นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ความเดิม
อาเกมิไม่ตอบได้แต่ลุกไปหยิบชามิเซ็งกลับมา แล้วเริ่มดีดและร้องเพลงคลอเสียงกังวานใสเคลิบเคลิ้มไปกับลำนำเพลงที่ตั้งใจกล่อมใจตนเองมากกว่าร้องให้คนอื่นฟัง
แม้คืนนี้หมู่เมฆจะบังฟ้าข้าก็ยังเห็นจันทร์เจ้าเรืองรองอยู่ในม่านน้ำตา
“ท่านโทจิเข้าใจไหม”
“อือ ขออีกเพลงได้ไหม”
“ได้สิ ฉันอยากดีดอยู่อย่างนี้ตลอดคืน”
แม้ในความมืด มืดสนิทข้าก็ไม่เคยหลงทางแต่โอ้อกเอย ใยข้าจึงหลงท่าน
“ฉันเข้าใจแล้ว อาเกมิเป็นสาวสมวัยยี่สิบเอ็ดจริง ๆ ด้วย”
4
เมื่อได้สดับเสียงเพลงหวานใสคลอเสียงชามิเซ็ง อารมณ์ของเซอิจูโรอาจารย์น้อยแห่งสำนักดาบโยชิโอกะที่นั่งกุมหัวอยู่หน้าบึ้งก็ดีขึ้น หายเคืองที่ถูกสาวน้อยสลัดผลักไสหนีไปไม่ใยดีเมื่อครู่ก่อน เอ่ยชวนขึ้นเขิน ๆ ว่า
“อาเกมิ มาดื่มกันสักจอกไหม”
สาวน้อยยื่นจอกออกไปรับโดยดี
“รับเจ้าค่ะ”
นางดื่มรวดเดียวเกลี้ยงจอกแล้วยื่นออกไปอีก
“โห...คอแข็งไม่ใช่เล่น” เซอิจูโรว่าพลางรินสาเกให้อีก “เอ้า เอาไปอีกจอกนึง”
คราวนี้อาเกมิขยับขึ้นมาเป็นคู่ดื่มกับอาจารย์น้อยอย่างไม่เกรงใจว่าตนเป็นเพียงหญิงรับใช้ ถึงกับวางจอกที่ดูเหมือนจะเล็กไปแล้วและเอื้อมไปมือไปหยิบถ้วยใบใหญ่มายื่นรับสาเก
อาเกมิเป็นหญิงร่างเล็กหน้านวลใส ริมฝีปากจิ้มลิ้มพริ้มเพราไม่เคยถูกเล้าโลมให้แปดเปื้อนมลทิน ตากลมโตเป็นประกายวาววาบไหวปราดเปรียวไม่แพ้นางกวางสาว พิศดูทั้งเนื้อตัวแล้วอายุอานามไม่น่าจะสิบหกสิบเจ็ด ทำให้หนุ่ม ๆ นักดาบพากันมองมาด้วยสายตาทึ่งจัด สงสัยนักว่าเหล้าสาเกถ้วยแล้วถ้วยเล่าผ่านริมฝีปากจิ้มลิ้มคู่นั้นหายไปทางไหน
“ถ้าอาจารย์น้อยคิดจะมอมเหล้านางคนนี้ละก็ไม่มีวันสำเร็จหรอกเจ้าค่ะ เพราะต่อให้ดื่มทั้งคืนก็ไม่เมา ทางที่ดีส่ง ชามิเซ็งให้นางเมากับเสียงเพลงจะเหมาะกว่า” โอโคร้องติงเมื่อเห็นเซอิจูโรรินสาเกให้อาเกมิไม่หยุดมือ
“ดูนางดื่มแล้วเพลินดี”
เซอิจูโรยิ้มย่องพลางดื่มสาเกรวดเดียวเกลี้ยงถ้วย กิองโทจิที่เฝ้ามองอากัปกิริยาของเซอิจูโรอยู่ไม่วางตา สังเกตเห็นสายตาของอาจารย์น้อยที่มองไปที่สาวน้อยตลอดจนน้ำเสียงชักจะแปลกไป จึงลองหยั่งเชิงดูว่า
“คืนนี้ อาจารย์น้อยดื่มจัดไปหน่อยแล้วนะ เป็นอะไรไปรึเปล่า”
“ไม่ต้องมายุ่ง”
นั่นไง ไม่ธรรมดาจริงด้วย
“โทจิ คืนนี้บางทีข้าอาจไม่กลับ”
เซอิจูโรตวัดหางเสียงเหมือนเด็กดื้อก่อนรินสาเกใส่ถ้วยดื่มต่อไป
“เชิญเลยเจ้าค่ะ เชิญเลย จะค้างสักกี่คืนก็ได้...นะอาเกมิ”
โอโคกระชดกระช้อยหนุนส่ง กิองโทจิส่งสายตามาสบเป็นเชิงชวน แล้วพาโอโคปลีกตัวออกไปเงียบ ๆ และพอมาถึงอีกห้องหนึ่ง นักดาบหนุ่มก็กระซิบที่ข้างหูของสาวใหญ่ผู้เจนโลกว่า...ข้าว่าชักจะยุ่งแล้วละโอโค ท่าทางอาจารย์น้อยคงไม่ปล่อย อาเกมิให้หลุดมือไปได้อีกเหมือนเมื่อตอนหัวค่ำ ทีนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะต้องคิดในฐานะที่เป็นแม่ว่าจะเรียกค่าน้ำนมสักเท่าไร จะได้ต่อรองกันให้สมน้ำสมเนื้อด้วยกันทั้งสองฝ่าย
“หือ ?...”
โอโคครางเบา ๆ ในความมืดสลัว ยกนิ้วขึ้นแตะแก้มที่พอกเครื่องสำอางไว้หนาและครุ่นคิด
“ว่ายังไงล่ะ”
กิองโทจิเร่งพลางกระเถิบใกล้เข้ามาอีก
“ข้าว่าเจ้าโชคดีมากเลยนะโอโค โยชิโอกะเป็นสำนักดาบของกองทัพท่านโชกุนและเป็นตระกูลที่ร่ำรวยเงินทอง ท่านอาจารย์เค็มโปบิดาของอาจารย์น้อยเป็นยอดนักดาบแห่งยุทธจักร เคยเป็นครูสอนวิชาดาบให้ท่านโชกุนมูโนมาจิเองด้วย มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย และที่สำคัญเหนืออื่นใดคือท่านเซอิจูโรยังไม่มีเมีย เห็นไหมไม่มีที่ติเลย เจ้าจะว่ายังไงโอโค จะปล่อยให้โอกาสดี ๆ เช่นนี้หลุดมือไปอย่างนั้นรึ”
“ฉันเห็นด้วยเจ้าค่ะ แต่...”
“ไม่มีแต่...โอโค ถ้าเจ้าเห็นดีทุกอย่างก็เรียบร้อย งั้นคืนนี้เราสองคนค้างที่นี่นะ”
ห้องนั้นไม่มีโคมตะเกียง ความมืดสลัวเร่าอารมณ์กิองโทจิให้เพริดแพร้ว และในจังหวะที่นักดาบหนุ่มเอื้อมมือไปโอบไหล่สาวใหญ่รั้งกายเข้ามาแนบชิดนั้นเอง ก็มีเสียงประตูเลื่อนห้องข้าง ๆ ถูกปิดดังปัง
“เอ๊ะ วันนี้มีแขกอื่นด้วยรึ”
โอโคพยักหน้า ประทับริมฝีปากนุ่มชื้นลงที่ข้างหูชายหนุ่มในอ้อมกอด กระซิบว่ารอเดี๋ยวนะเจ้าคะ
ชายหญิงเดินตามกันออกมาจากห้องนั้นด้วยท่าทีปกติธรรมดา ผ่านไปเห็นเซอิจูโรเมากลิ้งหลับหมดสภาพอยู่ในห้องเดิม กิองโทจิก็กำลังหลับสนิท...คงจะตื่นรออยู่นานจนหลับไป ทั้งสองกลับไปนอนแอบอิงกันหลับสนิทอยู่ในห้องด้านลึกสุดของบ้านจนสว่าง และตลอดคืนไม่มีแม้แต่เสียงเสียดสีกันของเสื้อผ้าอาภรณ์แว่วมาให้ได้ยิน
กิองโทจิตื่นสายกว่าใคร ๆ ทำหน้าไม่สบอารมณ์ที่ถูกทิ้งเมื่อคืน เซอิจูโรตื่นก่อนและเริ่มดื่มอีกแล้วที่ห้องด้านริมน้ำโดยมี โอโคกับอาเกมิห้อมล้อมปรนนิบัติอยู่ เช้านี้ก็เช่นกัน สองแม่ลูกดูร่าเริงแจ่มใสกันทั้งคู่ และดูเหมือนกำลังให้สัญญาอะไรกันเพราะนางลูกสาวชะอ้อนว่า
“ท่านจะพาเราไปจริง ๆ หรือเจ้าคะ แน่นะ”
ฟังแล้วน่าจะเป็นการชวนกันไปดูละครโอกุนิคาบูกิที่กำลังแสดงอยู่ในย่านชิโจบนฝั่งแม่น้ำ เรียกแขกให้หลั่งไหลตามกันไปดู
“อือ...แน่ซี เตรียมข้าวกล่องกับสาเกไปให้พร้อมด้วย”
“แน่นอนเจ้าค่ะ อย่างแรกต้องไปก่อไฟต้มน้ำอาบก่อน”
“ดีใจจัง”
เช้านี้ โอโคกับอาเกมิสองแม่ลูกระริกระรี้ชื่นบานกันเหลือเกิน
5
อิซุโมมิโกะคือการร่ายรำที่นักรำชื่อโอกุนิถอดแบบมาจากท่ารำของหญิงพรหมจรรย์แห่งศาลเจ้าอิซุโมะ กำลังอยู่ในกระแสนิยมเป็นกล่าวขวัญกันไปทั่วละแวกบ้านในเกียวโต
คณะละครหญิงล้วนที่เลียนแบบการร่ายรำอิซุโมมิโกะหลายคณะ มาตั้งโรงแสดงเรียงรายอยู่บนฝั่งแม่น้ำย่านชิโจ แต่ละคณะพยายามดัดแปลงท่ารำของคณะตนให้มีความโดดเด่นเกินหน้าคู่แข่ง โดยนำท่ารำของท้องถิ่นตนมาผสมผสานเข้าไปเพื่อเรียกแขก
คณะละครแข่งกันปรับปรุงรูปแบบการแสดงให้รุดหน้าทันสมัยเอาใจผู้ชมกันอย่างสุดฤทธิ์ หญิงนักแสดงที่ผันตัวมาจากพวกเต้นกินรำกินตามร้านน้ำชาปรับตัวรุดหน้าไปอีกขึ้น คนที่รับบทผู้ชายในละครก็เปลี่ยนชื่อให้นามแฝงที่ฟังแล้วเป็นชายเพื่อจะได้แสดงให้สมบทบาทยิ่งขึ้น แล้วอย่างนี้จะไม่ถึงใจพระเดชพระคุณได้อย่างไร ข่าวว่าบางคณะถึงกับมีขุนน้ำขุนนางจ้างไปแสดงให้ดูกันในคฤหาสน์เป็นการส่วนตัว
“เตรียมตัวกันเสร็จรึยัง”
เซอิจูโรเร่งเมื่อตะวันเลยเที่ยง สองแม่ลูกพิรี้พิไรแต่งตัวแต่งหน้าไปดูละครอยู่เป็นนานสองนาน อาจารย์น้อยหงุดหงิดแทบหมดอารมณ์ที่จะไป เพราะคอยจนเมื่อยแล้วเมื่อยอีกก็ยังไม่ปรากฏโฉมออกมาสักที
ส่วนกิองโทจิก็นั่งหน้าบึ้งหน้างออยู่ทางหนึ่งด้วยอารมณ์ค้าง ยังไม่หายขุ่นเคืองเรื่องเมื่อคืนก่อน
“ควงผู้หญิงไปเที่ยวมันก็ดีอยู่หรอก แต่กว่าจะแต่งตัวเสร็จนวยนาดออกมาได้มันช่างเสียเวลานัก ไหนจะทรงผม ไหนจะกิโมโนและผ้าคาด ปล่อยให้พวกผู้ชายคอยกันจนอ่อนใจไปตาม ๆ กัน”
“ชักไม่อยากไปแล้วซี”
เซอิจูโรมองลงไปที่แม่น้ำ เห็นพวกผู้หญิงกำลังเอาผ้าที่ย้อมเสร็จแล้วลงไปล้างน้ำอยู่ใต้สะพานซันโจ ขณะที่ชายสองสามคนขี่ม้าผ่านไปบนสะพาน ภาพที่เห็นเตือนใจให้นักดาบหนุ่มนึกถึงโรงฝึกดาบ เสียงดาบไม้และง้าวทวนกระทบกันสะท้อนก้องหู จวนจะบ่ายแล้วลูกศิษย์เต็มโรงฝึกคงกำลังลือกันไปต่าง ๆ นา ๆ เมื่อไม่เห็นอาจารย์น้อย เด็นชิจิโรน้องชายผู้เอาการเอางานคงต้องงุ่นง่านทำเสียงจึ๊กจั๊กในปากด้วยความระอาใจตามเคย
“โทจิ...กลับดีกว่า”
“คงไม่ได้ละมัง”
“ก็มัน...”
“อาจารย์น้อยไปให้สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะจนโอโคกับอาเกมิดีใจขนาดนั้น ขืนกลับไปสองคนแม่ลูกจะต้องโกรธมากแน่ เดี๋ยวจะไปเร่งให้ ทำใจเย็น ๆ เอาไว้”
กิองโทจิปลอบใจเซอิจูโรก่อนออกจากห้องไปตามหาสองแม่ลูก เยี่ยมหน้าเข้าไปในห้องหนึ่งเห็นแต่กระจกเงาและเสื้อผ้าถูกทิ้งกระจุยกระจาย
“อ้าว...ไปไหนกันล่ะเนี่ย”
เลื่อนประตูห้องข้าง ๆ ออกดูก็ไม่เห็น กิองโทจิเดินหาเรื่อยไปจนกระทั่งถึงห้องหนึ่งที่อยู่ในส่วนลึกสุดของระเบียงทางเดินที่มืดทึบ ได้กลิ่นเหม็นอับของที่นอนโชยออกมาก่อนที่จะเดินไปถึงเสียอีก นักดาบหนุ่มไม่คิดว่าจะเจอสองแม่ลูกอยู่ในนั้น แต่ไหน ๆ ก็เปิดดูทุกห้องแล้วจะเว้นเสียก็กระไรอยู่
และทันทีที่กิองโทจิเลื่อนประตูเปิดออก ก็มีเสียงตวาดกราดเกรี้ยวใส่หน้าจนต้องผงะออกมาแทบไม่ทัน
“ใคร ?”
พอหายตกใจและเขม้นมองเข้าไปในความมืดสลัว ก็เห็นว่าห้องนั้นอยู่ในสภาพซอมซ่อ เสื่อทาทามิเก่าขึ้นขุยและเย็นชื้นเหม็นอับไม่น่าใช่ห้องสำหรับรับรองแขกเหมือนห้องด้านนอก เจ้าของเสียงตวาดกราดเกรี้ยวหน้าตาเหมือนกุ๊ยอันธพาลอายุราวยี่สิบสองยี่สิบสาม แต่งกายแบบซามูไรพเนจรนอนแผ่หลาอยู่กลางห้องทั้ง ๆ ที่มีดาบเสียบเอวไว้ หันฝ่าเท้าดำปี๋มาทางประตู
“โอ๊ะ ขอโทษขอรับ ท่านลูกค้า”
“ข้าไม่ใช่ลูกค้า”
ชายคนนั้นตวาดลั่นเสียงดังก้องขึ้นไปบนเพดาน กลิ่นเหล้าโชยฉุนขึ้นมาจากร่างที่นอนนิ่งอยู่ในท่าเดิม จะเป็นใครก็แล้วแต่ กิองโทจิบอกตัวเองว่าไม่ขอแตะต้องเด็ดขาดรีบบอกว่า “ข้าขอตัว” และพอขยับตัวหนี ชายคนนั้นก็ยันตัวลุกขึ้นตะโกนเรียกเอาไว้
“เฮ้ย...ปิดประตูด้วย”
“ฮะ...”
กิองโทจิอยากไปให้พ้นจากตรงนั้นเต็มทีจึงรีบทำตาม และทันทีที่ลับตัวไปโอโคในชุดกิโมโนงดงามหวามใจชาย ก็เดินนวยนาดพลางช่วยแตะแต่งเรือนผมของอาเกมิเข้ามาถามว่าใครมา แล้วดุด้วยเสียงเหมือนกับอีกฝ่ายเป็นเด็กน้อยว่า
“โกรธอะไรถึงได้ไปหยาบคายกับเขา”
อาเกมิยื่นหน้ามาถามว่า
“มาคาฮาจิ ไปด้วยกันไหม”
“ไปไหน”
“ไปดูละครโอกุนิคาบูกิ”
“เซอะ”
ฮนอิเด็น มาตาฮาจิชายตาไปที่โอโค เบ้ปากทำท่าเหมือนกับจะถ่มน้ำลายลงบนพื้น
“ผัวที่ไหนจะงี่เง่าไปเดินตามตูดผู้ชายที่มาติดพันเมียของตัว”
6
น้ำเสียงสะท้อนความรู้สึกสับสนของชายที่เห็นผู้หญิงของตนแต่งกายสวยงามบาดตา แต่งหน้าประเทืองโฉมงดงามบาดใจออกไปบันเทิงเริงรมย์นอกบ้านกับชายอื่น
“ว่ายังไงนะ” โอโคตรวาดแหวตาคมลุกวาว
“ฉันจะไปดูละครกับท่านกิองโทจิ ไม่ได้ทำอะไรน่าเกลียดตรงไหน”
“ฉันไม่ได้พูดสักหน่อยว่าทำอะไรน่าเกลียด”
“ก็ที่พูดเมื่อตะกี้นี้ไง”
“... ... ...”
“เป็นผู้ชายเสียเปล่า”
โอโคจ้องหน้าด่าต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบหงอไป
“เจ้าก็ดีแต่หึงหวง ข้าละเบื่อ”
ว่าแล้วก็ค้อนขวับ หันมาทางลูกสาว
“อาเกมิ ไปกันเถอะ อย่ามัวร่ำไรกับคนบ้าอยู่เลย เสียเวลา”
มาตาฮาจิเอื้อมมือมาจับชายเสื้อกิโมโนของโอโคเอาไว้
“หมายความว่ายังไง...คนบ้า นี่หล่อนถึงกับกล้าว่าผัวว่าคนบ้าเชียวรึ”
“ก็จะทำไม” โอโคสลัดชายกิโมโนจนหลุดออกมาจากมือมาตาฮาจิ
“จะให้ยกย่องว่าเป็นท่านสามีก็ต้องทำตัวให้เหมาะสมซี เคยคิดหรือเปล่าว่าใครเป็นคนหาเลี้ยง”
“หล....หล่อน” มาตาฮาจิปากคอสั่น
“ตั้งแต่สิ้นเนื้อประดาตัวออกมาจากแคว้นโกชู เจ้าเคยหาเงินมาเลี้ยงพวกเราสักเบี้ยสักอัฐหนึ่งไหม ถ้าฉันกับอาเกมิไม่หากินกันตัวเป็นเกลียวป่านนี้คงอดตายไปนานแล้ว เจ้าไม่ได้ช่วยทำอะไรเลย...มาตาฮาจิ วัน ๆ ได้แต่เดินไปเดินมา กินเหล้าเมาหัวราน้ำ แล้วจะยังมีหน้ามาบ่นอะไร”
“ทำไม ก็ข้าบอกว่าจะไปทำงาน แบกหินแบกทรายตรงที่เขาสร้างปราสาทข้าก็เอา แต่เจ้าเองเป็นคนห้ามไม่ให้ข้าไปทำบอกว่างานแบกหามอย่างนั้นจะได้ค่าจ้างสักเท่าไรกัน บอกว่าไม่อยากอยู่ห้องแถวกรรมกรกินข้าวเลว ๆ อย่างยาจก เจ้าไม่ให้ข้าทำงานและเลือกทำร้านน้ำชาเพื่อจะได้คลุกคลีกับชายไม่เลือกหน้าอย่างที่ชอบนักหนา ถ้าจะให้ข้าทำงานเจ้าก็เลิกทำอย่างนี้เสียที...เลิกเดี๋ยวนี้เลย” มาตาฮาจิขึ้นเสียงสูงจนแทบจะสั่นเครือ
“เลิกอะไร”
“ก็เลิกอาชีพอย่างนี้น่ะซี”
“เลิกแล้ว ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปจะเอาอะไรกิน”
“ข้าจะหาเลี้ยงให้ดู แค่สองสามคนเท่านี้เองจะไปหนักหนาอะไร แค่ขนหินขนทรายก็พอกิน”
“อ๋อ ถ้าอยากไปแบกหินแบกทรายเลื่อยท่อนไม้ท่อนซุง ก็ออกจากบ้านนี้ไปอยู่กินคนเดียวให้สบายใจ คิดดูก็เหมาะที่สุดแล้วกับสันดานคนบ้านนอกที่เกิดและก็โตขึ้นมาที่แคว้นซากุอย่างเจ้า ฉันเองก็ไม่เคยวอนขอให้ช่วยอยู่กันที่บ้านนี้เสียหน่อย ถ้าไม่พอใจอยากจะไปไหนก็ไปเลย ไม่ต้องมาทำเป็นเกรงใจ”
มาตาฮาจิมองตามโอโคที่สะบัดหน้าพาอาเกมิก้าวฉับ ๆ ออกไปผ่านม่านน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาด้วยความเจ็บใจ และยังจ้องจับไปที่ประตูอยู่อย่างนั้นปล่อยให้น้ำตาร่วงเผาะลงกระทบพื้นเสื่อทาทามิ สายเสียแล้วที่จะมาเศร้าเสียใจกับวิถีชีวิตที่ตนได้เลือกแล้วเอาป่านนี้ ตอนที่เซซังหนีตายมาจากสมรภูมิเซกิงาฮาระและโชคช่วยให้ได้มาอาศัยซ่อนตัวอยู่ในบ้านที่เชิงเขาอิบูกิของสองแม่ลูกที่เปรียบเสมือนนางฟ้าผู้ช่วยชีวิต มาตาฮาจิปล่อยตัวให้หลงใหลได้ปลื้มไปกับความอบอุ่นของโอโคไปชั่วขณะ ไม่ผิดอะไรกับตกเป็นเชลยพิศวาสซึ่งกว่าจะคิดถอนตัวออกมาก็สายเกินแก้ มาถึงตอนนี้มาตาฮาจิไม่แน่ใจมานานแล้วว่าการยอมให้ข้าศึกจับตัวไปเป็นเชลยเสียดี ๆ กับการต้องตกเป็นทาสพิศวาสให้ผู้หญิงเจนโลกอย่างโอโคสับโขกดูหมิ่นไม่เว้นวันนั้น อย่างไหนจะลดทอนความเป็นชายของตนลงมากกว่ากัน การถูกจับเข้าคุกกับการต้องนั่งนอนอุดอู้อยู่ในห้องอับชื้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี้อย่างไหนจะทุกข์ทรมานกว่ากัน
มาบัดนี้มาตาฮาจิแสนเสียดายความฝันอันยิ่งใหญ่ของตน ที่สูญสลายไปกับการตกเป็นทาสพิษวาทของโอโค ผู้หญิงเจนโลกที่คงความสาวความสวยและรูปทรงอวบอัดเต่งตึงราวกับไปกินเนื้อนางเงือกมาจึงงามเป็นอมตะตามคำเชื่อของคนโบราณ เสน่ห์เย้ายวนของผู้หญิงหน้าขาวนวลเป็นยองใยคนนี้เองที่ฉุดรั้งชายหนุ่มอนาคตไกลเช่นตนเข้ารกเข้าพงสู่หนทางวิบาก
“บัดซบ”
มาตาฮาจิสะอื้นจนสั่นเทาไปทั้งตัว
“บัดซบที่สุด”
น้ำตาพรั่งพรูออกมาไม่หยุด อยากจะร้องให้น้ำตาออกมาให้หมดตัวหากจะช่วยบรรเทาความเศร้าเสียใจลงได้บ้าง
ทำไม...ทำไมตอนนั้นข้าถึงไม่กลับบ้านเกิดที่หมู่บ้านมิยาโมโตะ
ทำไมข้าไปกลับไปซบอกโอซือ...โอซือสาวน้อยผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องคนนั้น
หมู่บ้านมิยาโมโตะมีแม่ผู้รักข้าดังดวงใจ มีพี่สาวและพี่เขย มีอากงแห่งคาวาระ ทุกคนล้วนมีความรักใคร่ใยดีและจิตใจที่อบอุ่น
วันนี้ ระฆังวัดชิปโปจิที่พักอาศัยของโอซือคงตีบอกเวลาเช่นเดียวกับทุก ๆ วัน สายน้ำในแม่ไอดะคงไหลรินเช่นเคย ดอกไม้ก็คงเบ่งบานเต็มท้องทุ่ง และนกก็คงร้องร่าเริงไปกับฤดูใบไม้ผลิ
“บ้า...บ้า”
มาตาฮาจิยกกำปั้นขึ้นชกหัวตัวเองแรง ๆ
“ไอ้บ้า”
7
เมื่อทุกคนที่จะไปดูละครมาพร้อมหน้ากันแล้วจึงพากันเดินออกจากร้านน้ำชา
สองแม่ลูกร้านน้ำชากับแขกสองคนที่พักค้างอยู่ที่ร้าน...โอโค อาเกมิ เซอิจูโร และกิองโทจิ เดินคุยกันพลางหยอกล้อระริก ระรี้เลียบไปตามแนวเรือน
“ข้างนอกนี่อบอุ่นสดชื่นดีจริง ฤดูใบไม้ผลิแล้วหรือนี่”
“ก็จะย่างเข้าเดือนสามอยู่อีกไม่กี่วันแล้วนี่เจ้าคะ”
“เดือนสามรึ เขาลือกันว่าท่านโชกุนโทกุงาวะจะยกขบวนเดินทางมาจากโตเกียว พวกเจ้าคงจะได้รับแขกคณะใหญ่กันละคราวนี้”
“ไม่เจ้าค่ะ ไม่”
“ทำไมล่ะ ซามูไรจากแคว้นฟากตะวันออกเขาไม่เที่ยวร้านน้ำชาอย่างพวกเราหรอกรึ”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ พวกนั้นหยาบคาย”
“...แม่จ๋า นั่นเสียงเพลงจากละครโอคูนิคาบูกิใช่ไหม หนูได้ยินเสียงกระดิ่ง เสียงขลุ่ยด้วย”
“ตายจริง...เด็กคนนี้คิดแต่จะสนุกท่าเดียว ใจคงจะไปอยู่ที่โรงละครแล้วละซี”
“แหม แม่ก็”
“ไม่ต้องพูดดี เอาหมวกของอาจารย์น้อยมาถือไว้ เร็วเข้า”
“ฮะ ฮะ ฮะ อาจารย์น้อย เดินเข้าคู่สมกันจริง ๆ”
“ไม่เอาน่า ท่านโทจิ”
พออาเกมิหันไปดู โอโคก็รีบแกะมือที่ถูกกิองโทจิเกาะกุมเอาไว้ออก
มาตาฮาจิได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยดังผ่านห้องของตน จึงเยี่ยมหน้าต่างออกไปดูและมองตามไปด้วยสายตาโกรธเกรี้ยวน่ากลัว หน้าเขียวด้วยความริษยา
“เชอะ”
มาตาฮาจิระบายความอัดอั้นออกมา แล้วก็กลับกระแทกตัวลงนั่งบนพื้นที่เย็นชื้นในห้องอับทึบตามเดิม
“...อะไรกันวะ นี่ข้าไม่มีปัญญาทำอะไรดีไปกว่านี้เลยรึ ศักดิ์ศรีไปไหนหมด ทำไมถึงงี่เง่าได้ถึงขนาดนี้”
เจ้าหนุ่มก่นด่าตัวเอง โกรธตัวเองที่เป็นคนไม่เอาไหน คิดแคบและตื้นเขิน ขี้ขลาด โง่เขลา ตัดสินใจไม่ขาด และทุกสิ่งทุกอย่างที่ดูไม่เข้าท่าไปเสียทั้งหมด
“...หล่อนออกปากไล่ไม่ไว้หน้ายังกับเราเป็นหมูกับหมา เราก็ไปซี จะอยู่ไปทำไม ไม่เห็นมีอะไรที่ทำให้เราจะต้องกัดฟันทนอยู่ต่อ เราเพิ่งจะยี่สิบสอง เรื่องอะไรจะเอาความหนุ่มแน่นมาทิ้งไว้กับหล่อน”
มาตาฮาจิพูดเสียงดังอยู่คนเดียวภายในบ้านที่เงียบสงัดลงเมื่อไม่มีใครอยู่
“ใช่...เราต้องทำอย่างนั้น ไปเลย ไปเดี๋ยวนี้”
แต่พอลุกขึ้นจะไปจริง ๆ ก็เกิดไม่อยากไปขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจตัวเองจริง ๆ คิดวนไปวนมาจนสับสนไปหมดเหมือนพายเรือวนเวียนอยู่ในอ่าง
มาตาฮาจิยอมรับว่าในช่วงปีสองปีนี้หัวสมองของตนทึ่มทื่อลงไปมาก ไม่รู้อยู่มาได้ยังไงเหมือนกัน ในเมื่อต้องเห็นผู้หญิงของตนไปปรนนิบัติดูแลชายอื่น เอาความสนิทเสน่หาที่เคยให้แก่ตนไปปรนเปรอชายอื่นเพื่อแลกกับเงิน กลางคืนเจ้าหนุ่มไม่เคยนอนหลับอย่างมีความสุข กลางวันก็กังวลไม่อยากออกไปให้ใครเห็นหน้า ใช้ชีวิตอยู่ในมุมมืดกับเหล้าสาเก มีเหล้าสาเกอย่างเดียวเป็นที่พึ่ง
เพราะยายป้าบ้าผู้ชายนั่นคนเดียวที่ทำให้ชีวิตข้าเป็นไปเช่นนี้
มาตาฮาจิรู้ว่าควรทำอย่างไรเพื่อไม่ให้อะไร ๆ มันเลวร้ายไปกว่านี้ ไม่ยากสักนิดแค่เตะนางมารตรงหน้าให้กระเด็นไป เอื้อมมือไปคว้าเอาความฝันความปรารถนาของวัยหนุ่มกลับคืนมา ถึงจะช้าไปบ้างแต่ก็มั่นใจว่าจะสามารถย้อนกลับไปที่หัวเลี้ยวแล้วเลี้ยวใหม่ไปในทางที่ถูกต้องเท่านั้นเอง
ทว่ามนต์ขลังของวันชื่นคืนสวาทยึดรั้งมาตาฮาจิเอาไว้ทุกครั้ง ทำไมถึงได้มีพลังรัดรึงได้เหนียวแน่นอะไรอย่างนั้น หรือว่านางเป็นปีศาจจำแลงแปลงกายมา...ไปซิไปให้พ้น จะอยู่ไปทำไมให้ขวางหูขวางตา แม้จะด่าเกรี้ยวกราดด้วยถ้อยคำบาดใจ แต่พอตกดึกถ้อยคำเดียวกันนั้นกลับกลายเป็นคำหยอกล้อ หวานซึ้งราวอาบด้วยน้ำผึ้งไปทุกถ้อยคำ จากเรียวปากเต็มอิ่มแดงระเรื่อไม่แพ้สาวน้อยอาเกมิ แม้อายุจะล่วงเลยเกือบย่างเข้าวัยสี่สิบแล้วก็ตาม
---ไม่ใช่เท่านั้น
ทุกครั้งที่ตั้งท่าจะไปจริง ๆ มาตาฮาจิก็ต้องชะงักเพราะไม่กล้าพอที่จะให้โอโคหรืออาเกมิมาเห็นตัวเขาทำงานเป็นกรรมกรขนหิน ชีวิตในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้เขาเกียจคร้านจนเป็นนิสัย ผิวกายคุ้นชินกับผ้าไหม รู้ความแตกต่างระหว่างเหล้าสาเกนาดะกับสาเกราคาถูกตามตลาด ผิดกับมาตาฮาจิแห่งหมู่บ้านมิยาโมโตะหนุ่มบ้านนอกที่เนื้อตัวเหม็นกลิ่นดินกลิ่นทรายเป็นคนละคน ยิ่งกว่านั้นการที่ต้องตกเป็นทาสพิศวาสของหญิงเจนโลกย์มาตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบ และใช้ชีวิตมาอย่างผิดแปลกไปจากคนวัยเดียวกันตลอดมา จึงเป็นธรรมดาที่มาตาฮาจิจะต้องขาดความรู้สึกนึกคิดอย่างที่คนหนุ่มพึงมี ประกอบกับความเกียจคร้านและดื้อรั้นซึ่งเป็นสันดานเดิม จึงไม่แปลกที่มาตาฮาจิจะเป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
แต่...แต่ วันนี้แหละ จะต้องได้เห็นดีกันเสียที
“ไม่ถอย ต้องไม่ถอย”
มาตาฮาจิทุบหัวตัวเองอีกครั้งก่อนผุดลุกขึ้นยืน
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ความเดิม
อาเกมิไม่ตอบได้แต่ลุกไปหยิบชามิเซ็งกลับมา แล้วเริ่มดีดและร้องเพลงคลอเสียงกังวานใสเคลิบเคลิ้มไปกับลำนำเพลงที่ตั้งใจกล่อมใจตนเองมากกว่าร้องให้คนอื่นฟัง
แม้คืนนี้หมู่เมฆจะบังฟ้าข้าก็ยังเห็นจันทร์เจ้าเรืองรองอยู่ในม่านน้ำตา
“ท่านโทจิเข้าใจไหม”
“อือ ขออีกเพลงได้ไหม”
“ได้สิ ฉันอยากดีดอยู่อย่างนี้ตลอดคืน”
แม้ในความมืด มืดสนิทข้าก็ไม่เคยหลงทางแต่โอ้อกเอย ใยข้าจึงหลงท่าน
“ฉันเข้าใจแล้ว อาเกมิเป็นสาวสมวัยยี่สิบเอ็ดจริง ๆ ด้วย”
4
เมื่อได้สดับเสียงเพลงหวานใสคลอเสียงชามิเซ็ง อารมณ์ของเซอิจูโรอาจารย์น้อยแห่งสำนักดาบโยชิโอกะที่นั่งกุมหัวอยู่หน้าบึ้งก็ดีขึ้น หายเคืองที่ถูกสาวน้อยสลัดผลักไสหนีไปไม่ใยดีเมื่อครู่ก่อน เอ่ยชวนขึ้นเขิน ๆ ว่า
“อาเกมิ มาดื่มกันสักจอกไหม”
สาวน้อยยื่นจอกออกไปรับโดยดี
“รับเจ้าค่ะ”
นางดื่มรวดเดียวเกลี้ยงจอกแล้วยื่นออกไปอีก
“โห...คอแข็งไม่ใช่เล่น” เซอิจูโรว่าพลางรินสาเกให้อีก “เอ้า เอาไปอีกจอกนึง”
คราวนี้อาเกมิขยับขึ้นมาเป็นคู่ดื่มกับอาจารย์น้อยอย่างไม่เกรงใจว่าตนเป็นเพียงหญิงรับใช้ ถึงกับวางจอกที่ดูเหมือนจะเล็กไปแล้วและเอื้อมไปมือไปหยิบถ้วยใบใหญ่มายื่นรับสาเก
อาเกมิเป็นหญิงร่างเล็กหน้านวลใส ริมฝีปากจิ้มลิ้มพริ้มเพราไม่เคยถูกเล้าโลมให้แปดเปื้อนมลทิน ตากลมโตเป็นประกายวาววาบไหวปราดเปรียวไม่แพ้นางกวางสาว พิศดูทั้งเนื้อตัวแล้วอายุอานามไม่น่าจะสิบหกสิบเจ็ด ทำให้หนุ่ม ๆ นักดาบพากันมองมาด้วยสายตาทึ่งจัด สงสัยนักว่าเหล้าสาเกถ้วยแล้วถ้วยเล่าผ่านริมฝีปากจิ้มลิ้มคู่นั้นหายไปทางไหน
“ถ้าอาจารย์น้อยคิดจะมอมเหล้านางคนนี้ละก็ไม่มีวันสำเร็จหรอกเจ้าค่ะ เพราะต่อให้ดื่มทั้งคืนก็ไม่เมา ทางที่ดีส่ง ชามิเซ็งให้นางเมากับเสียงเพลงจะเหมาะกว่า” โอโคร้องติงเมื่อเห็นเซอิจูโรรินสาเกให้อาเกมิไม่หยุดมือ
“ดูนางดื่มแล้วเพลินดี”
เซอิจูโรยิ้มย่องพลางดื่มสาเกรวดเดียวเกลี้ยงถ้วย กิองโทจิที่เฝ้ามองอากัปกิริยาของเซอิจูโรอยู่ไม่วางตา สังเกตเห็นสายตาของอาจารย์น้อยที่มองไปที่สาวน้อยตลอดจนน้ำเสียงชักจะแปลกไป จึงลองหยั่งเชิงดูว่า
“คืนนี้ อาจารย์น้อยดื่มจัดไปหน่อยแล้วนะ เป็นอะไรไปรึเปล่า”
“ไม่ต้องมายุ่ง”
นั่นไง ไม่ธรรมดาจริงด้วย
“โทจิ คืนนี้บางทีข้าอาจไม่กลับ”
เซอิจูโรตวัดหางเสียงเหมือนเด็กดื้อก่อนรินสาเกใส่ถ้วยดื่มต่อไป
“เชิญเลยเจ้าค่ะ เชิญเลย จะค้างสักกี่คืนก็ได้...นะอาเกมิ”
โอโคกระชดกระช้อยหนุนส่ง กิองโทจิส่งสายตามาสบเป็นเชิงชวน แล้วพาโอโคปลีกตัวออกไปเงียบ ๆ และพอมาถึงอีกห้องหนึ่ง นักดาบหนุ่มก็กระซิบที่ข้างหูของสาวใหญ่ผู้เจนโลกว่า...ข้าว่าชักจะยุ่งแล้วละโอโค ท่าทางอาจารย์น้อยคงไม่ปล่อย อาเกมิให้หลุดมือไปได้อีกเหมือนเมื่อตอนหัวค่ำ ทีนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะต้องคิดในฐานะที่เป็นแม่ว่าจะเรียกค่าน้ำนมสักเท่าไร จะได้ต่อรองกันให้สมน้ำสมเนื้อด้วยกันทั้งสองฝ่าย
“หือ ?...”
โอโคครางเบา ๆ ในความมืดสลัว ยกนิ้วขึ้นแตะแก้มที่พอกเครื่องสำอางไว้หนาและครุ่นคิด
“ว่ายังไงล่ะ”
กิองโทจิเร่งพลางกระเถิบใกล้เข้ามาอีก
“ข้าว่าเจ้าโชคดีมากเลยนะโอโค โยชิโอกะเป็นสำนักดาบของกองทัพท่านโชกุนและเป็นตระกูลที่ร่ำรวยเงินทอง ท่านอาจารย์เค็มโปบิดาของอาจารย์น้อยเป็นยอดนักดาบแห่งยุทธจักร เคยเป็นครูสอนวิชาดาบให้ท่านโชกุนมูโนมาจิเองด้วย มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย และที่สำคัญเหนืออื่นใดคือท่านเซอิจูโรยังไม่มีเมีย เห็นไหมไม่มีที่ติเลย เจ้าจะว่ายังไงโอโค จะปล่อยให้โอกาสดี ๆ เช่นนี้หลุดมือไปอย่างนั้นรึ”
“ฉันเห็นด้วยเจ้าค่ะ แต่...”
“ไม่มีแต่...โอโค ถ้าเจ้าเห็นดีทุกอย่างก็เรียบร้อย งั้นคืนนี้เราสองคนค้างที่นี่นะ”
ห้องนั้นไม่มีโคมตะเกียง ความมืดสลัวเร่าอารมณ์กิองโทจิให้เพริดแพร้ว และในจังหวะที่นักดาบหนุ่มเอื้อมมือไปโอบไหล่สาวใหญ่รั้งกายเข้ามาแนบชิดนั้นเอง ก็มีเสียงประตูเลื่อนห้องข้าง ๆ ถูกปิดดังปัง
“เอ๊ะ วันนี้มีแขกอื่นด้วยรึ”
โอโคพยักหน้า ประทับริมฝีปากนุ่มชื้นลงที่ข้างหูชายหนุ่มในอ้อมกอด กระซิบว่ารอเดี๋ยวนะเจ้าคะ
ชายหญิงเดินตามกันออกมาจากห้องนั้นด้วยท่าทีปกติธรรมดา ผ่านไปเห็นเซอิจูโรเมากลิ้งหลับหมดสภาพอยู่ในห้องเดิม กิองโทจิก็กำลังหลับสนิท...คงจะตื่นรออยู่นานจนหลับไป ทั้งสองกลับไปนอนแอบอิงกันหลับสนิทอยู่ในห้องด้านลึกสุดของบ้านจนสว่าง และตลอดคืนไม่มีแม้แต่เสียงเสียดสีกันของเสื้อผ้าอาภรณ์แว่วมาให้ได้ยิน
กิองโทจิตื่นสายกว่าใคร ๆ ทำหน้าไม่สบอารมณ์ที่ถูกทิ้งเมื่อคืน เซอิจูโรตื่นก่อนและเริ่มดื่มอีกแล้วที่ห้องด้านริมน้ำโดยมี โอโคกับอาเกมิห้อมล้อมปรนนิบัติอยู่ เช้านี้ก็เช่นกัน สองแม่ลูกดูร่าเริงแจ่มใสกันทั้งคู่ และดูเหมือนกำลังให้สัญญาอะไรกันเพราะนางลูกสาวชะอ้อนว่า
“ท่านจะพาเราไปจริง ๆ หรือเจ้าคะ แน่นะ”
ฟังแล้วน่าจะเป็นการชวนกันไปดูละครโอกุนิคาบูกิที่กำลังแสดงอยู่ในย่านชิโจบนฝั่งแม่น้ำ เรียกแขกให้หลั่งไหลตามกันไปดู
“อือ...แน่ซี เตรียมข้าวกล่องกับสาเกไปให้พร้อมด้วย”
“แน่นอนเจ้าค่ะ อย่างแรกต้องไปก่อไฟต้มน้ำอาบก่อน”
“ดีใจจัง”
เช้านี้ โอโคกับอาเกมิสองแม่ลูกระริกระรี้ชื่นบานกันเหลือเกิน
5
อิซุโมมิโกะคือการร่ายรำที่นักรำชื่อโอกุนิถอดแบบมาจากท่ารำของหญิงพรหมจรรย์แห่งศาลเจ้าอิซุโมะ กำลังอยู่ในกระแสนิยมเป็นกล่าวขวัญกันไปทั่วละแวกบ้านในเกียวโต
คณะละครหญิงล้วนที่เลียนแบบการร่ายรำอิซุโมมิโกะหลายคณะ มาตั้งโรงแสดงเรียงรายอยู่บนฝั่งแม่น้ำย่านชิโจ แต่ละคณะพยายามดัดแปลงท่ารำของคณะตนให้มีความโดดเด่นเกินหน้าคู่แข่ง โดยนำท่ารำของท้องถิ่นตนมาผสมผสานเข้าไปเพื่อเรียกแขก
คณะละครแข่งกันปรับปรุงรูปแบบการแสดงให้รุดหน้าทันสมัยเอาใจผู้ชมกันอย่างสุดฤทธิ์ หญิงนักแสดงที่ผันตัวมาจากพวกเต้นกินรำกินตามร้านน้ำชาปรับตัวรุดหน้าไปอีกขึ้น คนที่รับบทผู้ชายในละครก็เปลี่ยนชื่อให้นามแฝงที่ฟังแล้วเป็นชายเพื่อจะได้แสดงให้สมบทบาทยิ่งขึ้น แล้วอย่างนี้จะไม่ถึงใจพระเดชพระคุณได้อย่างไร ข่าวว่าบางคณะถึงกับมีขุนน้ำขุนนางจ้างไปแสดงให้ดูกันในคฤหาสน์เป็นการส่วนตัว
“เตรียมตัวกันเสร็จรึยัง”
เซอิจูโรเร่งเมื่อตะวันเลยเที่ยง สองแม่ลูกพิรี้พิไรแต่งตัวแต่งหน้าไปดูละครอยู่เป็นนานสองนาน อาจารย์น้อยหงุดหงิดแทบหมดอารมณ์ที่จะไป เพราะคอยจนเมื่อยแล้วเมื่อยอีกก็ยังไม่ปรากฏโฉมออกมาสักที
ส่วนกิองโทจิก็นั่งหน้าบึ้งหน้างออยู่ทางหนึ่งด้วยอารมณ์ค้าง ยังไม่หายขุ่นเคืองเรื่องเมื่อคืนก่อน
“ควงผู้หญิงไปเที่ยวมันก็ดีอยู่หรอก แต่กว่าจะแต่งตัวเสร็จนวยนาดออกมาได้มันช่างเสียเวลานัก ไหนจะทรงผม ไหนจะกิโมโนและผ้าคาด ปล่อยให้พวกผู้ชายคอยกันจนอ่อนใจไปตาม ๆ กัน”
“ชักไม่อยากไปแล้วซี”
เซอิจูโรมองลงไปที่แม่น้ำ เห็นพวกผู้หญิงกำลังเอาผ้าที่ย้อมเสร็จแล้วลงไปล้างน้ำอยู่ใต้สะพานซันโจ ขณะที่ชายสองสามคนขี่ม้าผ่านไปบนสะพาน ภาพที่เห็นเตือนใจให้นักดาบหนุ่มนึกถึงโรงฝึกดาบ เสียงดาบไม้และง้าวทวนกระทบกันสะท้อนก้องหู จวนจะบ่ายแล้วลูกศิษย์เต็มโรงฝึกคงกำลังลือกันไปต่าง ๆ นา ๆ เมื่อไม่เห็นอาจารย์น้อย เด็นชิจิโรน้องชายผู้เอาการเอางานคงต้องงุ่นง่านทำเสียงจึ๊กจั๊กในปากด้วยความระอาใจตามเคย
“โทจิ...กลับดีกว่า”
“คงไม่ได้ละมัง”
“ก็มัน...”
“อาจารย์น้อยไปให้สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะจนโอโคกับอาเกมิดีใจขนาดนั้น ขืนกลับไปสองคนแม่ลูกจะต้องโกรธมากแน่ เดี๋ยวจะไปเร่งให้ ทำใจเย็น ๆ เอาไว้”
กิองโทจิปลอบใจเซอิจูโรก่อนออกจากห้องไปตามหาสองแม่ลูก เยี่ยมหน้าเข้าไปในห้องหนึ่งเห็นแต่กระจกเงาและเสื้อผ้าถูกทิ้งกระจุยกระจาย
“อ้าว...ไปไหนกันล่ะเนี่ย”
เลื่อนประตูห้องข้าง ๆ ออกดูก็ไม่เห็น กิองโทจิเดินหาเรื่อยไปจนกระทั่งถึงห้องหนึ่งที่อยู่ในส่วนลึกสุดของระเบียงทางเดินที่มืดทึบ ได้กลิ่นเหม็นอับของที่นอนโชยออกมาก่อนที่จะเดินไปถึงเสียอีก นักดาบหนุ่มไม่คิดว่าจะเจอสองแม่ลูกอยู่ในนั้น แต่ไหน ๆ ก็เปิดดูทุกห้องแล้วจะเว้นเสียก็กระไรอยู่
และทันทีที่กิองโทจิเลื่อนประตูเปิดออก ก็มีเสียงตวาดกราดเกรี้ยวใส่หน้าจนต้องผงะออกมาแทบไม่ทัน
“ใคร ?”
พอหายตกใจและเขม้นมองเข้าไปในความมืดสลัว ก็เห็นว่าห้องนั้นอยู่ในสภาพซอมซ่อ เสื่อทาทามิเก่าขึ้นขุยและเย็นชื้นเหม็นอับไม่น่าใช่ห้องสำหรับรับรองแขกเหมือนห้องด้านนอก เจ้าของเสียงตวาดกราดเกรี้ยวหน้าตาเหมือนกุ๊ยอันธพาลอายุราวยี่สิบสองยี่สิบสาม แต่งกายแบบซามูไรพเนจรนอนแผ่หลาอยู่กลางห้องทั้ง ๆ ที่มีดาบเสียบเอวไว้ หันฝ่าเท้าดำปี๋มาทางประตู
“โอ๊ะ ขอโทษขอรับ ท่านลูกค้า”
“ข้าไม่ใช่ลูกค้า”
ชายคนนั้นตวาดลั่นเสียงดังก้องขึ้นไปบนเพดาน กลิ่นเหล้าโชยฉุนขึ้นมาจากร่างที่นอนนิ่งอยู่ในท่าเดิม จะเป็นใครก็แล้วแต่ กิองโทจิบอกตัวเองว่าไม่ขอแตะต้องเด็ดขาดรีบบอกว่า “ข้าขอตัว” และพอขยับตัวหนี ชายคนนั้นก็ยันตัวลุกขึ้นตะโกนเรียกเอาไว้
“เฮ้ย...ปิดประตูด้วย”
“ฮะ...”
กิองโทจิอยากไปให้พ้นจากตรงนั้นเต็มทีจึงรีบทำตาม และทันทีที่ลับตัวไปโอโคในชุดกิโมโนงดงามหวามใจชาย ก็เดินนวยนาดพลางช่วยแตะแต่งเรือนผมของอาเกมิเข้ามาถามว่าใครมา แล้วดุด้วยเสียงเหมือนกับอีกฝ่ายเป็นเด็กน้อยว่า
“โกรธอะไรถึงได้ไปหยาบคายกับเขา”
อาเกมิยื่นหน้ามาถามว่า
“มาคาฮาจิ ไปด้วยกันไหม”
“ไปไหน”
“ไปดูละครโอกุนิคาบูกิ”
“เซอะ”
ฮนอิเด็น มาตาฮาจิชายตาไปที่โอโค เบ้ปากทำท่าเหมือนกับจะถ่มน้ำลายลงบนพื้น
“ผัวที่ไหนจะงี่เง่าไปเดินตามตูดผู้ชายที่มาติดพันเมียของตัว”
6
น้ำเสียงสะท้อนความรู้สึกสับสนของชายที่เห็นผู้หญิงของตนแต่งกายสวยงามบาดตา แต่งหน้าประเทืองโฉมงดงามบาดใจออกไปบันเทิงเริงรมย์นอกบ้านกับชายอื่น
“ว่ายังไงนะ” โอโคตรวาดแหวตาคมลุกวาว
“ฉันจะไปดูละครกับท่านกิองโทจิ ไม่ได้ทำอะไรน่าเกลียดตรงไหน”
“ฉันไม่ได้พูดสักหน่อยว่าทำอะไรน่าเกลียด”
“ก็ที่พูดเมื่อตะกี้นี้ไง”
“... ... ...”
“เป็นผู้ชายเสียเปล่า”
โอโคจ้องหน้าด่าต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบหงอไป
“เจ้าก็ดีแต่หึงหวง ข้าละเบื่อ”
ว่าแล้วก็ค้อนขวับ หันมาทางลูกสาว
“อาเกมิ ไปกันเถอะ อย่ามัวร่ำไรกับคนบ้าอยู่เลย เสียเวลา”
มาตาฮาจิเอื้อมมือมาจับชายเสื้อกิโมโนของโอโคเอาไว้
“หมายความว่ายังไง...คนบ้า นี่หล่อนถึงกับกล้าว่าผัวว่าคนบ้าเชียวรึ”
“ก็จะทำไม” โอโคสลัดชายกิโมโนจนหลุดออกมาจากมือมาตาฮาจิ
“จะให้ยกย่องว่าเป็นท่านสามีก็ต้องทำตัวให้เหมาะสมซี เคยคิดหรือเปล่าว่าใครเป็นคนหาเลี้ยง”
“หล....หล่อน” มาตาฮาจิปากคอสั่น
“ตั้งแต่สิ้นเนื้อประดาตัวออกมาจากแคว้นโกชู เจ้าเคยหาเงินมาเลี้ยงพวกเราสักเบี้ยสักอัฐหนึ่งไหม ถ้าฉันกับอาเกมิไม่หากินกันตัวเป็นเกลียวป่านนี้คงอดตายไปนานแล้ว เจ้าไม่ได้ช่วยทำอะไรเลย...มาตาฮาจิ วัน ๆ ได้แต่เดินไปเดินมา กินเหล้าเมาหัวราน้ำ แล้วจะยังมีหน้ามาบ่นอะไร”
“ทำไม ก็ข้าบอกว่าจะไปทำงาน แบกหินแบกทรายตรงที่เขาสร้างปราสาทข้าก็เอา แต่เจ้าเองเป็นคนห้ามไม่ให้ข้าไปทำบอกว่างานแบกหามอย่างนั้นจะได้ค่าจ้างสักเท่าไรกัน บอกว่าไม่อยากอยู่ห้องแถวกรรมกรกินข้าวเลว ๆ อย่างยาจก เจ้าไม่ให้ข้าทำงานและเลือกทำร้านน้ำชาเพื่อจะได้คลุกคลีกับชายไม่เลือกหน้าอย่างที่ชอบนักหนา ถ้าจะให้ข้าทำงานเจ้าก็เลิกทำอย่างนี้เสียที...เลิกเดี๋ยวนี้เลย” มาตาฮาจิขึ้นเสียงสูงจนแทบจะสั่นเครือ
“เลิกอะไร”
“ก็เลิกอาชีพอย่างนี้น่ะซี”
“เลิกแล้ว ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปจะเอาอะไรกิน”
“ข้าจะหาเลี้ยงให้ดู แค่สองสามคนเท่านี้เองจะไปหนักหนาอะไร แค่ขนหินขนทรายก็พอกิน”
“อ๋อ ถ้าอยากไปแบกหินแบกทรายเลื่อยท่อนไม้ท่อนซุง ก็ออกจากบ้านนี้ไปอยู่กินคนเดียวให้สบายใจ คิดดูก็เหมาะที่สุดแล้วกับสันดานคนบ้านนอกที่เกิดและก็โตขึ้นมาที่แคว้นซากุอย่างเจ้า ฉันเองก็ไม่เคยวอนขอให้ช่วยอยู่กันที่บ้านนี้เสียหน่อย ถ้าไม่พอใจอยากจะไปไหนก็ไปเลย ไม่ต้องมาทำเป็นเกรงใจ”
มาตาฮาจิมองตามโอโคที่สะบัดหน้าพาอาเกมิก้าวฉับ ๆ ออกไปผ่านม่านน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาด้วยความเจ็บใจ และยังจ้องจับไปที่ประตูอยู่อย่างนั้นปล่อยให้น้ำตาร่วงเผาะลงกระทบพื้นเสื่อทาทามิ สายเสียแล้วที่จะมาเศร้าเสียใจกับวิถีชีวิตที่ตนได้เลือกแล้วเอาป่านนี้ ตอนที่เซซังหนีตายมาจากสมรภูมิเซกิงาฮาระและโชคช่วยให้ได้มาอาศัยซ่อนตัวอยู่ในบ้านที่เชิงเขาอิบูกิของสองแม่ลูกที่เปรียบเสมือนนางฟ้าผู้ช่วยชีวิต มาตาฮาจิปล่อยตัวให้หลงใหลได้ปลื้มไปกับความอบอุ่นของโอโคไปชั่วขณะ ไม่ผิดอะไรกับตกเป็นเชลยพิศวาสซึ่งกว่าจะคิดถอนตัวออกมาก็สายเกินแก้ มาถึงตอนนี้มาตาฮาจิไม่แน่ใจมานานแล้วว่าการยอมให้ข้าศึกจับตัวไปเป็นเชลยเสียดี ๆ กับการต้องตกเป็นทาสพิศวาสให้ผู้หญิงเจนโลกอย่างโอโคสับโขกดูหมิ่นไม่เว้นวันนั้น อย่างไหนจะลดทอนความเป็นชายของตนลงมากกว่ากัน การถูกจับเข้าคุกกับการต้องนั่งนอนอุดอู้อยู่ในห้องอับชื้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี้อย่างไหนจะทุกข์ทรมานกว่ากัน
มาบัดนี้มาตาฮาจิแสนเสียดายความฝันอันยิ่งใหญ่ของตน ที่สูญสลายไปกับการตกเป็นทาสพิษวาทของโอโค ผู้หญิงเจนโลกที่คงความสาวความสวยและรูปทรงอวบอัดเต่งตึงราวกับไปกินเนื้อนางเงือกมาจึงงามเป็นอมตะตามคำเชื่อของคนโบราณ เสน่ห์เย้ายวนของผู้หญิงหน้าขาวนวลเป็นยองใยคนนี้เองที่ฉุดรั้งชายหนุ่มอนาคตไกลเช่นตนเข้ารกเข้าพงสู่หนทางวิบาก
“บัดซบ”
มาตาฮาจิสะอื้นจนสั่นเทาไปทั้งตัว
“บัดซบที่สุด”
น้ำตาพรั่งพรูออกมาไม่หยุด อยากจะร้องให้น้ำตาออกมาให้หมดตัวหากจะช่วยบรรเทาความเศร้าเสียใจลงได้บ้าง
ทำไม...ทำไมตอนนั้นข้าถึงไม่กลับบ้านเกิดที่หมู่บ้านมิยาโมโตะ
ทำไมข้าไปกลับไปซบอกโอซือ...โอซือสาวน้อยผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องคนนั้น
หมู่บ้านมิยาโมโตะมีแม่ผู้รักข้าดังดวงใจ มีพี่สาวและพี่เขย มีอากงแห่งคาวาระ ทุกคนล้วนมีความรักใคร่ใยดีและจิตใจที่อบอุ่น
วันนี้ ระฆังวัดชิปโปจิที่พักอาศัยของโอซือคงตีบอกเวลาเช่นเดียวกับทุก ๆ วัน สายน้ำในแม่ไอดะคงไหลรินเช่นเคย ดอกไม้ก็คงเบ่งบานเต็มท้องทุ่ง และนกก็คงร้องร่าเริงไปกับฤดูใบไม้ผลิ
“บ้า...บ้า”
มาตาฮาจิยกกำปั้นขึ้นชกหัวตัวเองแรง ๆ
“ไอ้บ้า”
7
เมื่อทุกคนที่จะไปดูละครมาพร้อมหน้ากันแล้วจึงพากันเดินออกจากร้านน้ำชา
สองแม่ลูกร้านน้ำชากับแขกสองคนที่พักค้างอยู่ที่ร้าน...โอโค อาเกมิ เซอิจูโร และกิองโทจิ เดินคุยกันพลางหยอกล้อระริก ระรี้เลียบไปตามแนวเรือน
“ข้างนอกนี่อบอุ่นสดชื่นดีจริง ฤดูใบไม้ผลิแล้วหรือนี่”
“ก็จะย่างเข้าเดือนสามอยู่อีกไม่กี่วันแล้วนี่เจ้าคะ”
“เดือนสามรึ เขาลือกันว่าท่านโชกุนโทกุงาวะจะยกขบวนเดินทางมาจากโตเกียว พวกเจ้าคงจะได้รับแขกคณะใหญ่กันละคราวนี้”
“ไม่เจ้าค่ะ ไม่”
“ทำไมล่ะ ซามูไรจากแคว้นฟากตะวันออกเขาไม่เที่ยวร้านน้ำชาอย่างพวกเราหรอกรึ”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ พวกนั้นหยาบคาย”
“...แม่จ๋า นั่นเสียงเพลงจากละครโอคูนิคาบูกิใช่ไหม หนูได้ยินเสียงกระดิ่ง เสียงขลุ่ยด้วย”
“ตายจริง...เด็กคนนี้คิดแต่จะสนุกท่าเดียว ใจคงจะไปอยู่ที่โรงละครแล้วละซี”
“แหม แม่ก็”
“ไม่ต้องพูดดี เอาหมวกของอาจารย์น้อยมาถือไว้ เร็วเข้า”
“ฮะ ฮะ ฮะ อาจารย์น้อย เดินเข้าคู่สมกันจริง ๆ”
“ไม่เอาน่า ท่านโทจิ”
พออาเกมิหันไปดู โอโคก็รีบแกะมือที่ถูกกิองโทจิเกาะกุมเอาไว้ออก
มาตาฮาจิได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยดังผ่านห้องของตน จึงเยี่ยมหน้าต่างออกไปดูและมองตามไปด้วยสายตาโกรธเกรี้ยวน่ากลัว หน้าเขียวด้วยความริษยา
“เชอะ”
มาตาฮาจิระบายความอัดอั้นออกมา แล้วก็กลับกระแทกตัวลงนั่งบนพื้นที่เย็นชื้นในห้องอับทึบตามเดิม
“...อะไรกันวะ นี่ข้าไม่มีปัญญาทำอะไรดีไปกว่านี้เลยรึ ศักดิ์ศรีไปไหนหมด ทำไมถึงงี่เง่าได้ถึงขนาดนี้”
เจ้าหนุ่มก่นด่าตัวเอง โกรธตัวเองที่เป็นคนไม่เอาไหน คิดแคบและตื้นเขิน ขี้ขลาด โง่เขลา ตัดสินใจไม่ขาด และทุกสิ่งทุกอย่างที่ดูไม่เข้าท่าไปเสียทั้งหมด
“...หล่อนออกปากไล่ไม่ไว้หน้ายังกับเราเป็นหมูกับหมา เราก็ไปซี จะอยู่ไปทำไม ไม่เห็นมีอะไรที่ทำให้เราจะต้องกัดฟันทนอยู่ต่อ เราเพิ่งจะยี่สิบสอง เรื่องอะไรจะเอาความหนุ่มแน่นมาทิ้งไว้กับหล่อน”
มาตาฮาจิพูดเสียงดังอยู่คนเดียวภายในบ้านที่เงียบสงัดลงเมื่อไม่มีใครอยู่
“ใช่...เราต้องทำอย่างนั้น ไปเลย ไปเดี๋ยวนี้”
แต่พอลุกขึ้นจะไปจริง ๆ ก็เกิดไม่อยากไปขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจตัวเองจริง ๆ คิดวนไปวนมาจนสับสนไปหมดเหมือนพายเรือวนเวียนอยู่ในอ่าง
มาตาฮาจิยอมรับว่าในช่วงปีสองปีนี้หัวสมองของตนทึ่มทื่อลงไปมาก ไม่รู้อยู่มาได้ยังไงเหมือนกัน ในเมื่อต้องเห็นผู้หญิงของตนไปปรนนิบัติดูแลชายอื่น เอาความสนิทเสน่หาที่เคยให้แก่ตนไปปรนเปรอชายอื่นเพื่อแลกกับเงิน กลางคืนเจ้าหนุ่มไม่เคยนอนหลับอย่างมีความสุข กลางวันก็กังวลไม่อยากออกไปให้ใครเห็นหน้า ใช้ชีวิตอยู่ในมุมมืดกับเหล้าสาเก มีเหล้าสาเกอย่างเดียวเป็นที่พึ่ง
เพราะยายป้าบ้าผู้ชายนั่นคนเดียวที่ทำให้ชีวิตข้าเป็นไปเช่นนี้
มาตาฮาจิรู้ว่าควรทำอย่างไรเพื่อไม่ให้อะไร ๆ มันเลวร้ายไปกว่านี้ ไม่ยากสักนิดแค่เตะนางมารตรงหน้าให้กระเด็นไป เอื้อมมือไปคว้าเอาความฝันความปรารถนาของวัยหนุ่มกลับคืนมา ถึงจะช้าไปบ้างแต่ก็มั่นใจว่าจะสามารถย้อนกลับไปที่หัวเลี้ยวแล้วเลี้ยวใหม่ไปในทางที่ถูกต้องเท่านั้นเอง
ทว่ามนต์ขลังของวันชื่นคืนสวาทยึดรั้งมาตาฮาจิเอาไว้ทุกครั้ง ทำไมถึงได้มีพลังรัดรึงได้เหนียวแน่นอะไรอย่างนั้น หรือว่านางเป็นปีศาจจำแลงแปลงกายมา...ไปซิไปให้พ้น จะอยู่ไปทำไมให้ขวางหูขวางตา แม้จะด่าเกรี้ยวกราดด้วยถ้อยคำบาดใจ แต่พอตกดึกถ้อยคำเดียวกันนั้นกลับกลายเป็นคำหยอกล้อ หวานซึ้งราวอาบด้วยน้ำผึ้งไปทุกถ้อยคำ จากเรียวปากเต็มอิ่มแดงระเรื่อไม่แพ้สาวน้อยอาเกมิ แม้อายุจะล่วงเลยเกือบย่างเข้าวัยสี่สิบแล้วก็ตาม
---ไม่ใช่เท่านั้น
ทุกครั้งที่ตั้งท่าจะไปจริง ๆ มาตาฮาจิก็ต้องชะงักเพราะไม่กล้าพอที่จะให้โอโคหรืออาเกมิมาเห็นตัวเขาทำงานเป็นกรรมกรขนหิน ชีวิตในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้เขาเกียจคร้านจนเป็นนิสัย ผิวกายคุ้นชินกับผ้าไหม รู้ความแตกต่างระหว่างเหล้าสาเกนาดะกับสาเกราคาถูกตามตลาด ผิดกับมาตาฮาจิแห่งหมู่บ้านมิยาโมโตะหนุ่มบ้านนอกที่เนื้อตัวเหม็นกลิ่นดินกลิ่นทรายเป็นคนละคน ยิ่งกว่านั้นการที่ต้องตกเป็นทาสพิศวาสของหญิงเจนโลกย์มาตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบ และใช้ชีวิตมาอย่างผิดแปลกไปจากคนวัยเดียวกันตลอดมา จึงเป็นธรรมดาที่มาตาฮาจิจะต้องขาดความรู้สึกนึกคิดอย่างที่คนหนุ่มพึงมี ประกอบกับความเกียจคร้านและดื้อรั้นซึ่งเป็นสันดานเดิม จึงไม่แปลกที่มาตาฮาจิจะเป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
แต่...แต่ วันนี้แหละ จะต้องได้เห็นดีกันเสียที
“ไม่ถอย ต้องไม่ถอย”
มาตาฮาจิทุบหัวตัวเองอีกครั้งก่อนผุดลุกขึ้นยืน