นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
สายลมแห่งรักเอย
ใยจึงเหนี่ยวรั้งข้าไว้
แรงยึดนั้นช่างหนักหนานัก
หรือว่ารักจะหนักปานกัน
อาเกมิเดินครวญเพลงที่จำมาจากละครโอกุนิคาบูกิเบา ๆ อ้อมไปทางหลังบ้านและลงไปซักผ้าที่ชายฝั่งแม่น้ำทากาเซะ นางโยนผืนผ้าลงไปแผ่กว้างบนพื้นน้ำแล้วแกว่งไกว พอสะอาดดีแล้วชักผ้ากลับกลีบดอกไม้ที่ร่วงโรยลอยมาตามกระแสน้ำก็พลอยตามเข้ามาด้วย ช่างชื่นใจอะไรเช่นนี้
สาวน้อยครวญเพลงต่อไปด้วยอารมณ์เพริดแพร้วไปได้อีกท่อนหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงร้องทักลงมาจากคันเขื่อนข้างบน
“น้า...ร้องเพลงเพราะจัง”
“ใครน่ะ” อาเกมิหันกลับไปร้องถาม จึงเห็นเด็กชายคนหนึ่งคาดดาบไม้เล่มยาวเกินตัวและห้อยหมวกใบใหญ่ไว้ที่หลังทำให้ดูคล้ายผู้ใหญ่ร่างเล็กเหมือนคนแคระ และพอรู้ตัวว่าอาเกมิอาเกมิมองขึ้นมาก็ยิ้มเห็นฟันขาว ดวงตากลมเป็นประกายมองตอบมาด้วยความเป็นมิตร
“เด็กที่ไหนน่ะ หนอยแน่ะทำมาเรียกข้าว่าน้า ข้ายังสาวอยู่แท้ ๆ”
“งั้นก็...แม่สาวน้อย”
“ไม่รู้ไม่ชี้ ยังเป็นเด็กไม่กี่ขวบ อย่ามาทะลึ่งเทียบรุ่น ไปเช็ดขี้มูกให้แห้งเสียก่อนไป๊”
“โธ่ จะอะไรกันนักหนา ข้าก็แค่อยากถาม”
“อ้าว...เฮ้ย ผ้าของข้าถูกน้ำพัดไปโน่นแล้ว เพราะเอ็งคนเดียวเลย”
“ไม่ต้องห่วง ข้าเก็บให้เอง”
ว่าแล้วโจทาโรก็รีบลงมาจากคันเขื่อนแล้วออกวิ่งตามผืนผ้าที่ถูกพัดพาลงไปตามกระแสน้ำ ดาบไม้เล่มยาวเกินตัวที่พกมาเป็นประโยชน์ตอนนี้เอง เมื่อเจ้าเด็กน้อยใช้มันเขี่ยผืนผ้าเกี่ยวเก็บขึ้นมาได้
“ขอบใจนะ ที่เอ็งว่าอยากถามน่ะ มันเรื่องอะไรกัน”
“ข้าอยากถามว่าแถวนี้มีร้านน้ำชาที่ชื่อโยโมงิบ้างไหม”
“โยโมงิรึ...อยู่โน่นไง บ้านข้าเอง”
“จริงเหรอ เฮ้อ...เจอเสียที ข้าหาแทบตายเลยรู้ไหม”
“เอ็งมาจากไหนฮึ เจ้าเด็กน้อย”
“มาจากทางนู้น”
“ทางนู้น ? ข้าจะรู้ไหมฮึว่าทางไหน”
“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่ข้าออกเดินทางมาน่ะมันที่ไหน”
“บ้าชะมัด”
“ใครเหรอ”
“ช่างเถอะ” อาเกมิอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “บอกมาสิว่าเอ็งมีธุระอะไรที่บ้านข้า”
“คนชื่อฮนอิเด็น มาตาฮาจิอยู่ที่บ้านเจ้าใช่ไหมล่ะ คนในโรงฝึกวิชาดาบโยชิโอกะที่ชิโจ เป็นคนบอกให้ข้ามาที่นี่”
“ไม่อยู่”
“โกหก”
“ไม่อยู่จริง ๆ ...เมื่อก่อนอยู่ แต่ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว”
“แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน”
“ไม่รู้”
“ถามคนอื่นให้หน่อยซี”
“ไม่มีใครรู้หรอก แม่ข้าก็ไม่รู้ เพราะอยู่ ๆ ก็หนีออกจากบ้านไป”
“ยุ่งละซีทีนี้”
“ใครใช้เอ็งมารึ”
“ครูของข้าน่ะซี”
“ครู ?”
“ใช่...ครูของข้า มิยาโมโตะ มูซาชิ”
“มีจดหมายหรืออะไรรึเปล่า”
โจทาโรสั่นหัว ทำตาเหมือนไม่เข้าใจคำถามมองลงไปที่สายน้ำ
“แปลกดีเหมือนกัน ใช้เด็กไปหาคนที่อยู่ไหนก็ไม่รู้แล้วยังไม่ฝากจดหมายมาด้วย”
“ครูฝากมาเป็นคำพูด”
“คำพูดว่ายังไง เอ็งจะฝากไว้ก็ได้นะ...คิดว่ามาตาฮาจิอาจไม่กลับมาอีกแล้ว แต่ถ้าหากเกิดกลับมาข้าจะบอกให้เอง”
“เอ...ทำอย่างนั้นดีไหมไม่รู้”
“จะมาหารือข้าไม่ได้หรอก เรื่องอย่างนี้ต้องคิดเอง”
“งั้นข้าฝากพี่สาวบอกด้วยแล้วกันนะว่า...เอ่อ...อยากพบมาตาฮาจิให้ได้”
“ใคร”
“ก็ มิยาโมโตะ มูซาชิครูข้าน่ะซี บอกอย่างนี้นะฟังให้ดี... ตั้งแต่วันที่หนึ่งถึงวันที่เจ็ดของปีใหม่ข้าจะไปรอที่สะพาน โอฮาชิในตำบลโกโจทุกเช้า ขอให้มาพบไม่เช้าใดก็เช้าหนึ่งระหว่างเจ็ดวันนั้น”
“โฮะ โฮะ โฮะ” อาเกมิหัวเราะ “แหมคำฝากของเอ็งทำไมมันถึงได้ยืดยาวนัก ครูของเอ็งนี่ท่าทางคงจะบ้าบอไม่แพ้เอ็งแน่ โอ๊ย...ข้าหัวเราะจนท้องแข็งแล้วนะเนี่ย หยุดไม่ได้ทำไงดี”
2
โจทาโรทำปากยื่นมองอาเกมิที่ยังกุมท้องหัวเราะไม่หยุดอย่างเคือง ๆ แล้วตวาดเสียงเกรี้ยว
“ขำอะไรนักหนาฮึ ยายมะเขือเปราะ”
ทำเอาอาเกมิตกใจ หยุดหัวเราะเป็นปลิดทิ้ง
“อ้อ...โกรธเป็นด้วยรึ”
“แน่ละซี คนเขาอุตส่าห์ขอร้องดี ๆ กลับมาหาว่าบ้าบอ”
“ขอโทษ ขอโทษ ไม่หัวเราะแล้ว และคำพูดที่ฝากไว้น่ะ หากมาตาฮาจิกลับมาจะบอกให้แน่นอน ไม่ต้องห่วงเลยนะ”
“จริงรึ”
“อือ”
อาเกมิพยักหน้า พยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ให้กี๊กออกมาอีก
“เดี๋ยวก่อน คนที่ฝากคำพูดมาชื่ออะไรนะ”
“วะ...ขี้ลืมจังนะพี่สาว ครูของข้าชื่อมิยาโมโตะ มูซาชิ”
“มูซาชิเขียนยังไง”
“มู...คือนักรบไง...” โจทาโรบอกแล้วนึกขึ้นมาได้จึงเอื้อมมือเด็ดก้านไม้ไผ่เอามาเขียนให้ดูบนพื้นทรายชายน้ำ “นี่ไง”
อาเกมิจ้องเขม็งไปที่ตัวอักษรบนพื้นทรายตรงหน้า
“นั่นมันอ่านว่าทาเกโซไม่ใช่รึ เจ้าหนูน้อย”
“ไม่ใช่ อ่านว่ามูซาชิต่างหาก”
“แต่ก็อ่านว่าทาเกโซได้ด้วย”
“ดื้อดึงจริง แม่สาวน้อย”
โจทาโรยืดอดทำท่าแก่แดด เหวี่ยงก้านไม้ไผ่ลงไปในแม่น้ำ ขณะที่อาเกมิยังมองจ้องอยู่ที่ตัวอักษรบนพื้นทรายแทบไม่กระพริบตา ความทรงจำแต่หนหลังทยอยเข้ามาในห้วงคิดเป็นฉาก ๆ จนครู่หนึ่งจึงละสายตาขึ้นมาพิศดูใบหน้าและรูปลักษณ์ของเด็กชายอีกครั้ง แล้วถอนใจยืดยาวก่อนถามขึ้นว่า
“ครูของเจ้าที่ชื่อมูซาชิเป็นคนที่มาจากโยชิโนะแห่งมิมาซากะใช่หรือไม่”
“ใช่ ข้ามาจากบันชู ใกล้กับหมู่บ้านมิยาโมโตะของครู”
“ครูของเอ็ง ร่างสูงหน้าตาท่าทางบึกบึนสมชาย และไว้ผมกระเซอะกระเซิงไม่โกนผมหน้าผากเถิกขึ้นไปเหมือนคนอื่นเขาใช่ไหม”
“เอ๊ะ ทำไมรู้ดีจัง”
“ข้าจำได้ ครั้งหนึ่งทาเกโซเคยเล่าให้ข้าฟังว่าตอนเด็ก ๆ เคยเป็นฝีบนหัว และพอหายก็มีแผลเป็นเหลืออยู่ จากนั้นก็เลยไว้ผมไม่ยอมโกน เพราะถ้าโกนผมเถิกขึ้นไปจะเห็นแผลเป็นน่าเกลียด”
“ครั้งหนึ่งน่ะเมื่อไหร่”
“ห้าปีที่แล้ว ในฤดูใบไม้ร่วงของปีที่เกิดสงครามใหญ่ที่ทุ่งเซกิงาฮาระ”
“พี่สาวรู้จักครูของข้ามานานขนาดนั้นเชียวรึ”
“... ... ...”
อาเกมิไม่ตอบ ความทรงจำครั้งนั้นพลุ่งขึ้นมาอัดอั้นอยู่เต็มอกจนพูดอะไรไม่ออก พร่ำร้องอยู่แต่ว่า...ทาเกโซ ข้าคิดถึง ทาเกโซเหลือเกิน ยิ่งได้เห็นการกระทำของแม่...ความเปลี่ยนไปของมาตาฮาจิตลอดช่วงปีที่ผ่านมา อาเกมิก็ยิ่งแน่ใจขึ้นว่าใจตนเลือกรักคนไม่ผิดมาแต่ต้น และเก็บซ่อนความภาคภูมิใจเอาไว้คนเดียวตลอดมา...ทาเกโซต่างกับมาตาฮาจิราวฟ้ากับดินจริงอย่างที่คิด
อาเกมิไม่เคยปล่อยใจให้แก่ชายใดที่แวะเวียนมาเยือนร้านน้ำชาของตนมาหน้าหลายตา เพราะไม่เคยพบใครเทียมเท่ากับทาเกโซ กิริยาท่าทีที่นางมีต่อชายอื่นจึงเย็นชา อาเกมิเก็บภาพของทาเกโซเมื่อห้าปีก่อนแอบซ่อนไว้ในส่วนลึกของหัวใจ และมีความสุขอยู่คนเดียวกับความฝันที่นางเฝ้าคอยให้ถึงวันที่เป็นจริง
“งั้นก็ช่วยด้วยนะ ถ้าพบตัวคนชื่อมาตาฮาจิ พี่สาวต้องบอกให้ได้เชียวนะ”
พอเสร็จเรื่องโจทาโรก็วิ่งขึ้นไปที่คันเขื่อนราวกับมีธุระเร่งด่วน
“รอเดี๋ยว”
อาเกมิร้องเรียกพลางวิ่งตามขึ้นไปจนทันและคว้ามือเด็กชายเอาไว้ ใบหน้าแดงเรื่องามบาดตาแม้เด็กน้อยอย่างโจทาโรก็ยังนิ่งมองขณะรอว่านางจะพูดอะไร
3
“เอ็งชื่ออะไร”
อาเกมิถามทั้งยังเหนื่อยหอบ โจทาโรบอกชื่อแล้วแหงนขึ้นมองหน้าแม่สาวน้อยที่ดูตื่นเต้นอย่างน่าประหลาด
“โจทาโร เอ็งอยู่กับท่านทาเกโซตลอดเลยรึ”
“ท่านมูซาชิต่างหาก”
“เออ ท่านมูซาชินั่นแหละ”
“ใช่ อยู่ด้วยตลอด”
“ข้าเองก็อยากพบท่านมาก เอ็งบอกข้าได้ไหมว่าตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน”
“บ้านรึ ท่านไม่มีบ้านหรอก”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“ก็ท่านกำลังออกเดินทางเพื่อฝึกวิชาดาบน่ะซี”
“แต่ก็ต้องมีที่พักแรมบ้างไม่ใช่รึ”
“ถ้าไปถามที่วัดโฮโซอินในนารา ก็คงจะรู้ละมังว่าท่านอยู่ที่ไหน”
“โธ่ นึกว่ามาที่เกียวโต”
“ปีหน้าจึงจะมา และจะอยู่ถึงเดือนหนึ่ง”
ขณะที่อาเกมิกำลังคิดวกวนอยู่ว่าจะทำยังไงต่อไปดี ก็ได้ยินเสียงโอโคเรียกออกมาจากหน้าต่างห้องครัวของร้านน้ำชา
“อาเกมิ มัวทำอะไรอยู่นั่นเป็นนานสองนาน เลิกยุ่งกับเจ้าเด็กนั่นเสียที กลับมาทำอะไรให้มันเสร็จ ๆ ไป”
คำพูดนั้นไปกระทบอารมณ์ของอาเกมิที่กำลังขุ่นเคืองกับการกระทำหลาย ๆ อย่างของมารดาเข้าพอดี จึงขึ้นเสียงตอบโต้ว่า
“เด็กคนนี้มาหามาตาฮาจิ ฉันก็ต้องไต่ถามให้รู้เรื่อง คนเรามันก็ต้องช่วยเหลือกัน”
โอโคขมวดคิ้วตาเขียวหน้าบึ้งตึง เกรี้ยวกราดขึ้นทันทีด้วยคำด่าที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากว่า หนอยแน่...พอปีกกล้าขาเข็งขึ้นหน่อยละก็ลืมตัวเถียงคำไม่ตกฟาก ลืมแล้วรึว่าใครกันที่ป้อนข้าวป้อนน้ำมาจนโตขึ้นมาเป็นนางเด็กไม่รักดี กำเริบ....
“อะไรนะ มาตาฮาจิรึ ? จะทำไม บ้านนี้ไม่มีไอ้ผู้ชายเสเพลอย่างนั้น บอกไอ้หนูนั่นไปซิว่าไม่รู้จัก แต่เอ๊ะ...หรือว่าอยากจะกลับมาแต่ไม่รู้จะทำยังไง เลยใช้ไอ้เด็กเหลือขอคนนี้มาสอดแนมล่ะซี อย่าไปยุ่งกับมัน”
โจทาโรพึมพำอย่างอ่อนใจเมื่อเห็นนางด่าทอเป็นบ้าอยู่ได้คนเดียว
“ข้าไม่ใช่เด็กเหลือขอสักหน่อย”
โอโคไม่ยอมเลิกง่าย ๆ หยุดด่าและจ้องจับว่าโจทาโรกับอาเกมิจะพูดอะไรกันอีก
“อาเกมิ เข้าบ้าน”
“ได้ไง...ฉันยังซักผ้าไม่เสร็จ”
“ที่เหลือเรียกพวกลูกจ้างไปซักเดี๋ยวนี้เลย อย่ามัวชักช้าได้เวลาต้องอาบน้ำแต่งตัวแล้วไม่ใช่รึ ดีไม่ดีท่านเซอิจูโร อาจารย์น้อยแวบมาเห็นสาระรูปอย่างนี้เข้า มันน่ารักเสียทีไหน”
“เชอะ คนอย่างนั้น ไม่มารักมาใคร่ฉันจะดีใจมาก”
อาเกมิสะบัดหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ก็จำต้องกลับเข้าบ้านก่อนที่จะโดนแม่ดุด่าเอาอีก ส่วนนางโอโคก็ผลุบหน้าหายไปเข้าไป โจทาโรมองขึ้นไปที่หน้าต่างซึ่งปิดอยู่และนินทาออกมาดัง ๆ ว่า
“โธ่เอ๊ย แก่ปูนยายแล้วยังผัดหน้าขาววอก ผู้หญิงอะไรไม่รู้ แปลกพิลึก” ยังไม่ทันสิ้นเสียงหน้าต่างก็เปิดผางออกมา
“ว่ายังไงนะไอ้เด็กเหลือขอ กล้าดีลองพูดอีกทีซิ”
“เฮ้ย ได้ยินด้วยว่ะ” โจทาโรหันวิ่งหนีแต่ไม่พ้นซุปเต้าเจี้ยวที่ถูกนางโอโคสาดลงมาเต็มหลัง เด็กชายกระโดดตัวลอยและร้องลั่นด้วยความตกใจ พอตั้งตัวติดก็วิ่งพลางร้องเพลงยั่วนางโอโคลับตัวไปพร้อมกับเสียงเพลง
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
สายลมแห่งรักเอย
ใยจึงเหนี่ยวรั้งข้าไว้
แรงยึดนั้นช่างหนักหนานัก
หรือว่ารักจะหนักปานกัน
อาเกมิเดินครวญเพลงที่จำมาจากละครโอกุนิคาบูกิเบา ๆ อ้อมไปทางหลังบ้านและลงไปซักผ้าที่ชายฝั่งแม่น้ำทากาเซะ นางโยนผืนผ้าลงไปแผ่กว้างบนพื้นน้ำแล้วแกว่งไกว พอสะอาดดีแล้วชักผ้ากลับกลีบดอกไม้ที่ร่วงโรยลอยมาตามกระแสน้ำก็พลอยตามเข้ามาด้วย ช่างชื่นใจอะไรเช่นนี้
สาวน้อยครวญเพลงต่อไปด้วยอารมณ์เพริดแพร้วไปได้อีกท่อนหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงร้องทักลงมาจากคันเขื่อนข้างบน
“น้า...ร้องเพลงเพราะจัง”
“ใครน่ะ” อาเกมิหันกลับไปร้องถาม จึงเห็นเด็กชายคนหนึ่งคาดดาบไม้เล่มยาวเกินตัวและห้อยหมวกใบใหญ่ไว้ที่หลังทำให้ดูคล้ายผู้ใหญ่ร่างเล็กเหมือนคนแคระ และพอรู้ตัวว่าอาเกมิอาเกมิมองขึ้นมาก็ยิ้มเห็นฟันขาว ดวงตากลมเป็นประกายมองตอบมาด้วยความเป็นมิตร
“เด็กที่ไหนน่ะ หนอยแน่ะทำมาเรียกข้าว่าน้า ข้ายังสาวอยู่แท้ ๆ”
“งั้นก็...แม่สาวน้อย”
“ไม่รู้ไม่ชี้ ยังเป็นเด็กไม่กี่ขวบ อย่ามาทะลึ่งเทียบรุ่น ไปเช็ดขี้มูกให้แห้งเสียก่อนไป๊”
“โธ่ จะอะไรกันนักหนา ข้าก็แค่อยากถาม”
“อ้าว...เฮ้ย ผ้าของข้าถูกน้ำพัดไปโน่นแล้ว เพราะเอ็งคนเดียวเลย”
“ไม่ต้องห่วง ข้าเก็บให้เอง”
ว่าแล้วโจทาโรก็รีบลงมาจากคันเขื่อนแล้วออกวิ่งตามผืนผ้าที่ถูกพัดพาลงไปตามกระแสน้ำ ดาบไม้เล่มยาวเกินตัวที่พกมาเป็นประโยชน์ตอนนี้เอง เมื่อเจ้าเด็กน้อยใช้มันเขี่ยผืนผ้าเกี่ยวเก็บขึ้นมาได้
“ขอบใจนะ ที่เอ็งว่าอยากถามน่ะ มันเรื่องอะไรกัน”
“ข้าอยากถามว่าแถวนี้มีร้านน้ำชาที่ชื่อโยโมงิบ้างไหม”
“โยโมงิรึ...อยู่โน่นไง บ้านข้าเอง”
“จริงเหรอ เฮ้อ...เจอเสียที ข้าหาแทบตายเลยรู้ไหม”
“เอ็งมาจากไหนฮึ เจ้าเด็กน้อย”
“มาจากทางนู้น”
“ทางนู้น ? ข้าจะรู้ไหมฮึว่าทางไหน”
“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่ข้าออกเดินทางมาน่ะมันที่ไหน”
“บ้าชะมัด”
“ใครเหรอ”
“ช่างเถอะ” อาเกมิอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “บอกมาสิว่าเอ็งมีธุระอะไรที่บ้านข้า”
“คนชื่อฮนอิเด็น มาตาฮาจิอยู่ที่บ้านเจ้าใช่ไหมล่ะ คนในโรงฝึกวิชาดาบโยชิโอกะที่ชิโจ เป็นคนบอกให้ข้ามาที่นี่”
“ไม่อยู่”
“โกหก”
“ไม่อยู่จริง ๆ ...เมื่อก่อนอยู่ แต่ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว”
“แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน”
“ไม่รู้”
“ถามคนอื่นให้หน่อยซี”
“ไม่มีใครรู้หรอก แม่ข้าก็ไม่รู้ เพราะอยู่ ๆ ก็หนีออกจากบ้านไป”
“ยุ่งละซีทีนี้”
“ใครใช้เอ็งมารึ”
“ครูของข้าน่ะซี”
“ครู ?”
“ใช่...ครูของข้า มิยาโมโตะ มูซาชิ”
“มีจดหมายหรืออะไรรึเปล่า”
โจทาโรสั่นหัว ทำตาเหมือนไม่เข้าใจคำถามมองลงไปที่สายน้ำ
“แปลกดีเหมือนกัน ใช้เด็กไปหาคนที่อยู่ไหนก็ไม่รู้แล้วยังไม่ฝากจดหมายมาด้วย”
“ครูฝากมาเป็นคำพูด”
“คำพูดว่ายังไง เอ็งจะฝากไว้ก็ได้นะ...คิดว่ามาตาฮาจิอาจไม่กลับมาอีกแล้ว แต่ถ้าหากเกิดกลับมาข้าจะบอกให้เอง”
“เอ...ทำอย่างนั้นดีไหมไม่รู้”
“จะมาหารือข้าไม่ได้หรอก เรื่องอย่างนี้ต้องคิดเอง”
“งั้นข้าฝากพี่สาวบอกด้วยแล้วกันนะว่า...เอ่อ...อยากพบมาตาฮาจิให้ได้”
“ใคร”
“ก็ มิยาโมโตะ มูซาชิครูข้าน่ะซี บอกอย่างนี้นะฟังให้ดี... ตั้งแต่วันที่หนึ่งถึงวันที่เจ็ดของปีใหม่ข้าจะไปรอที่สะพาน โอฮาชิในตำบลโกโจทุกเช้า ขอให้มาพบไม่เช้าใดก็เช้าหนึ่งระหว่างเจ็ดวันนั้น”
“โฮะ โฮะ โฮะ” อาเกมิหัวเราะ “แหมคำฝากของเอ็งทำไมมันถึงได้ยืดยาวนัก ครูของเอ็งนี่ท่าทางคงจะบ้าบอไม่แพ้เอ็งแน่ โอ๊ย...ข้าหัวเราะจนท้องแข็งแล้วนะเนี่ย หยุดไม่ได้ทำไงดี”
2
โจทาโรทำปากยื่นมองอาเกมิที่ยังกุมท้องหัวเราะไม่หยุดอย่างเคือง ๆ แล้วตวาดเสียงเกรี้ยว
“ขำอะไรนักหนาฮึ ยายมะเขือเปราะ”
ทำเอาอาเกมิตกใจ หยุดหัวเราะเป็นปลิดทิ้ง
“อ้อ...โกรธเป็นด้วยรึ”
“แน่ละซี คนเขาอุตส่าห์ขอร้องดี ๆ กลับมาหาว่าบ้าบอ”
“ขอโทษ ขอโทษ ไม่หัวเราะแล้ว และคำพูดที่ฝากไว้น่ะ หากมาตาฮาจิกลับมาจะบอกให้แน่นอน ไม่ต้องห่วงเลยนะ”
“จริงรึ”
“อือ”
อาเกมิพยักหน้า พยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ให้กี๊กออกมาอีก
“เดี๋ยวก่อน คนที่ฝากคำพูดมาชื่ออะไรนะ”
“วะ...ขี้ลืมจังนะพี่สาว ครูของข้าชื่อมิยาโมโตะ มูซาชิ”
“มูซาชิเขียนยังไง”
“มู...คือนักรบไง...” โจทาโรบอกแล้วนึกขึ้นมาได้จึงเอื้อมมือเด็ดก้านไม้ไผ่เอามาเขียนให้ดูบนพื้นทรายชายน้ำ “นี่ไง”
อาเกมิจ้องเขม็งไปที่ตัวอักษรบนพื้นทรายตรงหน้า
“นั่นมันอ่านว่าทาเกโซไม่ใช่รึ เจ้าหนูน้อย”
“ไม่ใช่ อ่านว่ามูซาชิต่างหาก”
“แต่ก็อ่านว่าทาเกโซได้ด้วย”
“ดื้อดึงจริง แม่สาวน้อย”
โจทาโรยืดอดทำท่าแก่แดด เหวี่ยงก้านไม้ไผ่ลงไปในแม่น้ำ ขณะที่อาเกมิยังมองจ้องอยู่ที่ตัวอักษรบนพื้นทรายแทบไม่กระพริบตา ความทรงจำแต่หนหลังทยอยเข้ามาในห้วงคิดเป็นฉาก ๆ จนครู่หนึ่งจึงละสายตาขึ้นมาพิศดูใบหน้าและรูปลักษณ์ของเด็กชายอีกครั้ง แล้วถอนใจยืดยาวก่อนถามขึ้นว่า
“ครูของเจ้าที่ชื่อมูซาชิเป็นคนที่มาจากโยชิโนะแห่งมิมาซากะใช่หรือไม่”
“ใช่ ข้ามาจากบันชู ใกล้กับหมู่บ้านมิยาโมโตะของครู”
“ครูของเอ็ง ร่างสูงหน้าตาท่าทางบึกบึนสมชาย และไว้ผมกระเซอะกระเซิงไม่โกนผมหน้าผากเถิกขึ้นไปเหมือนคนอื่นเขาใช่ไหม”
“เอ๊ะ ทำไมรู้ดีจัง”
“ข้าจำได้ ครั้งหนึ่งทาเกโซเคยเล่าให้ข้าฟังว่าตอนเด็ก ๆ เคยเป็นฝีบนหัว และพอหายก็มีแผลเป็นเหลืออยู่ จากนั้นก็เลยไว้ผมไม่ยอมโกน เพราะถ้าโกนผมเถิกขึ้นไปจะเห็นแผลเป็นน่าเกลียด”
“ครั้งหนึ่งน่ะเมื่อไหร่”
“ห้าปีที่แล้ว ในฤดูใบไม้ร่วงของปีที่เกิดสงครามใหญ่ที่ทุ่งเซกิงาฮาระ”
“พี่สาวรู้จักครูของข้ามานานขนาดนั้นเชียวรึ”
“... ... ...”
อาเกมิไม่ตอบ ความทรงจำครั้งนั้นพลุ่งขึ้นมาอัดอั้นอยู่เต็มอกจนพูดอะไรไม่ออก พร่ำร้องอยู่แต่ว่า...ทาเกโซ ข้าคิดถึง ทาเกโซเหลือเกิน ยิ่งได้เห็นการกระทำของแม่...ความเปลี่ยนไปของมาตาฮาจิตลอดช่วงปีที่ผ่านมา อาเกมิก็ยิ่งแน่ใจขึ้นว่าใจตนเลือกรักคนไม่ผิดมาแต่ต้น และเก็บซ่อนความภาคภูมิใจเอาไว้คนเดียวตลอดมา...ทาเกโซต่างกับมาตาฮาจิราวฟ้ากับดินจริงอย่างที่คิด
อาเกมิไม่เคยปล่อยใจให้แก่ชายใดที่แวะเวียนมาเยือนร้านน้ำชาของตนมาหน้าหลายตา เพราะไม่เคยพบใครเทียมเท่ากับทาเกโซ กิริยาท่าทีที่นางมีต่อชายอื่นจึงเย็นชา อาเกมิเก็บภาพของทาเกโซเมื่อห้าปีก่อนแอบซ่อนไว้ในส่วนลึกของหัวใจ และมีความสุขอยู่คนเดียวกับความฝันที่นางเฝ้าคอยให้ถึงวันที่เป็นจริง
“งั้นก็ช่วยด้วยนะ ถ้าพบตัวคนชื่อมาตาฮาจิ พี่สาวต้องบอกให้ได้เชียวนะ”
พอเสร็จเรื่องโจทาโรก็วิ่งขึ้นไปที่คันเขื่อนราวกับมีธุระเร่งด่วน
“รอเดี๋ยว”
อาเกมิร้องเรียกพลางวิ่งตามขึ้นไปจนทันและคว้ามือเด็กชายเอาไว้ ใบหน้าแดงเรื่องามบาดตาแม้เด็กน้อยอย่างโจทาโรก็ยังนิ่งมองขณะรอว่านางจะพูดอะไร
3
“เอ็งชื่ออะไร”
อาเกมิถามทั้งยังเหนื่อยหอบ โจทาโรบอกชื่อแล้วแหงนขึ้นมองหน้าแม่สาวน้อยที่ดูตื่นเต้นอย่างน่าประหลาด
“โจทาโร เอ็งอยู่กับท่านทาเกโซตลอดเลยรึ”
“ท่านมูซาชิต่างหาก”
“เออ ท่านมูซาชินั่นแหละ”
“ใช่ อยู่ด้วยตลอด”
“ข้าเองก็อยากพบท่านมาก เอ็งบอกข้าได้ไหมว่าตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน”
“บ้านรึ ท่านไม่มีบ้านหรอก”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“ก็ท่านกำลังออกเดินทางเพื่อฝึกวิชาดาบน่ะซี”
“แต่ก็ต้องมีที่พักแรมบ้างไม่ใช่รึ”
“ถ้าไปถามที่วัดโฮโซอินในนารา ก็คงจะรู้ละมังว่าท่านอยู่ที่ไหน”
“โธ่ นึกว่ามาที่เกียวโต”
“ปีหน้าจึงจะมา และจะอยู่ถึงเดือนหนึ่ง”
ขณะที่อาเกมิกำลังคิดวกวนอยู่ว่าจะทำยังไงต่อไปดี ก็ได้ยินเสียงโอโคเรียกออกมาจากหน้าต่างห้องครัวของร้านน้ำชา
“อาเกมิ มัวทำอะไรอยู่นั่นเป็นนานสองนาน เลิกยุ่งกับเจ้าเด็กนั่นเสียที กลับมาทำอะไรให้มันเสร็จ ๆ ไป”
คำพูดนั้นไปกระทบอารมณ์ของอาเกมิที่กำลังขุ่นเคืองกับการกระทำหลาย ๆ อย่างของมารดาเข้าพอดี จึงขึ้นเสียงตอบโต้ว่า
“เด็กคนนี้มาหามาตาฮาจิ ฉันก็ต้องไต่ถามให้รู้เรื่อง คนเรามันก็ต้องช่วยเหลือกัน”
โอโคขมวดคิ้วตาเขียวหน้าบึ้งตึง เกรี้ยวกราดขึ้นทันทีด้วยคำด่าที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากว่า หนอยแน่...พอปีกกล้าขาเข็งขึ้นหน่อยละก็ลืมตัวเถียงคำไม่ตกฟาก ลืมแล้วรึว่าใครกันที่ป้อนข้าวป้อนน้ำมาจนโตขึ้นมาเป็นนางเด็กไม่รักดี กำเริบ....
“อะไรนะ มาตาฮาจิรึ ? จะทำไม บ้านนี้ไม่มีไอ้ผู้ชายเสเพลอย่างนั้น บอกไอ้หนูนั่นไปซิว่าไม่รู้จัก แต่เอ๊ะ...หรือว่าอยากจะกลับมาแต่ไม่รู้จะทำยังไง เลยใช้ไอ้เด็กเหลือขอคนนี้มาสอดแนมล่ะซี อย่าไปยุ่งกับมัน”
โจทาโรพึมพำอย่างอ่อนใจเมื่อเห็นนางด่าทอเป็นบ้าอยู่ได้คนเดียว
“ข้าไม่ใช่เด็กเหลือขอสักหน่อย”
โอโคไม่ยอมเลิกง่าย ๆ หยุดด่าและจ้องจับว่าโจทาโรกับอาเกมิจะพูดอะไรกันอีก
“อาเกมิ เข้าบ้าน”
“ได้ไง...ฉันยังซักผ้าไม่เสร็จ”
“ที่เหลือเรียกพวกลูกจ้างไปซักเดี๋ยวนี้เลย อย่ามัวชักช้าได้เวลาต้องอาบน้ำแต่งตัวแล้วไม่ใช่รึ ดีไม่ดีท่านเซอิจูโร อาจารย์น้อยแวบมาเห็นสาระรูปอย่างนี้เข้า มันน่ารักเสียทีไหน”
“เชอะ คนอย่างนั้น ไม่มารักมาใคร่ฉันจะดีใจมาก”
อาเกมิสะบัดหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ก็จำต้องกลับเข้าบ้านก่อนที่จะโดนแม่ดุด่าเอาอีก ส่วนนางโอโคก็ผลุบหน้าหายไปเข้าไป โจทาโรมองขึ้นไปที่หน้าต่างซึ่งปิดอยู่และนินทาออกมาดัง ๆ ว่า
“โธ่เอ๊ย แก่ปูนยายแล้วยังผัดหน้าขาววอก ผู้หญิงอะไรไม่รู้ แปลกพิลึก” ยังไม่ทันสิ้นเสียงหน้าต่างก็เปิดผางออกมา
“ว่ายังไงนะไอ้เด็กเหลือขอ กล้าดีลองพูดอีกทีซิ”
“เฮ้ย ได้ยินด้วยว่ะ” โจทาโรหันวิ่งหนีแต่ไม่พ้นซุปเต้าเจี้ยวที่ถูกนางโอโคสาดลงมาเต็มหลัง เด็กชายกระโดดตัวลอยและร้องลั่นด้วยความตกใจ พอตั้งตัวติดก็วิ่งพลางร้องเพลงยั่วนางโอโคลับตัวไปพร้อมกับเสียงเพลง