xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ ภาค 2 น้ำ ตอน เวียนวนไปจึงไม่พบเจอ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา


1
คนเดินทางทั้งสามเห็นสะพานอูจิบาชิอยู่เบื้องหน้า

และเมื่อเดินไปถึงก็พบร้านน้ำชาซือเอ็นอยู่ตรงเชิงสะพาน พ่อเฒ่าเจ้าของร้านหน้าตาท่าทางเป็นผู้ดีมีสง่าราศีนั่งอยู่บนแคร่ใต้ชายคาข้างตัวมีหม้อต้มน้ำสำหรับชงชาต้อนรับคนเดินทางเป็นด่านแรก

พอแกเห็นโชดะซามูไรร่างใหญ่เคราดำเข้าก็ร้องทักด้วยความคุ้นเคย

“อ้าว...นั่นท่านซามูไรที่โคยากิวมิใช่รึ เชิญ เชิญ...เชิญนั่งพักดื่มน้ำชาให้สบายก่อนดีไหม”

“เดินทางมาไกลได้นั่งพักสักหน่อยก็ดี...อ้อ แล้วช่วยหาขนมอะไรให้เจ้าหนุ่มน้อยกินสักหน่อยก็จะดี”

โจทะโรได้ขนมมานั่งกินอยู่ไม่กี่อึดใจก็เบื่อ เริ่มหยุกหยิกอยู่ไม่สุขมองนั่นมองนี่ มองขึ้นไปที่เนินเขาหลังร้านน้ำชา และคงจะเห็นสนุกจึงลุกขึ้นเดินอ้อมไปข้างหลังร้านแล้วปีนขึ้นไปด้วยความซุกซน

โอซือดื่มชาพลางถามพ่อเฒ่าว่า

“นารายังอยู่อีกไกลไหมจ้ะ พ่อเฒ่า”

“ก็อีกโขอยู่ ถึงเป็นมีเรี่ยวแรงเดินเร็วกว่าจะถึงคิซุก็มืดพอดี ผู้หญิงอย่างแม่หนูคงต้องพักเสียที่ทางะหรือไม่ก็อิเดะ”

ซามูไรเคราดำได้จังหวะจึงสอดขึ้นว่า

“แม่นางคนนี้ตามหาคนคนหนึ่งมาหลายปี และกำลังมุ่งหน้าไปนาราเผื่อว่าจะได้เจอคนคนนั้น ข้ากำลังเป็นห่วงอยู่ ไม่รู้ว่าเหมาะไหมที่ผู้หญิงสาวจะเข้าไปที่นาราคนเดียวในช่วงเวลาเช่นนี้ พ่อเฒ่าคิดว่ายังไง”

พ่อเฒ่าเบิกตาโต

“จะเข้าไปคนเดียวรึ ไม่ได้ ไม่ได้”

พ่อเฒ่าร้านน้ำชาโบกไม้โบกมือ

“อย่าคิดเข้าไปเลยทีเดียว ถ้าคนที่แม่นางอยากพบอยู่ที่นาราจริงและรู้ตำแหน่งแห่งที่ก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าไม่ใช่ก็เลิกคิดเลยทีเดียว เพราะที่นั้นมีแต่เรื่องวุ่นวายแทบทุกวัน”

ว่าแล้วพ่อเฒ่าก็ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่น่ากลัวหลายเรื่องขึ้นมาเล่า เพื่อเน้นย้ำว่าเมืองนาราตอนนี้น่ากลัวจริง ๆ ไม่ควรที่ผู้หญิงสาวจะหลงเข้าไปเดินสะเปะสะปะหาคนหายแต่เพียงคนเดียว

เมื่อพูดถึงนารา ผู้คนไม่ว่ายุคใดสมัยใดจะนึกถึงเมืองที่เคยเป็นนครหลวงเก่าแก่อันสงบสุข โบสถ์วิหารสีเขียวสีแดงคล้ำอันเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาและดวงตาใสแจ๋วแหววของกวางที่เดินตามกันเป็นฝูง ไม่มีสงครามและความอดอยากยากแค้นเข้ามากล้ำกราย แต่จริง ๆ แล้วหาได้เป็นดังที่จินตนาการกันไม่---พ่อเฒ่าร้านน้ำชายกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบก่อนสาธยายต่อ

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะหลังจากการสู้รบที่ทุ่งเซกิงาฮาระรู้แพ้รู้ชนะ นักรบฝ่ายปราชัยที่รอดชีวิตมาได้จำนวนไม่น้อยต่างพากันหลบหนีการไล่ล่าของฝ่ายชนะอย่างหัวซุกหัวซุนเข้ามาซ่อนตัวแถวนารากับโคยาซัน ส่วนใหญ่เป็นซามูไรโอซากาที่อยู่ในกองทัพฝ่ายตะวันตก ไม่มีฝีไม้ลายมือพอที่จะทำอาชีพอื่นได้แต่แฝงตัวเป็นซามูไรไร้นาย ยิ่งรัฐบาลโทกุงาวะเรืองอำนาจขึ้นเรื่อย ๆ อยู่อย่างนี้ พวกนั้นก็ไม่มีหน้าออกมาเดินผึ่งผายรับสายลมแสงแดดอีกแน่

ประมาณกันว่ามีซามูไรที่แตกทัพมาจากเซกิงาฮาระครั้งนั้นประมาณหนึ่งแสนกับอีกสองสามหมื่นคน เดินทางพเนจรเป็น โรนินอยู่ทั่วไปในช่วงห้าปีที่ผ่านมานี้

หลังจากได้ชัยชนะในมหาสงครามที่เซกิงาฮาระ โทกุงาวะก็ได้เถลิงอำนาจจัดตั้งรัฐบาลโชกุนคณะใหม่ขึ้นมาปกครองญี่ปุ่นโดยได้ขยายอาณาเขตออกไปกว้างใหญ่ไพศาลจากการที่ได้ยึดแว่นแคว้นเข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองเป็นจำนวนมาก

ผู้ครองแคว้นที่ได้รับสิทธิอำนาจในการปกครองแว่นแคว้นของตนก็อยู่กันไป แม้ถูกจำกัดให้อยู่ในขอบเขตที่รัฐบาลโชกุนกำหนด แต่มีผู้ครองแคว้นถึงกว่าแปดสิบตระกูลต้องสูญเสียอำนาจอย่างสิ้นเชิง และแน่นอนว่าซามูไรและบริวารอื่น ๆ ที่พึ่งพากันอยู่ต้องถูกลอยแพ ลือกันว่ารวมแล้วเป็นแสน

ท้องที่แถบนาราและโคยาซังมีวัดพุทธศาสนาอยู่มากมาย บรรดาซามูไรจึงอาศัยเป็นที่ซ่อนตัวได้อย่างปลอดภัยเพราะนักรบฝ่ายรัฐบาลตามเข้าไปค้นหาตัวได้ยาก อย่างเช่น ซานาดะ-ซาเอมอนโนะโจ-ยูกิมูระซ่อนตัวอยู่ที่ภูเขาคูโดยามะ, คิตะ- จูซาเอมอนซามูไรแคว้นนัมบุไปอยู่ที่โคยาซัน, เซ็นโกกุ-โซยะไปอยู่ที่วัดโฮริวจิ, บัน-ดันเอมอนไปอยู่ที่วัดโคฟุกุจิ และยังมีนักรบฝีมือดีอีกมากมายหลายคนที่ซุ่มตัวคอยวันหน้าฟ้าใหม่ของตนอย่างอดทนอยู่ในเงามืด เพราะหากปรากฏตัวออกมาเป็นต้องถูกสังหารทันใด

ที่พูดถึงนั้นคือซามูไรระดับแม่ทัพนามกระเดื่อที่ยังมีบารมีพอที่จะใช้ชีวิตอย่างสัมถะแม้ในระหว่างลี้ภัย แต่ถ้าไปตามซอกซอยในเมืองนาราจะพบแต่พวกโรนินไร้นายไร้อาชีพ หมดตัวจนต้องขายดาบคู่ชีพแล้วก็ยังไม่มีจะกิน ยึดเอาซอกซอยเป็นที่สร้างรังนอนไม่คิดที่จะรักษาศักดิ์ศรีของซามูไรกันแล้ว กลุ้มหนักเข้าก็หาเรื่องทะเลาะวิวาทกันเอง คิดตื้น ๆ ว่าการก่อกวนความสงบภายใต้การปกครองของรัฐบาลโทกุงาวะ จะทำให้กองทัพด้านโอซากาลุกขึ้นมาจับอาวุธขึ้นสู้อีกครั้ง

“คิดดูก็แล้วกันว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากสาวสวยแม่นางผ่านเข้าไปในดงของโรนินจนตรอกพวกนี้คนเดียว ข้าคิดว่ามันเหมือนกับเอาน้ำมัดราดกิโมโนแล้วกระโจนลงไปในกองไฟเลยทีเดียว”

พ่อเฒ่าร้านน้ำชาสาธยายมายืดยาวและปิดท้ายด้วยการห้ามโอซือเสียงแข็ง


2



โอซือฟังแล้วนิ่งคิดตริตรองอยู่ครู่หนึ่ง

ฟังคำบอกเล่าของพ่อเฒ่าร้านน้ำชาแล้วรู้สึกว่านาราน่ากลัวจริง


หากได้เบาะแสอะไรสักนิดว่ามูซาชิอยู่ที่นั่น
ตนก็จะไปไม่ว่าจะต้องฝ่าอันตรายใด ๆ ก็ตาม

แต่...ถึงโอซือไม่รู้อะไรเลย
ไม่รู้เท่า ๆ กับเมื่อออกเดินทางจากเชิงสะพานฮานาดะบาชิท้ายปราสาทฮิเมจิวันนั้น

เวลาผ่านมาหลายปีแต่โอซือก็ยังเดินทางต่อไปอย่างไม่มีจุดหมาย
ไปถึงที่หนึ่งแล้วก็ออกเดินทางไปอีกที่หนึ่ง
ไม่ผิดอะไรกับคนหลงทางที่พยายามหาทางไปยังจุดหมายที่คนก็ไม่รู้ว่าที่ไหน
เหมือนคนพเนจรและวันนี้ก็เช่นกัน...

“เอ่อ...แม่นาง...แม่บอกว่าชื่อโอซือใช่ไหม”

โชดะซามูไรเคราดำเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นโอซือทำหน้าลังเล

“ข้าว่าจะพูดแต่ก็ไม่ได้ช่องเสียที...เอาอย่างนี้ไหม
แทนที่จะไปนารา เจ้าไปโคยากิวกับข้าดีกว่าไหม”

ว่าแล้วก็ชี้แจงโดยละเอียดว่าตนเป็นใครมาจากไหน

“ข้าชื่อโชดะ คิซาเอมอนเป็นบริวารของตระกูลนักรบโคยากิว
ระยะนี้ประมุขของตระกูลอายุเกือบแปดสิบ ร่างกายอ่อนแอลงไปทุกวัน
ใช้ชีวิตอยู่อย่างเบื่อหน่ายไม่ร่าเริงแจ่มใส
ได้ยินเจ้าบอกว่าเป่าขลุ่ยหาเลี้ยงชีพ
ก็เลยคิดว่าเสียงขลุ่ยของเจ้าอาจช่วยให้ใจของเจ้านายข้าเบิกบานขึ้นมาบ้างก็ได้
ว่ายังไงแม่จะไปกับข้าไหม”

พ่อเฒ่าร้านน้ำชาที่นั่งฟังนั่งอยู่ข้าง
ๆ พยักพเยิดเห็นพ้องด้วยกับซามูไรร่างใหญ่ และสนับสนุนเป็นการใหญ่

“ข้าเห็นด้วย
แม่นางไปกับท่านซามูไรเป็นดีที่สุด ไม่รู้ว่าแม่เคยได้ยินกิติศัพท์มาบ้างหรือเปล่า
แต่ข้าจะบอกให้ว่า ท่าน ยากิว
มูเนโยชิ คือประมุขของตระกูลแห่งโคยากิว
ตอนนี้ท่านสละตำแหน่งหน้าที่หมดแล้วได้รับชื่อตามอาวุโสว่าเซกิชูไซ
ส่วนนายน้อยผู้สืบตระกูลชื่อมูเนโนะริผู้ครองเขตทาจิมะนั้น หลังเสร็จศึกสงครามที่เซกิงาฮาระ
รัฐบาลโชกุนก็เรียกตัวเข้า
เอโดะทันที เพื่อรับตำแหน่งครูดาบประจำตระกูลโชกุน
ตระกูลของท่านยิ่งใหญ่มาก
และการที่ได้รับเชิญให้ไปที่บ้านท่านนั้นนับเป็นเกียรติอย่างสูง
ไม่มีอะไรจะเหมาะสมสำหรับแม่นางมากไปกว่านี้อีกแล้ว
ข้าจึงคิดว่าควรตามท่านซามูไรไปโคยากิวเดี๋ยวนี้เลย”

เมื่อได้ยินชื่อยากิวซึ่งเป็นตระกูลนักรบที่มีชื่อระบือไกล
โอซือจึงมั่นใจว่าซามูไรเคราดำที่ชื่อโชดะ คิซาเอมอนผู้นี้ไม่ใช่ธรรมดา
แต่ก็อ้ำอึ้งอยู่ไม่อาจตอบรับคำได้ในทันที

“ไม่สนใจคำชวนของข้าอย่างนั้นรึ”

โชดะถามด้วยอย่างค่อนข้างผิดหวัง

“ไม่ใช่อย่างนั้นเจ้าค่ะ
ฉันไม่นึกฝันว่าท่านกรุณาให้โอกาสดีเช่นนี้ แต่หวั่นใจว่าคนเป่าขลุ่ยที่ไม่มีวิชาไม่มีครูอย่างฉันจะเผยอหน้าไปเป่าขลุ่ยให้ท่านผู้เป็นประมุขแห่งตระกูลอันยิ่งใหญ่ฟังได้อย่างไร”

“ไม่ต้องกังวลไปเลย
ถ้าแม่คิดว่าตระกูลยากิวเหมือนกับผู้ครองแคว้นทั่ว ๆ ไปละก็ผิดถนัด ท่านเซกิชูไซไม่เหมือนกับใครทั้งนั้น
ท่านมีความสุขอยู่กับชีวิตที่เรียบง่ายในวัยชรา
ราวกับผู้ที่ครองตนอยู่ในวิถีแห่งชา ท่านจะไม่ชอบใจเลยถ้าได้ยินว่าเจ้าหวั่นเกรงเช่นนั้น”

โอซือไตร่ตรองถี่ถ้วนแล้วออกจะเห็นแสงแห่งความหวังจากการตามซามูไรเคราดำไปโคยากิวมากกว่าไปนาราตามความตั้งใจเดิม
หลังเจ้าสำนักโยชิโอกะถึงแก่กรรมตระกูลยากิวก็ได้ครองความเป็นหนึ่งในวิชาดาบของญี่ปุ่น
และแน่นอนว่าจะต้องมีนักดาบของแว่นแคว้นต่าง ๆ
ที่อยู่ระหว่างการเดินทางฝึกวิชาดาบจะมุ่งหน้ามาเยือนกันทั้งนั้น
และสำนักดาบนี้คงต้องมีสมุดจดรายชื่อผู้มาเยือนโรงฝึกวิชาดาบเอาไว้
---และในจำนวนนั้นอาจมีชื่อ---มิยาโมโตะ มูซาชิ ที่นางเดินตามหามาเป็นปี ๆ
อยู่ในสมุดนั้นก็ได้ ไม่รู้ว่าถ้าพบจริง ๆ โอซือจะดีใจปานใด

“ถ้าเช่นนั้น ถ้าท่านไม่รังเกียจ
ฉันขอไปด้วยคน”

โชดะถึงกับทำตาโตเหมือนไม่เชื่อหูเมื่อได้ยินโอซือตอบเสียงใส

“ตกลงไปด้วยรึโอซือ วิเศษแท้”

ซามูไรเคราดำดีใจจนออกนอกหน้า

“เอ
แต่ข้าไม่มั่นใจว่าผู้หญิงจะเดินถึงที่นั่นได้ก่อนค่ำหรือเปล่า นี่แน่ะโอซือ
แม่ขี่ม้าเป็นไหม”

“ฉันขี่ได้”

พอได้ยินคำตอบโชดะก็เดินออกไปนอกชายคาร้านน้ำชา
ยกมือไปทางเชิงสะพานอุจิบาชิ
เท่านั้นเองคนจูงม้าที่นั่งคอยลูกค้าอยู่แถวนั้นก็กระโจนเข้ามาหา โชดะให้โอซือขี่ม้าส่วนตนเองเดินไปข้าง


โจทาโรที่ปีนขึ้นไปเล่นอยู่บนเนินเขาหลังร้านน้ำชาเห็นเข้าจึงร้องถามลงมาว่า

“จะไปกันแล้วเหรอ”

“ใช่ ออกเดินทางเดี๋ยวนี้ละ”

“รอเดี๋ยว”

โจทาโรวิ่งตามไปทันกันบนสะพาน
ซามูไรเคราดำถามว่าไปทำอะไรมา
โจทาโรเล่าว่าตนเดินเข้าไปในป่าพบคนกลุ่มใหญ่กำลังเล่นอะไรไม่รู้สนุกดีเลยหยุดดู

คนจูงม้าหัวเราะขบขันบอกว่า

“นาย...นั่นมันพวกโรนินมาจับกลุ่มเล่นการพนันกัน
พวกเสือหิวไม่มีเงินกินข้าวก็เลยมาดักนักเดินทางแถวนี้
พอเจอใครเข้าก็ล่อเข้าไปเล่นแล้วก็รวมหัวกันโกงจนหมดตูดเป็นแถว”

3



สาวงามนักเดินทางสวมหมวกฟางนั่งอยู่บนหลังม้า
โจทาโรกับโชดะ คิซาเอมอนซามูไรเคราดำเดินขนาบข้าง และเด็กหนุ่มเดินหน้าระรื่นจูงม้าคู่ใจเร่งรุดข้ามสะพานอูจิบาชิตรงไปข้างหน้า

ไม่นานก็ขึ้นไปเดินอยู่บนคันเขื่อนแม่น้ำคิซึงาวะ
มองเห็นทิวทัศน์ของที่ราบลุ่มแม่น้ำ ท้องฟ้าเกลื่อนไปด้วยปุยเมฆงดงามราวภาพเขียน

“หือ...พวกโรนินเล่นการพนันหาเลี้ยงชีพกันรึ”

“พวกเล่นการพนันยังดีนะนาย ที่ร้ายกว่านั้นเห็นจะเป็นพวกลักพาตัวผู้หญิง
พวกล่อลวงยืมเงินแล้วเชิดหนี และอะไร
ร้าย ๆ อีกหลายอย่าง ไม่มีใครทำอะไรได้”

“เจ้าเมืองนิ่งดูดายอยู่ได้ยังไงกัน”

“โอ๊ย...ท่านเจ้าเมืองเอาไม่อยู่หรอกครับ
แห่มาอยู่กันมากมายก่ายกองขนาดนั้น ถ้าโรนินจากคาวิจิ ยามาโตะ
และคีอิมารวมตัวกันจะได้เป็นกองทัพที่ใหญ่กว่าของเจ้าเมืองอีก”

“รู้สึกว่าจะมีพวกที่มาจากโคงะด้วยใช่ไหม”

“ใช่
ซามูไรจากซึซึอิหนีเข้ามากันเยอะเลย ดูกระเหี้ยนกระหือรือกันเหลือเกิน
ราวกับว่าถ้าไม่ได้ออกรบอีกครั้งคงนอนตายตาไม่หลับ”

โจทาโรที่นิ่งฟังโชดะกับคนจูงม้าคุยกันอยู่นาน
จู่ ๆ ก็สอดขึ้นว่า

“พวกท่านพูดถึงโรนิน
โรนินไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ พวกโรนินดี ๆ ก็มีไม่ใช่รึ”

“มีซิ มีแน่นอน”

“ครูดาบของข้าก็โรนินคนหนึ่ง”

“ฮะ ฮะ ฮะ มิน่าล่ะถึงได้เถียงแทน เจ้าเป็นศิษย์ที่รู้คุณครูดีมาก
แต่เอ...เห็นเจ้าว่าจะไปที่วัดโฮโซอินใช่ไหม ครูของเจ้าที่วัดโฮโซอินอย่างนั้นรึ”

“ครูสั่งว่าให้ไปที่วัดโฮโซอิน
ไปแล้วจะรู้เองว่าครูอยู่ที่ไหน”

“ครูของเจ้าเป็นนักดาบสำนักไหน”

“ไม่รู้ซี”

“อ้าวเป็นลูกศิษย์
ทำไมถึงไม่รู้ว่าครูของตัวเป็นนักดาบสำนักไหน อย่างนี้ก็ได้รึ”

คนจูงม้าแซงขึ้นว่า

“นาย...สมัยนี้ใคร ๆ
ก็เป็นนักดาบออกเดินทางฝึกวิชากันทั้งนั้น ข้าเดินจูงม้าอยู่แถวนี้ วัน ๆ
จะเจอนักดาบผู้มีวิชาแก่กล้าวันละห้าคนสิบคน เดินเกร่อแทบจะชนกัน”

“อย่างนั้นทีเดียวรึ”

“สมัยนี้ใคร ๆ ก็อยากฝึกวิชาดาบกัน
เพราะเขาลือกันว่าตอนนี้พวกผู้ครองนครเริ่มไหวตัวกันแล้วนะขอรับ พอรู้ว่ามี นักดาบฝีมือดีมีวิชาอยู่ที่ไหน
ก็จะพากันมารุมแย่งเอาตัวไป แข่งกันเสนอค่าตัวเพื่อจะได้เอาไปเป็นบริวาร”

“หือ อย่างนี้ก็ก้าวหน้าเร็วน่ะซี”

“ดูอย่างเจ้าหนูนั่นตัวนิดเดียวพกดาบไม้ด้ามยาวกว่าตัวเสียอีก
นี่คงคิดว่าการได้เรียนรู้วิธีโรมรันฟันตูกับใคร ๆ จะทำได้เป็นผู้ชายเต็มตัวละซีท่า
น่ากลัวแท้ ถ้ามีคนแบบนี้มาก ๆ สุดท้ายมันก็ต้องอดโซกันทั้งนั้น”

โจทาโรโกรธ
ทำหน้าถมึงทึงตวาดว่า

“เจ้าคนจูงม้า กล้าดีพูดอีกทีซี”

“ดูนั่น เหมือนตัวหมัดพกไม้จิ้มฟัน
ทำปากดี คิดว่าตัวเองเป็นนักดาบผู้เก่งกล้านักละซี”

“ฮะ ฮะ ฮะ อย่าโกรธ อย่าโกรธโจทาโร
เดี๋ยวของสำคัญที่ห้อยคออยู่ก็หลุดหายอีกหรอก”

“คราวนี้ ไม่เป็นไรหรอกท่าน
ไม่หลุดแล้ว”

“เอาละ เรือข้ามฝากแม่น้ำคิซึงาวะมาเมื่อไรเราก็จะต้องแยกทางกัน
จะค่ำแล้วคงต้องรีบหน่อยละเจ้า อย่ามัวเถลไถลอยู่”

“แล้วโอซือล่ะ”

“ฉันตกลงใจตามท่านโชดะไปที่ปราสาทแห่งโคยากิว—โจทาโรเดินทางดี
ๆ รักษาเนื้อรักษาตัวให้ปลอดภัยนะ”

“ว้า
ข้าต้องเดินคนเดียวอีกหรือนี่”

“ถ้าดวงชะตาเรายังผูกพันกันอยู่
ฉันคิดว่าเราอาจพบกันอีกที่ไหนสักแห่งไม่วันใดก็วันหนึ่ง โจทาโรก็เป็นนักเดินทาง
ฉันก็ยังจะมีชีวิตอยู่กับการเดินทางเที่ยวหาคนที่อยากพบต่อไปจนกว่าจะพบ
ไม่รู้ว่าจะอีกนานเพียงใด และจะได้พบที่ไหน”

“โอซือ เที่ยวหาใครกัน
บอกหน่อยไม่ได้รึ”

“... ... ...”

โอซือไม่ตอบได้แต่ส่งสายตาแทนคำบอกลาลงมาจากหลังม้า
โจทาโรออกวิ่งลงไปที่ชายน้ำแล้วกระโจนลงไปกลางลำเรือข้ามฟากที่เข้ามาเทียบท่ารอคนโดยสาร

โจทาโรเหลียวหลังไปมองเมื่อคนเรือคัดท้ายนำเรือข้ามฟาก
อาบแสงแดงของอาทิตย์ยามอัสดงข้ามตัดกระแสน้ำไปถึงกลางกลางลำน้ำ
ม้าที่โอซือขี่อยู่กับโชดะกำลังเดินไปตามทางวัดคาซางิจิในหุบเขาขึ้นไปทางต้นแม่น้ำคิซึงาวะหายเข้าไปในเงาหมู่ไม้บนภูเขาเห็นเพียงไฟเรือง
ๆ จากโคมส่องทาง


กำลังโหลดความคิดเห็น