นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
หลวงพี่ทากูอันเล่าว่า ครั้งที่ทาเกโซบุกทะลวงเข้าไปในด่านฮินางูระเพื่อช่วยโอกินพี่สาวที่ถูกจับตัวไปคุมขังเป็นตัวประกันเมื่อสามปีก่อนนั้นโอกินไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว เพราะทางแคว้นปล่อยตัวนางไปเมื่อไต่สวนแล้วว่าไม่มีความผิด จากนั้นท่านเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง รู้แต่เพียงว่าโอกินไม่ได้กลับไปที่หมู่บ้านมิยาโมโตะ แต่ไปอาศัยอยู่กับญาติที่หมู่บ้านซาโยและใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นอย่างสงบและปลอดภัย จึงได้ตามหาไปจนพบ
“เจ้าคงอยากพบโอกินละมัง”
หลวงพี่ถาม
“โอกินคิดถึงเจ้ามาก แต่อาตมาบอกนางว่า รอไปก่อนนะโอกิน...ขอให้คิดเสียว่าน้องชายของเจ้าตายไปแล้ว รอไปสามปีแล้วอาตมาจะพาทาเกโซคนใหม่ที่ต่างจากแต่ก่อนมาพบเจ้า”
“หลวงพี่” ทาเกโซตื้นตันใจยิ่งนัก “นอกจากช่วยข้าให้เป็นผู้เป็นคนขึ้นมาแล้วยังช่วยชีวิตคุณพี่เอาไว้ด้วย ข้าไม่รู้จะหาคำพูดใดมาขอบพระคุณท่านให้เพียงพอกับความกรุณาอันล้นเหลือครั้งนี้”
ทาเกโซพนมมือขึ้นเหนืออกโน้มศีรษะลง ร่างสูงใหญ่ไหวนิด ๆ
“มาสิ อาตมาจะพาไป”
เจ้าหนุ่มสั่นหัวช้า ๆ
“ข้าไปไปหรอกหลวงพี่ เท่านี้ก็เหมือนได้พบกับคุณพี่แล้ว
“อ้าว ทำไมเล่าทาเกโซ”
“เมื่อได้เผชิญกับความตายอันยิ่งใหญ่และได้เกิดใหม่เช่นนี้แล้ว ข้าตั้งใจไว้อย่างมั่นคงแล้วว่าจะก้าวสู่วิถีแห่งการปฏิบัติตนตามแนวที่ได้เรียนรู้มาเป็นก้าวแรก”
“อย่างนั้นรึ”
“คิดว่าหลวงพี่จะเข้าใจความรู้สึกของข้าดี โดยที่ข้าไม่ต้องสาธยายให้มากความ”
“อาตมาปลาบปลื้มมากที่ได้สัมผัสกับจิตใจของเจ้าที่เจริญขึ้นถึงเพียงนี้ ทาเกโซ...จงทำตามที่ได้ตั้งใจไว้เถิด”
“ข้าขอลาหลวงพี่ไปก่อน หากยังมีชีวิตอยู่คงจะได้เจอกันสักวัน”
“อือ...อาตมาก็จะเดินทางแสวงบุญไปเรื่อย ๆ ตามหมู่เมฆที่เคลื่อนคล้อยและกระแสน้ำที่ไหลริน และเราคงจะได้เจอกันตามแต่โอกาสจะอำนวย”
หลวงพี่ทากูอันบอกลาแต่พอจะออกเดินก็ชะงักและบอกว่า
“ทาเกโซ ระหว่างเดินทางเจ้าต้องระวังตัวเอาไว้สักหน่อย อาตมารู้มาว่าโอซุงินายแม่บ้านใหญ่แห่งตระกูลฮนอิเด็นกับพ่อเฒ่ากงโรกุญาติสนิทของนาง ออกเดินทางตามล่าเจ้ากับโอซือลั่นปากว่าถ้าแก้แค้นเจ้าทั้งสองไม่ได้ก็จะไม่กลับไปเหยียบหมู่บ้านอีก อาตมาคิดว่าไม่น่าเป็นอันตรายอะไรมากไปกว่าปั่นป่วนให้น่ารำคาญ แต่ก็ไม่ควรไปข้องเกี่ยวด้วยให้ยุ่งยาก และอีกคนคืออาโอกิ ทันซาเอมอน นายกองซามูไรหนวดปลาดุกคนนั้น ถูกปลดออกจากกองทัพไม่ใช่เพราะอาตมาเป็นคนเอาไปฟ้องท่านอิเกดะจอมทัพ แต่ด้วยคดีฉ้อฉลมากมายที่ถูกขุดคุ้ยขึ้นมา และตอนนี้ก็ได้กลายเป็นซามูไรนายออกพเนจรร่อนเร่ไปแล้ว ทาเกโซ...บนหนทางแห่งชีวิตเต็มไปด้วยอันตรายนานัปการ ฉะนั้นจงระวังรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีอย่าได้ประมาท”
“ขอรับ”
“เท่านี้นะ ลาก่อน”
พระทากูอันว่าแล้วก็ออกเดินไปทางตะวันตก
“...โชคดีนะขอรับ”
ทาเกโซอวยพรและมองส่งหลวงพี่จนลับไปจากสายตา เจ้าหนุ่มยืนนิ่งอยู่คนเดียวอึดใจหนึ่งก่อนออกเดินไปตะวันออก
ดาบ!
ดาบเท่านั้นคือที่พึ่ง ทาเกโซยกมือขึ้นกุมด้ามดาบไว้แน่น
“ข้าจะมอบชีวิตไว้กับดาบ ถือว่าดาบคือดวงวิญญาณ หมั่นลับหมั่นฝนให้เฉียบคมเพื่อเชิดชูตนให้สูงส่งสมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ หลวงพี่ทากูอันดำเนินไปบนเส้นทางธรรมะแห่งเซ็น ส่วนข้าจะยึดเอาดาบเป็นวิถีในการดำเนินชีวิต ด้วยความมุ่งมั่นที่จะต้องล้ำหน้าหลวงพี่ไปให้ได้”
หนุ่มอายุ 21 ยังไม่สายที่จะเริ่มต้น
ทาเกโซก้าวสู่ชีวิตใหม่ในชื่อมิยาโมตะ มูซาชิ ด้วยฝีเท้าที่หนักแน่นทรงพลัง ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้าด้วยวัยหนุ่มและด้วยความหวังอันสูงส่ง นาน ๆ ครั้งก็จะดันขอบหมวกฟางขึ้นสูงและมองตรงไปยังเส้นทางอันทอดยาวราวไม่มีที่สิ้นสุดอยู่ข้างหน้าด้วยสายตาอันเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา พร้อมที่จะเผชิญกับชีวิตในดินแดนที่ไม่เคยผ่านพบมาก่อนด้วยความ กล้าหาญ
ทาเกโซเดินผ่านย่านที่มีชาวบ้านเดินไปมาจอแจของเมืองท้ายปราสาทมาจนถึงชานเมืองและกำลังเดินอยู่บนสะพาน ฮานาดะบาชินั้นเอง ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งขึ้นสะพานตามเข้ามาจนทันแล้วดึงแขนเสื้อของเจ้าหนุ่มเอาไว้
“ทาเกโซ ทาเกโซจริง ๆ ด้วย”
“เอ๊ะ”
ทาเกโซสะดุ้งหันไปมองก็พบว่าผู้หญิงที่มองมาด้วยความดีใจเหลือล้นนั้นคือโอซือนั่นเอง และพอเห็นเจ้าหนุ่มทำท่าตกใจนางก็พ้อว่า
“ทาเกโซ ฉันคิดว่าท่านคงไม่ลืมชื่อสะพานแห่งนี้หรอกใช่ไหม และก็คงไม่ลืมด้วยว่าโอซือจะรออยู่ที่นี่จนกว่าท่านจะมา รับไม่ว่าร้อยวันหรือพันวันก็จะรอ”
“เจ้ารอข้ามาตลอดสามปีอย่างนั้นรึ”
“ใช่ โอซือรอนแรมมาถึงที่นี่หลังแยกทางกับท่านที่สันเขานากายามะได้ราวยี่สิบวันแล้วก็ตั้งตาคอยตลอดมาจนถึงวันนี้ ระหว่างนั้นฉันถูกนายแม่โอซุงิกับอากงตามรังควาญจนแทบเอาชีวิตไม่รอด แต่ก็โชคดีที่หาทางหลบหนีมาได้”
โอซือชี้ไปทางร้านขายเครื่องจักสานที่ข้างทางตรงเชิงสะพาน
“ฉันมาอาศัยอยู่ที่ร้านนั้นทำงานให้เขาไปด้วยและนับวันคอยทาเกโซไปด้วย วันนี้เป็นวันที่เก้าร้อยเจ็ดสิบวันพอดี ฉันดีใจจนบอกไม่ถูกแล้วที่ทาเกโซมารับฉันจริงตามสัญญา”
2
ทาเกโซดีใจเพราะคิดถึงโอซืออยู่ในส่วนลึกของหัวใจไม่เคยลืมเลือน อยากพบหน้านางเหลือเกินทุกครั้งที่คิดขึ้นมา แต่ที่สะดุ้งตกใจก็เพราะเพิ่งตัดใจไม่ไปพบพี่สาวที่รักและห่วงหวงมาหยก ๆ เร่งฝีเท้าหนีมาทั้งที่ใจยังวาบหวิวอยู่ แล้วจะไม่ให้ตกใจได้อย่างไรที่จู่ ๆ ก็มาเจอกับโอซือที่กลางสะพานเช่นนี้
ทำยังไงดี
ทาเกโซถามตัวเอง
ทำยังไงดี...จากนี้ตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะออกเดินทางเพื่อฝึกตนและฝึกฝนฝีมือดาบให้แกร่งกล้าสามารถ แล้วจะพาโอซือไปด้วยได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้นโอซือยังเป็นผู้หญิงคู่หมั้นหมายของฮนอิเด็น มาตาฮาจิ สำหรับแม่เฒ่าโอซุงิแม้จะยังไม่รู้แน่ว่าลูกชายสุดที่รักจะเป็นตายร้ายดียังไงแต่โอซือก็ได้ชื่อว่าเป็นลูกสะใภ้ของตระกูล แล้วจะให้พาโอซือไปด้วยได้ยังไง...
ด้วยความที่เป็นคนใจซื่อทาเกโซไม่อาจปิดบังความกระอักกระอ่วนใจเอาไว้ไม่ให้แสดงออกมานอกหน้าได้เมื่อถามโอซือว่า
“จะให้ข้าพาเจ้าไปไหน”
“ไปทุกที่ที่ท่านไป”
“ข้าจะเดินทางไปในที่ทุรกันดารเพื่อฝึกวิชาดาบ ไม่ได้ไปเที่ยวเล่น”
“ฉันรู้ และจะไม่ทำตัวกีดขวางการฝึกวิชาดาบของท่าน และไม่ว่าหนทางจะลำบากลำบนเพียงใดฉันก็ไปได้”
“นักดาบที่ไหนจะผู้หญิงเดินทางไปด้วย ใครเห็นเข้าก็จะเป็นที่หัวเราะขบขัน ปล่อยแขนเสื้อข้า”
“ไม่” โอซือจับแขนเสื้อกิโมโนของทาเกโซแน่นขึ้นอีก “นี่หมายความว่าท่านหลอกฉันอย่างนั้นรึ”
“ข้าหลอกเจ้าเมื่อไหร่กัน”
“ท่านสัญญากับฉันที่สันเขานากายามะไม่ใช่รึ”
“อ๋อ...ตอนนั้นข้ายังงง ๆ อยู่ และข้าก็ไม่ได้เป็นคนพูด เจ้าเร่งรัดเอาข้าก็เลยตอบรับไป เท่านั้นเอง”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่...อย่ามาพูด”
โอซือเถียงเสียงแหลมโถมเข้าใส่ทาเกโซผลักเจ้าหนุ่มไปตรึงไว้กับราวสะพานฮานาดะ
“ตอนที่ฉันปีนขึ้นไปตัดเชือกที่มัดท่านแขวนอยู่บนต้นสนพันปี จำไม่ได้หรือว่าท่านเป็นคนชวนฉันว่าหนีกันเถอะ”
“ปล่อยข้า คนมองกันใหญ่แล้ว”
“มองก็มองไปสิ ตอนนั้นฉันถามว่าท่านจะยอมให้ฉันช่วยหรือเปล่า ท่านยังตะโกนตอบด้วยความดีใจถึงสองครั้งว่ายอมสิยอม ช่วยตัดเชือกให้ข้าที”
โอซือยกเหตุยกผลขึ้นมาต่อว่าต่อขานด้วยเสียงสั่นเครือ น้ำตาอุ่น ๆ คลอขึ้นมาเต็มตาด้วยความน้อยใจ ทาเกโซจนแต้มจนถ้อยคำที่จะมาเถียง อารมณ์อาวรณ์พลุ่งขึ้นมาจนหน่วยตาร้อนผ่าวน้ำตาปริ่มออกมาอีกคน แต่ก็ยังขืนใจทำเสียงแข็ง
“ปล่อย...กลางวันแสก ๆ คนผ่านไปมาเยอะแยะ เขาหันมามองกันไม่เห็นรึ”
“... ... ...”
โอซือยอมปล่อยแขนเสื้อที่จับเอาไว้แน่นแต่โดยดี ก่อนซบหน้าลงกับราวสะพานร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยน
“ฉันขอโทษ ที่พูดอะไรไม่เหมาะไม่ควรออกไป ไม่ควรที่จะทวงสัญญาทวงบุญคุณ ลืมเสียเถิด ลืมที่ฉันพูดเสียให้หมด มันไม่มีความหมายอะไรสำหรับท่าน”
“โอซือ”
ทาเกโซชะโงกเข้าไปมองใบหน้านวลงามที่แนบอยู่กับราวสะพานใกล้ ๆ
“ระหว่างที่เจ้าคอยข้าอยู่ที่นี่นานถึงเก้าร้อยกับอีกหลายสิบวันจนถึงวันนี้นั้น ความจริงแล้วข้าถูกกักกันตัวไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันอยู่บนหอคอยยอดปราสาทนกกระยางขาว
“ฉันรู้”
“รู้ ?”
“ใช่ หลวงพี่ทากูอันบอกฉัน”
“อ้อ งั้นเธอก็รู้อะไรทุกอย่างจากหลวงพี่หมดแล้วงั้นสิ”
“ฉันหนีรอดเงื้อมมือนายแม่โอซุงิกับอากงที่บุกเข้ามาถึงห้องในร้านน้ำชามิกาซึกิมาได้อย่างหวุดหวิด วิ่งหนีลงมาเป็นลมล้มไปที่หุบผาข้างล่างนั้น และหลวงพี่ทากูอันเป็นคนช่วยฉันเอาไว้ และพามาฝากให้ทำงานอยู่ที่ร้านเครื่องจักสานแห่งนี้ เมื่อวานหลวงพี่ก็แวะมาดื่มน้ำชาที่นี่ พูดทิ้งไว้เป็นปริศนาว่า...เรื่องของหญิงกับชาย ต่อไปภายหน้าจะเป็นยังไงอาตมาไม่อาจรู้ได้”
“อ้อ”
ทาเกโซมองไปทางตะวันตก พลางคิดว่าเมื่อไรจึงจะได้พบกับคนที่เพิ่งจากลาจากกันไปเดี๋ยวนี้เองอีกครั้ง
เมื่อได้ฟังคำของโอซือ เจ้าหนุ่มยิ่งซาบซึ้งในความรักอันยิ่งใหญ่ของหลวงพี่ทากูอันขึ้นอีกเป็นทวีคูณ สำนึกได้ว่าตนเองนั้นใจแคบนักที่คิดว่าหลวงพี่รักตนคนเดียว แท้จริงแล้วพระทากูอันมอบความรักให้แก่โอกินพี่สาวของเขา ให้แก่โอซือ และให้แก่ใคร ๆ อย่างเท่าเทียมกัน ใจของท่านช่างกว้างขวางและยิ่งใหญ่อะไรเช่นนั้น
3
เรื่องของผู้หญิงกับผู้ชาย ต่อไปภายหน้าจะเป็นยังไงอาตมาไม่อาจรู้ได้
คำพูดอันเป็นปริศนาที่หลวงพี่ทากูอันพูดทิ้งท้ายเอาไว้กับโอซือ กลายเป็นภาระหนักที่ทาเกโซต้องแบกรับอย่างกะทันหันโดยที่ไม่ได้เตรียมใจเอาไว้
ทาเกโซตั้งใจอ่านหนังสือทั้งภาษาญี่ปุ่นภาษาจีนด้วยความกระหายใฝ่รู้อย่างไม่ลืมหูลืมตาทุกวันไม่มีหยุดพักตลอดเก้าร้อยกับอีกหลายสิบวันจำนวนมากมายกองซ้อนกันเป็นภูเขา แต่ไม่มีสักบรรทัดเดียวที่พูดถึงเรื่องที่มีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์เช่นเรื่องนี้ หลวงพี่เองพอมาถึงปัญหาชายหญิงก็ยังหลบฉากหนีทำทีว่าไม่เกี่ยวกับตนไปเฉย ๆ
เรื่องของหญิงกับชายนั้น หญิงกับชายต้องคิดกันเอง
หลวงพี่อยากบอกเช่นนั้น หรือว่าโยนบททดสอบมาที่ตน
เรื่องแค่นี้เจ้าน่าจะคิดได้เอง
ทาเกโซนิ่งคิด จ้องมองลงไปที่กระแสน้ำที่ไหลเอื่อยลอดใต้สะพาน
คราวนี้โอซือเป็นฝ่ายชะโงกหน้าเข้ามามองจนชิดแล้วอ้อนว่า
“ให้ฉันไปด้วยนะ นะ ทาเกโซ...เจ้าของร้านเขาตกลงกับฉันไว้แล้วว่าจะไปไหนเมื่อไรก็ตามใจ ฉันจะไปบอกเขาเดี๋ยวนี้เลยและเก็บข้าวเก็บของมาไปกับท่าน รอนิดนึงนะ”
“โอซือ ข้าขอร้อง”
ทาเกโซจับมือขาวนวลของโอซือที่กำลังจะปล่อยจากราวสะพานเอาไว้
“เลิกคิดได้ไหม”
“เลิกคิดอะไรหรือ”
“ข้าอยากให้เจ้ารู้ว่า ตลอดสามปีที่ผ่านมาข้าอ่านหนังสือ อ่านและอ่านด้วยความสนใจฝักใฝ่วิชาอยู่ในความมืด ทนความหนาวเย็นทนความร้อนระอุ ดิ้นรนและทรมานกับความแปรปรวนของอารมณ์ จนในที่สุดข้าก็เข้าใจความหมายของการเป็นมนุษย์และเพิ่งจะเกิดใหม่ในวันนี้เอง
ดาบคือสิ่งสำคัญเพียงสิ่งเดียวที่อยู่หัวใจของข้า มิยาโมโตะ ทาเกโซ...ไม่ใช่สิ ชื่อใหม่ของข้าคือมูซาชิ ข้ามุ่งมั่นที่จะอุทิศเวลาทั้งหมดให้แก่การฝึกฝนวิชาดาบและฝึกการปฏิบัติตนตามวิถีแห่งนักดาบ คิดให้ดีเถิดโอซือว่าเจ้าจะต้องลำบากลำบน ต้องทุกข์ทรมานแสนสาหัสเพียงใด ถ้าไปกับคนอย่างข้า เจ้าจะไม่มีความสุขไปตลอดชีวิตนะโอซือ”
“ยิ่งฟังใจฉันก็ยิ่งผูกพันกับท่านแน่นแฟ้นขึ้นทุกที ฉันแน่ใจแล้วว่าได้พบผู้ชายดีที่สุดซึ่งจะหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วในโลกนี้”
“ไม่ว่าเจ้าจะพูดยังไง ข้าก็พาเจ้าไปด้วยไม่ได้”
“แต่ฉันจะตามท่านไปทุกหนทุกแห่ง ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำตัวเป็นภาระหรือกีดขวางการฝึกวิชาดาบของท่าน ให้ฉันไปด้วยเถิดนะ...นะทาเกโซ”
“... ... ...”
“ฉันสาบานว่าจะไม่ยุ่ง ไม่ทำตัวเป็นภาระเลยจริง ๆ
“... ... ...”
“นะ...ให้ฉันไปด้วยได้ใช่ไหม รออยู่ตรงนี้นะฉันเข้าไปเอาของเดี๋ยวเดียว อย่าหนีไปเงียบ ๆ นะ ฉันโกรธจริง ๆ ด้วย”
โอซือพูดเองเออเอง แล้วรีบวิ่งกลับไปที่ร้านเครื่องจักสานที่เชิงสะพาน
ทาเกโซคิดจะฉวยโอกาสอันน้อยนิดนั้นตัดใจวิ่งหนีไปโดยไม่หันกลับมามอง แต่ก็ได้แต่คิดเพราะขาทั้งสองข้างไม่ขยับราวกับถูกตรึงไว้ด้วยลิ่ม
“อย่าทิ้งฉันไปนะ”
โอซือหันมาส่งเสียงสำทับ ลักยิ้มบนแก้มขาวนวลทำให้ทาเกโซเผลอใจพยักหน้ารับ พอเห็นเข้าสาวเจ้าก็นอนใจวิ่งหายเข้าไปในร้าน
ถ้าจะไปก็ต้องไปเดี๋ยวนี้
ใจของทาเกโซร้องสั่ง แต่ลักยิ้มบนแก้มขาวนวลของโอซือ ดวงตาใสแจ๋วสะท้อนแวววิงวอนที่ยังอ้อยอิ่งอยู่บนม่านตา ตรึงร่างเอาไว้ไม่ให้ไหวติง
น่ารักน่าเอ็นดู...ทาเกโซไม่เคยคิดมาก่อนว่านอกจากโอกินพี่สาวแล้วจะมีผู้หญิงที่ไหนในโลกที่จะรักตนอย่างที่โอซือแสดง ออกมาให้เห็นทั้งท่าทางทั้งคำพูด และตนเองก็ไม่ได้เกลียดชัง
ทาเกโซลังเล เจ้าหนุ่มจับราวสะพานไว้แน่น แหงนหน้ามองฟ้าและก้มลงมามองสายน้ำ ระหว่างนั้นเองเศษไม้ขาว ๆ ร่วงพรูลงไปจากราวสะพานและลอยลอดสะพานไปตามกระแสน้ำ
โอซือกลับออกมาที่สะพานด้วยท่าทางกระฉับกระเฉงในชุดเดินทางมีสนับแข้งมีเหลืองอ่อน สวมรองเท้าฟางใหม่เอี่ยม หมวกเดินทางมีสาดรัดคางสีแดงรับกับใบหน้าดูจิ้มลิ้มพริ้มเพรา
แต่ทว่า...
ทาเกโซไม่ได้อยู่ที่นั่นเสียแล้ว
โอซืออุทานเสียงแหลมแล้วร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น
บนพื้นสะพานตรงที่ทาเกโซยืนอยู่มีเศษไม้เกลื่อนอยู่ และเมื่อมองไปที่ราวสะพานโอซือก็ต้องสะอื้น
ข้าขอโทษ
ข้าขอโทษ
ทาเกโซใช้มีดสั้นสลักบนเนื้อไม้ให้เห็นขาวเด่นขึ้นมาเป็นตัวอักษร
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
หลวงพี่ทากูอันเล่าว่า ครั้งที่ทาเกโซบุกทะลวงเข้าไปในด่านฮินางูระเพื่อช่วยโอกินพี่สาวที่ถูกจับตัวไปคุมขังเป็นตัวประกันเมื่อสามปีก่อนนั้นโอกินไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว เพราะทางแคว้นปล่อยตัวนางไปเมื่อไต่สวนแล้วว่าไม่มีความผิด จากนั้นท่านเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง รู้แต่เพียงว่าโอกินไม่ได้กลับไปที่หมู่บ้านมิยาโมโตะ แต่ไปอาศัยอยู่กับญาติที่หมู่บ้านซาโยและใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นอย่างสงบและปลอดภัย จึงได้ตามหาไปจนพบ
“เจ้าคงอยากพบโอกินละมัง”
หลวงพี่ถาม
“โอกินคิดถึงเจ้ามาก แต่อาตมาบอกนางว่า รอไปก่อนนะโอกิน...ขอให้คิดเสียว่าน้องชายของเจ้าตายไปแล้ว รอไปสามปีแล้วอาตมาจะพาทาเกโซคนใหม่ที่ต่างจากแต่ก่อนมาพบเจ้า”
“หลวงพี่” ทาเกโซตื้นตันใจยิ่งนัก “นอกจากช่วยข้าให้เป็นผู้เป็นคนขึ้นมาแล้วยังช่วยชีวิตคุณพี่เอาไว้ด้วย ข้าไม่รู้จะหาคำพูดใดมาขอบพระคุณท่านให้เพียงพอกับความกรุณาอันล้นเหลือครั้งนี้”
ทาเกโซพนมมือขึ้นเหนืออกโน้มศีรษะลง ร่างสูงใหญ่ไหวนิด ๆ
“มาสิ อาตมาจะพาไป”
เจ้าหนุ่มสั่นหัวช้า ๆ
“ข้าไปไปหรอกหลวงพี่ เท่านี้ก็เหมือนได้พบกับคุณพี่แล้ว
“อ้าว ทำไมเล่าทาเกโซ”
“เมื่อได้เผชิญกับความตายอันยิ่งใหญ่และได้เกิดใหม่เช่นนี้แล้ว ข้าตั้งใจไว้อย่างมั่นคงแล้วว่าจะก้าวสู่วิถีแห่งการปฏิบัติตนตามแนวที่ได้เรียนรู้มาเป็นก้าวแรก”
“อย่างนั้นรึ”
“คิดว่าหลวงพี่จะเข้าใจความรู้สึกของข้าดี โดยที่ข้าไม่ต้องสาธยายให้มากความ”
“อาตมาปลาบปลื้มมากที่ได้สัมผัสกับจิตใจของเจ้าที่เจริญขึ้นถึงเพียงนี้ ทาเกโซ...จงทำตามที่ได้ตั้งใจไว้เถิด”
“ข้าขอลาหลวงพี่ไปก่อน หากยังมีชีวิตอยู่คงจะได้เจอกันสักวัน”
“อือ...อาตมาก็จะเดินทางแสวงบุญไปเรื่อย ๆ ตามหมู่เมฆที่เคลื่อนคล้อยและกระแสน้ำที่ไหลริน และเราคงจะได้เจอกันตามแต่โอกาสจะอำนวย”
หลวงพี่ทากูอันบอกลาแต่พอจะออกเดินก็ชะงักและบอกว่า
“ทาเกโซ ระหว่างเดินทางเจ้าต้องระวังตัวเอาไว้สักหน่อย อาตมารู้มาว่าโอซุงินายแม่บ้านใหญ่แห่งตระกูลฮนอิเด็นกับพ่อเฒ่ากงโรกุญาติสนิทของนาง ออกเดินทางตามล่าเจ้ากับโอซือลั่นปากว่าถ้าแก้แค้นเจ้าทั้งสองไม่ได้ก็จะไม่กลับไปเหยียบหมู่บ้านอีก อาตมาคิดว่าไม่น่าเป็นอันตรายอะไรมากไปกว่าปั่นป่วนให้น่ารำคาญ แต่ก็ไม่ควรไปข้องเกี่ยวด้วยให้ยุ่งยาก และอีกคนคืออาโอกิ ทันซาเอมอน นายกองซามูไรหนวดปลาดุกคนนั้น ถูกปลดออกจากกองทัพไม่ใช่เพราะอาตมาเป็นคนเอาไปฟ้องท่านอิเกดะจอมทัพ แต่ด้วยคดีฉ้อฉลมากมายที่ถูกขุดคุ้ยขึ้นมา และตอนนี้ก็ได้กลายเป็นซามูไรนายออกพเนจรร่อนเร่ไปแล้ว ทาเกโซ...บนหนทางแห่งชีวิตเต็มไปด้วยอันตรายนานัปการ ฉะนั้นจงระวังรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีอย่าได้ประมาท”
“ขอรับ”
“เท่านี้นะ ลาก่อน”
พระทากูอันว่าแล้วก็ออกเดินไปทางตะวันตก
“...โชคดีนะขอรับ”
ทาเกโซอวยพรและมองส่งหลวงพี่จนลับไปจากสายตา เจ้าหนุ่มยืนนิ่งอยู่คนเดียวอึดใจหนึ่งก่อนออกเดินไปตะวันออก
ดาบ!
ดาบเท่านั้นคือที่พึ่ง ทาเกโซยกมือขึ้นกุมด้ามดาบไว้แน่น
“ข้าจะมอบชีวิตไว้กับดาบ ถือว่าดาบคือดวงวิญญาณ หมั่นลับหมั่นฝนให้เฉียบคมเพื่อเชิดชูตนให้สูงส่งสมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ หลวงพี่ทากูอันดำเนินไปบนเส้นทางธรรมะแห่งเซ็น ส่วนข้าจะยึดเอาดาบเป็นวิถีในการดำเนินชีวิต ด้วยความมุ่งมั่นที่จะต้องล้ำหน้าหลวงพี่ไปให้ได้”
หนุ่มอายุ 21 ยังไม่สายที่จะเริ่มต้น
ทาเกโซก้าวสู่ชีวิตใหม่ในชื่อมิยาโมตะ มูซาชิ ด้วยฝีเท้าที่หนักแน่นทรงพลัง ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้าด้วยวัยหนุ่มและด้วยความหวังอันสูงส่ง นาน ๆ ครั้งก็จะดันขอบหมวกฟางขึ้นสูงและมองตรงไปยังเส้นทางอันทอดยาวราวไม่มีที่สิ้นสุดอยู่ข้างหน้าด้วยสายตาอันเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา พร้อมที่จะเผชิญกับชีวิตในดินแดนที่ไม่เคยผ่านพบมาก่อนด้วยความ กล้าหาญ
ทาเกโซเดินผ่านย่านที่มีชาวบ้านเดินไปมาจอแจของเมืองท้ายปราสาทมาจนถึงชานเมืองและกำลังเดินอยู่บนสะพาน ฮานาดะบาชินั้นเอง ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งขึ้นสะพานตามเข้ามาจนทันแล้วดึงแขนเสื้อของเจ้าหนุ่มเอาไว้
“ทาเกโซ ทาเกโซจริง ๆ ด้วย”
“เอ๊ะ”
ทาเกโซสะดุ้งหันไปมองก็พบว่าผู้หญิงที่มองมาด้วยความดีใจเหลือล้นนั้นคือโอซือนั่นเอง และพอเห็นเจ้าหนุ่มทำท่าตกใจนางก็พ้อว่า
“ทาเกโซ ฉันคิดว่าท่านคงไม่ลืมชื่อสะพานแห่งนี้หรอกใช่ไหม และก็คงไม่ลืมด้วยว่าโอซือจะรออยู่ที่นี่จนกว่าท่านจะมา รับไม่ว่าร้อยวันหรือพันวันก็จะรอ”
“เจ้ารอข้ามาตลอดสามปีอย่างนั้นรึ”
“ใช่ โอซือรอนแรมมาถึงที่นี่หลังแยกทางกับท่านที่สันเขานากายามะได้ราวยี่สิบวันแล้วก็ตั้งตาคอยตลอดมาจนถึงวันนี้ ระหว่างนั้นฉันถูกนายแม่โอซุงิกับอากงตามรังควาญจนแทบเอาชีวิตไม่รอด แต่ก็โชคดีที่หาทางหลบหนีมาได้”
โอซือชี้ไปทางร้านขายเครื่องจักสานที่ข้างทางตรงเชิงสะพาน
“ฉันมาอาศัยอยู่ที่ร้านนั้นทำงานให้เขาไปด้วยและนับวันคอยทาเกโซไปด้วย วันนี้เป็นวันที่เก้าร้อยเจ็ดสิบวันพอดี ฉันดีใจจนบอกไม่ถูกแล้วที่ทาเกโซมารับฉันจริงตามสัญญา”
2
ทาเกโซดีใจเพราะคิดถึงโอซืออยู่ในส่วนลึกของหัวใจไม่เคยลืมเลือน อยากพบหน้านางเหลือเกินทุกครั้งที่คิดขึ้นมา แต่ที่สะดุ้งตกใจก็เพราะเพิ่งตัดใจไม่ไปพบพี่สาวที่รักและห่วงหวงมาหยก ๆ เร่งฝีเท้าหนีมาทั้งที่ใจยังวาบหวิวอยู่ แล้วจะไม่ให้ตกใจได้อย่างไรที่จู่ ๆ ก็มาเจอกับโอซือที่กลางสะพานเช่นนี้
ทำยังไงดี
ทาเกโซถามตัวเอง
ทำยังไงดี...จากนี้ตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะออกเดินทางเพื่อฝึกตนและฝึกฝนฝีมือดาบให้แกร่งกล้าสามารถ แล้วจะพาโอซือไปด้วยได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้นโอซือยังเป็นผู้หญิงคู่หมั้นหมายของฮนอิเด็น มาตาฮาจิ สำหรับแม่เฒ่าโอซุงิแม้จะยังไม่รู้แน่ว่าลูกชายสุดที่รักจะเป็นตายร้ายดียังไงแต่โอซือก็ได้ชื่อว่าเป็นลูกสะใภ้ของตระกูล แล้วจะให้พาโอซือไปด้วยได้ยังไง...
ด้วยความที่เป็นคนใจซื่อทาเกโซไม่อาจปิดบังความกระอักกระอ่วนใจเอาไว้ไม่ให้แสดงออกมานอกหน้าได้เมื่อถามโอซือว่า
“จะให้ข้าพาเจ้าไปไหน”
“ไปทุกที่ที่ท่านไป”
“ข้าจะเดินทางไปในที่ทุรกันดารเพื่อฝึกวิชาดาบ ไม่ได้ไปเที่ยวเล่น”
“ฉันรู้ และจะไม่ทำตัวกีดขวางการฝึกวิชาดาบของท่าน และไม่ว่าหนทางจะลำบากลำบนเพียงใดฉันก็ไปได้”
“นักดาบที่ไหนจะผู้หญิงเดินทางไปด้วย ใครเห็นเข้าก็จะเป็นที่หัวเราะขบขัน ปล่อยแขนเสื้อข้า”
“ไม่” โอซือจับแขนเสื้อกิโมโนของทาเกโซแน่นขึ้นอีก “นี่หมายความว่าท่านหลอกฉันอย่างนั้นรึ”
“ข้าหลอกเจ้าเมื่อไหร่กัน”
“ท่านสัญญากับฉันที่สันเขานากายามะไม่ใช่รึ”
“อ๋อ...ตอนนั้นข้ายังงง ๆ อยู่ และข้าก็ไม่ได้เป็นคนพูด เจ้าเร่งรัดเอาข้าก็เลยตอบรับไป เท่านั้นเอง”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่...อย่ามาพูด”
โอซือเถียงเสียงแหลมโถมเข้าใส่ทาเกโซผลักเจ้าหนุ่มไปตรึงไว้กับราวสะพานฮานาดะ
“ตอนที่ฉันปีนขึ้นไปตัดเชือกที่มัดท่านแขวนอยู่บนต้นสนพันปี จำไม่ได้หรือว่าท่านเป็นคนชวนฉันว่าหนีกันเถอะ”
“ปล่อยข้า คนมองกันใหญ่แล้ว”
“มองก็มองไปสิ ตอนนั้นฉันถามว่าท่านจะยอมให้ฉันช่วยหรือเปล่า ท่านยังตะโกนตอบด้วยความดีใจถึงสองครั้งว่ายอมสิยอม ช่วยตัดเชือกให้ข้าที”
โอซือยกเหตุยกผลขึ้นมาต่อว่าต่อขานด้วยเสียงสั่นเครือ น้ำตาอุ่น ๆ คลอขึ้นมาเต็มตาด้วยความน้อยใจ ทาเกโซจนแต้มจนถ้อยคำที่จะมาเถียง อารมณ์อาวรณ์พลุ่งขึ้นมาจนหน่วยตาร้อนผ่าวน้ำตาปริ่มออกมาอีกคน แต่ก็ยังขืนใจทำเสียงแข็ง
“ปล่อย...กลางวันแสก ๆ คนผ่านไปมาเยอะแยะ เขาหันมามองกันไม่เห็นรึ”
“... ... ...”
โอซือยอมปล่อยแขนเสื้อที่จับเอาไว้แน่นแต่โดยดี ก่อนซบหน้าลงกับราวสะพานร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยน
“ฉันขอโทษ ที่พูดอะไรไม่เหมาะไม่ควรออกไป ไม่ควรที่จะทวงสัญญาทวงบุญคุณ ลืมเสียเถิด ลืมที่ฉันพูดเสียให้หมด มันไม่มีความหมายอะไรสำหรับท่าน”
“โอซือ”
ทาเกโซชะโงกเข้าไปมองใบหน้านวลงามที่แนบอยู่กับราวสะพานใกล้ ๆ
“ระหว่างที่เจ้าคอยข้าอยู่ที่นี่นานถึงเก้าร้อยกับอีกหลายสิบวันจนถึงวันนี้นั้น ความจริงแล้วข้าถูกกักกันตัวไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันอยู่บนหอคอยยอดปราสาทนกกระยางขาว
“ฉันรู้”
“รู้ ?”
“ใช่ หลวงพี่ทากูอันบอกฉัน”
“อ้อ งั้นเธอก็รู้อะไรทุกอย่างจากหลวงพี่หมดแล้วงั้นสิ”
“ฉันหนีรอดเงื้อมมือนายแม่โอซุงิกับอากงที่บุกเข้ามาถึงห้องในร้านน้ำชามิกาซึกิมาได้อย่างหวุดหวิด วิ่งหนีลงมาเป็นลมล้มไปที่หุบผาข้างล่างนั้น และหลวงพี่ทากูอันเป็นคนช่วยฉันเอาไว้ และพามาฝากให้ทำงานอยู่ที่ร้านเครื่องจักสานแห่งนี้ เมื่อวานหลวงพี่ก็แวะมาดื่มน้ำชาที่นี่ พูดทิ้งไว้เป็นปริศนาว่า...เรื่องของหญิงกับชาย ต่อไปภายหน้าจะเป็นยังไงอาตมาไม่อาจรู้ได้”
“อ้อ”
ทาเกโซมองไปทางตะวันตก พลางคิดว่าเมื่อไรจึงจะได้พบกับคนที่เพิ่งจากลาจากกันไปเดี๋ยวนี้เองอีกครั้ง
เมื่อได้ฟังคำของโอซือ เจ้าหนุ่มยิ่งซาบซึ้งในความรักอันยิ่งใหญ่ของหลวงพี่ทากูอันขึ้นอีกเป็นทวีคูณ สำนึกได้ว่าตนเองนั้นใจแคบนักที่คิดว่าหลวงพี่รักตนคนเดียว แท้จริงแล้วพระทากูอันมอบความรักให้แก่โอกินพี่สาวของเขา ให้แก่โอซือ และให้แก่ใคร ๆ อย่างเท่าเทียมกัน ใจของท่านช่างกว้างขวางและยิ่งใหญ่อะไรเช่นนั้น
3
เรื่องของผู้หญิงกับผู้ชาย ต่อไปภายหน้าจะเป็นยังไงอาตมาไม่อาจรู้ได้
คำพูดอันเป็นปริศนาที่หลวงพี่ทากูอันพูดทิ้งท้ายเอาไว้กับโอซือ กลายเป็นภาระหนักที่ทาเกโซต้องแบกรับอย่างกะทันหันโดยที่ไม่ได้เตรียมใจเอาไว้
ทาเกโซตั้งใจอ่านหนังสือทั้งภาษาญี่ปุ่นภาษาจีนด้วยความกระหายใฝ่รู้อย่างไม่ลืมหูลืมตาทุกวันไม่มีหยุดพักตลอดเก้าร้อยกับอีกหลายสิบวันจำนวนมากมายกองซ้อนกันเป็นภูเขา แต่ไม่มีสักบรรทัดเดียวที่พูดถึงเรื่องที่มีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์เช่นเรื่องนี้ หลวงพี่เองพอมาถึงปัญหาชายหญิงก็ยังหลบฉากหนีทำทีว่าไม่เกี่ยวกับตนไปเฉย ๆ
เรื่องของหญิงกับชายนั้น หญิงกับชายต้องคิดกันเอง
หลวงพี่อยากบอกเช่นนั้น หรือว่าโยนบททดสอบมาที่ตน
เรื่องแค่นี้เจ้าน่าจะคิดได้เอง
ทาเกโซนิ่งคิด จ้องมองลงไปที่กระแสน้ำที่ไหลเอื่อยลอดใต้สะพาน
คราวนี้โอซือเป็นฝ่ายชะโงกหน้าเข้ามามองจนชิดแล้วอ้อนว่า
“ให้ฉันไปด้วยนะ นะ ทาเกโซ...เจ้าของร้านเขาตกลงกับฉันไว้แล้วว่าจะไปไหนเมื่อไรก็ตามใจ ฉันจะไปบอกเขาเดี๋ยวนี้เลยและเก็บข้าวเก็บของมาไปกับท่าน รอนิดนึงนะ”
“โอซือ ข้าขอร้อง”
ทาเกโซจับมือขาวนวลของโอซือที่กำลังจะปล่อยจากราวสะพานเอาไว้
“เลิกคิดได้ไหม”
“เลิกคิดอะไรหรือ”
“ข้าอยากให้เจ้ารู้ว่า ตลอดสามปีที่ผ่านมาข้าอ่านหนังสือ อ่านและอ่านด้วยความสนใจฝักใฝ่วิชาอยู่ในความมืด ทนความหนาวเย็นทนความร้อนระอุ ดิ้นรนและทรมานกับความแปรปรวนของอารมณ์ จนในที่สุดข้าก็เข้าใจความหมายของการเป็นมนุษย์และเพิ่งจะเกิดใหม่ในวันนี้เอง
ดาบคือสิ่งสำคัญเพียงสิ่งเดียวที่อยู่หัวใจของข้า มิยาโมโตะ ทาเกโซ...ไม่ใช่สิ ชื่อใหม่ของข้าคือมูซาชิ ข้ามุ่งมั่นที่จะอุทิศเวลาทั้งหมดให้แก่การฝึกฝนวิชาดาบและฝึกการปฏิบัติตนตามวิถีแห่งนักดาบ คิดให้ดีเถิดโอซือว่าเจ้าจะต้องลำบากลำบน ต้องทุกข์ทรมานแสนสาหัสเพียงใด ถ้าไปกับคนอย่างข้า เจ้าจะไม่มีความสุขไปตลอดชีวิตนะโอซือ”
“ยิ่งฟังใจฉันก็ยิ่งผูกพันกับท่านแน่นแฟ้นขึ้นทุกที ฉันแน่ใจแล้วว่าได้พบผู้ชายดีที่สุดซึ่งจะหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วในโลกนี้”
“ไม่ว่าเจ้าจะพูดยังไง ข้าก็พาเจ้าไปด้วยไม่ได้”
“แต่ฉันจะตามท่านไปทุกหนทุกแห่ง ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำตัวเป็นภาระหรือกีดขวางการฝึกวิชาดาบของท่าน ให้ฉันไปด้วยเถิดนะ...นะทาเกโซ”
“... ... ...”
“ฉันสาบานว่าจะไม่ยุ่ง ไม่ทำตัวเป็นภาระเลยจริง ๆ
“... ... ...”
“นะ...ให้ฉันไปด้วยได้ใช่ไหม รออยู่ตรงนี้นะฉันเข้าไปเอาของเดี๋ยวเดียว อย่าหนีไปเงียบ ๆ นะ ฉันโกรธจริง ๆ ด้วย”
โอซือพูดเองเออเอง แล้วรีบวิ่งกลับไปที่ร้านเครื่องจักสานที่เชิงสะพาน
ทาเกโซคิดจะฉวยโอกาสอันน้อยนิดนั้นตัดใจวิ่งหนีไปโดยไม่หันกลับมามอง แต่ก็ได้แต่คิดเพราะขาทั้งสองข้างไม่ขยับราวกับถูกตรึงไว้ด้วยลิ่ม
“อย่าทิ้งฉันไปนะ”
โอซือหันมาส่งเสียงสำทับ ลักยิ้มบนแก้มขาวนวลทำให้ทาเกโซเผลอใจพยักหน้ารับ พอเห็นเข้าสาวเจ้าก็นอนใจวิ่งหายเข้าไปในร้าน
ถ้าจะไปก็ต้องไปเดี๋ยวนี้
ใจของทาเกโซร้องสั่ง แต่ลักยิ้มบนแก้มขาวนวลของโอซือ ดวงตาใสแจ๋วสะท้อนแวววิงวอนที่ยังอ้อยอิ่งอยู่บนม่านตา ตรึงร่างเอาไว้ไม่ให้ไหวติง
น่ารักน่าเอ็นดู...ทาเกโซไม่เคยคิดมาก่อนว่านอกจากโอกินพี่สาวแล้วจะมีผู้หญิงที่ไหนในโลกที่จะรักตนอย่างที่โอซือแสดง ออกมาให้เห็นทั้งท่าทางทั้งคำพูด และตนเองก็ไม่ได้เกลียดชัง
ทาเกโซลังเล เจ้าหนุ่มจับราวสะพานไว้แน่น แหงนหน้ามองฟ้าและก้มลงมามองสายน้ำ ระหว่างนั้นเองเศษไม้ขาว ๆ ร่วงพรูลงไปจากราวสะพานและลอยลอดสะพานไปตามกระแสน้ำ
โอซือกลับออกมาที่สะพานด้วยท่าทางกระฉับกระเฉงในชุดเดินทางมีสนับแข้งมีเหลืองอ่อน สวมรองเท้าฟางใหม่เอี่ยม หมวกเดินทางมีสาดรัดคางสีแดงรับกับใบหน้าดูจิ้มลิ้มพริ้มเพรา
แต่ทว่า...
ทาเกโซไม่ได้อยู่ที่นั่นเสียแล้ว
โอซืออุทานเสียงแหลมแล้วร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น
บนพื้นสะพานตรงที่ทาเกโซยืนอยู่มีเศษไม้เกลื่อนอยู่ และเมื่อมองไปที่ราวสะพานโอซือก็ต้องสะอื้น
ข้าขอโทษ
ข้าขอโทษ
ทาเกโซใช้มีดสั้นสลักบนเนื้อไม้ให้เห็นขาวเด่นขึ้นมาเป็นตัวอักษร