อนไม่ได้รึ”
“ข้าขอโทษแล้วไง...และที่เจ้าตามมานี่บอกนายหรือเปล่า”
“บอก”
โจทาโรหยุดร้องไห้ เอื้อมมือไปเด็ดใบไม้ข้างทางมาสองใบ กำลังสงสัยว่าเอามาทำไมเจ้าคัปปะตัวน้อยก็เอาใบไม้ในมือสั่ง ขี้มูกดังพรืด
“แล้วนายของเจ้าว่ายังไง”
“นายไล่ให้ตามไปสิ”
“หือ”
“นายบอกว่าเด็กอย่างเจ้า ไม่มีนักดาบผู้มีวิทยายุทธหรือสำนักดาบที่ไหนรับเป็นลูกศิษย์แน่ แต่ถ้าเป็นซามูไรที่โรงเตี๊ยม คิจินละก็น่าจะเป็นครูที่ดีของเจ้า เพราะเขาลือกันว่าเป็นนักดาบที่ไม่กล้าสู้สักเท่าไร บางทีข้าอาจช่วยเป็นเด็กแบกของให้อะไรให้ แล้วก็ให้ดาบไม้เล่มนี้มาเป็นที่ระลึก”
“ฮะ ฮะ ฮะ นายของเจ้านี่ตลกดีเหมือนกัน”
“ทีนี้ข้าก็ไปที่โรงเตี๊ยมแต่ไม่พบท่านและปู่ก็ไม่อยู่ ข้าก็เลยหยิบเอาหมวกฟางที่แขวนอยู่ที่ชายคาติดตัวมา”
“หมวกนั่นเป็นป้ายชื่อโรงเตี๊ยมของพ่อเฒ่าไม่ใช่รึ นี่ไง...เขียนไว้ว่าคิจิน ไม่เห็นรึ”
“เขียนว่าอะไรก็ชั่ง แต่เวลาเดินทางขืนไม่มีหมวกฟาง เวลาฝนตกต้องแย่แน่”
โจทาโรตีขลุมเอาดื้อ ๆ ว่าการทำสัญญาเป็นศิษย์อาจารย์กันเรียบร้อยลงด้วยดีและตอนนี้ตนคือลูกศิษย์ของมูซาชิ ส่วน มูซาชิก็ต้องตกลงยอมรับโดยปริยาย
และเมื่อคิดไปถึงการที่อาโอกิ ทันซาเอมอน ซามูไรหนวดปลาดุกผู้เป็นพ่อของโจทาโร ต้องสูญเสียตำแหน่งหน้าที่ไปในความเกี่ยวข้องกับตัวเขาด้วยแล้ว มูซาชิคิดว่าจริง ๆ แล้วตนเองควรที่จะต้องยื่นมือเข้าไปช่วยดูแลอนาคตของเด็กชายคนนี้ด้วยซ้ำ
“โอ๊ะ เกือบลืมเรื่องสำคัญ”
พอสงบอารมณ์ได้แล้วโจทาโรก็นึกอะไรขึ้นมาได้ทันที ควานหาในแขนเสื้อหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาส่งให้
“เจอแล้ว นี่ไง”
มูซาชิรับมาดูด้วยความแปลกใจ
“อะไรกันเนี่ย”
“เมื่อคืน ตอนที่ข้ากำลังจะเอาเหล้าสาเกมาให้ท่าน ซามูไรไร้นายคนหนึ่งที่ดื่มอยู่ในร้านซักถามข้าเรื่องท่านใหญ่เลย”
“อือ...เจ้าว่ายังงั้น ข้าจำได้”
“ตอนข้ากลับร้าน นายคนนั้นก็ยังนั่งดื่มเมาแอ๋อยู่อย่างนั้นแล้วก็ยังถามถึงท่านอีก ดื่มจัดจริง ๆ ท่านดวดเข้าไปสองไหเห็นจะได้ แต่ก็ยังอุตส่าห์เขียนจดหมายฝากข้ามาให้ท่าน”
“...?”
มูซาชิเอียงคอทำหน้าฉงนก่อนพลิกดูหลังซอง
7
นักดาบหนุ่มเลิกคิ้วเมื่อพบชื่อเจ้าของจดหมาย
ฮนอิเด็น มาตาฮาจิ
ตัวหนังสือโย้เย้เหมือนเมาตามคนเขียน
“มาตาฮาจิเขียนมารึ”
มูซาชิรีบเปิดจดหมายออกอ่าน ด้วยความรู้สึกสับสนทั้งคิดถึงและเศร้าสะเทือนใจ สำหรับคนดื่มสาเกเข้าไปสองไหนั้นนอกจากลายมือจะแย่มากแล้วเนื้อหาของจดหมายยังสะเปะสะปะ กว่าจะพอตีความได้ก็เล่นเอาเหนื่อยพอแรง
หลังจากแยกทางกับเจ้าอันเป็นเพื่อนรักที่เชิงเขาอิบูกิ ข้าเผอิญได้ยินคนเอ่ยถึงชื่อพี่ชายที่แถว ๆ โรงฝึกวิชาดาบ โยชิโอกะ แต่ก็ลังเลไม่รู้ว่าจะพยายามหาตัวเจ้าดีหรือไม่ดี และตอนนี้ข้ามาดื่มสาเกอยู่ที่ร้านเหล้าจนแทบจะหมดร้านอยู่แล้ว
อ่านมาถึงตอนนี้พอจะเข้าใจได้ แต่ต่อจากนั้นชักจะสับสน
พี่ชายคงจะเดาสภาพของของข้าออก ข้าที่ถูกขังอยู่ในกรงของกิเลศตัณหาและความเกียจคร้านที่กัดกร่อนกายใจของข้ามาตลอดห้าปี ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากลายเป็นนักดาบชื่อกระฉ่อนอยู่ในนครหลวง
ข้าขอดื่มให้ ดื่มฉลองให้เจ้าจอกหนึ่ง และสองจอก
ข้าได้ยินบางคนพูดถึงเจ้าว่าเป็นซามูไรขี้ขลาดได้แต่หนีด้วยความรักตัวกลังตาย บางคนก็บอกว่าเจ้าเป็นนักดาบไร้เทียมทาน ใครอยากพูดอะไรก็ตามใจข้าไม่สนใจ เท่าที่ได้ยินคนในนครหลวงกล่าวขวัญถึงฝีมือดาบของเจ้าเท่านั้น ข้าก็ดีใจมากแล้ว
เจ้าเป็นคนมีฝีมือ...ทาเกโซ ข้าคิดว่าเจ้าจะได้เป็นนักดาบผู้ยิ่งใหญ่แน่นอน
แต่เมื่อหันมามองตัวเองตอนนี้ที่โง่เง่าและสิ้นคิดน่าสมเพทแล้ว คิดว่าตายเสียดีกว่าจะเสนอหน้าให้เจ้าเห็น
ชีวิตยังอยู่อีกยาว และยังเร็วเกินไปที่จะรู้ว่าภายภาคหน้าจะเป็นอย่างไร แม้ว่าตอนนี้ข้ายังไม่อยากพบเจ้า แต่คิดว่าวันหนึ่งเราคงจะได้เจอกัน...รักษาสุขภาพนะเพื่อน
มูซาชิอ่านมาถึงตรงนี้นึกว่าจบแล้ว แต่ตอนท้ายยังเขียนเพิ่มเติมราวกับเป็นธุระเร่งด้วยด้วยลายมือหวัดราวไก่เขี่ย พอจะจับความได้ว่า เหตุการณ์วันนั้นทำให้คนที่โรงฝึกวิชาดาบโยชิโอกะโกรธแค้นมาก และกำลังควานหาตัวเจ้ากันจ้าละหวั่นจึงต้องระวังตัวเอาไว้ให้จงดี เจ้ากำลังเริ่มก้าวนำหน้าไปบนวิถีแห่งดาบจึงไม่ควรมาตายเสียก่อน ส่วนข้าคิดว่าจะตั้งตัวให้ได้เสียก่อนจึงจะหาทางพบกับเจ้าเพราะอยากคุยเรื่องความหลังกันให้สนุก ขอให้เจ้าปกป้องคุ้มครองชีวิตเอาไว้ให้รอดพ้นซึ่งภัยอันตราย เพื่อที่จะได้เป็นแรงบัลดาลใจให้ข้าด้วย
มูซาชิรู้ว่ามาตาฮาจิจริงใจกับตนซึ่งเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาแต่เล็กแต่น้อยเพียงใด แต่ก็อดไม่ได้ที่จะจับความรู้สึกไม่ดีบางอย่างที่แฝงอยู่ระหว่างคำพูดในจดหมายฉบับนี้
นักดาบหนุ่มนิ่งคิด ไม่เข้าใจว่าทำไมมาตาฮาจิเห็นตนแล้วจึงไม่ปราดเข้ามาทักเฉกเช่นเพื่อนที่จากกันไปนาน ทำไมไม่ร้องทักให้สมกับที่คิดถึงกัน
“ใจทาโร เจ้าไม่ได้ถามชายคนนั้นหรอกหรือว่าอยู่ที่ไหน”
“เปล่า ไม่ได้ถาม”
“เจ้าของร้านเหล้าก็ไม่รู้รึ”
“คงไม่รู้หรอกท่าน”
“แขกคนนี้มาบ่อยรึ”
“ไม่หรอก ข้าเพิ่งเคยเห็น”
น่าเสียดาย และคิดว่าถ้ารู้ว่ามาตาฮาจิอยู่ที่ไหน จะรีบหันกลับไปเกียวโตเดี๋ยวนี้เลยทีเดียว
อยากพบและเตือนสติเพื่อนให้มองโลกด้วยตาสว่างขึ้นอีกครั้ง มูซาชิยังรักเพื่อนคนนี้อยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และพร้อมที่จะช่วยกอบกู้ชีวิตที่มาตาฮาจิฉุดลงไปให้ตกต่ำด้วยตนเองกลับขึ้นมาสู่สภาพเดิม และเพื่อลบล้างความเข้าใจผิดของแม่เฒ่าโอซูกิแม่ของมาตาฮาจิด้วย
มูซาชิเดินต่อไปเงียบ ๆ บนทางลงเขาไดโกะจนเห็นสี่แยกโรกูโซรำไรอยู่ข้างหน้า
“โจทาโร เจ้าทำอะไรให้ข้าสักอย่างหนึ่งจะได้ไหม”
อยู่ ๆ นักดาบหนุ่มก็เอ่ยขึ้นโดยเด็กชายไม่ทันตั้งตัว
8
“อะไรหรือท่าน”
“ข้าอยากวานเจ้าไปทำธุระอย่างหนึ่ง”
“ไปถึงไหนล่ะ”
“เกียวโต”
“อะไรกัน อุตส่าห์เกินมาถึงนี่แล้ว จะให้กลับไปอีกเหรอ”
“ใช่ อยากให้เจ้าเอาจดหมายของข้าไปส่งที่โรงฝึกวิชาดาบโยชิโอกะที่ยงโจ”
“... ... ...”
โจทาโรก้มหน้าลงเตะก้อนหินตรงปลายเท้ากระเด็นไปทางทางหนึ่ง”
“ไม่ได้เหรอ”
มูซาชิก้มลงพิศดูสีหน้าเด็กชาย
“เปล่า...”
โจทาโรสั่นหัวอย่างไม่มั่นใจก่อนบอกว่า
“ข้าไปให้ได้ถ้ามีธุระจริง ๆ แต่กลัวว่าท่านตั้งใจหลอกใช้เพื่อจะได้ทิ้งข้าไปอีกใช่ไหมล่ะ”
โจทาโรจ้องมองมาด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวาดระแวง มูซาชิรู้สึกอายขึ้นมาทันทีเพื่อสำนึกขึ้นมาว่าใครกันที่สอนให้เจ้าหนูน้อยคัปปะกลายเป็นคนขี้สงสัยเช่นนี้
“ไม่ใช่แน่นอน นักรบไม่พูดโกหก เรื่องเมื่อวานข้ามีเหตุผลอย่างที่บอก อย่าติดใจอยู่อีกเลย”
“ได้ ข้าไปให้ก็ได้”
มูซาชิพาโจทาโรเข้าไปในร้านน้ำชาชื่อโรกุอามิดาตรงสี่แยก สั่งน้ำชามากินกับข้าวที่เจ้าของโรงเตี๊ยมห่อมาให้ และมูซาชิใช้เวลาระหว่างนั้นเขียนจดหมายถึง...โยชิโอกะ เซอิจูโร
ข้อความของจดหมายสรุปได้ประมาณว่า...ข้าได้ยินมาว่าท่านได้ให้บรรดาลูกศิษย์ออกตามหาตัวข้า จึงขอบอกว่าตอนนี้ข้าอยู่บนทางหลวงยามาโตจิและจากนี้ตั้งใจจะเดินทางฝึกวิชาดาบไปรอบ ๆ อิงะและอิเซะเป็นเวลาราวหนึ่งปี ข้าไม่คิดที่จะเปลี่ยนแผนที่วางไว้ แต่ก็เสียดายและคิดว่าท่านก็คงเสียดายพอ ๆ กันที่ครั้งนี้พลาดโอกาสที่จะพบกับท่าน เพราะข้าไปที่สำนักพอดีกับที่ท่านไม่อยู่ ดังนั้นข้าขอให้สัญญาว่าจะไปเยือนสำนักของท่านอีกครั้งในเดือนหนึ่งหรือเดือนสองของปีหน้าแน่นอน
ระหว่างหนึ่งปีต่อจากนี้ข้าจะฝึกฝนลับคมดาบให้เฉียบคมยิ่งขึ้น และเชื่อว่าทางสำนักของท่านก็คงจะฝึกวิทยายุทธด้วยความมานะพยายามอย่างที่สุดเช่นเคย เพื่อที่สำนักดาบของท่านเค็มโปอันเรืองไกรจะได้ไม่ประสบกับความอับอายเป็นครั้งที่สอง หลังจากพ่ายแพ้ครั้งหนึ่งแล้วเมื่อครั้งที่ข้าไปเยี่ยมเยือนและประลองยุทธ
ลงชื่อ ชินเม็น มิยาโมโตะ มูซาชิ
ถึง ท่านโยชิโอกะ เซอิจูโร และลูกศิษย์สำนักดาบ
แม้คำพูดที่ใช้ในจดหมายจะสุภาพมากแต่ก็แฝงไว้ด้วยความทะนงตนของผู้เขียน
มูซาชิเขียนจดหมายเสร็จใส่ซองส่งให้โจทาโร
“ข้าเอาจดหมายนี้โยนเข้าไปในโรงฝึกวิชาดาบที่ยงโจเท่านั้นใช่ไหม”
“ไม่ได้นะ เจ้าต้องไปที่ประตูทางเข้าโรงฝึก และส่งให้กับคนที่นั่นอย่างเป็นเรื่องเป็นราว”
“เข้าใจละ ข้าจะทำอย่างนั้น”
“ยังมีอีกอย่างที่อยากขอให้ทำด้วย แต่อาจยากไปหน่อยสำหรับเจ้า”
“อะไร อะไร”
“คือชายขี้เมาที่ร้านเหล้าเมื่อคืนคนที่ฝากจดหมายมาให้ข้าคนนั้น ชื่อว่าฮนอิเด็น มาตาฮาจิ เป็นเพื่อนรักของข้า และข้าอยากพบเพื่อนคนนี้มาก”
“เรื่องเล็กมากนะ”
“เจ้าจะหาได้ยังไง”
“ก็เดินถามตามร้านเหล้าไงไม่เห็นจะยาก”
“ฮะ ฮะ ฮะ ก็ดี แต่อ่านจากจดหมายแล้วรู้สึกว่ามาตาฮาจิจะมีคนรู้จักอยู่ในบ้านตระกูลโยชิโอกะ เจ้าลองถามดูอาจได้เรื่องเร็วกว่า”
“ถ้ารู้ล่ะ”
“ถ้ารู้ว่ามาตาฮาจิอยู่ที่ไหน เจ้าช่วยไปพบแล้วบอกเขาว่า ตั้งแต่วันที่หนึ่งถึงวันที่เจ็ดของปีใหม่ข้าจะไปรอที่สะพาน โอฮาชิในตำบลโกโจทุกเช้า ขอให้มาพบไม่เช้าในก็เช้าหนึ่งระหว่างนั้น”
“บอกแค่นั้นหรือ”
“อือ...เจ้าช่วยบอกมาตาฮาจิด้วยแล้วกันว่าข้าอยากพบเขามาก”
“ตกลง แต่ระหว่างที่ข้าไปเกียวโตและกลับมา ท่านจะรอข้าอยู่ที่ไหน”
“เอาอย่างนี้นะ ข้าล่วงหน้าไปนาราก่อน และจะฝากที่อยู่ไว้ที่โรงฝึกวิชาทวนที่วัดโฮโซอิน พอเจ้ามาถึงก็ไปถามได้เลย”
“แน่นะท่าน”
“ฮะ ฮะ ฮะ ยังสงสัยข้าอีกเหรอ คราวนี้ถ้าผิดสัญญาอีกละก็ข้ายอมให้ตัดหัว”
มูซาชิหัวเราะ และพอออกจากน้ำชานักดาบหนุ่มก็มุ่งหน้าไปทางนารา ส่วนโจทาโรกลับไปเกียวโต
ที่สี่แยกมีผู้คนสัญจรไปมาเอะอะจอแจระคนเสียงม้าร้อง โจทาโรหยุดยืนเหลียวกลับไปมอง ก็เห็นมูซาชิหยุดยืนอยู่ท่ามกลางฝูงคนกำลังมองมาและส่งยิ้มให้ เจ้าคัปปะพรายน้ำส่งยิ้มตอบก่อนแยกกันไปคนละทาง