นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
“ไป...วันนี้ข้าไปแน่”
จะว่าไปวันนี้ไม่มีใครอยู่บ้าน ไม่มีใครฉุดรั้งเอาไว้เช่นครั้งก่อน ๆ
มาตาฮาจิกระชับดาบคู่ใจที่ไม่เคยห่างกายให้เข้าที่ ตั้งท่าทะมัดทะแมง เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่คนเดียว
“ข้าก็ลูกผู้ชายคนหนึ่งเหมือนกัน
อันที่จริงจะเดินส่ายอาด ๆ เลิกบังตาที่กั้นหน้าร้านออกไปอย่างสง่าผ่าเผยก็ได้ แต่ความที่ต้องเจียมเนื้อเจียมตัวจนติดเป็นนิสัย มาตาฮาจิเดินย่องไปทางครัว นั่งลงใส่รองเท้าฟางเก่าสกปรกแล้วกลั้นใจเลื่อนประตูก้าวออกไป ตั้งใจว่าจะไม่หันกลับไปมอง
ภายนอกเย็นสบายด้วยสายลมต้นฤดูใบไม้ผลิที่พัดแผ่วมาจากทางตะวันออก
“อ๊ะ...”
มาตาฮาจิหยุดกึกเหมือนเดินสะดุดอะไร แล้วกระพริบตาถี่ ๆ
...ไปไหน ?
เมื่อฉุกคิดขึ้นมาว่าที่ออกมาจากบ้านครั้งนี้เป็นการไปแล้วไปลับ โลกตรงหน้าดูกว้างไกลในทันทีราวท้องทะเลที่มองไม่เห็นอีกฟากฝั่ง มาตาฮาจิเพิ่งได้คิดว่าโลกของตนช่างแคบนัก วงชีวิตจำกัดอยู่แต่ในหมู่บ้านมิยาโมโตะและสนามรบเซกิงาฮาระ นอกนั้นไม่เคยรู้ว่ามีอะไรอยู่ที่ไหน
“ใช่ ใช่”
มาตาฮาจิอะไรนึกขึ้นมาได้ จึงย่องกลับเข้าไปในบ้านทางประตูครัวเหมือนลูกหมาขี้ขลาดตัวหนึ่ง
“เราต้องมีอัฐติดตัวไปด้วย”
แล้วตรงเข้าไปห้องของโอโค ลงมือรื้อค้นกล่องเก็บของกระจุกกระจิก ลิ้นชักเสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง และทั่วทุกแห่งที่คิดว่านางจะเก็บซ่อนเงินเอาไว้ แต่ก็ไม่พบสักแดงเดียว ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะผู้หญิงรอบจัดอย่างหาตัวจับได้ยากอย่างโอโค ย่อมเตรียมรับมือเรื่องชั่วร้ายที่อาจเกิดได้ทุกเวลาเช่นนี้เอาไว้ล่วงหน้า มาตาฮาจิสิ้นหวังทิ้งตัวลงนั่งหน้างอบนกองเสื้อผ้าที่ตนรื้อออกมากระจุยกระจาย
กิโมโนชั้นในผ้าไหมสีแดง โอบิผ้าทอนิชิจิน และกิโมโนผ้าย้อมโมโมยามะ โชยกลิ่นกายของโอโคอ้อยอิ่งอบอวลราวม่านหมอกไปทั่วทั้งห้อง...
“นางหญิงแพศยา”
มาตาฮาจิคำรามออกมาด้วยความแค้นใจ เมื่อวาดภาพโอโคกำลังนั่งทอดกายแนบเนื้อหนังขาวผ่องแอบอิงกิองโทจิ ระริกระรี้ชวนกันชมการร่ายรำโอคุนิบนเวทีโรงละครที่ริมฝั่งน้ำ
พร้อมกันนั้นใจของเจ้าหนุ่มก็ไหววาบสะท้านสะเทือนขึ้นมาเมื่อคิดไปถึงโอซือ คู่หมั้นคู่หมายที่ถูกตนทิ้งให้เฝ้ารออยู่ที่บ้านเกิด
มาตาฮาจิไม่เคยลืมโอซือ ยิ่งคืนวันผ่านพ้นไปเจ้าหนุ่มก็ยิ่งซาบซึ้งถึงความรู้สึกอันแสนบริสุทธิ์ของสาวน้อยที่รอคอยการกลับของตนอยู่ที่บ้านนอก...คิดถึงเหลือเกิน อยากพบหน้าแล้วพนมมือขอให้นางยกโทษอันเลวร้ายที่ตนได้ทำลงไป
ทว่า...สายเสียแล้ว ตนเป็นคนทำให้ความสัมพันธ์กับโอซือขาดสะบั้นลงด้วยความโฉดเขลา แม้เสียใจเพียงใดก็ไม่มีสิทธิที่จะไปเสนอหน้า
“เพราะนางหญิงชั่วคนเดียว”
มาบัดนี้มาตาฮาจิตาสว่างแล้วแต่จะมีประโยชน์อะไรเมื่อทุกอย่างสายเกินแก้ มาตาฮาจิเปิดใจบอกโอโคตรง ๆ ว่าตนมี โอซือเป็นคู่หมั้นคู่หมายรอการตกแต่งอยู่ที่หมู่บ้าน พอได้ยินเช่นนั้นนางก็ยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มพราวเสน่ห์ทำทีว่าไม่ใส่ใจเลยสักนิด ทั้งที่อกใจร้อนระอุไปด้วยความริษยาลึกล้ำ จากนั้นมาเวลาเกิดมีอะไรไม่พอใจโอโคก็จะยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาเสียดสีเป็นเหตุให้ทะเลาะกันเป็นเรื่องใหญ่ จนในที่สุดโอโคก็กดดันให้มาตาฮาจิเขียนจดหมายไปตัดสัมพันธ์กับโอซือจนสำเร็จ และแอบแนบจดหมายลายมือตนเองใส่ซองให้ม้าเร็วเอาไปส่งถึงมือโอซือ โดยที่มาตาฮาจิไม่รู้ไม่เห็นด้วย
“โอซือ...โอซือ เจ้าโกรธเกลียดมากข้าใช่ไหม โอซือ”
มาตาฮาจิครางด้วยความรันทน
“โอซือ เจ้าสบายดีอยู่หรือ”
เจ้าหนุ่มมองภาพของโอซือที่ปรากฏอยู่ในห้วงคิด สบตาที่เศร้าสร้อยของนางด้วยดวงตาที่ร้อนผ่าว
อีกไม่นานฤดูใบไม่ผลิก็จะมาเยือนหมู่บ้านมิยาโมโตะ บ้านเกิดเมืองนอนในความทรงจำอันหอมหวาน...แม่น้ำสายนั้น ภูเขาและภูเขาที่สลับซับซ้อน
มาตาฮาจิอยากกู่ตะโกนส่งเสียงให้ดังก้องจากที่นี่ ไปถึงบ้านเกิดอันอบอุ่นด้วยไอรัก ที่นั่นมีแม่...มีคู่หมั้นหมาย มิตรสหายญาติพี่น้อง และพื้นดินที่อบอุ่นยามลงนอนเกลือกกลิ้งกับผองเพื่อน
“ข้าคงไม่มีวันได้กลับไปเหยียบแผ่นดินบ้านเกิดอีกแล้ว เพราะนางคนเดียวแท้ ๆ”
มาตาฮาจิบันดาลโทสะถึงขีดสุด คำรามลั่นแล้วขยุ้มเสื้อผ้าทั้งที่อยู่ในหีบและที่เกลื่อนอยู่บนพื้น ขึ้นมาฉีกด้วยกำลังแรงจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วเตะกระจายไปทั่วบ้าน ระหว่างที่กำลังบ้าคลั่งอยู่นั้นเอง มาตาฮาจิก็ได้เสียงคนเรียกอยู่ที่หน้าบ้าน
“มีใครอยู่ไหม...ข้ามาจากบ้านโยชิโอกะที่ชิโจ อาจารย์น้อยกับท่านโทจิอยู่ที่นี่รึเปล่า”
“ข้าไม่รู้”
“ต้องอยู่ซี ข้ารู้หรอกว่ามันไม่ดีที่มารบกวนเวลาท่านปลีกตัวมาหาความสุขสำราญอย่างนี้ แต่ที่สำนักดาบของเราเกิดเรื่องใหญ่ ที่จะกระเทือนถึงชื่อเสียงของตระกูลโยชิโอกะ”
“ไปให้พ้น อย่ามายุ่งกับข้า”
“ไม่เจอตัวก็ไม่เป็นไร แต่ช่วยแจ้งอาจารย์น้อยกับท่านโทจิให้ด้วยว่า ขณะนี้นักดาบจากทาจิมะชื่อมิยาโมโตะ มูซาชิมาที่สำนักดาบของเรา และปฏิเสธการประดาบกับศิษย์ของสำนักไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม บอกว่าจะรอจนกว่าอาจารย์น้อยจะกลับมา ยืนกรานอยู่อย่างนั้นไม่ว่าจะเจรจาหว่านล้อมยังไงก็ไม่ฟัง ข้าจึงมาตามให้รีบกลับสำนักโดยเร็ว”
“อะ...อะไรนะ มิยาโมโตะรึ ?”
2
ทำไมตระกูลโยชิโอกะถึงได้โชคร้ายอย่างนี้
วันนี้เป็นวันที่ต้องจารึกไว้ในประวัติของตระกูลโยชิโอกะเลยว่า ชื่อเสียงของสำนักดาบชิโจอันยิ่งใหญ่ในยุทธจักรแห่งนี้ ได้ถูกเหยียดหยามให้ต้องอัปยศเป็นที่สุดนับตั้งแต่ได้ก่อตั้งขึ้นที่ด้านตะวันตกของวัดนิชิโทอิน
ย่างเข้าย่ำค่ำได้เวลากลับบ้านแล้ว แต่ศิษย์สำนักดาบผู้มีคุณธรรมทุกคนยังเกาะกลุ่มกันทำหน้าเคร่งเครียดอยู่ในห้องฝึกบ้าง ในห้องเตรียมฝึกบ้าง ไม่มีใครเคลื่อนไหวและไม่มีใครพูดอะไรกัน เว้นแต่เมื่อมีเสียงอะไรกุกกักเหมือนมีใครมาที่หน้าประตูใหญ่จึงตื่นตัวขึ้นมากระซิบถามกันทำลายความเงียบขึ้นมาว่า
“อาจารย์น้อยละมัง”
“เฮ้อ กลับมาเสียที
และพอเห็นคนที่ยืนเฝ้าอยู่ที่ประตูใหญ่ส่งสัญญาณบอกมาว่าไม่ใช่ ก็ต้องสั่นหัวด้วยความหนักใจกันเป็นแถว กลับไปจมปลักอยู่กับความวิตกกังวลต่อไป บางคนทำเสียงจึ๊กจั๊กด้วยความขัดใจอยู่ในปาก บางคนถอนใจใหญ่จนคนข้าง ๆ ได้ยิน ตาเป็นประกายขุ่นเคืองอยู่ในความมืดสลัวของยามค่ำ
“ไปทำอะไรอยู่ที่ไหนนะ”
“ทำไมถึงต้องเป็นวันนี้ด้วย”
“ยังไม่รู้อีกรึว่าอาจารย์น้อยหายไปไหน”
“ยัง แต่ก็ให้แยกย้ายกันไปหาทางโน้นทางนี้แล้ว คงจะเจอเข้าสักที่หนึ่งหรอก น่ากำลังมา”
“จุ๊ ๆ”
คนหนึ่งทำเสียงเตือนเพราะไม่ต้องการให้หมอที่เดินออกมาจากห้องด้านในได้ยิน และเมื่อหมอกลับไปแล้วศิษย์สำนักดาบสองสามคนที่ตามออกไปส่งก็หลบเข้ามาในห้องตามเดิม
“มืดแล้วทำไมถึงไม่จุดโคมจุดตะเกียง ใครก็ได้ออกไปจัดการที”
ใครคนหนึ่งตวาดเสียงดัง น่าจะเป็นการระบายความพลุ่งพล่านที่ถูกหยามน้ำหน้ามากกว่าจงใจด่าว่าใคร
ความจริงแท่นบูชาพระฮาจิมันที่หน้าโรงฝึกก็จุดไฟเอาไว้เสมอ แต่คงไม่สว่างพออีกทั้งแสงที่มีรัศมีเป็นวงดูไม่เป็นมงคลนักคงไม่เป็นที่สบอารมณ์ของนักดาบที่กำลังอารมณ์เสียคนนั้น
อาจเป็นเพราะสำนักดาบของตระกูลโยชิโอกะได้ครองความเป็นสุดยอดแห่งยุทธจักรนักดาบมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมานั้นเอง ที่ทำให้นักดาบชั้นครูบางคนที่สังกัดอยู่มานานรู้สึกเริ่มรู้สึกว่ายุคทองของสำนักกำลังจะสิ้นสุดลง
โยชิโอกะ เค็มโปผู้ก่อตั้งสำนักดาบชิโจและเป็นเจ้าสำนักรุ่นแรกนั้น เป็นนักดาบผู้ได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่เกรียงไกรนักในนครหลวงแห่งนี้และมีชื่อเสียงเลื่องลือไปในแว่นแคว้นแดนไกล ต่างจากเซอิจูโรบุตรชายคนโตที่สืบตำแหน่งเจ้าสำนักรุ่นที่สองและ เด็นชิจิโรบุตรชายคนรอง เดิมทีเค็มโปเป็นแค่ลูกมือคนหนึ่งในโรงย้อมผ้า แต่ระหว่างขั้นตอนการทาสีย้อมลงไปบนกรอบแม่พิมพ์ลายที่ต้องทำอยู่เป็นประจำนั้นเอง เค็มโปก็คิดท่าดาบเฉพาะตนขึ้นมา ประยุกต์ใช้กับทวนของพระคูรามะพร้อมกันไปกับศึกษาวิชาดาบฮาจิริวซึ่งเป็นต้นสำนัก จนในที่สุดก็ตั้งสำนักดาบชิโจขึ้นมาเป็นสาขาของสำนักฮาจิริว และเปิดสอนวิชาดาบสั้นและยาวตามแบบของตระกูลโยชิโอกะขึ้นมา จนมีชื่อเสียงเลื่องลือไปถึงหูของโชกุนอาชิคางะแห่งมูโรมาจิ และได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในสำนักดาบที่ทำหน้าที่ฝึกสอนทหารในกองทัพหลวง
ท่านอาจารย์เค็มโปเป็นปรมาจารย์ที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ ทั้งฝีมือดาบและสติปัญญา
แม้จะล่วงลับไปแล้ว แต่เค็มโปก็ยังเป็นปูชนียบุคคลที่ศิษย์ของสำนักทุกรุ่นวัยเคารพนับถือ และเป็นนักดาบในอุดมการณ์ของทุกคน เซอิจูโรเจ้าสำนักรุ่นที่สองซึ่งทุกคนยังเรียกคุ้นปากกันว่าอาจารย์น้อยกับเด็นอิจิโรน้องชาย ก็เป็นนักดาบที่ผ่านการฝึกมาอย่างหนักที่โรงฝึกของสำนักแห่งนี้มาแต่เล็กแต่น้อย และถ้าพูดกันถึงฝีมือแล้วก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปจากบิดา เมื่อเค็มโปถึงแก่กรรม นักดาบสองพี่น้องซึ่งได้ถ่ายทอดวิชาดาบอันเป็นมรดกล้ำค่าจากบิดาไว้อย่างครบถ้วนกระบวนยุทธ์ แล้วนั้นยังได้ครองทรัพย์สินเงินทองจำนวนมหาศาลรวมทั้งเกียรติยศชื่อเสียงของสำนักดาบด้วย
นี่แหละคือที่มาของความเสื่อม
ใครคนหนึ่งว่าไว้
ฝีมือดาบของเซอิจูโรอาจารย์น้อยเจ้าสำนักถึงจะแกร่งกล้าระดับบรมครูก็จริง แต่ไม่มีบารมีพอที่บรรดานักดาบในสำนักจะยอมปวารณาตัวเป็นศิษย์ ส่วนใหญ่ยังถือว่าตนเป็นศิษย์ของเค็มโปและสำนักดาบชิโจของตระกูลโยชิโอกะ และอีกเหตุผลหนึ่งที่หลายคนยังเลือกที่จะสังกัดอยู่กับสำนักนี้ ก็เพราะการได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ของอาจารย์โยชิโอกะช่วยส่งเสริมให้ตนมีหน้ามีตาในสังคม
หลังจากที่โชกุนอาชิคางะถึงแก่อนิจกรรม สำนักดาบชิโจก็ไม่ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลโชกุนอีก แต่เซอิจูโรก็ไม่เดือดร้อนอะไร เพราะตอนมีชีวิตอยู่เค็มโปแทบไม่ได้ใช้เงินเพื่อความสุขของตนเองเลย ได้แต่เก็บสะสมไว้ตลอดช่วงเวลานานปีโดยไม่รู้ตัวว่ากลายเป็นสมบัติมหาศาล บ้านช่องที่สร้างไว้ก็ใหญ่โตมีห้องหับมากมาย สำนักดาบที่ถนนชิโจก็มีชื่อเสียงโด่งดังนับจำนวนศิษย์ได้มากเป็นอันดับหนึ่งของเกียวโตซึ่งได้ชื่อว่าเป็นมหานครอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น
ทว่า ในความเป็นจริง ความเป็นสำนักดาบชั้นยอดในยุทธจักรนั้นเป็นเพียงรูปโฉมที่ปรากฏต่อสายตาสังคมเท่านั้น คนที่อยู่ภายในรั้วกำแพงฉาบปูนสีขาว ยังตกจมอยู่ในความภาคภูมิใจ ความหลงใหลได้ปลื้มกับพลังความสามารถของสำนัก ที่สืบกันมายาวนานตั้งแต่สมัยที่ยังรุ่งเรือง โดยไม่รู้ว่าโลกภายนอกเปลี่ยนแปลงไปเพียงใด
จนกระทั่งวันนี้ ตาของทุกคนได้ถูกเปิดให้สว่างขึ้นด้วยความอัปยศอดสู เมื่อถูกนักดาบบ้านนอกนิรนาม ที่บุกเข้ามาท้าประลองฝีมือกับเจ้าสำนักดาบ
ถึงบอกชื่อก็ไม่มีใครรู้จัก...มิยาโมโตะ มูซาชิ
3
เรื่องมีอยู่ว่า
วันนี้เด็กรับใช้เข้ามารายงานที่โรงฝึกว่ามีซามูไรพเนจรชื่อมิยาโมโตะ มูซาชิ จากหมู่บ้านมิยาโมโตะ ในเขตโยชิโนะ แคว้น ซากุมาเยือนสำนักจึงบอกให้คอยอยู่ที่หน้าเรือน บรรดานักดาบที่กำลังฝึกอยู่จึงถามด้วยความสนใจว่าหน้าตาท่าทางเป็นอย่างไร ก็ได้ความว่าเป็นหนุ่มอายุราวยี่สิบเอ็ดยี่สิบสอง ร่างสูงใหญ่หน้าตานิ่งเฉยอากัปกิริยาเหมือนวัวตัวโตค่อย ๆ ย่างกรายออกมาจากความมืด ผมยุ่งเหยิงราวไม่เคยเจอหวีมานานเป็นปีเกล้าขมวดเอาไว้ลวก ๆ เสื้อผ้าที่ใส่มอมแมมเปียกฝนเปื้อนน้ำค้างมาจนมองไม่ออกว่าเป็นผ้าพื้นหรือผ้าลาย สีดำหรือว่าสีน้ำตาล ทำให้รู้สึกเหมือนได้กลิ่นสาบสกปรกแต่ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือว่าคิดไปเอง ดูจากถุงที่สะพายเฉียงอยู่ข้างหลัง ทำให้รู้ได้ว่าเป็นพวกซามูไรไร้นายที่ออกเดินทางฝึกฝนฝีมือดาบที่ระยะนี้มักจะเห็นอยู่ทั่วไป แต่สังเกตจากท่าทีแล้วดูเหมือนว่าหนุ่มคนนี้มีอะไรที่ไม่ธรรมดา
ถ้ามาขอข้าวกินก็ให้ทานไปสิ ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร
หนุ่ม ๆ นักดาบบอกพลางพยักหน้าพยักตาให้กัน แต่แล้วก็ต้องปล่อยก๊ากออกมาเมื่อได้ยินคนรับใช้บอกว่า นักดาบพเนจรคนนั้นแสดงความประสงค์ที่จะประดาบกับท่านอาจารย์เซอิจูโรของสำนักเรา บางคนบอกว่า ถ้าจะบ้า ไล่ไปให้พ้น บางคนบอกให้ไปถามให้ได้เรื่องสิว่าเป็นเรียนวิชาดาบมาจากใครสำนักใด คนรับใช้พลอยนึกสนุกไปด้วย เดินไปถามกลับมารายงานให้ได้เฮกันอีกว่า
ตอนเป็นเด็กพ่อสอนศิลปะการต่อสู้ด้วยกระบองปราบผู้ร้ายแบบที่เรียกว่าจิตเตะ หลังจากนั้นก็เรียนฟันดาบกับพวกนักรบไม่ว่าใครก็ตามที่เดินทางผ่านหมู่บ้าน พออายุสิบเจ็ดก็เดินทางออกจากหมู่บ้าน จากนั้นก็หมกมุ่นอยู่กับการเล่าเรียนวิชาอย่างเดียวในช่วงสามปีตั้งแต่อายุสิบแปดจนถึงอายุยี่สิบ และเมื่อปีที่แล้วทั้งปีได้เข้าไปอยู่ในป่าฝึกวิชาดาบอยู่คนเดียวโดยมีต้นไม้และเทพยดาในป่าเขาเป็นอาจารย์ ดังนั้นจึงตอบได้แต่เพียงว่าตนไม่มีอาจารย์เป็นตัวเป็นตนและไม่สังกัดสำนักดาบใด ๆ แต่ในอนาคตตั้งใจจะศึกษาคำสอนของคิอิจิ โฮเก็นและจิตวิญญาณของวิชาดาบสำนักเคียวฮาจิ และสร้างสำนักดาบของตนเองขึ้นมาเช่นเดียวกับที่ปรมาจารย์เค็มโปสร้างสำนักดาบของตระกูลโยชิโอกะขึ้นมา และบอกว่าจะตั้งชื่อว่าสำนักดาบมิยาโมโตะ
คนรับใช้รายงานโดยเลียนแบบการพูดจาของนักดาบคนชื่อและอ่อนโลก แถมทำเสียงแปร่งแบบบ้านนอกด้วย คนฟังจึงหัวเราะกลิ้งกันไปอีก
เจ้าหนุ่มนักดาบคนนี้ถ้าไม่บ้าก็คงเมา คนธรรมดาจะต้องรวบรวมความกล้าและลังเลอยู่นานกว่าจะตัดสินใจมาที่โรงฝึกชิโจที่ยิ่งใหญ่ในปฐพีแห่งนี้ได้ แต่หมอนี่กล้าดีอย่างไรถึงกล้ามาท้าประดาบกับเจ้าสำนัก ทั้งยังโวอีกว่าจะสร้างสำนักดาบของตนขึ้นมาเช่นเดียวกับท่านอาจารย์เค็มโป ช่างพูดออกมาได้ไม่รู้จักเจียมตัว ว่าแล้วก็สั่งให้ไปถามอีกว่า เตรียมคนมารับศพด้วยหรือเปล่า คนรับใช้วิ่งกลับไปถามครึ่งเล่นครึ่งจริง แล้วกลับมารายงานว่าคราวนี้เจ้าหนุ่มพูดด้วยเสียงหนักแน่นจริงจังกว่าเคย
เรื่องศพไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าเกิดตายลงไปก็เอาไปทิ้งในป่าให้นกให้กาจิกกินได้ตามใจ ถึงจะทิ้งรวมกับขยะมูลฝอยลงไปในแม่น้ำคาโมะก็ได้ จะไม่โกรธแค้นหรือตามมาหลอกหลอน
และแล้วทุกอย่างก็เริ่มขึ้น เมื่อคนหนึ่งบอกว่า
ให้เข้ามาแล้วกัน
ใจจริงตั้งใจว่าจะให้เข้ามาเพื่อจะได้ดูหน้าตาดูนาเจ้าหนุ่มโอหังสักหน่อย และประดาบด้วยพอให้แขนเดาะสักข้างแล้วถีบส่งไป แต่ที่ไหนได้พอจับคู่ดวลกันคู่แรกฝ่ายสำนักดาบกลับเป็นฝ่ายเสียท่า ถูกนักดาบพเนจรฟันด้วยดาบไม้บาดเจ็บสาหัสทั้งแขนหักและมือห้อยเกือบขาดดีที่ยังมีหนังยึดเอาไว้
ศิษย์สำนักดาบเรียงหน้ากันเข้าไปประดาบประลองฝีมืออย่างไม่ครั่นคร้าม แต่ก็ถูกฟันกระเด็นออกมาในอาการบาดเจ็บสาหัสไม่แพ้กันทุกคนไป แม้จะใช้ดาบไม้แต่การฟาดฟันด้วยกำลังแรงก็เฉือดเฉือนเนื้อกายให้เลือดสาดได้ ศิษย์สำนักดาบเมื่อเห็นเพื่อนพ้องพ่ายแพ้ติด ๆ กันสามคนรวดก็เลือดขึ้นหน้า เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วคงต้องสู้กันอย่างไม่ไว้ชีวิตเสียแล้ว จะปล่อยให้เจ้าหนุ่มบ้านนอกนิรนามคนนี้กำชัยชนะเหนือโยชิโอกะกลับออกไม่ได้เป็นอันขาด แม้จะต้องสู้กันจนถึงคนสุดท้ายของสำนักก็ตาม
ทว่า มูซาชิกลับเป็นฝ่ายยุติการนองเลือด บอกว่า
สู้กันไปก็ไม่มีประโยชน์ ต่อจากนี้ขอให้เป็นเรื่องของข้ากับท่านอาจารย์เซอิจูโรเถิด
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น จึงต้องจัดที่ทางให้มูซาชินั่งรอแล้วส่งคนอีกหลาย ๆ คนรีบไปตามตัวเซอิจูโรมาให้ได้ และให้คนหนึ่งวิ่งไปตามหมอมาทำแผลคนที่ถูกฟันบาดเจ็บสาหัสที่ห้องด้านใน
หมอกลับไปได้ไม่นาน ก็มีเสียงเรียกชื่อคนที่ถูกฟันบาดเจ็บสองสามครั้งดังลอดมาจากห้องด้านในซึ่งจุดไฟสว่างอยู่ คนที่เหลืออยู่ในโรงฝึกกรูกันเข้าไปดูก็ปรากฏว่านักดาบสองคนในจำนวนที่นอนเรียงกันอยู่หกคนสิ้นใจตายเสียแล้ว
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
“ไป...วันนี้ข้าไปแน่”
จะว่าไปวันนี้ไม่มีใครอยู่บ้าน ไม่มีใครฉุดรั้งเอาไว้เช่นครั้งก่อน ๆ
มาตาฮาจิกระชับดาบคู่ใจที่ไม่เคยห่างกายให้เข้าที่ ตั้งท่าทะมัดทะแมง เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่คนเดียว
“ข้าก็ลูกผู้ชายคนหนึ่งเหมือนกัน
อันที่จริงจะเดินส่ายอาด ๆ เลิกบังตาที่กั้นหน้าร้านออกไปอย่างสง่าผ่าเผยก็ได้ แต่ความที่ต้องเจียมเนื้อเจียมตัวจนติดเป็นนิสัย มาตาฮาจิเดินย่องไปทางครัว นั่งลงใส่รองเท้าฟางเก่าสกปรกแล้วกลั้นใจเลื่อนประตูก้าวออกไป ตั้งใจว่าจะไม่หันกลับไปมอง
ภายนอกเย็นสบายด้วยสายลมต้นฤดูใบไม้ผลิที่พัดแผ่วมาจากทางตะวันออก
“อ๊ะ...”
มาตาฮาจิหยุดกึกเหมือนเดินสะดุดอะไร แล้วกระพริบตาถี่ ๆ
...ไปไหน ?
เมื่อฉุกคิดขึ้นมาว่าที่ออกมาจากบ้านครั้งนี้เป็นการไปแล้วไปลับ โลกตรงหน้าดูกว้างไกลในทันทีราวท้องทะเลที่มองไม่เห็นอีกฟากฝั่ง มาตาฮาจิเพิ่งได้คิดว่าโลกของตนช่างแคบนัก วงชีวิตจำกัดอยู่แต่ในหมู่บ้านมิยาโมโตะและสนามรบเซกิงาฮาระ นอกนั้นไม่เคยรู้ว่ามีอะไรอยู่ที่ไหน
“ใช่ ใช่”
มาตาฮาจิอะไรนึกขึ้นมาได้ จึงย่องกลับเข้าไปในบ้านทางประตูครัวเหมือนลูกหมาขี้ขลาดตัวหนึ่ง
“เราต้องมีอัฐติดตัวไปด้วย”
แล้วตรงเข้าไปห้องของโอโค ลงมือรื้อค้นกล่องเก็บของกระจุกกระจิก ลิ้นชักเสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง และทั่วทุกแห่งที่คิดว่านางจะเก็บซ่อนเงินเอาไว้ แต่ก็ไม่พบสักแดงเดียว ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะผู้หญิงรอบจัดอย่างหาตัวจับได้ยากอย่างโอโค ย่อมเตรียมรับมือเรื่องชั่วร้ายที่อาจเกิดได้ทุกเวลาเช่นนี้เอาไว้ล่วงหน้า มาตาฮาจิสิ้นหวังทิ้งตัวลงนั่งหน้างอบนกองเสื้อผ้าที่ตนรื้อออกมากระจุยกระจาย
กิโมโนชั้นในผ้าไหมสีแดง โอบิผ้าทอนิชิจิน และกิโมโนผ้าย้อมโมโมยามะ โชยกลิ่นกายของโอโคอ้อยอิ่งอบอวลราวม่านหมอกไปทั่วทั้งห้อง...
“นางหญิงแพศยา”
มาตาฮาจิคำรามออกมาด้วยความแค้นใจ เมื่อวาดภาพโอโคกำลังนั่งทอดกายแนบเนื้อหนังขาวผ่องแอบอิงกิองโทจิ ระริกระรี้ชวนกันชมการร่ายรำโอคุนิบนเวทีโรงละครที่ริมฝั่งน้ำ
พร้อมกันนั้นใจของเจ้าหนุ่มก็ไหววาบสะท้านสะเทือนขึ้นมาเมื่อคิดไปถึงโอซือ คู่หมั้นคู่หมายที่ถูกตนทิ้งให้เฝ้ารออยู่ที่บ้านเกิด
มาตาฮาจิไม่เคยลืมโอซือ ยิ่งคืนวันผ่านพ้นไปเจ้าหนุ่มก็ยิ่งซาบซึ้งถึงความรู้สึกอันแสนบริสุทธิ์ของสาวน้อยที่รอคอยการกลับของตนอยู่ที่บ้านนอก...คิดถึงเหลือเกิน อยากพบหน้าแล้วพนมมือขอให้นางยกโทษอันเลวร้ายที่ตนได้ทำลงไป
ทว่า...สายเสียแล้ว ตนเป็นคนทำให้ความสัมพันธ์กับโอซือขาดสะบั้นลงด้วยความโฉดเขลา แม้เสียใจเพียงใดก็ไม่มีสิทธิที่จะไปเสนอหน้า
“เพราะนางหญิงชั่วคนเดียว”
มาบัดนี้มาตาฮาจิตาสว่างแล้วแต่จะมีประโยชน์อะไรเมื่อทุกอย่างสายเกินแก้ มาตาฮาจิเปิดใจบอกโอโคตรง ๆ ว่าตนมี โอซือเป็นคู่หมั้นคู่หมายรอการตกแต่งอยู่ที่หมู่บ้าน พอได้ยินเช่นนั้นนางก็ยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มพราวเสน่ห์ทำทีว่าไม่ใส่ใจเลยสักนิด ทั้งที่อกใจร้อนระอุไปด้วยความริษยาลึกล้ำ จากนั้นมาเวลาเกิดมีอะไรไม่พอใจโอโคก็จะยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาเสียดสีเป็นเหตุให้ทะเลาะกันเป็นเรื่องใหญ่ จนในที่สุดโอโคก็กดดันให้มาตาฮาจิเขียนจดหมายไปตัดสัมพันธ์กับโอซือจนสำเร็จ และแอบแนบจดหมายลายมือตนเองใส่ซองให้ม้าเร็วเอาไปส่งถึงมือโอซือ โดยที่มาตาฮาจิไม่รู้ไม่เห็นด้วย
“โอซือ...โอซือ เจ้าโกรธเกลียดมากข้าใช่ไหม โอซือ”
มาตาฮาจิครางด้วยความรันทน
“โอซือ เจ้าสบายดีอยู่หรือ”
เจ้าหนุ่มมองภาพของโอซือที่ปรากฏอยู่ในห้วงคิด สบตาที่เศร้าสร้อยของนางด้วยดวงตาที่ร้อนผ่าว
อีกไม่นานฤดูใบไม่ผลิก็จะมาเยือนหมู่บ้านมิยาโมโตะ บ้านเกิดเมืองนอนในความทรงจำอันหอมหวาน...แม่น้ำสายนั้น ภูเขาและภูเขาที่สลับซับซ้อน
มาตาฮาจิอยากกู่ตะโกนส่งเสียงให้ดังก้องจากที่นี่ ไปถึงบ้านเกิดอันอบอุ่นด้วยไอรัก ที่นั่นมีแม่...มีคู่หมั้นหมาย มิตรสหายญาติพี่น้อง และพื้นดินที่อบอุ่นยามลงนอนเกลือกกลิ้งกับผองเพื่อน
“ข้าคงไม่มีวันได้กลับไปเหยียบแผ่นดินบ้านเกิดอีกแล้ว เพราะนางคนเดียวแท้ ๆ”
มาตาฮาจิบันดาลโทสะถึงขีดสุด คำรามลั่นแล้วขยุ้มเสื้อผ้าทั้งที่อยู่ในหีบและที่เกลื่อนอยู่บนพื้น ขึ้นมาฉีกด้วยกำลังแรงจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วเตะกระจายไปทั่วบ้าน ระหว่างที่กำลังบ้าคลั่งอยู่นั้นเอง มาตาฮาจิก็ได้เสียงคนเรียกอยู่ที่หน้าบ้าน
“มีใครอยู่ไหม...ข้ามาจากบ้านโยชิโอกะที่ชิโจ อาจารย์น้อยกับท่านโทจิอยู่ที่นี่รึเปล่า”
“ข้าไม่รู้”
“ต้องอยู่ซี ข้ารู้หรอกว่ามันไม่ดีที่มารบกวนเวลาท่านปลีกตัวมาหาความสุขสำราญอย่างนี้ แต่ที่สำนักดาบของเราเกิดเรื่องใหญ่ ที่จะกระเทือนถึงชื่อเสียงของตระกูลโยชิโอกะ”
“ไปให้พ้น อย่ามายุ่งกับข้า”
“ไม่เจอตัวก็ไม่เป็นไร แต่ช่วยแจ้งอาจารย์น้อยกับท่านโทจิให้ด้วยว่า ขณะนี้นักดาบจากทาจิมะชื่อมิยาโมโตะ มูซาชิมาที่สำนักดาบของเรา และปฏิเสธการประดาบกับศิษย์ของสำนักไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม บอกว่าจะรอจนกว่าอาจารย์น้อยจะกลับมา ยืนกรานอยู่อย่างนั้นไม่ว่าจะเจรจาหว่านล้อมยังไงก็ไม่ฟัง ข้าจึงมาตามให้รีบกลับสำนักโดยเร็ว”
“อะ...อะไรนะ มิยาโมโตะรึ ?”
2
ทำไมตระกูลโยชิโอกะถึงได้โชคร้ายอย่างนี้
วันนี้เป็นวันที่ต้องจารึกไว้ในประวัติของตระกูลโยชิโอกะเลยว่า ชื่อเสียงของสำนักดาบชิโจอันยิ่งใหญ่ในยุทธจักรแห่งนี้ ได้ถูกเหยียดหยามให้ต้องอัปยศเป็นที่สุดนับตั้งแต่ได้ก่อตั้งขึ้นที่ด้านตะวันตกของวัดนิชิโทอิน
ย่างเข้าย่ำค่ำได้เวลากลับบ้านแล้ว แต่ศิษย์สำนักดาบผู้มีคุณธรรมทุกคนยังเกาะกลุ่มกันทำหน้าเคร่งเครียดอยู่ในห้องฝึกบ้าง ในห้องเตรียมฝึกบ้าง ไม่มีใครเคลื่อนไหวและไม่มีใครพูดอะไรกัน เว้นแต่เมื่อมีเสียงอะไรกุกกักเหมือนมีใครมาที่หน้าประตูใหญ่จึงตื่นตัวขึ้นมากระซิบถามกันทำลายความเงียบขึ้นมาว่า
“อาจารย์น้อยละมัง”
“เฮ้อ กลับมาเสียที
และพอเห็นคนที่ยืนเฝ้าอยู่ที่ประตูใหญ่ส่งสัญญาณบอกมาว่าไม่ใช่ ก็ต้องสั่นหัวด้วยความหนักใจกันเป็นแถว กลับไปจมปลักอยู่กับความวิตกกังวลต่อไป บางคนทำเสียงจึ๊กจั๊กด้วยความขัดใจอยู่ในปาก บางคนถอนใจใหญ่จนคนข้าง ๆ ได้ยิน ตาเป็นประกายขุ่นเคืองอยู่ในความมืดสลัวของยามค่ำ
“ไปทำอะไรอยู่ที่ไหนนะ”
“ทำไมถึงต้องเป็นวันนี้ด้วย”
“ยังไม่รู้อีกรึว่าอาจารย์น้อยหายไปไหน”
“ยัง แต่ก็ให้แยกย้ายกันไปหาทางโน้นทางนี้แล้ว คงจะเจอเข้าสักที่หนึ่งหรอก น่ากำลังมา”
“จุ๊ ๆ”
คนหนึ่งทำเสียงเตือนเพราะไม่ต้องการให้หมอที่เดินออกมาจากห้องด้านในได้ยิน และเมื่อหมอกลับไปแล้วศิษย์สำนักดาบสองสามคนที่ตามออกไปส่งก็หลบเข้ามาในห้องตามเดิม
“มืดแล้วทำไมถึงไม่จุดโคมจุดตะเกียง ใครก็ได้ออกไปจัดการที”
ใครคนหนึ่งตวาดเสียงดัง น่าจะเป็นการระบายความพลุ่งพล่านที่ถูกหยามน้ำหน้ามากกว่าจงใจด่าว่าใคร
ความจริงแท่นบูชาพระฮาจิมันที่หน้าโรงฝึกก็จุดไฟเอาไว้เสมอ แต่คงไม่สว่างพออีกทั้งแสงที่มีรัศมีเป็นวงดูไม่เป็นมงคลนักคงไม่เป็นที่สบอารมณ์ของนักดาบที่กำลังอารมณ์เสียคนนั้น
อาจเป็นเพราะสำนักดาบของตระกูลโยชิโอกะได้ครองความเป็นสุดยอดแห่งยุทธจักรนักดาบมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมานั้นเอง ที่ทำให้นักดาบชั้นครูบางคนที่สังกัดอยู่มานานรู้สึกเริ่มรู้สึกว่ายุคทองของสำนักกำลังจะสิ้นสุดลง
โยชิโอกะ เค็มโปผู้ก่อตั้งสำนักดาบชิโจและเป็นเจ้าสำนักรุ่นแรกนั้น เป็นนักดาบผู้ได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่เกรียงไกรนักในนครหลวงแห่งนี้และมีชื่อเสียงเลื่องลือไปในแว่นแคว้นแดนไกล ต่างจากเซอิจูโรบุตรชายคนโตที่สืบตำแหน่งเจ้าสำนักรุ่นที่สองและ เด็นชิจิโรบุตรชายคนรอง เดิมทีเค็มโปเป็นแค่ลูกมือคนหนึ่งในโรงย้อมผ้า แต่ระหว่างขั้นตอนการทาสีย้อมลงไปบนกรอบแม่พิมพ์ลายที่ต้องทำอยู่เป็นประจำนั้นเอง เค็มโปก็คิดท่าดาบเฉพาะตนขึ้นมา ประยุกต์ใช้กับทวนของพระคูรามะพร้อมกันไปกับศึกษาวิชาดาบฮาจิริวซึ่งเป็นต้นสำนัก จนในที่สุดก็ตั้งสำนักดาบชิโจขึ้นมาเป็นสาขาของสำนักฮาจิริว และเปิดสอนวิชาดาบสั้นและยาวตามแบบของตระกูลโยชิโอกะขึ้นมา จนมีชื่อเสียงเลื่องลือไปถึงหูของโชกุนอาชิคางะแห่งมูโรมาจิ และได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในสำนักดาบที่ทำหน้าที่ฝึกสอนทหารในกองทัพหลวง
ท่านอาจารย์เค็มโปเป็นปรมาจารย์ที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ ทั้งฝีมือดาบและสติปัญญา
แม้จะล่วงลับไปแล้ว แต่เค็มโปก็ยังเป็นปูชนียบุคคลที่ศิษย์ของสำนักทุกรุ่นวัยเคารพนับถือ และเป็นนักดาบในอุดมการณ์ของทุกคน เซอิจูโรเจ้าสำนักรุ่นที่สองซึ่งทุกคนยังเรียกคุ้นปากกันว่าอาจารย์น้อยกับเด็นอิจิโรน้องชาย ก็เป็นนักดาบที่ผ่านการฝึกมาอย่างหนักที่โรงฝึกของสำนักแห่งนี้มาแต่เล็กแต่น้อย และถ้าพูดกันถึงฝีมือแล้วก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปจากบิดา เมื่อเค็มโปถึงแก่กรรม นักดาบสองพี่น้องซึ่งได้ถ่ายทอดวิชาดาบอันเป็นมรดกล้ำค่าจากบิดาไว้อย่างครบถ้วนกระบวนยุทธ์ แล้วนั้นยังได้ครองทรัพย์สินเงินทองจำนวนมหาศาลรวมทั้งเกียรติยศชื่อเสียงของสำนักดาบด้วย
นี่แหละคือที่มาของความเสื่อม
ใครคนหนึ่งว่าไว้
ฝีมือดาบของเซอิจูโรอาจารย์น้อยเจ้าสำนักถึงจะแกร่งกล้าระดับบรมครูก็จริง แต่ไม่มีบารมีพอที่บรรดานักดาบในสำนักจะยอมปวารณาตัวเป็นศิษย์ ส่วนใหญ่ยังถือว่าตนเป็นศิษย์ของเค็มโปและสำนักดาบชิโจของตระกูลโยชิโอกะ และอีกเหตุผลหนึ่งที่หลายคนยังเลือกที่จะสังกัดอยู่กับสำนักนี้ ก็เพราะการได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ของอาจารย์โยชิโอกะช่วยส่งเสริมให้ตนมีหน้ามีตาในสังคม
หลังจากที่โชกุนอาชิคางะถึงแก่อนิจกรรม สำนักดาบชิโจก็ไม่ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลโชกุนอีก แต่เซอิจูโรก็ไม่เดือดร้อนอะไร เพราะตอนมีชีวิตอยู่เค็มโปแทบไม่ได้ใช้เงินเพื่อความสุขของตนเองเลย ได้แต่เก็บสะสมไว้ตลอดช่วงเวลานานปีโดยไม่รู้ตัวว่ากลายเป็นสมบัติมหาศาล บ้านช่องที่สร้างไว้ก็ใหญ่โตมีห้องหับมากมาย สำนักดาบที่ถนนชิโจก็มีชื่อเสียงโด่งดังนับจำนวนศิษย์ได้มากเป็นอันดับหนึ่งของเกียวโตซึ่งได้ชื่อว่าเป็นมหานครอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น
ทว่า ในความเป็นจริง ความเป็นสำนักดาบชั้นยอดในยุทธจักรนั้นเป็นเพียงรูปโฉมที่ปรากฏต่อสายตาสังคมเท่านั้น คนที่อยู่ภายในรั้วกำแพงฉาบปูนสีขาว ยังตกจมอยู่ในความภาคภูมิใจ ความหลงใหลได้ปลื้มกับพลังความสามารถของสำนัก ที่สืบกันมายาวนานตั้งแต่สมัยที่ยังรุ่งเรือง โดยไม่รู้ว่าโลกภายนอกเปลี่ยนแปลงไปเพียงใด
จนกระทั่งวันนี้ ตาของทุกคนได้ถูกเปิดให้สว่างขึ้นด้วยความอัปยศอดสู เมื่อถูกนักดาบบ้านนอกนิรนาม ที่บุกเข้ามาท้าประลองฝีมือกับเจ้าสำนักดาบ
ถึงบอกชื่อก็ไม่มีใครรู้จัก...มิยาโมโตะ มูซาชิ
3
เรื่องมีอยู่ว่า
วันนี้เด็กรับใช้เข้ามารายงานที่โรงฝึกว่ามีซามูไรพเนจรชื่อมิยาโมโตะ มูซาชิ จากหมู่บ้านมิยาโมโตะ ในเขตโยชิโนะ แคว้น ซากุมาเยือนสำนักจึงบอกให้คอยอยู่ที่หน้าเรือน บรรดานักดาบที่กำลังฝึกอยู่จึงถามด้วยความสนใจว่าหน้าตาท่าทางเป็นอย่างไร ก็ได้ความว่าเป็นหนุ่มอายุราวยี่สิบเอ็ดยี่สิบสอง ร่างสูงใหญ่หน้าตานิ่งเฉยอากัปกิริยาเหมือนวัวตัวโตค่อย ๆ ย่างกรายออกมาจากความมืด ผมยุ่งเหยิงราวไม่เคยเจอหวีมานานเป็นปีเกล้าขมวดเอาไว้ลวก ๆ เสื้อผ้าที่ใส่มอมแมมเปียกฝนเปื้อนน้ำค้างมาจนมองไม่ออกว่าเป็นผ้าพื้นหรือผ้าลาย สีดำหรือว่าสีน้ำตาล ทำให้รู้สึกเหมือนได้กลิ่นสาบสกปรกแต่ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือว่าคิดไปเอง ดูจากถุงที่สะพายเฉียงอยู่ข้างหลัง ทำให้รู้ได้ว่าเป็นพวกซามูไรไร้นายที่ออกเดินทางฝึกฝนฝีมือดาบที่ระยะนี้มักจะเห็นอยู่ทั่วไป แต่สังเกตจากท่าทีแล้วดูเหมือนว่าหนุ่มคนนี้มีอะไรที่ไม่ธรรมดา
ถ้ามาขอข้าวกินก็ให้ทานไปสิ ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร
หนุ่ม ๆ นักดาบบอกพลางพยักหน้าพยักตาให้กัน แต่แล้วก็ต้องปล่อยก๊ากออกมาเมื่อได้ยินคนรับใช้บอกว่า นักดาบพเนจรคนนั้นแสดงความประสงค์ที่จะประดาบกับท่านอาจารย์เซอิจูโรของสำนักเรา บางคนบอกว่า ถ้าจะบ้า ไล่ไปให้พ้น บางคนบอกให้ไปถามให้ได้เรื่องสิว่าเป็นเรียนวิชาดาบมาจากใครสำนักใด คนรับใช้พลอยนึกสนุกไปด้วย เดินไปถามกลับมารายงานให้ได้เฮกันอีกว่า
ตอนเป็นเด็กพ่อสอนศิลปะการต่อสู้ด้วยกระบองปราบผู้ร้ายแบบที่เรียกว่าจิตเตะ หลังจากนั้นก็เรียนฟันดาบกับพวกนักรบไม่ว่าใครก็ตามที่เดินทางผ่านหมู่บ้าน พออายุสิบเจ็ดก็เดินทางออกจากหมู่บ้าน จากนั้นก็หมกมุ่นอยู่กับการเล่าเรียนวิชาอย่างเดียวในช่วงสามปีตั้งแต่อายุสิบแปดจนถึงอายุยี่สิบ และเมื่อปีที่แล้วทั้งปีได้เข้าไปอยู่ในป่าฝึกวิชาดาบอยู่คนเดียวโดยมีต้นไม้และเทพยดาในป่าเขาเป็นอาจารย์ ดังนั้นจึงตอบได้แต่เพียงว่าตนไม่มีอาจารย์เป็นตัวเป็นตนและไม่สังกัดสำนักดาบใด ๆ แต่ในอนาคตตั้งใจจะศึกษาคำสอนของคิอิจิ โฮเก็นและจิตวิญญาณของวิชาดาบสำนักเคียวฮาจิ และสร้างสำนักดาบของตนเองขึ้นมาเช่นเดียวกับที่ปรมาจารย์เค็มโปสร้างสำนักดาบของตระกูลโยชิโอกะขึ้นมา และบอกว่าจะตั้งชื่อว่าสำนักดาบมิยาโมโตะ
คนรับใช้รายงานโดยเลียนแบบการพูดจาของนักดาบคนชื่อและอ่อนโลก แถมทำเสียงแปร่งแบบบ้านนอกด้วย คนฟังจึงหัวเราะกลิ้งกันไปอีก
เจ้าหนุ่มนักดาบคนนี้ถ้าไม่บ้าก็คงเมา คนธรรมดาจะต้องรวบรวมความกล้าและลังเลอยู่นานกว่าจะตัดสินใจมาที่โรงฝึกชิโจที่ยิ่งใหญ่ในปฐพีแห่งนี้ได้ แต่หมอนี่กล้าดีอย่างไรถึงกล้ามาท้าประดาบกับเจ้าสำนัก ทั้งยังโวอีกว่าจะสร้างสำนักดาบของตนขึ้นมาเช่นเดียวกับท่านอาจารย์เค็มโป ช่างพูดออกมาได้ไม่รู้จักเจียมตัว ว่าแล้วก็สั่งให้ไปถามอีกว่า เตรียมคนมารับศพด้วยหรือเปล่า คนรับใช้วิ่งกลับไปถามครึ่งเล่นครึ่งจริง แล้วกลับมารายงานว่าคราวนี้เจ้าหนุ่มพูดด้วยเสียงหนักแน่นจริงจังกว่าเคย
เรื่องศพไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าเกิดตายลงไปก็เอาไปทิ้งในป่าให้นกให้กาจิกกินได้ตามใจ ถึงจะทิ้งรวมกับขยะมูลฝอยลงไปในแม่น้ำคาโมะก็ได้ จะไม่โกรธแค้นหรือตามมาหลอกหลอน
และแล้วทุกอย่างก็เริ่มขึ้น เมื่อคนหนึ่งบอกว่า
ให้เข้ามาแล้วกัน
ใจจริงตั้งใจว่าจะให้เข้ามาเพื่อจะได้ดูหน้าตาดูนาเจ้าหนุ่มโอหังสักหน่อย และประดาบด้วยพอให้แขนเดาะสักข้างแล้วถีบส่งไป แต่ที่ไหนได้พอจับคู่ดวลกันคู่แรกฝ่ายสำนักดาบกลับเป็นฝ่ายเสียท่า ถูกนักดาบพเนจรฟันด้วยดาบไม้บาดเจ็บสาหัสทั้งแขนหักและมือห้อยเกือบขาดดีที่ยังมีหนังยึดเอาไว้
ศิษย์สำนักดาบเรียงหน้ากันเข้าไปประดาบประลองฝีมืออย่างไม่ครั่นคร้าม แต่ก็ถูกฟันกระเด็นออกมาในอาการบาดเจ็บสาหัสไม่แพ้กันทุกคนไป แม้จะใช้ดาบไม้แต่การฟาดฟันด้วยกำลังแรงก็เฉือดเฉือนเนื้อกายให้เลือดสาดได้ ศิษย์สำนักดาบเมื่อเห็นเพื่อนพ้องพ่ายแพ้ติด ๆ กันสามคนรวดก็เลือดขึ้นหน้า เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วคงต้องสู้กันอย่างไม่ไว้ชีวิตเสียแล้ว จะปล่อยให้เจ้าหนุ่มบ้านนอกนิรนามคนนี้กำชัยชนะเหนือโยชิโอกะกลับออกไม่ได้เป็นอันขาด แม้จะต้องสู้กันจนถึงคนสุดท้ายของสำนักก็ตาม
ทว่า มูซาชิกลับเป็นฝ่ายยุติการนองเลือด บอกว่า
สู้กันไปก็ไม่มีประโยชน์ ต่อจากนี้ขอให้เป็นเรื่องของข้ากับท่านอาจารย์เซอิจูโรเถิด
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น จึงต้องจัดที่ทางให้มูซาชินั่งรอแล้วส่งคนอีกหลาย ๆ คนรีบไปตามตัวเซอิจูโรมาให้ได้ และให้คนหนึ่งวิ่งไปตามหมอมาทำแผลคนที่ถูกฟันบาดเจ็บสาหัสที่ห้องด้านใน
หมอกลับไปได้ไม่นาน ก็มีเสียงเรียกชื่อคนที่ถูกฟันบาดเจ็บสองสามครั้งดังลอดมาจากห้องด้านในซึ่งจุดไฟสว่างอยู่ คนที่เหลืออยู่ในโรงฝึกกรูกันเข้าไปดูก็ปรากฏว่านักดาบสองคนในจำนวนที่นอนเรียงกันอยู่หกคนสิ้นใจตายเสียแล้ว